670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1SiUAvvOZp0M1KQS1bGIuxvDQjfPFwvEg/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/18ZtWe6_-WqeJbm5vZayHpDc9okz78Mpp/view?usp=sharing
และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/l88ie790dko/episodes/670126-108-1–8–_1-e2evh47
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/hj4gsoWqj40
และ https://fb.watch/pPiTh80yhq/
มีซับ
_สู่แดนธรรม..วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2567 แรม 1 ค่ำเดือนยี่ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก หลายคนคอยติดตามว่าเมื่อไหร่พ่อท่านจะมาแสดงธรรมสักที คราวที่แล้วเมื่อวันพุธที่ 17 มกราคม เว้นไปแล้ว 3 ครั้ง เนื่องจากมีอาการป่วย รวมถึงวันนี้ก็ 18 วัน ป่วยเป็นทั้งโควิดและก็มีอาการไข้หวัดผสมผสานกัน จนกระทั่งท่านแสนดินตั้งชื่อให้ใหม่ว่าเป็นโคหวัด วันนี้พ่อท่านก็บอกว่าจะมาแสดงธรรมให้ฟัง ผมก็พยายามจะพาไปอย่างไม่เร่งครับ
ผมศึกษากับพ่อท่านมาหลายปี ได้รับความประทับใจในคำสอนของพ่อท่าน พูดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณของพวกเรา มันควรจะเปลี่ยนแปลงไปจนกระทั่งถึงยีน มันเป็นการเปลี่ยนสัญชาตญาณของจิตวิญญาณ อย่างพวกเรามีความเมตตาไม่เบียดเบียน สัตว์โลกที่อยู่เป็นเพื่อนกับเรา พวกนกเขาพวกปลาสวาย เขาก็รับกระแสนี้ได้ เขาไม่กลัวพวกเรา เขารู้สึกว่าเขาปลอดภัย
แม้แต่เด็กๆที่โตมาในชุมชน ตั้งแต่ผมเห็นเขาตอนเด็กตอนนี้เขาอยู่ม. 5 กันแล้ว เขาไปที่สนามบินกองบิน 21 วันเด็ก เขาประกาศให้แข่งขันชิงรางวัล แต่เด็กของเราแย่งชิงกับเขาไม่ได้เลยถูกเขาเรียนออกมา แต่พอโฆษกบอกว่าใครอยากได้รางวัลให้ไปเก็บขยะมาแลก เด็กพวกเราพากันเก็บขยะด้วยความสนุกมาแลกรางวัล สังเกตดูเด็กชาวบ้านเขาไม่กระดิกเลย ไม่รู้สึกว่าจะต้องไปเก็บขยะมาแลกทำไม นี่คือคำสอนของพ่อท่านที่สอนถึงขั้นยีนของวิญญาณเปลี่ยนแปลงไป
ผู้ใหญ่ของเราก็เหมือนกันได้ฝึกมาเป็นคนจนมหัศจรรย์ ยีนเหล่านี้ก็จะตายเทถึงลูกถึงหลาน กราบนิมนต์พ่อท่านเข้าสู่รายการได้เลยครับ
พ่อครูจบกิจ แบบยังไม่หายไปจากกาละ
พ่อครูว่า… เจริญธรรมทุกคน ไม่ได้ออกอากาศมากว่า 10 วันนะ
_สู่แดนธรรม… ป่วยอยู่ 18 วันครับ ไม่ได้ออกอากาศมา 3 ครั้ง
พ่อครูว่า… ไม่เป็นไร ยังออกได้อยู่ก็ดีอยู่ ไม่งั้นก็จะหายไปจาก กาละ ช่วงใดช่วงหนึ่งนี่ก็ยังอยู่ในกาละอยู่ ยังไม่ได้หลุดออกจากกาละ ยังอยู่ในเดือนในวันในปีของความหมุนเวียนของกาละอยู่ ยังไม่หายไปหลายปี แล้วค่อยมาเกิดเป็นเด็กใหม่ แล้วก็ค่อยโตขึ้นมา
การหมุนเวียนของทุกอย่าง ถ้ามันไม่มีการทำความจบ จบกิจ ตามศัพท์ของพระพุทธเจ้าเป็นภาษาไทยว่า จบกิจ ถ้าตาม ภาษาบาลีบอกว่า กตํ กรณียํ ถ้าไม่มีการจบกิจ มันไม่จบหรอก มันจะวนเวียนอยู่อย่างนั้น ซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้งเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในการที่จะได้เกิดมาเป็นชีวะในระดับสัตว์ ชีวะระดับจิตนิยาม ซึ่งอาตมาก็อธิบายไปเยอะแล้ว จะไม่มีทางสิ้นสุดได้ง่ายๆโดยตัวเองโดยธรรมชาติไม่ง่าย จะต้องได้พบพระพุทธเจ้าหรือได้ฟังสัตบุรุษหรือผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ เอาคำสอนโลกุตรธรรมมาพูดให้ฟัง ได้รับคำสอนแบบใหม่ โลกุตรธรรมเป็นธรรมะแบบใหม่ ที่ไม่เหมือนโลกียธรรม
โลกธรรมชาติส่วนธรรมดาๆสามัญ จะมีแต่ความรู้แบบเดิม แบบหมุนซ้ายไปขวา ๆ วนไปในทางนั้น ทั้งนั้นๆๆๆ กี่กัปกี่กัณฑ์มาแล้ว แม้โลกลูกนี้จะอยู่ไปอีกหลายล้านปี จักรวาลนี้จะอยู่ไปอีกกี่ล้านปี โลกก็จะหมุนเวียนอยู่ไปทางซ้ายไปขวาอยู่ จะไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นสามารถที่จะทวนกระแส ทวนเป็นขวามาซ้าย ขวามาซ้ายก็ได้แต่เฉพาะนามธรรมด้วย ได้เฉพาะแต่เรื่องจิตวิญญาณ พาทวนกระแสนี้ จึงสามารถปิดฉากไปถึงที่ขีดที่ชนกัน แล้วจบ เลิก สลาย หาย
เพราะฉะนั้นธาตุรู้ที่มีจิตวิญญาณก็สามารถที่จะแยกธาตุ เป็นดินน้ำไฟลมไปเลยได้ นี่เป็นสุดยอดแห่งนักวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณ ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ในโลกนะ ยังไม่มีใครตัดสินหรอกอาตมาตัดสิน เพราะคนอื่นๆยังไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงอันนี้ แล้วตัดสินอันนี้ได้ เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจว่า พระพุทธเจ้านั้นแยกธาตุจิตวิญญาณเป็นดินน้ำไฟลมออกไป ไปได้เลย
แยกธาตุจิตนิยามเป็นธาตุอุตุนิยาม พูดให้ไปเข้าตัวภาษาวิชาการ สามารถแยกธาตุจิตนิยาม สลายแตกออกไปเป็นอุตุนิยาม คือเป็นดินน้ำไฟลมไป นี่แหละสุดยิ่งใหญ่ เป็นสุดยิ่งใหญ่
แตกสลายแล้วกลายเป็นปรินิพพานเรียกด้วยศัพท์ว่า ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แตกสลายแล้วก็เอากลับคืนมาอีกไม่ได้แล้วนะทีนี้ ถ้าแตกสลายสุดท้ายที่ตัดสินใจ เจ้าตัวตัดสินใจจบกิจ โดยการตาย แตกสลายธาตุจิตวิญญาณของตัวเอง สูญสลายหายไป อย่างพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เป็นต้น
พระพุทธเจ้าสร้างศาสนาเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งแล้ว แล้วเสร็จจากชาติที่ประกาศศาสนาแล้วก็ตาย พระพุทธเจ้าก็ตายหรือทำ กาละ สิ้นชีพ แยกธาตุ กายัสสะ เภทา ปรัมมรณา สลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย อาตมาก็ได้พูดมาตลอดเวลา
_สู่แดนธรรม… ผมสังเกตดูว่าระยะหลังๆพ่อท่านมักจะพูดเน้นแต่สิ่งเหล่านี้นะครับ เหมือนกับที่ท่านสมณะเดินดินพูดกับผมว่าพ่อท่านพยายามเน้นสู่กันเรื่องนี้อย่างสำคัญทีเดียว เหมือนกับพ่อท่านเป็นห่วงว่าพวกเราจะไม่ได้สิ่งเหล่านี้เป็นแก่นสารสาระหรือไม่ครับ
พ่อครูว่า… มันต้องถ้วนทั่วเน้นให้รู้ว่า มันมีจบอย่างชนิดที่จบอย่างไม่ฟื้นแล้วนะ เพราะฉะนั้นมันก็จะต้องชัดเจน
อาตมาไม่ได้เทศน์เสียนาน sms ดินพอกหางหมูมาเสีย
SMS วันที่ 17 – 18 มกราคม 2567
อ่านความทุกข์ได้ในตนคือเริ่มต้นฉลาดแท้
_นภารัตน์ อิ่มรัง . ทุกข์แท้หนอชีวิต
พ่อครูว่า… คนที่สามารถมีความรู้สึกในตัวเองได้ว่ามันเป็นทุกข์คนนั้นเริ่มดีแล้ว อ่าน อาการที่รู้สึกว่าทุกข์นั้นให้ได้ ทุกข์นี่ จริงๆพระพุทธเจ้าตรัสไว้เลยว่าเป็นอริยสัจ แต่ถ้าสุขนี้ท่านตรัสว่าเป็น สุขัลลิกะ ผู้นี้เป็นอริยสัจ เป็นสัจจะของผู้ประเสริฐ ผู้ฉลาดที่สามารถล่วงรู้ว่านี่มันเป็นทุกข์ ดี พยายามติดตามเมื่อคุณเองอุทานแล้วรู้สึกอย่างนี้ ติดตามรายการ ติดตามพวกเรานี่แหละชาวอโศก ติดตามธรรมะพวกเราดีๆ จะช่วยได้เยอะ
ใช้อนุปัสสี 4 เพื่อละอวิชชา 8
_สว่างแสง ขวัญดาว . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ พ่อครูคะในอวิชชา ๘ ข้อ ๕ ว่าไม่รู้ในส่วนอดีตที่ไม่เที่ยง
พ่อครูว่า… จริงๆต้องพูดให้เต็มว่า อวิชชาสวะ 8 มีอาสวะด้วย ซึ่งมันต่างกัน อวิชชา 8 มันก็อย่างหนึ่ง อวิชชาสวะ 8 มันก็อีกอย่างนึงจะต่างกัน
_ข้อ ๖ ว่าไม่รู้ในส่วนอนาคตที่ไม่เที่ยง ดังนี้ลูกไม่มั่นใจว่าหากเราได้ปฏิบัติอนุปัสสี ๔ ข้อ ๑ คืออนิจจานุปัสสีเห็นความไม่เที่ยง แล้วเราจะพ้นความเป็นผู้ไม้รู้ในอวิชชา ๘ ข้อ ๕ กับ ข้อ ๖ ได้ไหมคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูสุดเศียรสุดเกล้าค่ะ
พ่อครูว่า… อนุปัสสี ข้อที่ 1 อนิจจานุปัสสีตามเห็นความไม่เที่ยง อนุปัสสี 4 มันมี
-
ตามเห็นความไม่เที่ยง 2. ตามเห็นความจางคลาย วิราคานุปัสสี 3. นิโรธานุปัสสี ตามเห็นความดับ 4. ตามเห็นปฏินิสสัคคานุปัสสิ ตามเห็นความทวนกลับไปกลับมาได้อย่างรอบถ้วนสลับไปสลับมาได้เป็นปฏินิสสัคคานุปัสสี
ก็คงจะไปหมายเอาอันนี้แหละ ข้อ 5 กับข้อ 6 ได้ไหม เอาทีละข้อสิเพราะมันต่างกัน ถ้าไม่ต่างกันท่านจะแยกข้อไปทำไมล่ะ มันต่างกันก็เอาทีละข้อ
ตามเห็นความไม่เที่ยงก็ยังนึกตามเห็นความจางคลายก็อย่างหนึ่ง ตามเห็นความดับก็อีกอย่างหนึ่ง
ข้อ 5 ของอวิชชา 8 ไม่รู้ในส่วนอดีต
อธิบาย กาละ 3 อวิชชาสวะ 8
คือ 1.ไม่รู้..ทุกข์ (ทุกฺเข อญฺญาณํ) 2.ไม่รู้..ทุกขสมุทัย (ทุกฺขสมุทเย อญฺญาณํ) 3.ไม่รู้..ทุกขนิโรธ (ทุกฺขนิโรเธ อญฺญาณํ) 4. ไม่รู้..ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (มรรคมีองค์ 8) 5.ไม่รู้ในส่วนอดีต (ที่ไม่เที่ยง) ปุพพันเต อัญญาณัง 6.ไม่รู้ในส่วนอนาคต (ที่ไม่เที่ยง) อปรันเต อัญญาณัง 7.ไม่รู้ทั้งส่วนอดีต-ส่วนอนาคต (ไม่รู้สิ่งที่เที่ยงแท้เท่ากันหมดแล้ว)(ปุพพันตาปรันเต อัญญาณัง) 8.ไม่รู้ในธรรมทั้งหลาย ที่อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นห่วงโซ่แห่ง การเกิดทุกข์ หรือดับทุกข์ ตามหลักปฏิจจสมุปบาท (หรืออิทัปปัจจยตา) (พตปฎ. ล.34 ข.691 ว่าด้วย อกุศลเหตุของโมหะ)
พ่อครูว่า… ถึงที่ถามมานั้นมันไม่ได้เพราะมันต่างกัน ข้อ 5 กับข้อ 6 นี้ยังไม่เที่ยงอยู่ทั้งคู่ อดีตก็ไม่เที่ยง อนาคตก็ไม่เที่ยง เคยอธิบายแล้ว ที่ไม่เที่ยงเพราะอะไร ที่ไม่เที่ยงเพราะ ปัจจุบันของคุณยังไม่แข็งแรง เหตุปัจจัยเดินทางจากอนาคตมาสู่ปัจจุบันยังไม่ผ่านถึงอดีตนะ คุณสามารถมีกำลังอภิสังขาร มีความสามารถที่จะจัดการกับเหตุปัจจัยที่ขึ้นมาปรุงแต่ง ประสบกับคุณในขณะปัจจุบันนั่นแหละ คุณจะจัดการได้สำเร็จไหม สำเร็จหมายความว่าจัดการกับกิเลสให้มันดับสูญไป คุณจะจัดการกิเลสให้มันดับสูญไปไหม
ถ้าคุณสามารถทำได้ก็เกิดภาวะศูนย์ใช่ไหม เมื่อเกิดภาวะสูญ อนาคตผ่านมาถึงปัจจุบัน กิเลส 0 จิตของคุณก็สะอาด จิตสะอาดผ่านไปเป็นอดีต อดีตมีอยู่เท่าไหร่แต่ก่อนนี้ มันก็ไม่มีอะไรไปเติมอดีตอีกเพราะมันสูญ เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าปัจจุบันของคุณทำไม่สำเร็จ อดีตจะเปลี่ยนไหม
_สู่แดนธรรม… ไม่เที่ยงครับ
พ่อครูว่า… ถ้าคุณทำไม่สำเร็จ มันก็ไปผสมกับอดีตเหมือนเดิมอีกมันก็ไม่เที่ยง
อันต่อมาอันที่ 6 อนาคตแน่นอนอนาคตมันยิ่งไม่เที่ยงใหญ่ เพราะเรายังไม่รู้เลยว่ามันจะมามากมายแค่ไหน หากคุณจะเก่งทุกอย่างผ่านมาทุกปัจจุบันคุณจัดการได้เป็น 0 หรือยัง ถ้ายัง อะไรล่ะจะรับผิดชอบได้ว่า คุณจะจัดการให้ทุกอย่างผ่านไปเป็น 0 ได้ เพราะคุณยังไม่มีสมรรถนะเต็มที่เพียงพอ จนกว่าคุณจะมีสมรรถนะเต็มที่เพียงพอ ทุกอย่างมาจากอนาคตพอมาถึงปัจจุบัน รับรองได้ว่าคุณมีเป็นเพชฌฆาตเด็ดขาดกิเลส ตายเด็ดขาด ไม่ผ่านมือไปได้เพราะฉะนั้นอันที่ 5 ที่ 6 จึงต่างกันแน่
ทีนี้อันที่ 7 ทั้งอดีตและอนาคต ท่านไปรวมไว้อีก อาตมาเคยตั้งข้อสังเกตไว้ให้ฟังว่าพระพุทธเจ้าท่านแยกไปเป็นอีกข้อหนึ่ง อดีตกับอนาคตไปร่วมกัน อดีตท่านก็ตรัสไปแล้วอนาคตก็ตรัสไปแล้วแน่นอนก็มีคำอธิบายโดยปริยายไปแล้วแล้วจะไปพูดซ้ำซากอีกทำไม มันต้องมีนัยยะสำคัญที่ต่างกันแน่นอน
นั่นหมายความว่า เมื่อกี้พูดไปแล้วถ้าประสิทธิภาพของคุณยังไม่เด็ดขาดไม่เที่ยง แต่นี่เที่ยงแน่ข้อที่ 7 นี้เที่ยงแน่ประสิทธิภาพของคุณต้องเด็ดขาด ผ่านข้อที่ 7 นี้ประสิทธิภาพของคุณเด็ดขาดเที่ยงแน่หมายความว่าทั้งอดีตทั้งอนาคตไม่เหลือหรอ 0 แน่ 0 แน่ 0 อันนี้เป็นผลสำเร็จของผู้ที่จะประสบผลสำเร็จหรือจบกิจด้วย ถ้าไม่เช่นนั้นจะเรียกว่าคนนี้จบกิจไม่ได้ ตัวนี้ต้องผ่านตรงนี้ด้วยถึงจะเรียกว่าจบกิจ สามารถจัดการกิเลสได้เด็ดขาดทุกปัจจุบันที่ผ่านมา ไม่ใช่คนทำเป็นปล่อยปละละเลยกิเลสสั่งสมไปใส่อดีตแล้วจะเรียกว่าคนประสบผลสำเร็จได้อย่างไร บรรลุธรรมสูงสุดได้อย่างไรใช่ไหม มันเป็นอรหันต์ ไม่ได้
_สู่แดนธรรม… ผมเคยฟังข้อ 5 ของพ่อท่านบอกว่าความไม่รู้ความไม่เที่ยงของพระอรหันต์ท่านสามารถทำกุศลเพิ่มขึ้นได้อีก อันนี้คนที่ไม่รู้ก็ไม่รู้จริงๆว่ากุศลของพระอรหันต์ก็ไม่เที่ยง แต่เขาไม่รู้ก็เลยไม่รู้ในข้อที่ 5
พ่อครูว่า… ก็ไม่ต้องพูดต่อ คุณพูดเติมแล้ว ก็ชัดเจนแล้ว ความไม่เที่ยงแบบนั้นถ้าผ่านปัจจุบันแล้วก็กลายเป็นอดีตมันก็ไม่เที่ยง ส่วนอนาคตนั้นก็ไม่ต้องไปพูดถึงไม่ต้องอธิบาย ละเอาไว้
เพราะฉะนั้นก็ไปสรุปรวมตรงที่ เหมือนกับอริยสัจ 4 ก็รวมลงที่หลักการในการที่จะประพฤติปฏิบัติเพื่อบรรลุนิโรธ อันนี้ก็ฉันเดียวกัน ก็คือหลักการใหญ่ของปฏิจจสมุปบาททั้งหมด ในข้อที่ 8 ปฏิจจสมุปบาททั้งหมด สิ่งที่อาศัยกันเกิด
เพราะฉะนั้นผู้ที่จะบรรลุปฏิจจสมุปบาทสำเร็จจริงๆจึงไม่ใช่ผู้ที่มาพูดจ๋อยๆจำ 11 ข้อนี้ได้ก็พูดจ๋อยๆเก่ง มันไม่ทีเดียวหรอก มันต้องมีรายละเอียดให้ศึกษาดีๆ ต่อที่นี่เพิ่งจะได้ข้อเดียว ปาเข้าไป 20 กว่านาทีแล้ว
_ดาวแดนบุญ รุ่งไร่โคก . ท่านฟ้าไทเสียงแหบ หลอดลมอักเสบแล้วค่ะ ต้องฉันน้ำมะนาว+น้ำผึ้ง+เกลือนิดๆ น้ำอุ่นเรื่อยๆ ด้วยค่ะ..กราบ
พ่อครูว่า… ขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง ท่านฟ้าไทจะหายหรือยัง สูตรนี้เป็นสูตรโบราณ
_วิมล เจวรัมย์ . กราบขอบพระคุณ สิกขมาตุค่ะ ท่านแจกแจงกิเลสดิฉัน เหมือนเฉาะฝรั่งเลยค่ะ 6 โมงเตรียมฟังธรรมะ รื่นเริงในธรรมมากๆ ค่ะ
พ่อครูว่า… เอ้า..ฟังธรรมแล้วเอาไปทำ อย่าฟังธรรมแล้วเอาไปทิ้ง
อยู่ประเทศไทยสุขใจยิ่งเพราะมีโลกุตรธรรม
_สุตัน แก้วประโคน . ประเทศไทยสุขใจยิ่ง เป็นสุขนัก
พ่อครูว่า… คุณคนนี้อุทานซะ อาตมาก็พูดนะเรื่องนี้ว่าประเทศไทยเรานี้มันไม่มีใครเทียบหรอก แต่คนที่ไม่ค่อยรู้คนอวิชชา คนไม่มีความรู้อะไรถึงความจริงตามความเป็นจริง หรือว่าเป็นคนกิเลสหนา กิเลสไม่รู้จักหยุดดิ้นรนจะต้องอย่างนู้นอย่างนี้ เอาตัวเองมาได้มาเป็นมามีมาชนะคะคานก็บ้าไม่หยุดก็ว่าไป จริงๆแล้วอย่างที่คุณสุตตันนี้พูด ประเทศไทยสุขใจยิ่งนักเป็นสุนัข
ดูสิทุกวันนี้คร่าวๆทุกวันนี้ Globalization รู้หมดทุกอย่าง ให้เห็นชัดเจนเลยว่า ฆ่าแกงกันเป็นผักเป็นปลา อันนี้อาตมาก็เคยวิจัยเคยพูดแล้วว่าคนในระดับคนที่เป็นชาว มิลักขชน ชาวที่ยังเป็นคนเถื่อน อันนี้ขออภัยต้องพูดความจริง ไม่ได้ไปลงโทษไม่ได้ไปดูถูกดูแคลนชาวตะวันตก หรือว่าชาวเทวนิยม
ชาวเทวนิยมหรือชาวตะวันตกยังไม่ได้พ้นจากความเป็น มิลักขชน แม่ชาวตะวันออกกลางก็ยังไม่พ้นความเป็น มิลักขชน ยังไม่เข้าใจถึงชีวะ ศาสนาพุทธมีคำสอนถึงขั้นว่า อย่าทำให้ทาสจิตวิญญาณธาตุรู้ที่ได้พัฒนามา ตั้งแต่จากมหาภูตรูปขึ้นมาเป็น อหิจฺฉตฺตก พัฒนาขึ้นมาเป็น ชีวะ ในระดับจะเรียกชีวะก็ยังไม่จริงทีเดียวคือเหตุ เป็นเชื้อรา อหิจฺฉตฺตก จากนั้นจึงจะพัฒนาขึ้นมาเป็น ภูตคาม
ภูตคาม ยังไม่เคลื่อนที่จะเริ่มจะมีชีวะขึ้นมาแล้วเกาะตัวสัก 2 ตัวพัฒนาตัวขึ้นมา เป็นหัวเป็นกลุ่มเป็นก้อน จนกระทั่งมีใบมีกิ่งมีอะไรออกมา เป็น พีชคาม จากภูตคามเป็นพีชคาม แล้วถึงจะหลุดจากที่ที่ตัวเองเกาะอยู่ อย่างพืชนี้ยังเกาะอยู่กับที่ทั้งนั้น หลุดจากตัวนี้ไปออกไปเป็น เจตภูต
ฉะนั้นพลังงานในระดับเจตภูตจึงเป็นพลังงานที่อิสระขึ้นมาในตัวเอง เจตภูต
จากเจตภูต ก็เไปเป็นปาณะ เชื้อชีวิตพระพุทธเจ้าเริ่มจัดเชื้อชีวิตตรงนี้ อย่าทำให้เชื้อชีวิตของสัตว์โลกนี้ตกร่วง มันเจริญขึ้นมาพัฒนามาตั้งแต่ มหาภูตรูป มาถึงระดับนี้แล้ว มันเป็นสัตว์ที่มีธาตุที่จะจองเวรจองกรรม มีรักมีชัง เพราะฉะนั้นอย่าไปเกี่ยวข้องกับมัน อย่าไปเกี่ยวข้องอย่าไปทำอะไรเขา เราจะไปอยู่ในบ่วงเวรกับเขาเลย ติดเข้าไปเลยนะ ท่านจึงห้ามตั้งแต่บัดนั้น
จาก ปาณะ สูงขึ้นไปเป็นเจตสิก ก็ยิ่งแน่นอน เป็นอาการของจิตที่จะยิ่ง ผูกพันทั้งรักทั้งชัง แล้วจึงจะเกิดจิตระดับสัตตะ เจตสิกมาเป็นสัตตะ ใช้ตัวเลข 7 สัตตะ ยืนยันบอกขีดบอกขั้นบอกเขต เป็นชีวิตในระดับสัตว์
จากสัตตะ จึงจะเกิดมาเป็นจิตนิยาม มาเป็นจิต เป็นวิญญาณอะไรก็ได้ไล่ใหม่อีกที
เคยอธิบายละเอียดมาหลายที อาตมาก็ค่อยๆดึงเอาภาวะเดิม คือคำสอนหรือว่านัยยะสำคัญของเนื้อหาสาระของโลกุตรธรรมที่อาตมาเอามาบรรยาย ในยุคนี้อาตมาเป็นคนนำโลกุตระเข้ามาขยาย ยุคนี้ ขอยืนยันว่าอาตมา คำนี้จะเป็นคำใหญ่นะ อย่าเพิ่งหมั่นไส้อาตมา เป็นเจ้าของ อาตมาไม่เป็นเจ้าของหรือคุณธรรมยุคนี้แต่ทำไมไม่ใช่เจ้าของแท้หรอก อาตมาเป็นโพธิสัตว์สั่งสมตัวนี้ติดตัวเองเป็น สยังอภิญญา เป็นผู้มีมาเอง อย่างที่อาตมาก็ยืนยันตนเองว่าอาตมาไม่มีอาจารย์ เกิดมาชาตินี้ไม่มีครูไม่มีอาจารย์ มารู้เองแล้วแถมไม่ตรงกับอาจารย์ใหญ่ๆๆๆ ที่เขามีอยู่ทั้งหมด ไม่ตรง มันถึงได้ยาก มันถึงได้..โอ้โห.. นำพา
เพราะอาตมาบารมีชาตินี้ไม่มีอะไรรับรองเลย ไม่มีพรรคไม่มีพวก อาตมาจะพูดถึงเรื่องทางด้านโหราศาสตร์ต้องบอกว่า เป็นหมากลางตลาด ต้องหลบปังตอ ต้องหลบน้ำร้อน ต้องหลบไม้หน้าสาม หลบหากินไปตามประสา ไม่มีอะไรช่วย ต้องช่วยตัวเองเต็มที่เลย แล้วเอาอะไรมาช่วยตัวเองอีก ไม่มีอลังการอะไรเลย รูปไม่หล่อพ่อไม่รวย วิชาการไม่เคยมี ไม่มีเลย
เอาธรรมะแท้ๆ โลกุตรธรรมเพียวๆ มายืนยันตนเอง เอาโลกุตรธรรมแท้ๆ อาริยธรรมของพระพุทธเจ้ามายืนยันตัวเอง 53 ปีที่ออกมาทำหน้าที่จนป่านนี้ และอาตมาก็ว่า โอ้โห.. สุดเลย 53 ปีเหนื่อย พยายามลากสังขารไปเท่านั้น จะตายวันตายพรุ่งก็อย่าสงสัยเลยนะ เพราะอาตมาเองอาตมาพยายามเท่านั้น มันไม่หายใจวันไหนก็บอกว่าไปแล้วโพธิรักษ์ นี่ก็พูดด้วยจริงนะไม่ได้พูดเล่นลิ้นอะไร
_ป่ารุ่ง วนาศิริ . กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้า กระผม “ป่ารุ่ง” ชื่อทางธรรมที่พ่อท่านตั้งให้ ผ่านทางออนไลน์คนแรก(ไม่ทราบว่าพ่อท่านจะจำได้หรือป่าวครับ) มารายงานตัวครับ ยังติดตามฟังธรรมะที่พ่อท่านเทศน์อยู่ตลอดครับ นี่ก็เข้าปีที่ 3 แล้วครับ ผมได้ประโยชน์ และสามารถพัฒนาจิตวิญญาณขึ้นได้เป็นลำดับๆ เป็นประโยชน์ทั้งทางการดำรงชีวิตส่วนตัว และชีวิตการทำงานอย่างมาก เข้าใจชีวิตทางโลกๆ จนสัมผัสสภาวะ รู้สึกละหน่ายคลายแหนงได้จริง และเข้าถึงความหมายของโลกุตระละเอียดขึ้นเรื่อยๆ กระผมยังมีวิบากอยู่มาก แต่ก็ตั้งเป้าหมายไว้ว่า ถ้าวิบากทางโลกของผมเบาบางลง คงมีโอกาสได้ไปใช้ชีวิตรวมกับหมู่กลุ่ม ที่แผ่นดินพุทธราชธานีอโศกในชีวิตนี้ สุดท้ายนี้ขออาราธนาให้พ่อท่านต่ออายุขัยได้ถึง 100 ปี น่ะครับ ปล.คิดว่าก่อนเวลานั้นผมคงมีโอกาสได้ไปอยู่บ้านราชฯ บ้าง และได้กราบแทบเท้าพ่อท่านจริงๆ สักครั้งในชาตินี้ ✨🙏✨
พ่อครูว่า… อาตมาเคยพูดนะถ้าอาตมาอยู่ไปอีก 10 ปีถึง 100 ปีแน่เพราะตอนนี้อาตมา 90 ปี อาตมายังไม่ตายอีก 10 ปีนี้นะอาตมา 100 ปีแน่เลย ก็พยายาม อ้าว เห็นกับคุณก็แล้วกัน ขอให้สมพรปากคุณด้วยนะ
_สู่แดนธรรม… ถ้าพ่อท่านอยู่ 100 ปีจะมีอะไรดีๆขึ้นในประเทศไทยไหมครับ
พ่อครูว่า… อ๋อ แน่นอนสิ จะไม่ดีได้อย่างไร ถ้าจะพูดแล้วเนี่ยนะขอพูดอีกก็แล้วกัน ก็เพราะว่าอาตมาเอาโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้ามา ประกาศเปิดเผยอธิบาย ทั้งเขียนทั้งพูด โอ้โหอาตมาเขียนธรรมะนี่เป็นร้อยเรื่องแล้วนะ กว่าร้อยเรื่อง พิมพ์ออกมาไม่รู้กี่ล้านเล่มแล้ว กว่าร้อยเรื่องไม่ใช่ธรรมดานะ คนเขียนหนังสือกว่า 100 เรื่องแล้วไม่ใช่เล่มเล็กๆด้วยนะ
เพราะฉะนั้นทำกันอย่างเต็มที่เลย อาตมาไม่มีเวลาอื่น เพราะตั้งแต่หันทิศมาทิศนี้ไม่มีเวลาอื่นไปทำ นอกจากจะทำธรรมะพูดกับเขียนนี่เป็นหลัก นอกนั้นก็ปฏิบัติพาทำ พาสร้างสรรค์เป็นธรรมะไปได้เจริญจนกระทั่งเกิด สาราณียธรรม 6 เกิดหมู่กลุ่มเป็นชุมชน สาธารณโภคี อย่างที่เห็นที่เป็นยืนยันอ้างอิง
_นพพล จรัสวิกรัยกุล . กายกรรมก็รวมถึงจิต วจีกรรมก็ต้องรวมถึงจิต มโนกรรมก็ต้องรวมถึงกาย ใช่ไหมครับพ่อท่าน ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ
พ่อครูว่า… ใช่เพราะกายเป็นรูปไม่ได้แยกกัน วจีกับมโนแยกกันนิดหน่อยแต่มันต้องมีนามกับรูป วจีก็เป็นรูป กายก็เป็นรูปได้
_สู่แดนธรรม… ตอนก่อนเข้ารายการผมได้สนทนากับพ่อท่านนึงนี้เหมือนกันว่า ในพระไตรปิฎกเรื่อง กายสูตร พระพุทธเจ้าให้พิจารณา กาย ไปถึงตามฉันทะกามนิวรณ์เลย ไม่ใช่ว่าจะอยู่แค่หนังหุ้มเป็นที่สุดของกายก็ไม่ใช่ตรงนี้นะครับ
พ่อครูว่า… ใช่ ต้องไปถึงนิวรณ์ 5 ถึงเรียกกาย กายต้องมีจิต ย้ำมานักหนาแล้ว กายขาดจิตไม่ได้ ถ้ามีแต่สรีระมีแต่ร่างไม่มีจิตร่วมด้วยไม่ใช่กาย เพราะฉะนั้นปฏิบัติธรรมของพุทธไม่มีกาย โมฆะ
ฉะนั้นใครไปหลับตาปฏิบัติโมฆะหมด ไม่ยอมซ้ำซากแล้ววันนี้เรื่องหลับตา พูดจนไม่รู้จะทำไงเหนื่อย แล้วเขาก็ไม่ฟังด้วยเขาก็หลงอาจารย์ว่าไป ผู้ใดที่ตั้งใจแสวงหาที่ดีไม่อคติฟังแล้วก็จะเข้าใจขึ้นเรื่อยๆ เพราะอาตมาไม่รู้จะพูดยังไงแล้วอ้างอิงหลักฐาน อ้างอิงผลสำเร็จทุกอย่างแล้วเขาก็ไม่เคยเชื่อกัน เป็นความหลงความอวิชชามันฝังหนักจริงๆเลย
_สู่แดนธรรม… คงต้องเป็นรอบหน้าไปเรื่อยๆนะครับ คงไม่เปลี่ยนทันทีทันใดให้พ่อท่านเห็นนะครับ
_Took Aswin ตุ๊ก อัศวิน. พ่อครูปรารภ เรื่องโภชเนมัตตัญญุตา นั้นสำคัญยิ่ง เพราะอาหารเป็นหนึ่งในโลก มนุษย์ (ทุกชาติ ชั้น วรรณะ) ต้องกิน ทั้งสิ้น!!!
พ่อครูว่า… ใช่ แต่มนุษย์เท่านั้นที่ไหนเล่า สัตว์ก็ต้องกิน
_ในช่องปากของมนุษย์นั้น ประกอบด้วย ลิ้น_ฟัน_กระพุ้งแก้ม ยามเมื่อ ขบ_เคี้ยว_ คลุกเคล้า จักเกิดผัสสะ มีเวทนา คือ
1)เผ็ด_ร้อน_อ่อน_แข็ง_หย่อน_ตึง ของอาหาร
2)รู้รส ด้วยลิ้น คือ หวาน_ขม_เปรี้ยว_ฝาด_เค็ม_มัน
3)อาการเคลื่อนไหวของลิ้น ประสานงานกับฟัน ที่บดขยี้ คลุกเคล้า ประสานงานอย่างมีวินัย (ขาดวินัย เมื่อใดต้องฮัมเพลง ลิ้น กับ ฟัน เมื่อนั้นแล) การกินอาหารจึงเป็นทั้งวิทยาศาสตร์ และศิลปศาสตร์ คือประชุมของ ปรมัตถธรรมทั้งปวง( จิต_เจตสิก_รูป_นิพพาน ) ดูถูก..ได้ไงเนอะ ต้องดูให้ถูกต้อง…ถึงธรรมเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… นึกว่าทบทวน อธิบายมาก็แสดงถึงความเข้าใจยิ่งขึ้นว่า มันมีเหตุปัจจัยองค์ประกอบลีลาของมัน อย่างนั้นจริงๆละเอียดขึ้นไป
อัตตวาทุปาทาน คือหลงวาทะแต่ไม่เข้าถึงอัตตาจริง
_สติพล จนพัฒนา . เพราะความไม่เข้าใจ ถึงความเป็นอนัตตาของธรรมทั้งหลาย จึงเกิดความอยากได้ (โลภะ,ตัณหา) เกิดการปฏิบัติธรรมขึ้นและก็เกิดความหวังในความสำเร็จ (อยากเป็นพระอาริยะหรืออรหันต์) ของการปฏิบัติธรรมนั่นเอง แล้วความทุกข์ใจก็ตามมา (เพราะความอยากได้นั้น) ด้วยความไม่เที่ยงในสิ่งที่ปรากฏเป็นธรรมดาของโมหะอวิชชาให้บุคคลนั้นๆ (#ปัญญาคติจากสภาวะธรรม)
พ่อครูว่า… ก็พยายามให้มันถึงจิตเจตสิกรูปนิพพานอย่าให้มีแต่ตรรกะเหตุและผล เหตุและผล อาตมาล่ะ สงสารจริงๆ คนที่เก่งหลงใหลเหตุผล มีแต่ตรรกะ มันง่ายนะ แล้วเยอะด้วย เป็นปราชญ์เอกในโลกทุกวันนี้ก็ยังหลงความรู้ หลงเหตุผล แค่ตรรกะนี้เยอะ เป็นอุปาทานข้อที่ 4 อัตตวาทุปาทาน
ขอขยายความอีกทีเถอะ อัตตวาทุปาทาน มี อัตตะ คำหนึ่ง วาทะ คำหนึ่ง อุปาทาน อีกคำหนึ่ง อุปาทาน แปลว่า การยึดมั่นถือมั่น
ยึดมั่นถือมั่นได้แต่แค่ วาทะ ฟังให้ดีนะ เป็นปราชญ์เอก เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับทั่ว อย่าว่าแต่ทั่วประเทศเลย ทั่วโลกด้วย มีลูกศิษย์ทั้งหลายด้วย แต่ได้แค่ วาทะ ยังไม่เข้าถึง อัตตา ยังไม่เข้าถึงเนื้อ จิต เจตสิกของตัวเองเลย ยังไม่ได้ ได้แต่เหตุปัจจัยผิวเผิน แล้วสิ่งที่ได้นี้ไปยึด มันไม่ใช่อัตตา แต่ไปดันยึดว่าเป็นอัตตา ฟังให้ดีนะ มันไม่ใช่อัตตา แต่หลงว่ามันเป็นอัตตา เห็นไหม
เรียกว่า โอฬาริกอัตตา มันไม่ใช่อัตตา แต่หลงว่าเป็นอัตตา นึกว่าตัวเองได้อัตตาแต่ได้แค่วาทะ วาทะ นี่แหละเรียกว่า โอฬาริกะ อลังการยิ่งใหญ่เยอะแยะ จริง ใครๆก็ยอมรับ ใครๆก็รู้และหลงอยู่กับอันนั้น โอ้โห ได้มายอดยิ่งกว่าวิปัสสนูปักกิเลส 10 บวกกันเลย ในประเทศไทยนี่แหละมี น่าเห็นใจน่าสงสารไม่รู้จะทำไง
เพราะไม่เข้าใจตั้งแต่เริ่มต้น สักกายทิฏฐิ ยังไม่พ้น ตั้งแต่สังโยชน์ข้อแรก เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปพูดถึงสังโยชน์ข้ออื่นๆเลย มันยังไม่ได้ เพราะฉะนั้นวิจิกิจฉาไม่ต้องพูดมันต้องมีอยู่แน่ หลักปฏิบัติศีลพรตจึงไม่ใช่ ศีลพรตปฏิบัติไม่ใช่คือยังไง คือไม่ใช่จรณะ 15 วิชชา 8 ถามว่าท่านรู้ไหม รู้ รับรองอธิบายปรี๊ดเลย ก็ได้ 15 วิชชา 8 แต่แค่วาทะอีกนั่นแหละ ได้ถึงแค่ผิวของเนื้อธรรม
น่าสงสาร มีไม่น้อยเลยในชาวพุทธวันนี้ เป็นผู้รู้นะ ได้รับอาศัยเลี้ยงชีวิตเป็นอาชีพ ความรู้ทางพุทธศาสนานี้รองรับกันเป็นอาชีพ แต่ไม่ได้พาบรรลุธรรม เป็นปทปรมบุคคล อยู่อย่างนั้นแหละ อย่าว่าแต่รู้พุทธพจน์เลย รู้ถึงอรรถกถาจารย์ รู้อาจาริยาวาสต่างๆ อธิบายไว้เก็บมาหมด ขี้หมูราขี้หมาแห้งอะไรเยอะ ก็น่าสงสาร จะว่าไปแล้วอาตมาเมื่อกี้นี้ในวจีสังขารมันบอกว่า คนบ้าหอบฟาง เหมือนบ้าหอบฟาง มันได้เยอะ แล้วหลงในความรู้ อันนี้ไม่รู้จะไปแก้ไขอย่างไร ถ้าหลงจริงมันก็จมไม่เริ่มต้น เล็กไม่ลง ไม่เริ่มต้นตั้งแต่ศีล 1 ข้อแล้วปฏิบัติให้ถูกศีล สมาธิ ปัญญา ให้เข้าหลักเกณฑ์พวกนี้ให้ได้ ให้เข้าหาจิตเจตสิกรูปนิพพาน
_สู่แดนธรรม… ถ้าลูกศิษย์ท่านผู้นั้นฟังอยู่คงคันหัวใจ แล้วจะเพ่งมองพ่อท่านว่า ทำไมพ่อท่านว่าอาจารย์เขาอย่างนี้ล่ะ
พ่อครูว่า… ถ้าเผื่อว่าอาตมาไม่ว่าไม่มีใครจะไปกล้าว่าหรอก ไม่มีใครกล้าว่า เพราะว่าไม่กล้าที่จะยืนยันความจริง ไม่มีความรู้เพียงพอที่จะว่า อันนี้ก็ขอยืนยันด้วยไม่ใช่อวดดิบอวดดีอะไร
_นพพล จรัสวิกรัยกุล . ต้องขออภัยในความผิดพลาดของการสื่อสาร ซึ่งทำให้พ่อท่านสับสนงงงวย เพราะผมใช้ google translate แปลเสียงเป็นภาษา ซึ่งผมตรวจสอบแล้วแต่ก็ยังพลาด ทั้งการแสดงความคิดเห็น เรื่องอุจเฉททิฐิ และเรื่องทุกข์สุขเกิดพร้อมกัน ต้องขออภัยพ่อท่านอย่างยิ่งครับ
พ่อครูว่า… ก็ตอบให้ทราบอีกอันว่า Google ตามอาตมาไม่ทัน Google ยังผิดพลาดอีกเยอะในความหมายของโลกุตรธรรมที่อาตมาอธิบาย ยัง ขอยืนยันเลย Google รวบรวมไปหมดสารพัดสารเพเหมือนอย่างกับ โอฬาริกอัตตา นี่แหละ เหมือนกันเลย
_สู่แดนธรรม… เขาไปรวมเอาแต่สิ่งที่ไม่ใช่มา
พ่อครูว่า… รวมของอาตมาไปยังน้อย จะว่าไปเราก็ต้องพึ่งพา Google เหมือนกัน บางทีเราต้องหยิบสิ่งเหล่านั้นมาอ้างอิงยืนยันเป็นสิ่งประกอบ
_Took Aswin ตุ๊ก อัศวิน . พ่อครูเป็นแบบอย่างของ “ครู&นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่” ทั้งทางโลกและทางธรรม กล่าวคือทางโลก-แม้นจะมีวิบากเบียดเบียน ทางสรีระขันธ์ คือ ITT ( ไอ_ถี่ๆ) ก็มิอาจกั้นความเมตตา และกรุณา ที่พ่อครูมีต่อ ลูกๆ ด้วยหวังจะให้ลูกๆ มีปัญญานั้นแล ทางธรรม-ท่านเป็น Idol (มิใช่ ITT) ของการ “ป่วยแต่กาย ใจหาป่วยไม่” แม้นมีวิบาก ไอ ก็ไม่ขัดขวาง พลังงาน ในการทำงานของท่าน ท่านยังคง ทำงานเพื่อยังประโยชน์ ๓ คือ พหุชนหิตายะ_พหุชนสุขายะ_โลกานุกัมปายะ กราบอนุโมทนา..สาาาาธุ เจ้าค่ะ
_Took Aswin ตุ๊ก อัศวิน . เป็นอีกวาระหนึ่งที่พ่อครูนำมาลัยธรรม เรื่อง “มูลสูตร ๑๐” (10 steps) มาขยาย..มาพิจารณา..โดยละเอียด ทีละ step ได้อย่างละเอียด ลึก ซึ้ง ถึงกึ๋น!!พ่อครูได้ตอบปัญหา เรื่องสอุปาทิเสสนิพพาน(พระอรหันต์ตายแล้วเกิดอีก ต่อภพต่อชาติ) และอนุปาทิเสสนิพพาน(พระอรหันต์ตายแบบขาดสูญจากทุกๆ ภพ ไม่มีส่วนเหลือใดๆ) นี้เป็นการยืนยัน อย่างมีนัยสำคัญจริงๆ ไม่จิงโจ้!! (ดังได้ปรากฏในมูลสตร ๑๐ นี้แล) น้อมกราบ_/\ขอบพระคุณยิ่งเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… อาตมาก็ย้ำแล้วอันนี้ ตายแล้วแก้ไขไม่ได้แล้ว ผู้นี้ตัดสินใจอย่างนี้แล้ว ใช่ ยืนยันในมูลสูตร 10 จริงๆ
_@Side-xf4lz • เป็นฆราวาส..อย่าไปแต่งตั้งพระภิกษุุรูปใดรูปหนึ่งว่าเป็นพระอริยะบุคคล/พระอรหันต์ เพราะจะก่อกรรมไม่รู้ตัวนะจ๊ะ ฆราวาสยังเสพกามอยู่ ปกติไหนหรือ จะเข้าใจพลังจิตอริยะบุคคลได้เล่า
พ่อครูว่า… อ๋อ ว่า สู่แดนธรรมหรือ เอาเถอะคุณติงบ้างก็จริง ก็ผู้ศึกษาทำความเข้าใจผ่านไป ปรามไป ก็ขอบคุณ ถ้าไม่ปรามก็จะเลยเถิดกันไป ดีแล้วล่ะ
_@user-vi1fq2rt4s • ฌานก็คือฌานนะพ่อท่าน แต่ฌานโบราณ เขาชอบเอามาอ้างกันจังนะ หลังพุทธกาลทั้งที่ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว พุทธะได้เกิดขึ้นแล้ว
พ่อครูว่า… ฌานโบราณ กับ หลังพุทธกาล ก่อนพุทธกาลเป็นฌานฤาษีหมด แต่หลังพุทธกาลก็ต้องมีฌานของพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ถูกต้องคุณคนนี้เข้าใจ
ฌานหลับตา เอาแต่แค่เหตุปัจจัยอ้างอิงแค่ฌานหลับตาเท่านั้น หรือต้องเข้าฌาน คำว่าเข้าฌานก็ไม่ใช่ของพุทธ เข้าฌานออกฌานไม่ใช่ ถ้าฉันของพระพุทธเจ้าไม่ต้องเข้าต้องออกเข้าแล้วก็ได้ไปเรื่อยๆไม่มีออก ของพระพุทธเจ้าไม่มีออกไปเรื่อยๆอย่างนี้เป็นต้น เข้าฌานออกฌานนั้นยังเป็นฌานฤาษี หลับตายังเข้าไปสู่สภาวะจิตชนิดหนึ่งแล้วก็ต้องคลายต้องเปลี่ยนและต้องออกต้องเข้า มันก็เลยกลายเป็นเรื่องไม่รู้แล้ว ไม่ใช่สัจจะ มันเป็นการละเล่นอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง
พระราชาให้ประหารด้วยหอกร้อยเล่ม คือประหารกิเลสในตน
_@masubol sakulpanich5432 • ถ้าท่านไม่หวั่นไหวท่านจะสนใจว่าคนอื่นทำไม ทำไมไม่พูดเฉพาะที่ท่านว่าหลวงปู่มั่นผิดอย่างไร มัวแต่กระแนะกระแหนปู่มั่นนั่นแหละ
พ่อครูว่า… ขนาดอาตมาพูดกระแนะกระแหนเท่านี้ คุณก็ยังคันหัวใจแล้ว ถ้าอาตมาพูดถึงหลวงปู่มั่นอย่างเดียวคุณตายแล้ว อย่าท้าอาตมานะ อาตมาล่ะสุดสงสารจริงๆ อาตมาก็ไม่รู้จะว่ายังไง เพราะว่ามันเป็นเหตุปัจจัยจริงในประเทศไทยต้องมีเช่นนี้ ต้องมีอาจารย์เสาร์ อาจารย์มั่น แล้วก็มีมหาบัว แล้วก็มีลูกศิษย์มหาบัวอยู่อีก โอ้โห.. เป็นกองทัพเลย เยอะ
ซึ่งอาตมาก็ได้แต่สงสาร ก็ต้องพยายามติงเตือนกัน พยายามอธิบายไขความ ต้องใช้แม้ที่สุดต้องใช้คำหนักๆ คำค้านอย่างจังๆค้านอย่างแรงๆ เรียกว่า ปฏิกโกสนา อาตมาก็จำนนจะต้องใช้ปฏิกโกสนาคือ ค้านอย่างแรงอย่างเต็มที่ ก็ทำอยู่ อธิบายอ้างอิงจนกระทั่งถึงขั้นพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า
คนพวกนี้เหมือนกับพวกที่ พระราชาให้ไปฆ่าทิ้งเสียด้วยหอกร้อยเล่มเช้า และกลางวันก็ยังไม่ตายก็ฆ่าให้ไปเอาไปฆ่าทิ้งเสียด้วยหอกร้อยเล่มกลางวัน ก็ยังไม่ตายอีก หนังเหนียวจริงๆ เย็นก็ให้เอาไปฆ่าอีกด้วยหอกร้อยเล่มเย็น ก็ยังไม่ตายอีกจนป่านนี้ นี่พระพุทธเจ้าท่านก็จนด้วยแต้มเหมือนกัน เพราะว่าพวกที่ไม่รู้ไม่เข้าท่า ไม่เห็นไม่รู้ยังไง ฆ่ายังไงก็ไม่ตายนี่อย่านึกว่ามันเป็นความสมบูรณ์แบบนะ เป็นพวกหนังเหนียว เป็นพวกเก่งอภินิหารอะไร ก็ไม่ใช่นะ
ฆ่าไม่ตายหมายถึง ฆ่ากิเลส กิเลสไม่ยอมตายไม่ยอมตื่น ก็ไม่ตื่น อาตมาถ้าเผื่อว่าไม่มีผู้ที่ผิด ให้อาตมาพูดถึง หรือให้อาตมาชี้ยืนยันว่าผิดอย่างนี้ผิดอย่างโน้น จนกระทั่งถึงขั้นถล่มว่าผิด ก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาพูด อาตมาก็ต้องพูดอันนี้ จะไปพูดถึงศาสนาอื่น ที่มันพูดกันไม่รู้เรื่องเลยนั้น อาตมาก็พูดถึงบ้างอยู่ แต่อาตมาไม่เอาเป็นหลักใหญ่ อาตมาเอาอันนี้เป็นหลักใหญ่ของผู้ที่เข้าใจผิดนี่เพื่อช่วยเหลือได้
อันโน้นอันที่มันยังพูดกันไม่รู้เรื่องเลย ยังช่วยไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นอาตมาก็จะพูดกับพวกเรานี่แหละ อย่ารังเกียจรังงอนอย่าไล่อาตมาเลย
เพราะใจดีไม่ใจดำจึงย้ำบอกเตือนว่านั่งหลับตาเป็นทางผิด
_@hiranwee4814 • พระวัดป่าท่านจิตบริสุทธิ์ เราจะคิดอะไรท่านก็รู้ เพราะน้ำใสย่อมมองเห็นได้ อยู่ไกลคนละประเทศคิดอะไรหลวงตาท่านรู้ ธรรมะย่อมไม่ขัดแย้งทั้งในจิตใจเราและไม่ขัดแย้งในจิตใจเราด้วย จึงไม่กล่าวว่าใครๆ
พ่อครูว่า… อาตมาว่าผู้ที่จะไม่ว่าใครๆนั้นคือผู้ที่ใจดำอำมหิตเป็นคนใจดำอำมหิต ขนาดอาตมาคนละศาสนายังพาดพิงถึงบ้างเลย เพราะอาตมาไม่ใช่คนใจดำ ยิ่งพวกเดียวกันแล้วถ้าหากไม่ว่ายิ่งใจดำเป็นมือเลย รู้จักมือไหม ภาษาอีสาน ดำ ยิ่งกว่าหลุมดำเบอร์มิวด้าเลย มันใจดำได้ยังไง ก็ต้องบอกกัน เปิดเผยกัน
คุณก็เข้าใจอย่างคุณ คุณเข้าใจคุณเชื่อถือพระวัดป่า คำว่าพระวัดป่าเท่านั้นมันก็ผิดแล้ว เพราะศาสนาพระพุทธเจ้าไม่ใช่ศาสนาป่าเป็นศาสนาเมือง เป็นศาสนาสังคมทันสมัยใหม่เสมอ ศึกษาดีๆค่อยๆฟังไป
_สู่แดนธรรม… ผมจะถามตรงนี้อีกหน่อยได้ไหมครับ ตั้งแต่ในสมัยพระพุทธเจ้า ตอนเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็เข้าไปสู่สำนัก อาฬารดาบส อุทกดาบส ก็เก่งเท่าหัวหน้าสำนักเลย ท่านรู้ด้วยภูมิของท่านว่าหลับตาสะกดจิตอย่างนั้น มันรังแต่ไปติดข้องอยู่ใน อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ พระพุทธเจ้าทรงเบื่อหน่ายมาหลายชาติแล้ว ไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง
พระพุทธเจ้าสร้างศาสนามาก็ได้ภิกษุมาประมาณหนึ่ง ความคิดแบบเดียรถีย์ก็ยังเหลือมาถึงทุกวันนี้
พ่อครูว่า… วันนี้ลูกศิษย์อาฬารดาบส อุทกดาบส ยังเต็ม ในวงการศาสนาพุทธ ยังเต็มอยู่เลย อาตมาก็ทำเต็มที่จะได้แค่ไหนอาตมาไม่ได้ไปหวังอะไรมากมาย เพราะอาตมาไม่มี สาเปกโข อาตมาก็ทำเต็มที่ ทำอย่างไม่ได้คิดถึงว่า มันมีผลให้อาตมาเห็นเท่านั้นเอง อาตมาก็พอประเมินได้ จากผล แต่ไม่ได้ไปกำหนด เป็นแต่เพียงว่าอาตมาก็เคยบอกเคยพูดไว้ว่า เกิดมาชาตินี้อาตมาทำงานมาถึงวันนี้ อาตมาพอใจก็พูดหลายทีแล้ว ไม่เสียชาติเกิด เพราะมันยากเหลือเกิน สุดยาก ได้ขนาดนี้อาตมาก็ภาคภูมิใจพอสมควร และมันก็เป็นรากฐาน เป็นเนื้อแท้ของศาสนาพระพุทธเจ้าจริงๆ ที่มันได้หยั่งลงสู่มวลมนุษยชาติแล้ว อันนี้เป็นสิ่งสุดยอดที่อาตมา ก็เอาเท่านี้มาเป็นเครื่องตัดสินให้ตัวเอง เป็นความพอใจๆ
_@hiranwee4814 • พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมะเมื่อเรายึด ว่าเรามี เราเป็น เราย่อมตกอยู่ในความหลงตกอยู่ในความหลง
พ่อครูว่า… ฟังคุณพูดก็รู้แล้วสำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล พูดมาก็รู้ว่าคุณยังอยู่กับพระวัดป่าพระหลับตา หรือคุณยังเป็นบริวารไกลๆของ อาฬารดาบส อุทกดาบส เป็นหัวหน้าใหญ่ เดียรถีย์ อาฬารดาบส อุทกดาบส คุณยังเป็นบริวารไกลๆ อาจารย์ของคุณก็เป็นบริวารใกล้เข้าไปหน่อยๆ เอาน่า ศึกษาดีๆ
_@pitakdejsakbal6642 • มันไม่ใช่พระสงฆ์ มันโดนมติสงฆ์ขับออกมาตั้งนานแล้ว ที่มันสวมใส่อยู่นั่นมันบวชตัวเองใหม่ แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ ขนาดวาสนายังเป็นพระสงฆ์ยังไม่ได้ ยังมาตั้งตนเป็นพระอรหันต์อีก
พ่อครูว่า… เอาล่ะ อาตมาก็ไม่โต้แย้ง ไม่พูดอะไรกับคุณ 6642 หรอก เป็นแต่เพียงจะบอกว่า พยายาม ปรโตโฆษะ ฟังธรรมะด้วยดี สุสูสัง ลภเตปัญญัง ตั้งใจฟังด้วยดีแล้วจะได้ปัญญา จะได้ความเข้าใจดีๆ อย่าเพิ่งไปตีทิ้ง ถ้าคุณเองคุณไม่เปิดจิตเป็น ปรโตโฆษะเลย คุณจะเป็นอย่างที่คุณเป็นไปอีกนานนนน…
ถ้าคุณถูกต้อง คุณบรรลุเป็นอรหันต์เป็นอะไรต่อไปเยอะเลย แต่ถ้าคุณไม่ถูกต้องคุณจะไปอีกนานนนน… มืด อยู่ในหลุมเบอร์มิวด้าอีกนาน มันจะเป็นอย่างนั้น อีกนานแสนนาน มันเกินที่จะแก้เพราะว่าความเข้าใจของคุณมันยังอีกนานยังอีกไกลมาก
อภิสังขาร 3 กับสังขารมาร
_ปีกบุญ …วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2567
กราบนมัสการค่ะพ่อครูที่เคารพอย่างสูงยิ่ง
ดิฉันมีข้อสงสัยเรื่องอุปธิ 3 ซึ่งมี 3 ข้อคือ
1.กิเลส
2.ขันธ์ 5
3.อภิสังขาร
ขอเรียนถามว่า
1.อภิสังขารจะเป็นเชื้อที่พาเกิดหรืออุปธิได้อย่างไรคะ
2.อภิสังขารในที่นี้จะหมายถึงอภิสังขารมารได้หรือไม่คะ
3.มิจฉาสังกัปปะจะถือว่าเป็นอภิสังขารมารได้หรือไม่คะ
ขอความกรุณาพ่อครูยกตัวอย่าง *อภิสังขารมาร* ด้วยค่ะ
กราบขอบพระคุณยิ่งค่ะ
ปีกบุญ
พ่อครูว่า… ถ้าบอกว่าอภิสังขารมารมันก็เป็นตัวตรงๆบอกว่ามันผิดมันเป็นตัวมารเป็นตัวผีตัวผิดแล้ว อภิสังขารซาตานอภิสังขารมาร ถ้าใช้คำนี้ก็ระบุเจาะจงไปอย่างนี้
แต่ถ้าเผื่อว่าระบุใช้คำว่าอภิสังขารไม่มีคำว่ามาร มีอภิสังขารเฉยๆก็ต้องหมายถึง สังขารที่ดี ปรุงแต่งไปเป็นทางเจริญทางอาริยะ ไม่ใช่ทางมาร ทางอาริยะ เพราะฉะนั้นอภิสังขาร ของพระพุทธเจ้าที่เจริญนั้นก็มี 3
-
ปุญญาภิสังขาร 2. อปุญญาภิสังขาร 3. อเนญชาภิสังขาร
แจกแจงอีกทีก็แล้วกัน 3 สังขารนี้ ไม่ใช่จะเข้าใจกันได้ง่ายๆ
-
ปุญญาภิสังขาร หมายความว่าเป็นการปรุงแต่งที่ มีดาบอาญาสิทธิ์เรียกว่าบุญ ต้องใช้ดาบอาญาสิทธิ์ เพราะฉะนั้นปรุงแต่งก็ใช้ดาบอาญาสิทธิ์รบยิ่งกว่าเจงกิสข่านอีก ฟันคอข้าศึก ฟันคอกิเลส ตายๆๆๆๆๆ ไปเรื่อยๆ เรียกว่าเจริญเพราะมีดาบอาญาสิทธิ์ เรียกว่าบุญ เป็นพลัไงงานนักฆ่า บุญนี่คือนักฆ่าฆ่ากิเลสอย่างเดียวด้วยไม่ได้ฆ่าอย่างอื่น ได้ผลไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมด ฟังตรงนี้ให้ดีจนกระทั่งหมดก็ไม่ต้องใช้แล้วดาบอาญาสิทธิ์ โยนทิ้งไปเลย หรือไม่โยนทิ้งก็หายไปเอง บุญจะหายไปจากมือเลย หรือดาบอาญาสิทธิ์จะหลุดหายไปจากมือเลย เพราะกิเลสหมดไปแล้ว
เมื่อกิเลสหมดสิ้นหน้าที่ของบุญก็ไม่ต้องมี เรียกว่า อปุญญะ ก็เป็นอภิสังขาร
เพราะฉะนั้นคุณคนนี้ยังไม่ตายมันเป็นอรหันต์มีชีวิตหรือจะเป็นโพธิสัตว์ต่อไปอีกก็แล้วแต่ คนคนนี้ก็ยังมีอภิสังขารอยู่ ยังทำงานจัดการปรุงแต่งอยู่ แต่ปรุงแต่งไม่ต้องฆ่ากิเลสอีกแล้วเพราะกิเลสหมดไม่เกิดอีกแล้วไม่มีอีกแล้ว กิเลสสู้ไม่ได้แล้ว มาเท่าไหร่เท่าไหร่กิเลสตายเกลี้ยง มีแต่จิตสะอาด คนที่ไม่เข้าใจพยัญชนะ ไม่เข้าใจสภาวะแท้ไปแปล อปุญญา อปุญญะว่า ไม่ใช่บุญก็วนกลับพยัญชนะว่าไปเป็นบาปไปเป็นสภาพคู่
เรื่องบุญมันเป็นสภาพเดียวเป็น เอกังสะ สภาพเดียวไม่ใช่สภาพผู้เป็น one way Traffic บุญทำหน้าที่แล้วมันก็หายไปเลยไม่มีของ ไม่มีโค้งไม่มีงอไม่มีกลับมาถ้ายังมีคงมีงอ คือยังไม่เข้าใจสภาพสภาวะในความเป็นโรคก็ยังมีความโค้งอยู่กี่องศาก็แล้วแต่.0001 ก็ยังเป็นโลก เพราะฉะนั้นความเป็นธรรมะไม่มีโค้งเลยมีแต่องศาตรง one way Traffic ชนิดที่ไม่มีอะไร เป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่น ตรงท่าเดียวออกไปทะลุมหาจักรวาลเลย
เพราะฉะนั้นผู้ที่ผ่าน อปุญญาภิสังขาร จึงมีกรรมกิริยาอยู่อีกยังไม่ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ยังไม่ตาย กายแตกแล้วเลิกไป ก็จะสั่งสมแต่กรรมที่เป็นกุศล กรรมที่เป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่ก็คือ กรรมที่ทำให้จิตสะอาดนั้นตกผลึกๆๆ สั่งสมกันแน่นควบแน่น อเนญชา อย่างไม่มีที่สิ้นสุดเลย ความตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อเนญชา ของพระอรหันต์ขึ้นไปจึงเป็นความตั้งมั่นที่หาประมาณมิได้ ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีอะไรหักล้างได้ อสังหิรัง ไม่แปรเปลี่ยนเลยตลอดไป นี่คือสุดยอดแห่งคุณสมบัติหรือคุณภาพที่ยิ่งใหญ่ของศาสนาพระพุทธเจ้า
_ปีกบุญต่อ…มิจฉาสังกัปปะ 3 ถือว่าเป็นอภิสังขารมารได้หรือไม่
พ่อครูว่า… มิจฉาก็คุณเขียนมาเอง มิจฉาสังกัปปะของคุณยังเป็นมารมันก็ยังเสียอยู่ ปรุงแต่งมาไม่ว่าจะเป็นกามไม่ว่าจะเป็นพยาบาทหรือความเบียดเบียน อย่างนี้เป็นต้น เบียดเบียนตนเบียดเบียนท่าน
_สู่แดนธรรม… ข้อสุดท้ายที่ให้ยกตัวอย่างอภิสังขารมาร ผมขอยกตัวอย่างครับ คือสิ่งที่พ่อท่านอธิบายเรื่องอภิสังขารมาตลอดนั้น ผมรู้สึกว่าพ่อท่านอธิบายในลักษณะของผู้เป็นอเสขะแล้ว ผู้ที่ยังอยู่ในขั้น เสขะ ไม่ต้องศึกษาอภิสังขารนั้น ผมไปศึกษาของพระสารีบุตรท่านอธิบายไว้ว่า อภิสังขารมาร ก็คือ นี่แหละ ท่านที่ยังนั่งหลับตาเป็นพระสาวกของอุทกดาบส อาฬารดาบส นี่แหละ ก็คือ มีจิต ที่ตั้งมั่นไม่เปลี่ยนแปลงเลย อยู่ในขั้นอากิญจัญญายตนะ เนวสัญญายตนะ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
พ่อครูว่า… ของมิจฉาทิฏฐิก็ตกผลึกนานด้วย มันโง่กว่าจะฟื้นได้ไม่ง่าย
3 ข้อท้ายของ วิญญาณฐิติ 7
_ปีกบุญ…วันเสาร์ที่ 20 มกราคม 2567
กราบนมัสการค่ะ พ่อครูที่เคารพอย่างสูงยิ่ง
เนื่องจากดิฉันเห็นว่าเรื่องสัตตาวาส 9 และวิญญาณฐีติ 7 เป็นเรื่องที่เข้าใจยากมาก ทั้งนี้ลงงเมื่อพ่อครูอธิบายเรื่องวิญญาณฐีติ 7 พ่อครูก็พูดถึงสัตตาวาส 9 สลับกันไปมาด้วย แต่พอได้อ่านหนังสือปัญญา 8 เล่มที่ 2 จึงทำให้เข้ามากขึ้น และสรุปความได้ดังนี้
สัตตาวาส 9 – เป็นพวกปฏิบัติแบบหลับตา เป็นฝ่ายมิจฉาทิฐิอย่างสมบูรณ์
วิญญาณฐีติ 7 – เป็นการปฏิบัติแบบลืมตาแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 วิญญาณฐีติ 7 ที่มิจฉาทิฐิ มีความเห็นผิดในหลายเรื่องเช่น เรื่อง ศักกายะ, เรื่องนิโรธ, เรื่องวิชชา 8 ที่เข้าใจเป็นบุคลาธิษฐาน และอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ไป จึงยังไม่พ้นความเป็นสัตตาวาส
กลุ่มที่ 2 วิญญาณฐีติ 7 ที่สัมมาทิฐิ มีความเห็นถูกตรงทุกเรื่อง
พ่อครูเคยกล่าวว่าถ้าสัมมาทิฐิสมบูรณ์แท้ กายและสัญญาจะไม่ต่างกัน แต่วิญญาณฐีติ 7 ข้อ 1-3 ยังมีความต่างกันในกายและสัญญา จึงถือว่ายิ่งมีสัมมาทิฐิที่ไม่สมบูรณ์ ดิฉันเข้าใจว่า แต่ละคนมีญาณ ปัญญา บารมีไม่เท่ากันจึงทำให้มีภูมิธรรมไม่เท่ากัน อย่างพระโสดาบันก็มีตั้ง 3 ระดับพระอนาคามีก็มีถึง 5 ระดับ จึงทำให้กายและสัญญาต่างกัน วิญญาณฐีติ 7 ข้อที่ 4 มีกายเดียวกัน สัญญาเดียวกัน มีสัมมาทิฐิสมบูรณ์ เป็นสภาวะของพระอรหันต์ วิญญาณฐีติ 7 ข้อ 5, 6, 7 ใช้ตรวจสอบสภาวะนิโรธทั้งหมดนี้ ดิฉันเข้าใจถูกตรงหรือยังคะ
ด้วยความเคารพอย่างสูง ปีกบุญ
พ่อครูว่า… ถูกต้องอรูปทำไมต้องมี 3 ไม่ต้องมี 4 ธรรมดาเขามี 4 ไม่มี 4 แต่วิญญาณจิตติมีแค่ 3 อันนี้ก็เคยอธิบายให้ฟังแล้ว ว่าผู้ที่ยังไม่สัมมาทิฏฐิไม่ใช่วิญญาณฐิติแต่เป็นสัตตาวาส9 ส่วนผู้ที่เป็นวิญญาณที่ติด 7 นั้นสัมมาทิฏฐิหมด เพราะฉะนั้นมาถึง อากิญจัญญายตนะ ก็ทบทวนด้วย 3 เส้าสุดท้าย
-
ที่อาศัย คือ อากาศ 2. ที่ยังมีธาตุรู้คือวิญญาณ 3. ที่ไม่มีคือกิเลส