670108 ตอบปัญหาผ่ามิจฉาอาชีวะ 5 รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #50 ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1ByTfVMIkSpdorBMoxEDFEoAq6WZ9ej_T/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1rwjWFA5fqCacpAbQ5REBxrk1-18OQvhH/view?usp=sharing
และ
ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/prGLqHM7EB/
และ https://youtu.be/qn5k3g2hKyw
(มีซับ)
พ่อครูว่า…เจริญธรรมที่ทุกๆคน วันนี้วันจันทร์ที่ 8 มกราคม 2567 ที่บวรราชธานีอโศก บางคนก็อ่าน 8 มะ กะ รา คม บางคนก็อ่าน 8 มก กะ รา คม
เริ่มต้นที่ SMS กันก่อน
SMS วันที่ 5 – 7 มกราคม 2567
ตอบปัญหาผ่ามิจฉาอาชีวะ 5
_ทับทิม . ขอความกรุณาพ่อครูอธิบาย มิจฉาอาชีวะ 5 ด้วยค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า… คิดเรื่องมิจฉาอาชีวะขึ้นมานี้น่าจะได้เรื่องเดียวนี้จนหมด ชั่วโมง มันอยากอธิบาย มันจะเข้าไปละเอียดแค่ไหนก็แล้วแต่พระพุทธเจ้าจะเข้าทรง
มิจฉาอาชีวะ 5 มีอะไรบ้างทดสอบนักเรียน
๑. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา) มีในงานการเมือง .
๒. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง .
๓. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา) ยังเสี่ยง-ยังไม่แน่แท้
๔. การยอมมอบตนในทางผิด อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)
๕. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา)
(พตปฎ. เล่ม ๑๔ ข้อ ๒๗๕ มหาจัตตารีสกสูตร)
อันแรกกุหนา คือโกง ทุจริต คอรัปชั่น คือหมายความว่าทำชั่วชัดๆ ชั่วที่ 1 เลย ชั่วอันดับ 1
ทำชั่วที่ 1 นี่นะ มันต้องถึงในขั้นอยู่ในวงการเมือง ทำชั่วที่ 1เลย ไม่อยู่ในวงการเมืองชั่วไม่ครบสูตรหรอก ถ้าไม่ชั่วแบบการเมือง เพราะการเมืองนี้มันระดับคลุมทั้งประเทศเลย บทบาทที่มีอำนาจหรือมีอิทธิพล มีผลกระทบต่อคนทั้งประเทศ แต่ถ้าโกงไม่ถึงขั้นอยู่ในวงการเมือง มันก็อยู่ในกลุ่มของคน คนที่เขาไม่ยุ่งการเมืองจริงๆนี่ การเงินจะเป็นยังไงเขาไม่แยแสเขาทำมาหากินกับชีวิตเขา มากกว่าคนที่คำนึงถึงการเมือง เข้าไปยุ่งกับการเมืองเข้าไปสนใจกับการเมือง ที่พูดด้วยสักง่ายๆว่าไม่เล่นการเมือง ไม่ยุ่งกับการเมือง แต่การเมืองมันกระทบถึงเขาเหมือนกัน การเมืองกระทบถึงเขา เขาจะไม่ยุ่งการเมือง ไม่เล่นการเมืองอะไร คุณอยู่ในสังคมประเทศ นายกเขาทำอะไรมีผลถึงคนทุกคน นายกเคยพูดดูแลทำงานเพื่อประชาชนทุกคนในประเทศ หรือประธานาธิบดีหัวหน้าใหญ่เบอร์1ว่างั้นเถอะ ในระบบการบริหารประเทศแบบประธานาธิบดีแบบนายกก็ตาม ผู้ปฏิบัติผู้กระทำจริงๆคือนายกกับประธานาธิบดี
ระบบประธานาธิบดีคือระบบบริหารที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ เมื่อไม่มีพระมหากษัตริย์ คุณก็ทำหน้าที่มีพลังงาน จัดการ ส่วนในหลวงหรือพระเจ้าแผ่นดิน ในประเทศที่มีประชาธิปไตยที่มีพระเจ้าแผ่นดิน ส่วนคอมมิวนิสต์เขาไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน หรือประธานาธิบดี ของเขาก็ไม่มี พระเจ้าแผ่นดิน เขาก็บริหารเต็มที่อยู่แล้ว ประธานาธิบดีหรือนายก
ประเทศที่มีพระเจ้าแผ่นดินแล้วก็มีนายก ก็ให้นายกเป็นผู้รับผิดชอบ พระเจ้าแผ่นดินทรงไว้ซึ่ง ผู้ที่จะมีปัญหา มันสุดปัญหาหรือว่าเป็นปัญหาที่นายกเห็นว่าควรโปรดเกล้าขอพระปัญญาของท่าน ใช้ปัญญาของท่านตัดสินเป็นขั้นสุดท้ายจึงทำ ถ้าไม่ถึงนายกทำไป หรืออันใดที่เห็นควรตามกฎหมายเขาก็จะมีกฎหมายระบุว่าอันนี้ต้องถึงพระเจ้าแผ่นดินนะอันนี้ไม่ต้องถึงก็ได้ มันก็มีระดับของมันตามกฎหมายกำหนดไว้ละเอียดอย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นสรุปแล้วประเทศที่มีพระเจ้าแผ่นดิน จึงเป็นประเทศที่มีสิ่งที่เป็นสุดยอดสำคัญ มีพระเจ้าด้วยว่างั้นเถอะ ประเทศที่มีพระเจ้าแผ่นดินนี่มีพระเจ้าด้วย ถือว่าเป็นอำนาจสูงสุด
เพราะฉะนั้นประเทศที่เขานับถือพระเจ้า ศาสนานับถือพระเจ้า แต่เขาเองกลับทำระบบประชาธิปไตยที่ไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน นี่เขากบฏต่อตัวเอง พระศาสนาเขามีพระเจ้าใหญ่ที่สุด ใครจะไปทำอะไรพระเจ้าไม่ได้ ยกไว้และพระเจ้าของเขาเที่ยงด้วยอย่าไปแตะ อย่าแตะเป็นอันขาดเช่นทางอิสลามยึดถือจัดจ้าน อย่าไปเปลี่ยนแปลงอะไรเลยเมื่อขึ้น กาละ เทศะ ฐานะ พระเจ้า ในคัมภีร์ว่าอย่างไรไม่เปลี่ยนแปลง องค์ประกอบจะเปลี่ยนไปยังไงก็แล้วแต่ มีระบบเดียว ซื่อบื้อใส่บทเดียว ซึ่งมันไม่ใช่ มันผิด กาละเทศะ ฐานะ องค์ประกอบ บุคคลและจิตวิญญาณและเหตุองค์ประกอบต่างๆ มันเที่ยงแท้ที่ไหน อย่างนี้คือรายละเอียด ลงไปในรายละเอียดพวกนี้มันจะมากพอดี เดี๋ยวจะพูดมิจฉาอาชีวะ 5 ไม่ได้
สรุปแล้วข้อที่ 1 โกงแหลก แล้วเก่งโกงด้วย เป็นอาชญากร ทำอาชญากรรมทางการเมืองได้สุดยอด คนไทยมีให้ดู เก่งมาก ต้องขอใช้ศัพท์เต็มที่เลยว่าเก่งฉิบหายเลยเก่งมากเก่งชิบหายจริงๆ เก่งหรือหายเลย จริงๆเป็นอย่างนี้จริงๆเมืองไทยมีตัวอย่างให้เห็นด้วยเอาล่ะไม่ยาวต่อไปตรงนั้น
มาขยายความต่อ ลปนา กุหนาคือโกง แต่ลปนา โกงเหมือนกัน ทุจริต แต่เน้นที่การพูดไม่ครบสูตรเหมือน กุหนา ที่ กาย วาจา ใจครบสูตร ลปนา มีกายกับวาจา กายมีบ้าง แต่ถือว่ามีวาจาเป็นหลัก พอถึงขั้น ร่างกายจะเอาเป็นเอาตายกัน ถึงขั้นจะทำสงครามก็ไม่แล้ว ลปนา จะลดกว่า
สรุปก็คือ ทุจริตอยู่
_สู่แดนธรรม… การบอกข้อมูลไม่ครบอยู่ในข้อ 2 หรือเปล่าครับบอกข้อมูลแค่ครึ่งเดียว
พ่อครูว่า…ในสภาพซับซ้อนที่จัดการฆ่ากันด้วยกายกรรมมันหยาบ ใครก็รู้ว่ามันหยาบรุนแรงเกินไป เพราะฉะนั้นทำให้ดีเหมือนไม่หยาบไม่ฆ่า แต่เขาใช้อิทธิพลใช้มือคนอื่น ใช้ความฉลาดแกมโกง เฉโก ซับซ้อนให้คนอื่นรับหน้าแต่ตัวเองเป็นคนวงการมีอิทธิพลเหมือนจางซูเหลียงในเรื่องเล็บครุฑของพนมเปญไม่มีใครรู้จักจางซูเหลียง แต่จางซูเหลียงบงการหมดเลย ไม่มีใครรู้จักตัวตนของจางซูเหลียงเหมือนไม่มีตัวตนเลยนะ หายตัวได้เหมือนขณะนี้นักโทษเด็ดขาดในเมืองไทยขณะนี้ก็หายตัวได้ อย่างนี้เป็นต้นนี่ ซับซ้อนมากเลย
เพราะฉะนั้นถ้า ทั้ง กุหนา ลปนา ที่ซับซ้อนลงไปอีกเรียกว่าจบด็อกเตอร์ทางอาชญากรรมมาจริงๆถึงจะทำได้ ถ้าไม่ใช่ด็อกเตอร์ทางอาชญากรรมมา ไม่อยากเรียกว่าฉลาดแต่ฉลาดแกมโกง เฉโก คือความฉลาดแกมโกงก็ทำได้อย่างนี้
กุหนาร้ายที่สุด ลปนาร้ายรองลงมา
ขั้นต่อมา เนมิตกตา คือแปลว่ายังเสี่ยงอยู่ยังกึ่งๆพยายามจะทำดีแต่ก็ยังทำชั่ว ยังเสี่ยงทาย ยังไม่แข็งแรง ยังไม่เต็มรูป ยังไม่เป็นผู้ที่จะปฏิบัติได้ดี แต่พยายามบ้างแล้ว จะเลิกกุหนา จะเลิกลปนา
_สู่แดนธรรม… อย่างที่ผมพูดว่าให้ข้อมูลแค่ครึ่งเดียวได้ไหมครับ
พ่อครูว่า… ให้ข้อมูลแค่ครึ่งเดียวเป็นกลวิธีของคนขี้โกงนะนี่ไม่ใช่พูดแค่นั้นข้อเดียว มันอยู่ที่ตัวเองปฏิบัติ ตัวเองประพฤติตัวเองกระทำ เนมิตกตา คือเลวชั้น 3 ไม่ใช่เลวชั้น 1 เลวชั้น 2 จะเป็นเลวชั้น 3 พยายามจะทำดีแล้วแต่ข้อ 1 ข้อ 2 นั้นไม่พยายามจะทำดีเลย เป็นมิจฉาทิฐิที่เห็นชั่วเป็นดี แล้วทำแต่ชั่ว ๆๆๆ อย่างที่เรียกว่าเอาดีไปเป็นชั่วหมด
เอาเชิงดีที่รู้ว่าคนเชื่อว่าดีไปหลอกคนว่าฉันทำดี แต่ตัวเองทำให้คนหลงเชื่อว่าสำเร็จอีก นี่เรียกว่าคน เฉโก ฉลาดแกมโกง มันซ้อนอย่างนี้
เพราะฉะนั้น เนมิตกตา นี่เริ่มดีขึ้นมา เริ่มเลิกชั่ว เลิกชั่ว ตามฐานะทำได้ดีขึ้นมาเรื่อยๆก็ เนมิตกตา เจริญขึ้นสูงขึ้น สูงขึ้น จะเลิกทำชั่วก็เลิกได้ๆ เยอะ ยาวนานอันนี้ อันนี้ยาวนาน กว่าจะเลิกทำชั่วได้ขึ้นมาจนกระทั่งหมดชั่ว ไม่ทำชั่วอีกแล้ว
คนพวกนี้นี่มาถึงขั้นโดยเฉพาะกุหนา ลปนา ยังไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องจะรู้จักความสุขความทุกข์ เพราะคนพวกนี้หลงสมใจตนเองเป็นสุข บำเรออัตตาตัวเองเป็นสุขอย่างเดียว เขาจะเดือดร้อนลำบากอย่างไรๆ เขาก็ไม่เคยนึกว่าเป็นทุกข์ คนพวกนี้ไม่รู้ทุกข์ในอริยสัจข้อที่ 1
เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปพูดถึงว่า เขาจะต้องหาเหตุแห่งทุกข์ เขาจะต้องมีนิโรธ เขาจะต้องมีข้อปฏิบัติเพื่อนิโรธ ไม่มี เขาไม่รู้ทุกข์ เขาหลงทุกข์อย่างหัวปักหัวปำ แล้วก็หลอกตัวเองด้วยอุปาทานว่านี่สุข ๆๆ มันยากมากนะไม่ใช่ง่าย ยากนะ ยากมาก
แต่เขาทำได้ หรือทำชั่วได้ครบสมบูรณ์แบบ ชั่วได้สมบูรณ์แบบดีเขาจึงทำได้ เพราะฉะนั้นดีขึ้นมาถึงขั้น เนมิตกตา จนกระทั่งไม่ทำชั่วเลย ไม่ทำชั่วเลยก็เป็นขั้นที่ 4 นิปเปสิกตา
นิปเปสิกตา เป็นอาชีพที่เขาไม่ทำชั่วได้แล้ว บรรลุอนาคามีแล้ว หรือเกือบจะอรหันต์ แต่ยังเหลือติ่งโง่ อยู่บ้างว่า ยังคงไปรับใช้คนผิด นิปเปสิกตา ยังไปรับใช้คนผิดด้วยวิธีใดๆก็ตาม เช่น คุณยังไปรับใช้คนโลกีย์ อย่างพวกเราชาวอโศกไม่เอาแล้วไม่ไปรับใช้คนโลกีย์แล้วไปรับเบี้ยอะไรจากเขาไม่ทำแล้ว มาอยู่ในหมู่นี้เลยทำงานศูนย์
เพราะฉะนั้นขั้นต่อ นิปเปสิกตา คือ ไม่ไปรับใช้คนผิด ถ้ายังรับใช้คนผิดอยู่คือ นิปเปสิกตา เมื่อไม่รับใช้คนผิดก็มาอยู่กับคนถูกหรือคนชาวโลกุตระ ถึงขั้นสุดท้ายจริง ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา ถึงขั้น มาอยู่ในระบบสาธารณโภคี…
ยังรับสิ่งแลกเปลี่ยนอยู่ จากแรงงาน 1.วัตถุแลกวัตถุ ยังมี 2.ไม่แลกวัตถุแล้วเอาแรงงานทำ แลกแรงงานคิดเป็นค่ากัน แล้วเป็นคิดค่านี้ก็เอาธนบัตร มาเป็นตัวเลข ไม่ใช่วัตถุนะ เอาเศษกระดาษมาเป็นธนบัตรที่มันซ้อนอยู่ในโลกทุกวันนี้ นี่ค่าตัวของคุณฉันยังไม่ได้ให้นะ ไม่ใช่วัตถุนะ แต่เป็นค่าลมๆแล้งๆตัวเลข ก็เลยได้แต่เงินมากองเอาไว้ กินก็ไม่ได้ ใช้อะไรก็ไม่ได้ เป็นอาหารก็ไม่ได้ เอาเป็นเชื้อเพลิงเผา ถ้ามันมากก็คงจะเผาตัวเองได้ ธนบัตรกระดาษ ไม่มีค่าอะไรเท่าไหร่ นี่พูดให้ละเอียดๆไปเล็กน้อย
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ทำงานไม่รับอะไรแลกเปลี่ยนเลย ไม่มีทั้งวัตถุไม่มีทั้งธนบัตรแลกเปลี่ยนเป็นค่าตัวทิ้งเอาไว้ ค้างเอาไว้จะใช้คืนเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ล่ะ หรือไม่รับอะไรเลยอย่าว่าแต่ธนบัตร ไม่ว่าแต่อะไรจะไม่คิดรับเลย แต่ยังซ้อนอยู่ จิตผู้นั้นยังนึกว่า ฉันเป็นบุญคุณของคุณอยู่นะ ตัวเองยังยึดว่าฉันเป็นบุญคุณของคุณอยู่นะ ไอ้นี่ก็ไม่หมด ไอ้นี่ก็คือเป็นผู้ที่ทำงานยังไม่ 0 แท้ๆ ทำงานยังคิดเป็นบุญคุณ
ถ้าภาษาทางบาลีท่านก็เรียกว่าเป็นให้ไม่หมด ทานไม่สมบูรณ์แบบ ทานสมบูรณ์แบบคือไม่มีอะไรเชื่อมต่อเลย ไม่มี สาเปกโข ที่จะหวังอะไรตอบแทนอีก ไม่มี
เพราะฉะนั้นทานยังมีทานระดับ 2 จิตยังผูกพัน ปฏิพัทธจิตโต ติด ยังสัมพันธ์กันอยู่ นี่ก็เลยยากขึ้นจากไม่มี สาเปกโข ไอ้นี่เริ่มมีแล้วยิ่งไปสะสมเลย สันนิธิเปกโข ยิ่งสะสมใส่คลังไว้เลย
อันที่ 4 นั้นโอ้โห ทีนี้เป็นตัวเป็นตนข้ามชาติไปเลย เอาไว้ที่จะกินข้ามชาติโน้นชาตินี้ชาติหน้า ปริภุญชิตสามีติ เป็นสมบัติของกูของกูข้ามชาติของกูๆๆ เหมือนอย่างหลวงตาบัวบอกว่านี่ยังเฝ้า ดอลลาร์กับทองคำอยู่ในคลัง เขาเอาไปใช้ยังไงไม่รู้เรื่องแล้วเป็นจิ้งจกตุ๊กแกเฝ้า เป็นจริงๆนะ แม้แค่ว่าเป็นจีวรของกู พระพุทธเจ้าก็เคยมี อันนี้อยู่ในพระสูตรเลย เสร็จแล้วตายก็มาเป็นเล็นอยู่ที่จีวรนั้นแหละ เห็นไหมจิตคน จีวรของกู จีวรของกู ตายยังเป็นเล็นเฝ้า มหาบัวฉันเดียวกัน หนักกว่าจีวรด้วย ทั้งดอลลาร์ ทั้งทองคำ ทำไว้ของกูของกู เขาเอาหมุนเวียนไปเท่าไหร่ แล้วจะเปลี่ยนแปลงยังไงก็ยังของกู ของกู อยู่นั่นแหละ นี่มันลึกซึ้ง
อาตมาพูดชัดเจนนะ ออกชื่อมหาบัวด้วย ให้เห็นตัวอย่างว่าคนเรานี่เป็นตัวอย่าง ขอบคุณมหาบัวที่คุณทำสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ง่าย อาตมาไม่พูดต่อแล้ว ว่าใช้อะไรต่างๆนี้ก็ได้สิ แล้วมันก็ซับซ้อนไม่รู้ตัวเองหรอก ไม่รู้ เพราะมหาบัวไม่ใช่อรหันต์ มหาบัวไม่ใช่คนบริสุทธิ์สะอาดอย่างที่ว่านี้เลย บอกว่ามหาบัวคืออรหันต์ไม่เคยสะอาดนี้ไม่ใช่ หยาบไปยังซับซ้อนด้วย เหมือนกับทุกวันนี้คนแสดงออกทางการเมืองแต่นี่ไม่ใช่การเมือง เอาทางธรรมะ ทางศาสนามันก็คนละ มิติ คนละองค์ประกอบ คนละบริบทเท่านั้นเอง แต่หนักหนาสาหัส อย่างขณะนี้นักการเมือง หยาบคายกว่ามหาบัว แต่หยาบคายแบบรูป แต่คนก็ยังไม่เห็น แต่มหาบัวหยาบคายแบบนาม
ขั้นสุดท้าย ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา คือไม่มีการใช้ลาภแลกลาภ และที่พูดลึกซึ้งผ่านไปแล้วว่า หายไปไม่มีของตัวของก่อน ไม่ยึดเป็นของตัวของตน ทั้งๆที่ตนทำมากด้วย ทำเยอะ ถ้าตีราคาตีค่า ซึ่งการตีราคาตีค่านี่ก็ซับซ้อน คนที่มีคุณธรรมมีความรู้ทางธรรมะสูง ค่าราคาตีเป็นราคา หน่วยของเงิน ตีราคาเป็นหน่วยของเงิน คุณธรรมสูง ควรจะได้หน่วยราคาของเงินมากกว่าคนคุณธรรมต่ำใช่ไหม ตามโลกที่เขาแลกเปลี่ยนกัน
ทีนี้ ราคาโลกุตรธรรมนี้หาค่ามิได้เลย ตีราคามันมากจนกระทั่ง คนนี้ราคาค่าตัว ชั่วโมงละ 1 บาท คนที่มีราคาโลกุตรธรรม ชั่วโมงละล้านก็ยังน้อยไปแล้ว หาค่าบ่มีได้จริงๆ เพราะฉะนั้นคนที่ทำงาน 10 ชั่วโมง 1 วัน โอ้โห ค่าของทางโลกุตระ 10 ชั่วโมง 1 วัน จะเท่าไหร่ นี่เทียบให้ฟังบ้าง
เพราะฉะนั้น คุณธรรมของคนที่ แม้ว่าเราจะยังมีตัวตนอยู่บ้างแต่มาอยู่กับหมู่ที่ทำงานฟรีอยู่ด้วยกันหมด เหลือจิตที่มีกิเลสส่วนตัว ที่ยังมี ยังยักไว้ ยังอยากได้ ยังไอ้โน่นไอ้นี่ มันก็เป็นธรรมดา แต่จะว่าไปแล้ว ไอ้สิ่งที่เราได้เราก็ไม่ได้ไปทุจริต เราก็ไม่ได้ไปทำชั่ว เราก็ได้มาด้วยบารมีหรือได้มาด้วยกรรมสุจริต
เพราะฉะนั้น คนที่ละเอียดจริงๆแล้ว สูงขึ้นไปจริงพอสมควรแล้วมาอยู่ในหมู่ที่ สาธารณโภคี ไม่ทำกรรมหาเงิน ส่วนตัวเลย กรรมทุกกรรมทำงานเข้ากองกลางหมด แต่บารมีส่วนตัวที่จะได้ ลูกมาให้หลานมาให้ พ่อมาให้ แม่มาให้ หรือว่าคนที่เขาศรัทธามาให้ส่วนตัวอะไรจริงๆ นั่นก็บารมีส่วนตัว เราไม่ได้ไปทำงานให้เขาหรอกชาตินี้ แต่เขาอนุเคราะห์ เขาจะต้องเอามาให้เรา อันนี้ก็เป็นกรรมวิบาก ที่มันคิดไม่ออก
เอ๊ ทำไมเขาเห็นดีเห็นงามมาช่วย มาสนับสนุน มาซัพพอร์ต มาเกื้อกูลอยู่นะอะไรพวกนี้ มันก็เป็นสัจธรรมของแต่ละคน มีได้ จะว่าไปยกตัวอย่างอาตมานี่ อาตมาไม่ได้ไปทำงานรับจ้างเลย แต่อาตมาก็ได้ คนเอามาให้ตามบารมีที่อาตมามี อาตมาเคยพูดด้วยซ้ำไปว่า ในชีวิตนี้อาตมาไม่เรี่ยไร ไม่มีวิธีเรี่ยไรใดๆ ด้วยหยาบด้วยกลางด้วยละเอียด ไม่ได้ทำ
การได้มานี่ได้มาโดยบารมีจริงๆ เขาเห็นว่า พฤติกรรมอย่างอาตมาทำ สรุปกันที่ สาธารณโภคี แล้วอาตมาก็พูดและทำจริงว่า เงินที่เขามาบริจาคที่อาตมารับมา อาตมาจะไม่ใช้เงินเหล่านี้ ส่วนตัวเลย เคยพูดไปหลายทีแล้ว แม้อาตมาจะป่วยเจ็บจะตายจะต้องใช้เงินนี้จ่าย เลี้ยงตัวก็ไม่เอา จะกิน หิวหรือจะตายแล้วไม่ได้กินนี่จะต้องใช้เงินนี่ซื้ออาหารให้กินก็ไม่เอา ไม่กิน ป่วยก็ไม่รักษาไม่ใช้เงินนี้ไปแลกไปจ่าย ถ้าใครคนอื่นๆไม่ช่วยให้กินหรือไม่ช่วยรักษา ตายยอมตาย อาตมาเคยพูดหลายทีแล้วเรื่องนี้ แล้วก็ทำมาจริงๆ
ซึ่งมันเป็นการยืนยันพิสูจน์ว่า คนเรานี่มีบารมี มีสิ่งที่เป็นกรรมวิบากพวกนี้นี่จริง อาตมาก็ต้องการพิสูจน์กรรมวิบากของอาตมาเหมือนกัน แล้วอาตมาก็มั่นใจว่า ชาตินี้เรามีวิบาก อยู่ได้เป็นไปได้อย่างที่เป็น จนกระทั่งมาอยู่ในหมู่พวกเรานี่ สมณะนักบวชแม้แต่สิกขมาตุก็ไม่มีใครเก็บเงินเป็นส่วนตัว ให้กองกลางหรือมาให้อาตมา มันก็อันเดียวกันคือให้อาตมาหรือให้กองกลาง หลายคนรับแล้วบางทีก็ไม่มาให้อาตมา ก็เอาไปให้กองกลาง บางคนก็มาให้อาตมาก่อน อาตมาก็รวมไปให้กองกลางอยู่ดี อาตมาไม่ได้มีของตัวเอง ไม่ได้รับทรัพย์มาเป็นของตัวเองไว้ ก็ให้ทางหน่วยฆราวาส พวกเราใช้ฆราวาส เป็นหน่วยการเงิน ซึ่งมีฆราวาสเป็นคนดูแล
เพราะฉะนั้นอาตมาก็ภาคภูมิใจ ในชีวิตนี้ อายุจนป่านนี้ ทำงานศาสนามา 53-54 ปีนี้ บริสุทธิ์ ทำแม้การเงินนี่แหละได้บริสุทธิ์ อย่างน่าภาคภูมิใจมาจนถึงทุกวันนี้
สรุปอาชีวะ 5 ผู้สามารถทำได้ต้องเป็นโลกุตรธรรม สามารถทำอาชีวะระดับ 5 ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา คือ ลาภที่ได้มาโดยธรรม ลาภธัมมิกา ไม่เอามาเป็นของตัว เอาเข้าไปสู่สาธารณโภคี นี่เป็นเศรษฐศาสตร์สุดยอดที่สุดที่คอมมิวนิสต์ก็ต้องการ ประชาธิปไตยก็ต้องการ คือ คนสมาชิกของสังคมนี้ เสียภาษี 100% ทุกคน สมาชิกทุกคนของสังคมนี้ อยู่ในระบบ สาธารณโภคีนี้ ทุกคนเสียภาษี 100%
คอมมิวนิสต์เขาก็พยายาม ประชาธิปไตยเขาก็พยายาม แต่ทำไม่ได้ ทำได้เฉพาะพุทธศาสนาโลกุตระนี้เท่านั้น ในโลกมีหนึ่งเดียว ไม่ได้บังคับนะ คุณจะเป็นสมาชิกเมื่อไหร่ ได้ คุณไม่เป็นสมาชิกคุณก็ออกไป แต่คุณเข้ามาคุณก็มาใช้บริการนี้ได้ ปฏิบัติตามกฎ ระบบระเบียบของที่นี่ก็แล้วกัน คุณก็มาใช้บริการ สาธารณโภคี ได้ แต่ถ้าคุณไม่ คุณจะไปส่วนตัวก็ออกไปข้างนอก อิสระ ไม่มีปัญหาอะไร อิสระ เราไม่ได้ไปละลาบละล้วงอะไรคุณ ของเราก็มีกฏระเบียบเหมือนกับประเทศเขาก็มีกฎหมายมีระเบียบของเขา เหมือนในโลกอันเดียวกัน นี่สุดยอดที่สุด นี่คือ สาธารณโภคี
นี่คืออาชีวะ ทุกอย่างยังทำงานในระดับ ทำงานแล้วยังมีรายได้แลกเปลี่ยนคืนมายังถือว่า มิจฉาอาชีวะ ผู้ยังทำงานแลกกับสิ่งตอบแทนอยู่ ถือว่ายังมิจฉาอาชีพอยู่ เห็นไหม สุดยอดของสัมมาอาชีพของพระพุทธเจ้า พ้นมิจฉาอาชีพ 5 ได้นี่ นักเศรษฐศาสตร์ที่เรียนจบ ดร.มาจากเทวนิยมหัวพัง หัวผุ ฟังแล้วหัวแตก เขาคิดว่ามันเป็นไปได้หรือยังไง
ถ้าไม่ได้มีพวกเราพิสูจน์มาถึง 40 ,50 ปีมานี้ ถ้าคุณยังไม่เชื่ออยู่ก็ไม่เป็นไร พวกคุณเชื่อไหม ก็พวกนี้เชื่ออยู่เขาก็จะอยู่อย่างนี้ไป เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เผาอีกคนหนึ่ง ก็ไม่เป็นไร อยู่ไปจนตายแล้วก็เผา ใช่ไหม พ่อของกรักตรงเตือน พ่อสมพร พรุ่งนี้เผา วันนี้เผาน้อย พรุ่งนี้เผาพ่อสมพร
_สู่แดนธรรม… ผมอยากจะคิดเห็นในเรื่องนี้ ตอนนั้นปี 2527 ยังเป็นหนุ่มน้อยๆอยู่ ผมกำลังแสวงหาว่า สำนักไหนที่จะอธิบายเรื่อง ศีลที่บริสุทธิ์ ผมประทับใจเลยว่า สำนักสันติอโศก คือฟังจากเทปอธิบายให้ละเอียดของศีลข้อที่จะไม่ทุจริต คือศีลข้อ 2 นี่มันระบุแค่ว่า เราก็รู้สึกว่าเราทำได้แล้วนะ แต่เรายังอยากจะรู้ลึกๆละเอียดอีกว่า
พ่อครูว่า… ศีลข้อ1 เรื่องสัตว์ เรื่องชีวิต เรื่องเมตตา เรื่องไม่ละเมิดทางชีวะกัน ศีลข้อ 2 เรื่องทุจริต สุจริต อาตมาเคยสรุปแล้ว ศีลข้อ 3 เรื่อง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ)
_สู่แดนธรรม… ผมกำลังจะกล่าวอ้างอิงถึงอีกบุคคลหนึ่ง ผมได้อ่านหนังสือแสงสูญและฟังเทป มีบุคคลที่เป็นตัวอย่างในเรื่องนี้อย่างดีเลยคือคุณเบญจวรรณ เจริญวงษ์ เขารายงานว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน เป็นข้าราชการ เขารักษาศีลของตนได้บริสุทธิ์แล้วเขายังกินแหนงใจว่าเขาเองอยู่ในองค์กรที่ทุจริตอยู่ เขาก็กินแหนงว่า ตัวเองไปพายเรือให้โจรนั่ง ตัวเองไม่ได้ทำทุจริตแล้ว ละอายแก่ใจ เลยลาออกจากงานเลย ป้าดติโท้สำนักนี้ทำไมมีปาฏิหาริย์ขนาดนี้ ตั้งแต่ปี 2527 มาผมก็เลยเลือกเข้ามาศึกษากับพ่อท่าน
พ่อครูว่า… อาตมาก็ยังจำได้เรื่องของเบญจวรรณ นี่แหละเป็นเรื่องจริงของจิตวิญญาณ และเป็นสำนึกของคน สำนึกดี เห็นจริงว่าโอ้โห อย่างนี้ต้องเอาแบบนี้และมีสังคมแบบนี้ด้วย มีระบบแบบนี้ ศีลสมาธิ ปัญญาแบบนี้ แล้วคนก็มาเอา
_สู่แดนธรรม… อีกเรื่องหนึ่งครับ นึกได้พอดี เรื่องนี้เป็นหลักประกันว่า แม้แต่นักการเมืองที่มีศีลข้อนี้แข็งแรงแล้ว พ่อท่านบอกว่า สมมุติคนนี้เป็นอรหันต์แล้วนะครับ พ่อท่านบอกว่า มาเลยงบประมาณลับ 500 ล้าน
พ่อครูว่า… อะไรแค่ 500 ล้าน มันเป็นแสนๆล้าน งบประมาณ
_สู่แดนธรรม… งบประมาณลับส่วนตัว เอามาให้ท่านผู้นี้บริหารเลย ท่านจะบริหารให้ได้อย่างดีเลยไม่ทุจริต ไม่ลำเอียง ไม่เอาเข้าตัว
พ่อครูว่า… ก็คุณจำลองนี่ไง บริหารตั้งแต่ กทม.มา จนกระทั่งมาทางการเมือง
_สู่แดนธรรม… 5 ศีล 5 ข้อนี้นักการเมืองทำได้ก็เป็นหลักประกันแล้วเป็นศีลในระดับอาริยะ เลยนะครับพ่อท่าน
พ่อครูใส่นาฬิกาจับสัญญาณชีพ
_แรงก้าว กู้ชาติ . มีคนนอกถามว่า ญ่าพอทำไมใส่โมง (นาฬิกา) (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
พ่อครูว่า… ทำไม ภาษาอีสานน่าจะเป็น เป็นหญัง คำว่า ญ่า หมายความว่าเป็นพระยา หมายความว่าเป็นคนที่มีศักดิ์ฐานะ อย่างยายอาตมา เป็นลูกเจ้าเมืองคนสุดท้ายที่คนยอมรับคนสุดท้าย เพราะฉะนั้นอยู่เมืองพิบูลมังสาหาร ทุกคนจะเรียกว่า ญาแม่คุณ ทุกคนไม่มีใครเรียกชื่อยายอาตมาเรียกแต่ ญาแม่คุณ อาตมาเกิดมาสะดุดใจตั้งแต่เด็ก เลยคิดว่ายายเราชื่ออะไรใครก็ไม่เรียกแม่ก็ไม่เรียก อย่างอื่นใด ก็ไม่เรียกชื่อเรียกแต่ ญาแม่คุณ
ใส่โมงคือนาฬิกา ตอบให้หายข้องใจ ไอ้อันนี้นี่จริงๆมันไม่ได้อยู่สำคัญที่นาฬิกาบอกตัวเลขเวลา มันไม่ได้อยู่อันนี้ แต่มันมีด้วยในเรือนนี้ แต่เรือนนี้เขามาให้อาตมามาใช้นี่ เขามาจับอาตมาว่า เขาจะดูแลสุขภาพ เป็นนาฬิกาชื่อว่านาฬิกามันไม่ได้บอกแค่เวลา แต่มันบอกอะไรอื่นที่วัด ต้องใส่ไง ที่ไม่ต้องใส่ อาตมามีนาฬิกาที่ไม่ต้องใส่ข้อมืออยู่ข้างนอกก็มี มันวัดไม่ได้ นาฬิกาอย่างนั้นมันวัดสรีระอาตมาไม่ได้ แต่อันนี้มันบอกสรีระอาตมาเป็นเรื่องสุขภาพ เขาจับวัดไม่รู้กี่อย่าง รู้ว่าอาตมาหายใจมากน้อย เดินกี่ก้าว นอนหลับลึกไม่ลึกอะไรต่างๆด้านสุขภาพทั้งหมด เท่าที่เขาจะมีคุณภาพประสิทธิภาพที่สามารถวัดได้ เขาใช้อันนี้เป็นเครื่องวัด ทางสุขภาพจ้ะ ตอบคุณแรง ก้าว กู้ชาติ ไม่ได้ใส่โก้ใส่สวย ก็ไม่ได้มีเพชรสักเม็ด ไม่ได้เป็นของงามของสวยเลย ดำกับขาวเฉยๆ ไม่ได้ใส่เป็นเครื่องประดับ หนักมือด้วย ถ้าไม่ใช้ มันก็เบา แต่จำเป็นต้องใส่จ้ะ
คือเขาข้องใจ เขาก็มองไปในแง่ว่าทำเท่ห์ทำใส่โก้ ซึ่งไม่มี จำเป็นด้วยที่เขาจะต้องช่วยอาตมาเป็นเครื่องช่วยที่จะช่วยกันอีกอย่างหนึ่ง ของผู้ที่จะช่วยอาตมาไว้รักษาชีวิตไว้ เอาล่ะคงเข้าใจแล้ว
สิ่งยืนยันพิสูจน์ว่าพ่อครูคือ สยังอภิญญา
_สว่างแสง ขวัญดาว . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ ลูกขอกราบเรียนถามว่า การที่พ่อครูเอาธรรมะเรื่อง สมาธิ ฌาน บุญ กาย มาสอน โดยที่ชาตินี้ไม่ได้เรียนมาจากอาจารย์ท่านใดเลย จะถือว่าพ่อครูบรรลุธรรม (หรือที่ใช้กับพระพุทธเจ้าว่า”ตรัสรู้”) เรื่อง สมาธิ ฌาน บุญ กาย จะได้ไหมคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูสุดเศียรสุดเกล้าค่ะ
พ่อครูว่า… ได้ เดี๋ยวค่อยมาอธิบายต่อ หมายความว่า อาตมาเกิดมาชาตินี้ อาตมาเข้าใจสมาธิเอง ตามความรู้ของอาตมา เข้าใจเรื่องกาย เรื่องฌาน เรื่องบุญ เป็นต้น มีอีกเยอะแยะ แต่คำพวกนี้ชัดเจนแล้วต้องใช้ด้วย แล้วต้องสัมมาทิฏฐิด้วย
อาตมาก็เห็นว่าสัมมาทิฏฐิของคำว่าสมาธิเป็นอย่างไรของศาสนาพุทธ อาตมาก็นำมาพาทำ นำมาขยายความ แล้วการนั่งหลับตาสมาธิ ต้นตระกูลคือ อาฬารดาบส อุทกดาบส ในพระพุทธเจ้ามีหลักฐานตำนานเลยนะ พระพุทธเจ้าตอนแรกยังไม่ได้บรรลุธรรมทีเดียว ก็แสวงหาอาจารย์ ก็ไปเจอ อาฬารดาบส อุทกดาบส แล้ว อุทกดาบสก็สอนเรื่องสมาธิแบบนั่งหลับตาได้ฌาน 7 ฌาน 8 อาฬารดาบส ได้ฌาน 8 อาตมาเคยอธิบายละเอียดแล้ว ฌาน7 แล้วทำไมไม่เอาฌาน 8 อุทกดาบส ได้ฌาน 8 จบเท่านั้น เป็นวิธีการสะกดจิตเป็นสมาธิแบบฤาษี แล้วเรียกว่า ฌานอยู่ในนั้นด้วย
ซึ่งจริงๆแล้วฌานกับสมาธิของพระพุทธเจ้านั้นแยกกัน เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าฌาน อาตมาก็เข้าใจฌานไม่เหมือนกับที่เขาเข้าใจ ว่า ฌานนั้นเป็นหลักฐานที่เกิดได้ด้วย อปัณณกปฏิปทา 3 มีศีล มีจรณะ 15 ฌานของพระพุทธเจ้าต้องเกิดด้วยวิธีของจรณะ 15 ไม่ได้มีหลับตา ไม่ได้เข้าอยู่ในภพในภวังค์ ต้องเป็นการ เปิดจิต ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น จึงจะเกิดพลังงานปัญญาฌานเป็นพลังงานปัญญาที่รู้จักกิเลส แล้วทำให้กิเลสลดได้ด้วยเพราะฌานคือพลังงาน อุณหธาตุ ฌาน คือไฟ คือเตโชธาตุ อุณหธาตุ เขากิเลสหายไป อย่าว่าแต่ขี้เถ้าเลย ขี้เถ้าก็ไม่เหลืออย่างนี้ เป็นต้น
คำว่าบุญก็ตาม มันเสื่อมจากศาสนาพุทธ เข้าใจบุญเป็นกุศล เป็นคุณงามความดี ซึ่งไม่ใช่ บุญคือนักฆ่า บุญคือเพชฌฆาตอะไรอย่างนี้อาตมาก็พูดชัดเจนตอนหลัง ตอนแรกก็ไม่ได้พูดชัดเจน แต่ว่าเปิดยุคบุญนิยม เขียนลงในหนังสือ “เราคิดอะไร”ตั้งแต่กี่ปีมาแล้ว ก็พยายามอธิบายคำว่า “บุญ”อย่างละเลียดมาตั้งหลายเล่ม ก็ยังไม่ได้เข้าใจกันได้ง่ายๆเลยทุกวันนี้ศาสนาพุทธ ที่เป็นพุทธศาสนิกชน ก็ยังไม่เชื่อว่าอาตมาพูดถูกต้อง เพราะเขาแยกไม่ออก เหมือนกับเทวนิยมเขาจะฟังเรื่องของโลกุตรธรรมไม่รู้เรื่อง คล้ายกันกับชาวพุทธที่ยังไม่มีภูมิจะเข้าไปรู้ ไอ้บุญมันเป็นอย่างไร อาตมาพูดมันเป็นยังไงเขาฟังไม่เข้าใจ ฟังภาษาออกว่าเป็นเพชฌฆาตฆ่ากิเลส แต่สภาวะจิตที่เป็นปัจจัตตัง เขายังไม่มี เขายังไม่เข้าถึงความเป็นอัตตา ฟังภาษานี้อีกที เขายังไม่เข้าถึงความเป็นอัตตา เขายังได้แค่ อัตตวาทุปาทาน เขายังได้แค่วาทะยึดได้แค่ วาทะ อุปาทาน เขายังยึดได้แค่พยัญชนะ แค่ภาษา แค่วาทะ เขายังไม่เข้าไปแตะหรือยังเข้าไม่ถึง อัตตา ซึ่งเป็น สักกายทิฏฐิ
สักกายทิฏฐิ เขายังไม่พ้นเลย เขายังไม่บรรลุสักกายทิฏฐิ สังโยชน์ข้อนี้เขายังมิจฉาทิฏฐิ ได้แค่สักกายทิฏฐิ เพราะสักกะคือตัวของเรา รวมทั้งหมดเลย เกี่ยวกับตัวเราคือ สักกะ
กายคือต้องมีคู่ ภายนอกภายใน เขาก็ยังเข้าใจ สักกะ มันก็ไปติดอยู่กับตัวเขา เขาก็ยังจมอยู่กับพยัญชนะภาษา วาทะความรู้ เขายังไม่เข้าถึง จิต เจตสิก รูป ไม่ต้องพูดถึง นิพพาน เขายังไม่เข้าถึงจิตเจตสิกของเขานะ แต่เขาก็พยายามเข้าใจว่าจิตคือธาตุรู้ ๆๆตามบัญญัติพยัญชนะภาษา แล้วก็มีเหตุผลในพยัญชนะภาษา ร้อยเรียงกันเป็นเหตุเป็นผลของพยัญชนะภาษาทั้งนั้น เป็นตรรกะของเหตุผลของพยัญชนะ เขาไม่ได้เข้าไปแตะเรื่องจิตของตนเอง จิตเจตสิกเขายังไม่ได้แยก
เพราะฉะนั้นคำว่ากายคือเจตสิก 2 ข้างนอกเรียกว่า กายเจตสิก ข้างในเรียก เจตสิกะ โดยตรง เขายังแยกไม่ได้ แยกได้บ้างก็อาจจะ ไม่สมบูรณ์ เช่น กาย ไปหนักทางสรีระ กาย ไปหนักทางวัตถุ ไม่สัมพัทธ์กัน ไม่ด้วยกันเลยนะกายไปแยกจิต แยกข้างนอกไม่ได้ แยกข้างนอกก็แยกจิตออกจากกันไม่ได้ กาย
เพราะฉะนั้นความเสื่อมของศาสนาพุทธ มันเสื่อมจนกระทั่งคำที่อาตมาอธิบายต่างๆ เป็นตัวอย่างแค่นี้ก่อน เขาก็เข้าใจไม่ได้โดยที่ชาตินี้ไม่ได้เรียนมาจากอาจารย์ท่านใดเลย อาตมาไม่ได้เรียนมาจากอาจารย์ท่านใด ความเห็นความรู้ที่อาตมาพูดทั้งหมดนี้ เป็นของอาตมา แต่ผู้เดียวในยุคนี้
ย้ำก็ได้ แต่ผู้เดียวในยุคนี้โผล่ขึ้นมา 2500 กว่าปีนี้ อาจารย์ทั้งหลายไม่ได้เห็นตรงกับอาตมา จึงถือว่าอาตมาเป็นกบฏศาสนาพุทธ เพราะยึดอย่างที่ท่านยึดกันอยู่ว่าถูก อาตมาพูดมันก็ขัดแย้งผิด แล้วไปขัดแย้งถึงเรื่องปรมัตถ์ถึงเรื่องอย่างนี้นี่คือ ปรมัตถ์นะ ไม่ได้นะศาสนาจะพังนะเขาจึงจะเอาอาตมาตาย
อาตมาโชคดีมากที่มีพระไตรปิฎก แม้แต่ฉบับสยามรัฐฉบับเดียวก็โชคดีอีก ที่เขาก็ยังเชื่อมั่นในพระไตรปิฎกฉบับนี้ด้วยกัน โดยมีภาษาบาลีเป็นหลัก เช่น คำว่าฌาน คำว่ากาย คำว่าบุญ บาลีทั้งนั้น แต่มันอธิบายความคนละอย่าง
ทีนี้อาตมาเอามาอธิบายความแล้วปฏิบัติได้ จึงเกิดความจริงของคนปฏิบัติได้ จึงเกิดความจริงซึ่งคนปฏิบัติได้ มันก็เลยยืนหยัดยืนยันเอาไว้ แล้วอย่างนี้ใช่ไหม อย่างนี้ใช่อย่างพระพุทธเจ้าหมายไหม พวกคุณว่าใช่ แต่ต้องถามทางโน้นเขาก่อน เขาก็ยืนยันว่าจะไม่ใช่ ยกตัวอย่างเป็นเรื่องง่ายๆ เช่น มาเป็นคนจน มาเป็นคนไม่มีอบายมุข มาเป็นคนไม่มีกาม
กาม อาตมาเคยอธิบายไปแล้ว คุณไม่รู้เรื่อง โอฬาริกอัตตา คุณไม่รู้จักอัตตาที่อลังการ โอฬาริกอัตตา อัตตาใหญ่ ที่คุณหลง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ทั้งกระบิเลย คุณไม่รู้ ลาภคุณก็ไม่รู้ คุณก็เอา เหมือนอย่างมหาบัว ลาภ หรือแม้แต่ผู้ที่นับถือกันว่าเป็นเอกทางศาสนาพุทธอยู่ขณะนี้ก็ตาม ลาภไม่รู้ ยศไม่รู้ สรรเสริญไม่รู้ แต่แบกไว้ทั้งหมดเลยยึดถือไว้ทั้งหมดเลย เป็นโอฬาริกอัตตา เพราะอัตตาเป็นแนวลึกไม่ใช่กาย อัตตไม่ใช่โลภ แต่ ลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นโลภแต่เขามองไม่ออกว่าเป็นโลภ เขา ใคร่อยากได้อยู่ และเอาไปอยู่ โดยเอาไปบันทึกเป็นของกูของกูอยู่ในจิต เขามีเป็นโอฬาร ใหญ่โตมโหฬาร เป็นของเขานะ
เช่น ดูเหมือนว่าเราไม่ต้องการลาภ ไม่ได้สะสมมาเป็นของเราแล้ว เป็นเงินทอง เป็นวัตถุ เป็นต้น แต่เราจะต้องการลาภนี้ เมื่อไหร่ขอให้เอ่ยปากมีคน support มีคนให้คุณทันทีเลย นี่ก็เป็น ความซับซ้อนของคุณรู้ว่าคุณเองคุณทำให้คนเขาเชื่อถือ จนกระทั่งคนจะยินดีสนับสนุน support คุณขอให้คุณเอ่ยปากเพราะเขาเชื่อถือคุณ คุณจะเอาไปทำอะไร เอามาใช้ในเรื่องศาสนา เรื่องธรรมะให้ประโยชน์แก่คนอื่น ก็ดูดีนะ แต่ธรรมะหรือศาสนาที่คุณให้นั้นคือ เปลือกพยัญชนะและวาทะเท่านั้น ยังไม่ได้เป็นถึงแก่นถึงอัตตาเลย..ไม่ใช่ มีอัตตวาทุปาทาน
ไม่ต้องไปพูดถึง สีลัพพตุปาทาน ทิฏฐิคุณก็ ทิฏฐุปาทาน เพราะกามุปาทาน คุณยังใคร่อยากหลงใน โอฬาริกอัตตา ที่คุณมีอัตตาและคุณก็ได้ โอฬาริกอัตตา ไป โดยที่คุณไม่รู้ว่าคุณแบกสิ่งเหล่านี้
ใครงง ใครซับซ้อนหลายชั้นนะ
คนเป็นร้อยมีคนงงคนเดียวใช้ได้อาตมาไม่ทวนแล้ว
เรื่องนี้มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ สรุปลงตรงที่ว่าความรู้พุทธศาสนามันเสื่อมมากจริงๆ อาตมางานหนักมาก ที่จะทำความเข้าใจนี้ฟื้นขึ้นมาในยุคๆกึ่งพุทธกาลที่พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์เอาไว้แล้วว่ามันจะเสื่อม แล้วต้องมีผู้มากอบกู้ ก็ยืนยันหลักฐานทุกอย่างว่า อาตมาอยู่ในข้อที่ 10 ของสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ 10 อะไรต่ออะไรยืนยันหลักฐานทุกอย่าง
หรือแม้แต่ที่พูดนี้ ไม่มีครูอาจารย์แล้วมาอธิบายสมาธิ ฌาน เรื่องบุญ เรื่องกาย ไม่เหมือนเขานี่นะ มีคนก็รับได้แล้วก็ทำได้ปฏิบัติได้จนกระทั่งปฏิบัติถึงขั้นสำเร็จเป็นวรรณะ 9 เป็นสาราณียธรรม 6 ขอสรุปเข้าเรื่องก็แล้วกันหลักฐานพระพุทธเจ้าทั้งนั้น สาราณียธรรม 6 ก็ของพระพุทธเจ้า วรรณะ 9 ก็ของพระพุทธเจ้าอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นหัวข้อหลักเลยมันได้ยืนยันอย่างนี้คุณจะเถียงได้ไหมล่ะ
พวกคุณจะมาแกล้งมีวรรณ9 คุณจะมาแกล้งอยู่ใน สาราณียธรรม 6 นี้ แกล้งไป แกล้งให้เหมือนนะ แกล้งให้มันคล้ายจริงที่สุดเลยนะ ถ้าไม่งั้นเดี๋ยวคนจับได้นะ
คือ จริงๆจะแกล้ง หรือว่าจะประพฤติ ไม่ว่าคุณจะฝืนใจเรียกว่าแกล้งทำ มันพอทำได้ คุณก็ทำไปเรื่อยๆ มันหนักสุดฝืนแล้วคุณจะทนหรือ ใช่ไหม โอ้โห มันไม่ไหวสุดทนแล้วคุณก็ออกไป
เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ได้จนกระทั่งปีหนึ่งก็แล้ว 5 ปีก็แล้ว 10 ปีก็แล้ว 20 ปีก็แล้ว 30 ปีก็แล้ว 40 ปีก็แล้ว อาตมาทำงานศาสนามา 50 ปี หลายคนก็อยู่ถึง 50 ปีแล้ว ตั้งแต่แรกมาจนป่านนี้มี 50 ปีอยู่บ้างแล้ว มันก็ยืนหยัดยืนยันต่อจาก50 ปีไปอีก อาตมาถึงบอกว่ามันยังพิสูจน์ไม่จริงให้ต่อไปอีก 53 ปีแค่นั้น 54 ปีย่างแค่นั้น แม้ ถ้าอาตมาอยู่ไปได้อีกสัก 47 ปี เป็นร้อยนะทำงานศาสนาครบ 100 ปีนี่ รับรองเขาต้องซูฮกอาตมา ถ้าไปอีก 13 ปีอาตมาจะอายุเท่าไหร่ โอ้โห 133
สรุปตรงนี้ว่า ชาตินี้อาตมาได้ยืนยันพิสูจน์ตัวเองว่า อาตมาเป็น สยังอภิญญา ที่ไม่ได้มีครูบาอาจารย์เอาโลกุตระธรรมขึ้นมาสถาปนาลงไปในยุคที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ อาณิสูตรว่า มันเสื่อม และอาตมาก็ขอย้ำยืนยันว่าไม่ได้พูดเล่น จริง คนไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่คนเชื่อก็แล้วแต่ที่คุณเชื่อ และเชื่อแล้วทำด้วย แล้วทำได้ บรรลุธรรมด้วย
อาตมาจึงยืนยันว่าอันนี้ต่างหากเป็นของจริงที่จะพิสูจน์ เพราะฉะนั้นพวกเรานี่ยังอ่านไม่ออกหรอกว่าตัวเองเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ แค่ไหนแต่ถ้าคุณรู้สึกว่าเราอยู่ได้อย่างสบายแล้วอย่างน้อยคุณก็คืออนาคามีแล้ว คุณอยู่นี่คุณไม่รู้สึกยากเลย สบายอยู่กับหมู่นี้ อย่างน้อยอนาคามีแล้ว ถ้าอย่างสูงขึ้นไปก็อ่านจิตตัวเองให้จริงให้เข้าใจอาตมาไม่ต้องพูดต้องบอกหรอก บรรยายมามากแล้ว คุณเป็นอรหันต์ตัดรอบได้ว่า
อรหันต์จากอบายมุข อรหันต์จากกาม อรหันต์จากรูปราคะอรูปราคะ อรหันต์จากมานะ อรหันต์จากวิจิกิจฉา สังโยชน์ก็มีหลักเกณฑ์ให้วัด ให้อ่าน ให้เรียนรู้ คุณก็ตรวจสอบตัวเองสิ คุณก็จะรู้ได้ว่าคุณเป็นอรหันต์ไหม
เพราะฉะนั้นคุณจะรู้ได้อย่างหยาบ เป็นอรหันต์ระดับที่ 1 อย่างสูงขึ้นไปเป็นอนุโพธิสัตว์ เป็นอนิยตะโพธิสัตว์ คุณก็มีฐานมีคุณธรรมที่จริงที่จะอ่านสิ่งจริงๆเหล่านี้ ของคุณ คุณต้องอ่าน จิต เจตสิก รูป นิพพาน ของคุณออก
รูปจะต้องมีสิ่งจริงให้ตัดใจเป็นเวทนาตัณหาอุปาทาน ดูว่าตัณหาคืออะไร อุปาาทานคืออะไร ไม่เหลือภพไม่เหลือชาติคืออะไรก็อธิบายละเอียดลออหมดแล้ว
เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องพิสูจน์ความจริงทางองค์ประกอบทั้งหมดเลย ทางกาย ทางใจ สรุปไว้ทั้งทางกาย ทางใจ ชัดเจนแล้ว ผู้รู้ก็มาปฏิบัติธรรมในรูปมีนามมีการมีจิตปฏิบัติธรรมไปจนกระทั่งบรรลุกายจนกระทั่งไม่มีกาย ไม่มีกายคืออย่างไรตามธรรมะนิยาม 5 ก็อธิบายแล้ว ทำให้เป็นอุตุ ทำให้เป็นพืช
อุตุหมายความว่าแยกธาตุไปหมด ถ้าจิต พืชหรือ พีชะ ก็หมายความว่าไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่มีเวทนาทุกข์สุขแล้วมีแต่สัญญากับสังขารเป็นต้น หรือองค์รวมแล้วทำเป็น อุตุได้ พีชะได้ ด้วยกรรม แล้วทรงไว้เป็นธรรมะ รักษาสภาพของสิ่งที่ทรงไว้สิ่งที่ทำได้
โดยแยกอาการที่เกี่ยวข้องกับโลกเป็นอุตุ หมายความว่าเราก็อาศัยมันดิน น้ำ ไฟ ลม แต่มันไม่เป็นชีวะอะไร มาเป็นชีวะไม่ทุกข์ไม่สุขเป็นพืช แล้วเราก็เป็นชีวะขั้นจิตนิยาม ที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขได้แล้ว คุณก็เป็นอรหันต์ ด้วยกรรมด้วยธรรมะทั้งนั้น ที่ทำ ที่ประพฤติ นี่สรุปแล้ว ต่อมาคุณ
เกิดมาเพื่ออะไร 2 นัย
_Ka Por กะป้อ . เกิดมาเพื่ออะไร?
พ่อครูว่า… เกิดมาเพื่ออะไร อาตมาเคยพูดแต่จะไม่พูดอันที่เคยพูดนะ วันนี้จะพูดใหม่ เกิดมาเพื่ออะไร เพื่อวนเวียนอยู่กับสุขทุกข์เพราะอวิชชา นี่ 1 เกิดมาคุณก็อวิชชาวนเวียนอยู่กับทุกๆชาติแล้วชาติเล่า สะสมกรรมวิบากก็ทุกข์ก็สุขไปตามกรรมวิบากของคุณ
อีกอันหนึ่งเกิดมาเพื่อเลิกวนเวียนอยู่กับสุขกับทุกข์ เมื่อมีวิชชา หรือคุณต้องมีวิชชา เกิดมาเพื่อจะต้องมีวิชชาที่จะเลิกสุข เลิกทุกข์ เพราะฉะนั้นตัวที่เป็นวิชชาหรือปัญญาที่จะเลิกสุขเลิกทุกข์ก็คือมีปัญญา ปัญญาที่จะเลิกสุขเลิกทุกข์ เมื่อเลิกสุขเลิกทุกข์คุณก็เลิกเกิด เช่นคุณไม่เอาแล้วสุขทุกอย่างอบายมุข ชัดเจนแล้วเราชีวิตนี้ไม่เป็นรสเป็นชาติไม่ยินดียินร้ายกับคุณ คุณก็เป็นของคุณ อบายมุขก็มีเต็มที่ คุณก็จมอยู่ในอบายมุขเช่นคนเขาฆ่ากันเต็มที่ก็เป็นอบาย เขาเต้นแรงเต้นกาสุดฤทธิ์สุดเดชก็เป็นอันนี้อบายมุขของเขา หลงใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) หลงแย่งชิง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หยาบๆ อบายมุขทั้งนั้นเราไม่เอาแล้ว เราก็ต้องรู้ของเราว่าเราเลิกเกิดแล้วในโลก เป็นอันไม่ต้องแย่งต้องชิงไม่ต้องสุขต้องทุกข์ คุณก็ตัดรอบทิ้งโลกที่มันดับหรือมันหยาบ ออกมาได้เรื่อยๆ คุณก็ต้องรู้ว่าคุณไม่เกิดอย่างนั้นอีก เมื่อได้จริงในจิต ความรู้หรือปัญญานั่นแหละ ตายอีกชาติหน้าเป็นปัญญามันก็จะไปกับจิตของคุณ อัตภาพของคุณที่เกิดชาติหน้า อาจจะถูกโลกครอบงำ ลิงลมอมข้าวพองบ้างตามบารมีเสร็จแล้วคุณก็เอาอีกเลิกแล้วรู้ตัวมันก็เลิกจากโลกโลกีย์ครอบงำ แล้วก็มาอยู่กับหมู่ที่ไม่ต้องยุ่งอย่างงั้นแล้วมีหมู่
เพราะฉะนั้นมันก็ค่อยเป็นระดับระดับอย่างนี้ขึ้นไปเรื่อยๆ สรุปแล้วเกิดมาเพื่อวนเวียนอยู่กับสุขทุกข์ เอาเป็นเอกเลยสุขทุกข์
คำว่า สุข ตัวนี้แหละยิ่งใหญ่มากเดี๋ยวฟังคติจะสมาบัติที่อาตมาขยายความเรื่องส่วนตัวการตัวผีร้าย ตัวจอมมายาใหญ่
เกิดมาเพื่ออะไรก็คือเกิดมาเพื่อวนเวียนกับเกิดมาเพื่อเลิกวนเวียน สรุปแค่นี้แหละ เพราะฉะนั้นคุณยังไม่รู้ความจริงว่าคุณจะวนเวียนไปทำไม เลิกวนเลิกเวียน ถ้าสลายธาตุได้ไม่ต้องวนเวียนอยู่ในกาละมาเป็นสัตว์โลกได้ มาเป็นคนก็ตาม มนุษย์ก็ตาม
_สู่แดนธรรม… มองในมุมพ่อท่าน วนเวียนอย่างนี้จะดีกว่าหรือไม่ครับ คือวนเวียนทำบารมีให้มันเต็มเปี่ยม
พ่อครูว่า… คุณก็เลิกอย่างนี้ให้ได้ก่อนสิแล้วคุณจะมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 5 6 7 ไปตามลำดับ คุณเป็นโพธิสัตว์ระดับ 4 ก่อน
หรือว่าพระโพธิสัตว์บางทีต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานบางตัว เพื่อจะได้รู้ว่าในโลกอย่างนั้นมันเป็นยังไง ไปติดไปยึดเป็นยังไงอย่างนี้ สัตว์เดรัจฉานแบบนี้ ซึ่งมันก็หยาบ เพราะฉะนั้นโพธิสัตว์ก็ไม่ต้องเกิดเป็นเดรัจฉานมากหรอก ก็เกิดเป็นคนเป็นแบบคนอื่นก็ต้องเกิดเป็นเขาบ้าง แล้วมันจะรู้ว่าลักษณะหรือมิติ หรือนัยยะต่างๆของคนนี้มันติดอยู่นัยยะอย่างนี้อยู่ในมิติอย่างนี้อยู่ในมุมอย่างนี้อยู่ในเหลี่ยมอย่างนี้ ก็จะชัดเจนขึ้นไปตามจริง สรุปแล้วก็เลิกวน ชัดเจนทุกอย่าง
นักร้องรับลาภจากแม่ยกเป็นบาปหรือไม่
_กระถิน . เรียนสอบถามพ่อครูว่า นักร้องลูกทุ่ง คนเล่นลิเก แล้วมีแม่ยกให้เงินทอง ให้บ้าน ให้รถ นักร้องรับสิ่งของเหล่านี้จากแม่ยก แม่ยกก็ให้ด้วยความเต็มใจ สอบถามว่า นักร้องหรือลิเกรับแล้วจะเป็นบาปไหมคะ(เขาให้ด้วยความเต็มใจ)
พ่อครูว่า… บาปไหม? มันเป็นความผูกพัน ถ้าคุณยังมี สาเปกโข ปฏิพัทธจิตโต สันนิธิเปกโข มีปริภุญชิตสามีติ คุณก็ไปด้วยกันมาด้วยกันสัมพันธ์กันดีไม่ดี อย่าว่าเป็นนักร้อง แม่ยกเลยเดี๋ยวก็มาเป็นผัวเป็นเมีย เป็นลูก เป็นหลาน เป็นอะไรต่อกันอีกกี่ชาติต่อกี่ชาติ เหมือนกับที่วนเวียนที่ผ่านมา วนเวียนอยู่ในชาติที่หลง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ยกย่องเชิดชูอะไรๆกัน ปลาบปลื้มดูดดื่มกัน มันมาทางโรแมนติกอีสซึ่ม ไม่ใช่เรื่องของ ซาดิสซึ่ม
มาทางโรแมนติกนิซึ่ม หมายความว่ามาในทางดูดดึงผูกพันไม่ใช่แยกกันทะเลาะกันฆ่ากันทำลายกัน มันมี 2 สภาพซาดิสซึ่มกับโรแมนติกอีสซึ่ม มันไม่ใช่ อย่างนี้มันโรแมนติกลิซึม แม่ยกกับลิเกเป็นโรแมนติกอีสซึ่ม ตอบแค่นี้ก็น่าจะพอเป็นภาพดูดรุมกันชอบพอกันพัวพันไปกี่ชาติต่อกี่ชาติ อย่าไปต่อเลย เลิก
ปฏิบัติกับอาหารให้ถึงอรหันต์
_หนึ่งในหลาย . กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพค่ะ ขอถามปัญหาว่า ปฏิบัติเรื่องอาหาร จะทำให้เป็นอรหันต์ได้อย่างไร อาหารกับอรหันต์ มีความเชื่องโยงกันยังไง ถึงได้ทำให้เป็นอรหันต์ได้ ไม่เข้าใจเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… ใครฟังแล้วจะพออธิบายเขาได้ไหม ปฏิบัติอาหารกับอรหันต์ พวกเราก็คงพออธิบายได้แล้ว
มันเป็นยังไง อรหันต์ ยิ่งใหญ่มาก ในเรื่องการสัมผัส สัมผัสทางกายนี่ข้างนอก ต่อมาแยกละเอียดไปเป็นทางตา ต่อมาแยกละเอียดไปทางหู ละเอียดขึ้นไปอีกเป็นทางกลิ่น ละเอียดลับๆเข้าไปเลยเป็นทางลิ้น แล้วอีกอันก็ไปทางใจเลย นี่จะดูดดึงสัมผัส สัมพันธ์ติดยึดกันอยู่พวกนี้
เพราะฉะนั้น คุณรู้หยาบตั้งแต่ภายนอกรวมทั้งหมดเลยตั้งแต่ โผฏฐัพพะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย รวมทั้งหมดเป็น 5 แยกใจไว้เป็น 6 คุณก็เรียนรู้ความพวกนี้
ทีนี้ ลิ้นนี่ในสุด อาหารลิ้นนะเป็นหลัก รสอาหารนะ ใจก็ต้องมีกับลิ้น ใจก็ต้องมีกับกลิ่น ใจก็ต้องมีกับเสียง ใจก็ต้องมีกับตาแล้วก็มีการเกิดกิเลสในทุกทวาร
เพราะฉะนั้นคุณเรียนรู้ลิ้น พอจะเข้าใจขึ้นไหม มันรวมหนัก เข้าไว้หมดเลยทั้ง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) กับใจ กายที่คุณอมไว้ที่ปาก พอแตะลิ้นแล้ว ครบทั้งภายนอกหมดเลย
เพราะฉะนั้นมาเรียนรู้ที่ลิ้นนี่แหละอาศัยลิ้น อาหารคือการอาศัยเรียนรู้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ที่คุณติดคุณยึดคุณดูดคุณดึงไม่ยอมปล่อยมันมาก ถ้าคุณเลิกไม่ติดยึดทางนี้ได้หมด อรหันต์
เพราะฉะนั้นอาหารจึงเป็นหนึ่งในโลกทั้งที่จะทรงไว้ซึ่งร่างกายทั้งที่จะในการใช้ปฏิบัติธรรม อาหารนี่ ใช้ในการปฏิบัติธรรม อาหารคือ คำข้าว กวฬิงการาหารด้วย
_สู่แดนธรรม… ตัดรอบที่ไม่สุขไม่ทุกข์ในการกินการเคี้ยวใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… อันนั้นก็เป็นรอบที่ 1 จบกิจ หมดเวทนา สุข ทุกข์ ถือว่าจบกิจเป็นอรหันต์ตรงนี้ ลึกซึ้งเข้าไปอีกละเอียดถึงขั้นเป็นโพธิสัตว์ที่จะมีชั้นตอนของความจบกิจไปอีก กี่อย่างๆ จนกระทั่งสุดท้ายหมดรู้รอบ จบกิจอันสุดท้ายก็ทุกอย่างรู้แล้ว อยู่ในกาละ ยังไม่แยกไป ยังไม่จากไปแต่รู้ หรือคุณจะจากไปเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม จบกิจเป็นอรหันต์ขั้นที่ 1 คุณก็เลิกได้แล้ว พระพุทธเจ้าจึงเรียกว่าจบกิจจริงๆนี่ตรงอรหันต์ที่เลิกทำชีวิต แยกจิตธาตุ เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ไปได้ นี่คือจบกิจ ที่พระพุทธเจ้าตัดกรอบเอาไว้ให้เป็นอรหันต์ขั้นที่ 1
ส่วนอันอื่นๆอีกอาตมาก็อธิบายขยายความไปอยู่ ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นสรุปในประเด็นที่คุณหนึ่งในหลายถามมานี่ว่า อาหารกับอรหันต์ ทำไมมันปฏิบัติอาหารให้เป็นอรหันต์ได้ พอเข้าใจหรือยัง เพราะมันดับกิเลสได้จริงๆ
กิเลสดับหรือกิเลสไม่เกิด อาตมากำลังเขียนปฏิจจสมุปบาทอยู่ ตอนนี้เขียนจบแล้วล่ะไม่กี่หน้าหรอก ดูเหมือนจะไม่ถึง 50 หน้า อธิบายเน้นเรื่องชาติ เน้นเรื่องคำว่าชาติ คำว่าเกิด ซึ่งอาตมาหยิบเอาคำว่าชาติ 3 ประเด็นหลักๆ
-
ชาติที่ท่านอธิบายไว้ในชาติ 5 อย่าง ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ
-
ชาติที่เกิด ในการปฏิบัติ
-
ชาติที่เกิดใน ปฏิจจสมุปบาท
เพราะฉะนั้นคุณรู้อาการของการเกิดนี้ เข้าใจหลักเกณฑ์ว่าชาติ 5 คุณก็ปฏิบัติให้เป็น นิพพัตติ อภินิพพัตติ เข้าสู่โลกุตระให้ได้ คุณก็ปฏิบัติชาติทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นชาติในมุมไหนก็แล้วแต่ ที่มันเป็นการเกิดชาติ5 อาตมาก็ไม่ค่อยแม่น การเกิดชาติ 5
_สู่แดนธรรม… พ่อท่านหมายถึงการจบกิจ กาละและกรรมหรือไม่
พ่อครูว่า… อย่างนั้นก็อย่างหนึ่งจบกิจเป็นอรหันต์หมดสุขหมดทุกข์ เป็นโพธิสัตว์ เป็นกรรม เป็นกาล ใช้พยัญชนะสื่อสภาวะให้พวกเรารู้ว่าหมายถึงสภาวะได้ ก็พยายามว่าไปเรื่อยๆ
ตอนนี้ปฏิจจสมุปบาทก็กำลังเอามาอธิบายต่อนี่ ไม่ได้อ่านเลยวันนี้เวลาจะหมดแล้ว
_ลูกนิรนาม . กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งเจ้าค่ะ ลูกมีเรื่องข้องใจ จึงขอความเมตตาจากพ่อให้ไขข้อข้องใจ ให้อาการติดสุขที่ได้อยู่บ้านราชฯ ใครถามกี่ครั้งก็บอกได้อย่างเดียวว่า ดีงาม ใครถามว่า จะกลับบ้านเมื่อไร ก็ได้แต่ตอบว่า ไม่มีอนาคตค่ะ ชาติต้องการเมื่อไรและเราช่วยได้จริงๆ ก็กลับ (หมายถึงพ่อแม่) ก็ไม่เคยคิดจะหาเรื่องกลับ ตั้งใจจะฝากชีวิตไว้ที่บ้านราชฯ จะไม่ถอยแม้ครึ่งเม็ดงา
แต่มาระลึกได้ เมื่อฟัง สม.กล้าข้ามฝันเทศน์ว่า สุขแบบไหน เคหสิตะ (เอากิเลสเข้าตัว) หรือเนกขัมสิตะ (เอากิเลสออกจากตัว) ลูกก็เลยแทบหน้าคะมำ ตายๆๆๆ ฉันสุขแบบไหนเนี่ย (เรื่องทุกข์มันเห็นได้ง่าย เจออยู่เรื่อยๆ ค่ะ ก็เรียนรู้มันให้ถึงกึ๋นเลย) ซึ่งอาการมันสุขเหมือนกันเลย
แม้ลูกเจอตัวกิเลสลูกก็มีความสุขที่เห็นมันและพยายามพากเพียรล้างมันออก ได้บ้างไม่ได้บ้างสลับกันไป ก็เลยต้องทำการ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ (ตั้งแต่ชาติที่เข้ามาบ้านราชฯ ครั้งแรก จนถึงก่อนหน้าจะเขียนจดหมายน้อยหาพ่อ) ก็ได้พบว่า มันมีทั้ง 2 แบบเลย ซึ่งทั้ง 2 แบบมันดีงาม หล่อเลี้ยงจิตใจและขัดเกลากิเลสเราด้วย โดยผ่านผัสสะแบบที่พ่อบอก และอ่านเวทนาให้ออกว่ามันเป็นสุขหรือทุกข์ เอาเข้ามาหรือเอาออก
อยากบอกว่ามัน…มันสสสสส์ มากค่ะ ถ้าไม่ได้รู้คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ถูกตรงโดยพ่อนำมาขยายความ การปฏิบัติธรรมอาจไม่สนุกแบบนี้ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ขม ฝาด เบื่อ เมา เผ็ด….ครบทุกรส
ซึ่งเรื่องหัวไชเท้ามันอ่านง่าย เพราะเป็นตัวที่ลูกไม่ชอบใจและผลัก ทำให้พอจะเทียบสภาวะได้บ้าง แต่เรื่องอื่นๆ นั้นลูกยังไม่เคยเอาสภาวะมาเทียบกับพยัญชนะเจ้าค่ะ ลูกยังจำพยัญชนะไม่ค่อยได้ และบางทีเทียบแล้วก็ไม่แน่ใจว่าเรากำลังเฉโกหรือเปล่าหว่า?
รายงานต่อเรื่องหัวไชเท้า ตอนนี้กินได้อย่างเป็นปกติไม่ดูด ไม่ผลัก แต่เพื่อความมั่นใจว่าไม่ได้ถูกกิเลสเล่นเล่ห์ เลยกินอยู่เรื่อยๆ ลองหลายๆ เมนูที่มีหัวไชเท้า สงสัยทดสอบไปจนชีวิตจะหาไม่ค่ะ ตกลงจะถามอะไรพ่อนะ! อ่อ…ไอ้อาการที่เล่ามาทั้งหมดคร่าวๆ จะเรียกว่าอะไรดีคะ ? กราบรายงานพ่อเท่านี้เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… โอ้โห ยากเนาะตามอาตมาว่าจะเรียกอะไรดีหว่า
_สู่แดนธรรม… ผมยังจับประเด็นเขาไม่ได้เลยครับ เรื่องเอาเข้าเรื่องเอาออกนี่แหละครับ
พ่อครูว่า… ดีเข้าใจใช่ศัพท์คำว่าเข้าออกให้ก็ได้ คือเข้ามาก็ดูดลืมเอาออกเข้าผลไป แล้วคนเราจะเอาออกหรือเอาเข้า ก็เอาออก เนกขัมสิตะ อย่างเดียว เพราะฉะนั้นเอาออกได้ ก็รู้ว่ามันหลุดไปจากเราออกได้แล้ว แต่มันต้องสัมผัส ออกได้แล้วจิตเราไม่ผลักไม่ดูด ใจเราเป็นกลาง ถ้ามันสมควรจะรับไว้จะกินว่างั้นเถอะ พูดถึงกินก็กิน ถ้าไม่รับไว้จะไม่กินก็ไม่กิน อันอื่นแทนได้ ทั้งนั้นแหละ แทนกันไม่หมดมันอยู่ที่อะไรจะรับหรือไม่รับอยู่เท่านี้
_ธรรมดา งามพงศ์ . กราบนมัสการถามพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง
-
นางกีสาโคตมี ที่ลูกตายแล้วเดินหาเม็ดผัก จากบ้านที่ไม่เคยมีคนตาย ตามคำพระพุทธองค์ แล้วบรรลุธรรมได้ยังไงครับ ทั้งที่ไม่มีข้อธรรมใดๆ สอนจากพระองค์เลย หรือความจริง (เช่น กล้วย) สอนอธิบายยังไง ก็ไม่ใช่ (กล้วย) ของจริง ต้องกินจึงจะรู้จัก เข้าใจ ความจริง, ความรู้, ปราศจากชื่อ ปฏาจารา อมราปาลี พาหิยะ ฯลฯ ก็คล้ายกัน ใช่ อาจสร้างบารมีมาชาติก่อนๆ แล้วจะเข้าใจยังไงล่ะ ถ้าไม่พินิจ เหตุและผลในชาติปัจจุบัน
พ่อครูว่า… ถูกต้อง อาตมาอ่านภาษาของคุณแล้วก็พอเข้าใจว่าหมายถึงอะไร คนมีบารมีสัมผัสนิดเดียวก็เข้าใจแล้วกับบรรลุธรรมแล้ว ก็ใช้อันนั้น อย่างพระพุทธเจ้าท่านหยั่งรู้ใจก็เอาพวกนี้ของแต่ละคนมาให้ทำ บางคนก็มาถูผ้า ถูผ้าไปหน่อยก็บรรลุอรหันต์อย่างนี้เป็น คนได้ฟังธรรมะ 4 ประโยคก็บรรลุอรหันต์ เป็นต้น คนนั้นต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้เป็นต้น มันก็เป็นจุดที่ข้องใจเป็นจุดที่จะสามารถเปิดให้ดูได้ ซึ่งไอ้อย่างนี้เป็นเรื่องอธิบายยากเป็นอจินไตเหมือนกัน
สรุปแล้วคนไหนก็แล้วแต่ก็ดูของตนเอง ว่าอันนี้น่าจะทำให้เราหายข้องใจหรือว่าปลด ความสงสัย เปิดโลกเปิดอัตตา เปิดความรู้ว่างแจ้งเลย จะมีแต่ละคนของใครก็จะรู้ ตั้งแต่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) หรือกามภพ รูปภพ อรูปภพ
สัจธรรมเหนือกว่าคุณธรรม
-
โศลกนี้ ช่วยให้เห็นธรรมไหม?
เมื่อสูญเสียความจริงก็เกิดสัจธรรม
เมื่อสูญเสียสัจธรรมก็เกิดคุณธรรม
เมื่อสูญเสียคุณธรรมก็เกิดมนุษยธรรม
เมื่อสูญเสียมนุษยธรรมก็เกิดศีลธรรม
เมื่อสูญเสียศีลธรรมก็เกิดพิธีกรรม
พ่อครูว่า… ได้นะอาตมาก็เข้าใจได้ สรุปทุกวันนี้สูญเสียสัจธรรมความจริงจึงมีแต่พิธีกรรม ศาสนาพุทธทุกวันนี้ความจริงไม่มีแล้วผิด สูญเสียความจริง
ใช้คำว่า คุณธรรมนี้เป็นโลกีย์แล้ว การรู้จักกิเลสมันเหนือกว่าคุณธรรมเท่านั้น การรู้จักกิเลสกิเลสลด กิเลสมันสลายไปไม่ใช่สร้างขึ้น คุณธรรมเป็นโลกีย์เป็นกุศล เมื่อสูญเสียกุศลเข้าไปเอามนุษยธรรม ซึ่งสมมุติเกินไปตามมนุษย์ ที่จะสมมุติว่าอันนี้เป็นคนทำอันนี้เป็นดีอันนี้เป็นชั่วมันไม่ใช่โลกุตระแล้วนะเป็นโลกีย์ สมมุติตามมนุษย์
เมื่อสูญเสียมนุษยธรรมก็สูญเสียศีลธรรม อาตดูคำอธิบายอาจารย์ทางอิสลามมีเยอะ ฟังเขาอธิบายบ่อยแต่ละอาจารย์ เพื่อที่จะทำความเข้าใจมุมเหลี่ยมที่ ศาสนาเขาเข้าใจ มันเป็นหลักการหรืทอหลักเกณฑ์อย่างพระเจ้า ได้มีคำสอน ระบุทั้งหัวข้อภาษาพยัญชนะไว้หมดเลยในคัมภีร์ เอาล่ะอิสลามเขามีคัมภีร์อัลกุรอาน แล้วอย่าผิดนะ เรียกว่าข้อจะเรียกว่าศีลก็ไม่ใช่ทีเดียวมันเป็นข้อเลย ศีลของพระพุทธเจ้านั้นลึกซึ้ง ไม่ได้บังคับและมีขั้นตอนอะไรเยอะ แต่ของเขานี้เป๊ะๆหมดเลย
ทุกวันนี้ไม่มีศีลแล้ว ตอนนี้ศาสนาพุทธมีแต่วินัยไว้บ้างห้อยหูไม่เอาจริง ปาราชิกสังฆาทิเสสเละกันอยู่ในโน้น ไม่ต้องไปว่ากันมาก เหลือแต่พิธีกรรมเพราะฉะนั้นศาสนาพุทธทุกวันนี้เหลือแต่อาศัยพิธีกรรมเท่านั้นทำกับทั้งสังคม รักษาฐานะของตัวเองด้วยพิธีกรรม ทำกับทุกคน มนุษย์ทุกคน และทำรักษาสถานะของตัวเองด้วยการเป็นเจ้าพิธีกรรม เป็น MC ว่างั้นเถอะ Master of Ceremony เป็นเจ้าพิธีกรรมอยู่เท่านี้ นี่คือศาสนาพุทธทุกวันนี้อยู่เท่านี้ ถ้าไม่มีพิธีกรรมเสียอย่างเดียวศาสนาพุทธไม่เหลือแล้วทุกวันนี้
-
คนส่วนใหญ่ฟังแล้วเชื่อเลย จึงเข้าใจคำพระพุทธองค์ไม่ได้ จริงไหมครับ
พ่อครูว่า… คนที่มีลักษณะง่ายๆฟังแล้วก็เชื่อ ไม่มีปัญญา ไม่มีการพิจารณา ไม่มีการวิเคราะห์วิจัยอะไร เชื่อเลยอย่างนี้ เป็นฟังธรรมพระพุทธองค์ไม่ได้ แต่ว่าใช่ก็ใช่ เพราะของพระพุทธเจ้าต้องวิจัยพิจารณาไตร่ตรองและเอามาเทียบเคียงข้างรูปทั้งนามทั้งที่เราเกี่ยวข้องสัมผัสแล้วเกิดผล เกิดอะไรเยอะ
พระเจ้า GOD กฎธรรมชาติ คือสิ่งเดียวกัน
-
พระเจ้า GOD กฎธรรมชาติ คือสิ่งเดียวกัน แต่ชื่อ การเรียกต่างกันใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… ใช่ คุณถามมาแค่นี้ มันเป็นอันเดียวกัน
คำว่า ธรรมชาติมีการเกิดของชาติอยู่ในนี้ด้วย อาตมาเคยวิเคราะห์ข้อนี้ ท่านพุทธทาสบอกว่าธรรมะคือธรรมชาติ อาตมาก็บอกว่า แค่พยัญชนะนั้น ท่านก็บอกว่า x = x y ธรรมะกับธรรมชาติ ธรรมะคือ x ธรรมชาติ คือ X กับ Y มันจะอันเดียวกันได้ยังไงถ้าโมเมบอกว่าธรรมะคือธรรมชาติ X = x y นี่แหละคือยังไม่เข้าใจ มันก็จะไปสรุปกันได้ยังไง มันได้ยังไง 1 ก็คือ 1 สิ 2 ก็คือ 2 สิ แยกให้ออก นี่หมายถึงอะไร ถ้าจะอธิบายว่ามันมารวมกันเป็น 2 ก็ทำยังไงมันจะเป็น เคยอธิบายแล้วทำเวทนา 2 ให้เป็น 1 ของศาสนาพระพุทธเจ้าก็ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
_สู่แดนธรรม… พ่อท่านเคยบอกว่าธรรมชาติมีชาติคือการเกิดอยู่ แต่ธรรมะไม่มีการเกิดก็ได้
พ่อครูว่า… ใช่ ธรรมะมีการเกิดหรือไม่มีการเกิดก็ได้เมื่อบรรลุแล้วจะเกิดผลไม่เกิดก็ได้ถึงขั้นไม่มีชาติได้แล้ว เพราะฉะนั้นคุณยังทำความไม่มีชาติไม่ได้ ผมก็โมเมไปว่าธรรมะคือธรรมชาติ คนคนนี้ก็ยังบอกตัวเองอยู่ว่า แจ้งเกิดอยู่นะเพราะยังเป็นธรรมชาติ ธรรมะก็คือเกิดทั้งหมด เมื่อสิ่งทั้งหมดของคุณก็ยังเกิดอยู่ ธรรมะคือธรรมชาติ คือสิ่งทั้งหมดยังเกิดอยู่ คุณก็คือยังเกิดอยู่ คุณก็ยังไม่ดับ คุณยังมีชาติ เพราะฉะนั้นธรรมะที่สูงเป็นโลกุตระ มีดับไม่มีชาติ เป็น 2 หรือเป็นองค์เดียวก็ได้
กิเลส อัตตา อันไหนเห็นยากกว่า
-
กิเลส อัตตา อันไหนเห็นยากกว่า อันไหนปิดใจ ปิดทาง กว่ากันครับ