141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง ดู youtube ที่ https://www.youtube.com/watch?v=UkfKkECS5sI อ่านเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1QKeLaU6STgatf36jGaAQTbnqIc7yzzdJM_XXJM–O38/edit?usp=sharing ต่อจากนี้ไป เป็นการแสดงธรรมจากพ่อท่าน ที่วัดธาตุทอง วันที่ 26 ตุลาคม 2514 (ตอนที่2) พ่อครูว่า… มีไม่ว่างอยู่สิ่งเดียวก็คือ เฉพาะสัญญาว่าป่าเท่านั้น ที่ท่านแยกแยะแค่บ้านกับมนุษย์ อาตมาแยกแยะมากไปอีก จนกระทั่งถึงเพชรถึงเงินให้ฟัง เพื่อที่จะได้เข้าใจมากขึ้น เช่นเดียวกัน และเราก็สัญญาเป็นแต่เพียงกำหนดลงไปแต่แค่ว่า ไอ้นี่คือสภาวะหนึ่ง อยู่ในแดนหนึ่ง อยู่ในโลกๆ หนึ่ง มีความว่างเปล่า ถึงแม้จะมีสิ่งพวกนี้ๆ อยู่เท่าไหร่ๆ ก็ตามแต่ มีคนอยู่มีต้นไม้อยู่ มีเพชรอยู่ มีขวดอยู่ หรือ สมมุติจนกระทั่งแม้เอาเพชรมาวางไว้ตรงนี้ เอาแบงค์ร้อยมากองไว้บนโต๊ะนี้ ก็เหมือนกัน เราไม่มีความหวั่นไหว เราไม่มีความไปสมมุติอะไรตามเลย สมมุติแต่เพียงว่า อย่างเดียวแต่ว่า เรายืนอยู่ในโลกนี้ว่างๆ เฉยๆ อยู่ ณ ที่นั่งๆ อยู่ที่นี่ว่างๆ เฉยๆ คนอื่นเขาหวั่นไหวตามเขาเห็นว่า ของเหล่านี้มีอะไรแปลกแตกต่างกันไป แต่เราไม่แปลก เราเฉยๆ เป็นอาการอย่างนั้น และ รู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่สิ่งเดียวก็คือเฉพาะสัญญาว่าป่าเท่านั้น ด้วยอาการนี้แหละ เธอจงพิจารณาเห็นความว่าง นั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ ในสัญญานั้นเลย เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้นเลย ท่านให้พิจารณาสิ่งที่เราไปยึดถือ สิ่งที่เรายังไปยอมสมมุติอยู่ในนั้นด้วย แล้วสัญญาเหล่านั้นอย่าไปยึดถือ จงเห็นว่า สิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้นด้วย หมายความว่า จงเห็นให้ได้ว่า มันมีอยู่ก็ช่างมันปะไร เราไม่มีเราไม่เกี่ยว มันจะเป็นของเราก็ตาม ของใครก็ตาม ไม่เกี่ยวข้องความหมายนี้ไม่เกี่ยวข้องเลย จะเป็นของเรา หรือของใครก็ไม่เกี่ยว มีอยู่ก็พยายาม เห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้น หมายความว่าเห็นความว่างนั้นเป็นว่างจริงๆ แม้จะมีสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่ไม่มีอยู่ก็เหมือนกับมีสิ่งที่ไม่มีอยู่เท่านั้นเอง ฟังให้ดีนะ เหมือนกับสิ่งที่ไม่มีอยู่ เงินมันมีก็ช่างมันเหมือนมันไม่มี เพชรมันมีก็ช่างมันเหมือนมันไม่มี คนมีก็ช่างมันเหมือนมันไม่มี เหมือนกับสิ่งไม่มีอยู่ในสัญญาอยู่ในความรู้สึก เท่านั้นเอง ท่านหมายความว่าอย่างนี้ และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในสัญญานั้นอันยังมีอยู่ว่ามี และให้รู้ด้วยนอกจากเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีแล้ว ก็รู้ชัดอีกด้วยว่า ไอ้นี่โลกเขาเรียกว่า “เงิน” ไอ้นี่โลกเขาเรียกว่า “เพชร” ไอ้นี่เขาเรียกว่า “ขวด” ไอ้นี่โลกเขาเรียกว่า “เพชร” ไอ้นี่โลกเขาเรียกว่า “คน” ไอ้นี่เขาเรียกว่า “ต้นอโศก” ให้รู้ชัดอย่างนี้ให้ได้ด้วย แต่สำหรับเราไม่เกี่ยวหรอกโลกนี้จะมีขวดนี้ก็ได้ โลกนี้จะมีต้นอโศกนี้ก็ได้ โลกนี้จะมีเพชรนี้ก็ได้ โลกนี้จะมีเพชรนี้ก็ได้ โลกนี้จะมีเงินแบงค์ร้อยกองอยู่บนโต๊ะนี้ก็ได้ หรือไม่มีก็ได้ ไม่แปลก ในความหมายของท่านอย่างนั้น ดูกรอานนท์ แม้อย่างนี้ก็เป็นก้าวลงสู่ความว่างตามความเป็นจริงไม่คลาดเคลื่อนบริสุทธิ์ของภิกษุนั้น ผู้ใดพิจารณาอย่างนี้อย่างที่อาตมาว่ามาแล้วก็เป็นการอยู่ใน หรือว่า ก็เป็นก้าวลงสู่สุญญตวิหาร หรือ ก้าวลงสู่ความว่างตามความเป็นจริง ไม่คลาดเคลื่อนบริสุทธิ์ ของภิกษุนั้น ท่านยืนยันว่าอย่างนี้ เขาจะมาติดโชว์ไว้ที่ร้านสัก 5 ปี 10 ปีเราก็ไม่ไปซื้อกับเขามา โลกนี้จะดีขึ้นนะ โลกนี้จะดีขึ้นนะ มองด้านบ้านกลับ มองในด้านอย่างคนโลกๆ ก็บอกว่าว่าไอ้พวกนี้ ตามอัพเดทไม่ไหวเลยไม่ทันสมัยเลย ไม่ตามโลกเลย ใช่ พวกนี้ไม่ตามโลกเลยเพราะเขาไม่เล่นกับโลก เขาไม่เล่นกับโลกแล้วเขาก็ไม่ตามโลก โลกเขาจะสร้างเขาจะสมมุติอะไรขึ้นมาอีกก็ตามแต่ เขาจะสมมุติหัวฟูๆ ผมยาวๆ ไว้ผู้ชายก็ไว้ปะบ่าแค่นี้ นอกจากไว้ปะบ่าแค่นี้ แล้วก็นุ่งกางเกงต้องขาบาน เดี๋ยวนี้มองเห็นข้างหลังแล้วผู้ชายผู้หญิงไม่รู้เลย มองข้างหลังนี่นะ หนุ่มๆ สาวๆ เดี๋ยวนี้ดูข้างหลังไม่รู้เลยว่า ใครเป็นผู้หญิงใครเป็นผู้ชาย ต้องไปดูข้างหน้า ถึงจะรู้ว่าผู้หญิง หรือ ผู้ชายดูข้างหน้าดูข้างหลังไม่รู้หรอก ผู้หญิงผู้ชายเอาถึงขนาดนั้น มันกลับกันไปยิ่งกว่า ผู้หญิงเดี๋ยวนี้ตัดสั้นก็เก่งเสียด้วยนะ เดี๋ยวนี้ผู้หญิงตัดสั้นเแยะเสียด้วย กลับกันผู้ชายดันไปไว้ยาว แล้วไปกันใหญ่เลยยุ่งกันไปหมดเลยโลกนี้ยุ่งพิลึกเลยดูไม่ค่อยออก เพราะเหตุว่าไปสมมุติมันขึ้นประเดี๋ยวผมยาวๆ เป็นฮิปปี้ฮิปโป้อะไร ประเดี๋ยวนี้ก็ตัดอีกจะไปมีอะไร มันยาว เขามากรุงรังเดี๋ยวมันก็เบื่อ เดี๋ยวก็ตัดแฟชั่นต่อไปเปลี่ยนแล้วนะ ตอนนี้ตอนนี้ตัดสั้นพวกที่สมมุติตามโลก พวก up to date ทั้งหลายแหล่พวกทันสมัยเอาแล้วตัดผมสั้นเหรอ เดี๋ยวตัดสั้นบ้าง ตัดแล้วตามเข้าไปแล้วตัดทีนึงก็เสียเงิน อะไรชิ้นนึงก็เสียทั้งนั้นแหละเสียทั้งเงินทั้งนั้น เสื้อแบบนี้น่าใช้ อ้าว..หมดสมัยแล้วเก็บใส่ตู้ไม่ใช้ เอาอย่างที่ทันสมัยมาใช้ มันก็ตามโลกเขาไปหมด เพราะฉะนั้นถ้าเราสมมุติไปตามโลก นี่ขวดเอย นี่เพชรเอย นี่เพชรนิลจินดา นี่ต้นไม้ นี่ผู้หญิง นี่ผู้ชายหลงสมมุติไปอย่างนี้ตลอด โลกที่เขาสมมุติขึ้นมาใหม่ ไม่มีหยุดสมมุติขึ้นมาเรื่อยๆ เราไม่มีศูนย์เลย เราจะหลงสมมุติกับเขาไปตลอดโลก ฉะนั้นใครที่จะสมมุติไปตามเขาก็คือเดินไปตามโลก ถ้าใครไม่หลงสมมุติไปตามเขาผู้นั้นก็มีสุญญะ มีสูญญตะ มีการว่างแล้ว มีการเข้าใจความสมมุติในโลก แต่ไม่ตามโลกเขา นี่แหละคือสิ่งที่เราควรจะเข้าใจให้ได้ ที่อาตมาพูดมาให้ยาวนี้ ยาวมากมายกว่าพระพุทธเจ้าท่านอธิบายในพระไตรปิฎกเพราะอะไร เพราะเราเองเรายังไม่ได้ไปถึงขนาดขั้นนี้หรอก แต่ขั้นที่กำลังอธิบายให้ฟังนี่แหละเรากำลังว่ากันอยู่ พระว่า…ขออภัยว่าจะไปถามที่วัด เรียนถามท่านว่า คิดว่าเป็น สุญญตวิโมกข์ สุญญตวิมุตนี้ คือว่าอย่างที่เราเห็นรูปนาม เราเห็นชัดตรงนั้นมองเข้าไปเฉยๆ อย่างนั้นแล้วไม่มีอะไรเลย อันนี้เป็น พ่อครูว่า… เรามองเห็นนั้นเรียกว่า สุญญตวิโมกข์ เราเห็นความเกิดและความดับ พระว่า… เห็นชัดกันแล้วอันนั้น ที่นี่ก็มองไปก็มองเห็นถึงขั้นวางตัวผู้มองเลยให้มันหมดความหมายไปเลย อันนี้ใช่หรือไม่ พ่อครูว่า… ใช่ สูญญตวิมุติ สูญญตวิโมกข์ก็คือแค่เรารู้สมมุติโลกหรือรู้รูป รู้นาม หรือรู้เกิดรู้กลับก็ได้ เกิดสิ่งที่เขาสมมุติอยู่ พระว่า… ถ้าเห็นว่ามันไม่เที่ยง พ่อครูว่า… ฮิปโป้ ฮิปปี้ตอนนี้สมมุติกันเกลื่อนตลาดเลย เพราะฉะนั้นรู้ว่าไอ้นี่เขาสร้างขึ้นมาเขาก่อให้มันเกิดขึ้นมาเป็นการสมมุติ แล้วเราก็รู้ดับ ก็รู้ว่าไม่ช้ามันก็ดับ เพราะฉะนั้นแทนที่จะไปรอให้มันดับ ถ้าฮิปโป้ฮิปปี้มันดับไปเอง เราดับที่ใจเราไม่เป็นฮิปโป้ฮิปปี้กับเขาด้วย ให้กิเลสมันดับ ถ้าเผื่อว่า เราเห็นแล้วรู้ชัดในโลกว่า สิ่งที่เขามีนี่ที่เขายังยึดกันอยู่ แต่เราไม่ยึดด้วย เราก็มาดับที่เรา พอเราดับที่เราได้มันก็เป็นสุญญตะที่เรา ถ้าเราแยกออกว่าไอ้นี่เป็นการเกิด ไอ้นี่เป็นการดับ ไอ้นี่เป็นของสมมุติ อันนี้เป็นของที่เขายึดถือ และเราเองทำใจของเราไม่ยึดถือได้ด้วย เห็นที่จิตของเรา แยกยึดกับแยกไม่ยึดได้ เห็นได้อย่างนั้นเรียกว่า วิโมกข์ พอเวลามันแยกเห็นได้อย่างนั้นแจ้งชัดแล้วก็ เราไม่เลือกเอาที่มันมีอยู่ เราเลือกเอาที่มันวิมุติหลุดไปเลย จากการมีของเขาที่เขามีอยู่ในโลก เขาสมมุติแล้วเขาไขว่คว้า เขาจะเอา เขาจะยึด จะถืออยู่ ให้เขาเอาไป แต่เราไม่เอาด้วย เพราะเราวิมุติลง พอเราวิมุติแล้วก็ถือว่า ไม่ต้องมีก็ได้อย่างนั้น พระว่า…ไปเห็นความว่างในความว่าง พ่อครูว่า… เห็นว่างในว่าง เรียกว่า เราเห็นว่างในว่าง ถ้าไม่เห็นว่างในว่างนะ ก็ไม่เห็นสุญญตา ไม่เห็นสุญญตะ เพราะฉะนั้นจะต้องเห็น สุญญตะคือตัวความว่างนี้ เมื่อเห็นตัวความว่างนี้แล้วเราก็ทำความว่างให้เราได้ด้วย เห็นแล้วเป็นวิโมกข์แล้วเราทำความว่างให้ตัวเราเอง เป็นวิมุติ เราทำวิโมกข์ วิมุติ วิโมกข์ วิมุติอย่างนี้ได้สลับกันไป ก็คือเรามีสุญญตวิหาร มีการรู้และมีการวาง มีการยึดและมีการวาง มีการรู้ว่ามีและมีการรู้ว่าไม่มี มีเพราะคนอื่นเขามี แต่ไม่มีที่เรา เมื่อใดเราก็ไม่มีได้ แต่ถ้าจะบอกว่าให้เรามี เราก็มีได้ ไอ้นี่เขาเรียกว่าอะไร ขวด อาตมามีได้เหมือนกันกับทุกๆ คน อาตมาไม่โง่จนกระทั่งไม่รู้ว่านี่อะไรไม่มี ไม่ใช่ อาตมารู้กับคุณก็ได้นี่คือขวด เอาเพชรมาวางตรงนี้อาตมาก็บอกว่าเรื่องนี้คือ เพชร อาตมาบอกได้ว่านี่คือ แบงค์ร้อยก็ได้ เรียกว่า “รู้” มีก็ได้ มี แต่มีอาตมาก็ไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกับของคุณหรอก ขวดก็เป็นขวด แบงค์ร้อยก็เป็นแบงค์ร้อยไป เพชรก็เป็นเพชรไป อาตมาไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย อาตมาวิมุติ ไม่มี ไม่มีด้วย คุณมีอาตมารู้ มันมีอยู่ในโลก อาตมารู้ แต่อาตมาไม่เอาด้วย พ่อครูว่า… ไม่มีความหมายด้วย คุณจะหลงบ้าไปกับมันก็ช่างปะไร คุณจะหลงไปตีรันฟันแทง ก็ตาย ก็ช่างคุณ อาตมาไม่ได้ตีด้วย คุณจะไปแย่งกันให้ตายยังไงก็ช่างคุณไป ไม่ไปแย่งด้วย คุณจะเอามาให้อาตมาถ้าอาตมาว่า มีเงินล้านนึง อาตมาก็บอกว่า เงินล้านนึงเอามาทำไม เขาบอกว่าศรัทธาท่าน อยากให้ท่านเอาไปทำบุญทำทานทำอะไรก็ได้ ท่านจะเอาไปทำอะไรได้เลย อาตมาโอเค ถ้าอย่างนั้นเอา แต่มาบอกว่าท่านเอาเงินล้านนี้ไปสร้างโบสถ์หน่อยนะ อาตมาไม่เอาด้วย บอกให้เอาล้านนึงไปสร้างโบสถ์ อาตมาไม่เอาหรอกเมื่อย มีโบสถ์เยอะแยะ อาตมาขอพักโบสถ์ไหนก็ได้อาตมาไม่เอาด้วย ไม่จำเป็นอาตมาไม่จำเป็น เดี๋ยวนี้อาตมาไม่จำเป็น แต่ถ้าคนยังยึดถืออยู่ว่า เออดี สร้างโบสถ์จะได้สร้างให้แก่วัดนั้น คนนั้นเขาก็เอาเงินล้านไปสร้างโบสถ์เขาให้ แต่ถ้าใครเอาเงินมาให้อาตมาสร้างโบสถ์อาตมาไม่เอา เอามาให้ 10 ล้านยังไม่เอาเลย อย่าว่า 10 ล้านเลย 100 ล้านให้ไปสร้างโบสถ์ให้เยี่ยมที่สุดในโลกเลยนะ เหมือนอย่างวัดปากน้ำ ตอนนี้กำลังจะทำวิหารทำโบสถ์อะไร ให้บอกเป็นที่หนึ่งของโลกนะมาสร้างไปสาธุ สร้างกันไปเถอะ กว่าจะวิมุติได้ มันก็เป็นทุกข์ที่เขานั่นแหละ มันก็ดี ก็เป็นสมบัติตั้งอยู่ในโลก เขาไม่ย่นย่อต่อทุกข์ ก็ทำไปแต่อาตมาเห็นว่ามันเป็นทุกข์ไม่เอา เพราะฉะนั้นถ้าบอกว่าเอาสตางค์มาให้อาตมาล้านนึงหรือ 5 ล้านก็ตามแต่ บอกว่าสร้างประโยชน์ แล้วแต่ท่านจะเอาไปใช้อะไรที่จะเป็นประโยชน์กับโลก อาตมามีปัญญาจะใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ ถ้าอย่างนั้นเราก็เอา แต่ถ้ามากำหนดให้อาตมาอย่างที่ว่านี้ไม่เอา แต่ถ้าจะให้อาตมาใช้อาตมาชัดเจนเหมือนกัน เพราะอาตมาสมมุติ กับคุณก็ได้ และอาตมารู้ด้วยว่า จะใช้อย่างไรถึงจะเป็นประโยชน์อย่างอาริยสัจ เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง ไม่ใช่ว่าเอามาใช้ประโยชน์ที่ไม่ใช่แท้จริง เดี๋ยวนี้ กาลเวลาสมัยนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ความจำเป็นที่แท้จริงเดี๋ยวนี้แค่ไหน อาตมารู้ สมัยพระพุทธเจ้าจำเป็นเพราะว่า จะต้องทำบุญกับพระ มีอานิสงส์สูงกว่าทำบุญกับคน แต่สมัยนี้รู้ไหมว่า ทำบุญกับคนมีอานิสงส์สูงกว่าทำบุญกับพระ สมัยนี้นะ จริงๆ ว่าอาตมาเป็นพระนะ อาตมาไม่เข้าข้างพระนะ และก็ไม่ขอไอ้นั่นด้วย ไม่ขอให้ใครมามาพินอบพิเทาอาตมาด้วย จริงๆ นะ อาตมาไม่มีกิน อาตมาไม่มีคุณความดีพอ ที่คนจะใส่บาตรให้อาตมา อาตมาขอตาย ไม่อยากได้จริงๆ บาทนึงข้าวเม็ดนึงก็ไม่อยากได้ เพราะอะไรเพราะว่าถ้าเราไม่มีคุณความดีเพื่อที่จะไปขอข้าวเขากินแล้ว เราก็ไม่เอา แต่ว่าเดี๋ยวนี้คนซาบซึ้งเข้าใจแล้วว่า พระสงฆ์นี้เป็นเนื้อนาบุญที่พระพุทธเจ้าท่านสมมุติเอาไว้ในโลก ท่านก็สมมุติให้คนรู้บอกว่า พระสงฆ์นี้เป็นเนื้อนาบุญ ท่านให้สมมุติเปล่าๆ นะ ท่านสมมุติแล้วว่าพระสงฆ์เหล่านั้นว่านอกจากจะเป็นสมมุติสงฆ์ แล้วพระสงฆ์เก่านั้นเป็นอาริยสงฆ์จริงๆ เอาด้วย แต่สมัยนี้ พอสมมุติขึ้นมาไม่เป็นอาริยะ นี่จะเป็นสมมุติสงฆ์อยู่อย่างเก่า พระพุทธเจ้าท่านสมมุติไว้ เดี๋ยวนี้ก็เลยทุกคนก็เลยอยู่แค่สมมุติ ก็เข้าใจแล้วว่าจริงพระสงฆ์นี้เป็นสมมุติสงฆ์ที่ควรจะเป็นเนื้อนาบุญ แล้วก็ทำบุญแก่พระสงฆ์ ทุกคนเดี๋ยวนี้คนไทย พุทธศาสนิกชนทุกคนรู้เลยมีอานิสงส์เท่าไหร่ทำบุญกับพระได้บุญ จริง เพราะฉะนั้นพระสงฆ์เดี๋ยวนี้ ไม่อด เพราะทุกคนรู้แล้ว สมัยพระพุทธเจ้า ถ้าพระพุทธเจ้าท่านไม่ยกอานิสงส์อันนี้ขึ้นมาคนไม่ใส่บาตรตาย ศาสนานี้ไม่มาถึงเวลานี้ แต่ที่ศาสนามีมาถึงเวลานี้ได้เพราะพระพุทธเจ้าต้องยกอานิสงส์พระสงฆ์ให้เขาทำบุญ กับพระสงฆ์ให้เพียงพอ เดี๋ยวนี้คนทำบุญกับพระสงฆ์เพียงพอแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวพระสงฆ์จะไม่อยู่ ไม่เป็นไป เป็นไปแล้ว เดี๋ยวนี้พระสงฆ์เป็นไปได้สบายเลย มากเกินพอ จนพระสงฆ์ติดกิเลสแล้ว มากเกินพอ ก็เป็นภัยเกินขอบเขต โดยจริงๆ แล้วพระสงฆ์จะต้องเป็นผู้ที่ทิ้ง เป็นผู้ที่ไม่เอา เป็นผู้ที่ไม่ยึดไม่ถือ เป็นผู้ที่วางเป็นสุญญะ สมมุติโลกรู้สมมุติ นางวิสาขาสร้างโลหะปราสาทให้พระพุทธองค์ อยู่ในบุปผาราม พระพุทธองค์รู้ว่า นางวิสาขาจะสร้างให้มโหฬารพันลึก ทำไมท่านไม่รู้ สร้างไป ดูเหมือนจะหนเดียวกระมัง พระพุทธเจ้าไปอยู่โลหะประสาทอยู่หนเดียว แล้วท่านก็ไปพักที่อื่น ที่เป็นที่โกโรโกโสมากกว่า ท่านไม่ได้ไปยึดถือว่า ปราสาทใหญ่ตั้ง 1,000 ห้อง มันจะต้องอยู่ตรงนี้แหละเป็นบริบูรณ์ที่สุด เปล่าเลย ท่านไม่ยึดถืออะไรเลย เพราะฉะนั้น ทำบุญอริยสัจทุกวันนี้ พระสงฆ์ไม่ตาย คุณไม่ต้องไปประคบประหงมพระสงฆ์มากมาย แต่อย่าไปทิ้งพระสงฆ์นะ ทิ้งพระสงฆ์ก็ขาดลอยเลยผิดเหมือนกันนะ รัตนตรัย 3 ทิ้งพระสงฆ์ก็ขาดลอย จะไม่เอาตาดูหูแลพระสงฆ์ แล้วปล่อยขาดลอยเลย ผิดเหมือนกันนะอย่างหนักเลยเพราะเดี๋ยวนี้ไม่มีพระสงฆ์ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราเอาตาดู หูแล พระสงฆ์ท่านไม่มีปัจจัย 4 ไม่มีข้าวจะฉันหาข้าวให้ท่าน ไม่มีจีวรจะนุ่ง หาจีวรให้ท่าน ไม่มีกุฏิจะอาศัยทำกุฏิให้ท่านพอประมาณ ถ้าท่านไม่สบายหายาให้ท่าน แต่อย่าไปอุตริหาโทรทัศน์ให้ท่าน สร้างกุฏิให้ท่าน 3 ชั้นติดแอร์ condition. อย่า ไปเอางาช้างแขวนระฆังแขวนคล้องให้ท่าน เอาโต๊ะมุก โต๊ะเหลี่ยม โต๊ะบูชาอะไรไปให้ท่าน อย่า ไม่ใช่เรื่องนะ อย่านะ นั้นไม่ใช่เรื่องหรอก เกินขอบเขตแล้วเป็นภัยกับท่านด้วยนะ จะบอกให้ เป็นภัยกับพระด้วยนะ ประเดี๋ยวบอกว่า แหม! งาช้างคู่นี้ประเดี๋ยวขายได้ 30,000 บาท เสร็จประเดี๋ยวแล้วไอ้โจรก็มางัดหรือไม่ก็ทำร้ายท่าน แล้วก็เอางาช้างไป ทำให้ท่านได้รับความเดือดร้อน ไม่ใช่ของดีนะ เพราะฉะนั้นจะทำของดี จงดูแลแค่ปัจจัย 4 ที่ท่านขาดเหลือ ถ้าพระองค์ใดท่านไม่มีปัจจัย 4 นี่แหละสูงสุดทำบุญด้วยปัจจัย 4 เท่านั้น อย่าไปหลงอย่างอื่นเลย ทำบุญแค่ปัจจัย 4 เท่านั้นแหละเป็นวิหารทาน ปัจจัย 4 เป็นวิหารทาน คือเครื่องอยู่ ทานที่เป็นเครื่องอยู่จริงๆ โดยเฉพาะเรียกว่า ปัจจัยแท้ๆ ที่จะยังชีพอยู่ เรียกว่า วิหารทาน แล้วก็อย่าไปอุตริไปแปลวิหารทานว่า ไปสร้างวิหารล่ะ เดี๋ยวนี้ก็สร้างวิหารกันเก่ง และก็บอกว่าเป็นอานิสงส์สูงด้วยซึ่งไม่ใช่ วิหารทานแท้จริงคือการทานปัจจัย 4 ต่างหาก อาตมาพูดถึงจูฬสุญญตสูตร ก็พยายามโน้มน้าวให้ไปถึงสองฝ่าย ผู้ใดมีสภาวะถึงก็จะเข้าใจได้ ผู้ใดยังไม่มีสภาวะมีสภาวะ ก็อนุโลมพูดลงไปถึงแม้กระทั่ง ทาน ศีล สมาธิ มาต่อในพระไตรปิฎก… ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุไม่ใส่ใจสัญญาว่ามนุษย์ ไม่ใส่ใจสัญญาว่า ป่า ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะสัญญาว่า แผ่นดิน จิตของเธอย่อมแล่นไปเลื่อมใสตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ในสัญญาว่าแผ่นดินเปรียบเหมือนหนังโคที่เขาขึงดีแล้วด้วยหลักตั้งร้อย เป็นของปราศจากรอยย่น ฉันใด ดูกรอานนท์ ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ไม่ใส่ใจในแผ่นดิน ซึ่งจะมีชั้นเชิง มีแม่น้ำลำธาร มีที่เต็มด้วยตอหนามมีภูเขา และพื้นที่ไม่สม่ำเสมอทั้งหมด ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะสัญญาว่า แผ่นดิน จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ในสัญญาว่าแผ่นดิน เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า ในสัญญาว่าแผ่นดินนี้ ไม่มีความกระวนกระวายชนิดที่อาศัยสัญญาว่ามนุษย์ และชนิดที่อาศัยสัญญาว่าป่า มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวาย คือภาวะเดียวเฉพาะสัญญาว่าแผ่นดินเท่านั้น เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจากสัญญามนุษย์ สัญญานี้ว่างจากสัญญาว่าป่า และรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียว เฉพาะสัญญาว่าแผ่นดินเท่านั้น ด้วยอาการนี้แหละ เธอจึงพิจารณาเห็นว่า เห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้นเลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในสัญญานั้นอันยังมีอยู่ว่ามี เหมือนกัน คำอธิบายนี้เหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่า เลื่อนชั้นขึ้นไปเดี๋ยวอาตมาจะอธิบายต่อ ดูกรอานนท์ เเม้อย่างนี้ก็เป็นการก้าวลงสู่การว่างตามความเป็นจริง ไม่เคลื่อนคลาด บริสุทธิ์ ของภิกษุนั้น หมายความว่า เมื่อกี้นี้ท่านสมมุติว่า ให้ไปยึดป่า ท่านสมมุติให้ไปยึดป่าไว้ ที่จริงป่านี่มันตั้งอยู่บนแผ่นดิน ป่าทั้งหมดยังตั้งอยู่บนแผ่นดิน ยังเป็นของเล็ก แผ่นดินนี้ใหญ่กว่าป่า เพราะฉะนั้นตอนแรกนี่เรากำหนดยึดป่าเท่านั้นเอง แต่เรา ไม่ยึดมนุษย์ ไม่ยึดสัตว์ ไม่ยึด ช้าง โค ลา ม้า เงิน ทอง แม้แต่ สตรี บุรุษ ไม่ยึด ที่ท่านอธิบายมาแล้วตั้งแต่ต้น แต่สมมุติว่าป่า ยึดป่าก็ใหญ่แล้วนะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ดี ป่าก็ยังไม่ใหญ่เท่าแผ่นดิน ป่านี้ยังตั้งอยู่บนแผ่นดิน เพราะฉะนั้นป่านี้จะมีเนินดิน มีภูเขา มีต้นไม้ มีหลุมลึกร่องอะไร ท่านบอก มีทั้งลำธาร ตอหนาม มีภูเขาพื้นที่ไม่สม่ำเสมอทั้งหมด พวกนี้ก็ไม่ให้ใส่ใจ ให้ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะสัญญาว่าแผ่นดิน ให้ตั้งมั่นอยู่แค่ว่า ทุกอย่างมันต้องเป็นแผ่นดินทั้งนั้นแหละ ตอไม้ ไร่เขา ลำธาร ก็เป็นแผ่นดินทั้งนั้น เหมือนๆ กันแหละ มันเกิดมาจากแผ่นดิน ถ้าไม่มีแผ่นดิน ตอไม้ก็ไม่เกิดมา ไม่มีแผ่นดิน ลำธารมันก็ไม่มี ไม่มีแผ่นดิน ไอ้ตอหนามภูเขามันก็ไม่มี ท่านให้สมมุติให้มันเหมือนกัน มันเกิดมาตามสภาวะของมัน ลมอาจจะหอบดินมาทำเป็นเนินเขา อะไรมันอาจจะเซาะร่องจนกระทั่งเป็นลำธารไปก็ได้ เกิดตามสภาวธรรม สภาวะของที่เป็นไป ไอ้นกมันไปกินลูกไทรมามันก็ขี้แปะลงตรงนี้ อ้าว..เกิดต้นไทรขึ้นมา มันก็เป็นของเกิดมาตามสภาวะ มันไม่แปลกอะไร อย่าไปทำความแปลกอะไรเลย เช่นเดียวกันกับเราไม่แปลกใจว่า ฮิปปี้ ฮิปโป้ มันไม่เห็นมีอะไร คนเขาก็สมมุติกันขึ้นมา แล้วมันก็สร้างฮิปปี้ฮิปโป้ มันก็สร้างขึ้นมา สร้างบิลเลียด สร้างโบว์ลิ่ง เดี๋ยวนี้สร้างอาบอบนวด คือมันเหตุที่จะสร้างอาบอบนวดกันมาก ก็เพราะว่า เพราะมันเลิกโสเภณี มันเลยบังคับ เขาบังคับให้คนไปสร้างโรงอาบอบนวด แล้วโรงอาบอบนวดมันก็เกิดขึ้นมาได้ตามสภาวะของเหตุการณ์ในโลก ใช่ไหม? มันก็เกิดขึ้นเป็นแหล่งกลางขึ้นมา เพราะความจำเป็นของโลกบีบคั้นให้มันสร้าง มันก็สร้าง เหมือนกันกับไอ้นกที่มันกินเม็ด กินลูกไทรมาแล้วมันปวดขี้อยู่ตรงนี้ มันก็ขี้ลงตรงนี้ เม็ดตอนนี้เกิดบนพื้นดินที่มีเหตุปัจจัย เกิดเป็นต้นไทร เช่นเดียวกันกับอาบอบนวด มันเกิดขึ้นเพราะทุกอย่างบีบรัดขึ้นมา มันปวดไม่มีที่ไป มันก็ต้องสร้างตรงนี้ อันเดียวกัน เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าเราอย่าไปหลงว่า ไอ้โรงอาบอบนวดก็เป็นความสำคัญของเรา ต้นไทรก็สำคัญ ภูเขาก็สำคัญ แม่น้ำก็สำคัญกับเรา ไม่เกี่ยวทั้งนั้น ไม่สำคัญ ถ้ามันไม่มีอันนี้อันนั้นไม่เกิด ไม่มีแผ่นดินสิ่งเหล่านี้ไม่เกิด เพราะฉะนั้นในโลกนี้มันมีสิ่งเหล่านี้ต่างๆ ทุกอย่างมันเกิดซอยเล็กถี่เข้าไปเรื่อย พอไปหยุดไอ้นี่ ไอ้นี่ก็เกิดขึ้นมา พอไปหยุดไอ้นี่ ไอ้นี่ก็ผุดขึ้นมา พอหยุดผมสั้น แน่นอนผมยาวก็เกิด หยุดผมยาวผมสั้นต้องเกิด จะไปห้ามมันได้ที่ไหน หยุดกระโปรงสั้น กระโปรงยาวก็ต้องโผล่ออกมา หยุดกระโปรงยาว กระโปรงสั้นก็ต้องโผล่ออกมาอีก มันก็เป็นอยู่อย่างนั้นจะไปมีปัญหาอะไร เพราะฉะนั้นเราอย่าไปยึดเลย โลกมันจะสมมุติสั้น ตอนนี้ฮิต สมมุติยาว ตอนนี้ฮิต ไม่ต้องไปเอาด้วย นี่เช่นเดียวกัน เราเห็นความเป็นกลางให้ได้ว่าโลกมันเกิดตามสภาวะความบีบคั้น เรียกว่าความบีบคั้นในโลก มันบีบคั้นหรือว่ามันเป็นไป มันสมมุติกันขึ้นมาแล้วให้มันเป็นไปอย่างนั้นๆๆ เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าเราไม่ไปสมมุติตาม พระพุทธเจ้าถึงบอกใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะสัญญาว่าแผ่นดิน จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ในสัญญาว่าแผ่นดินเท่านั้น ก็เห็นของทุกอย่างเป็นไปธรรมดา เห็นฮิปโป้ฮิปปี้มันจะทำยังไง มันก็กระโดดโลดเต้นไป มันก็เป็นแต่เพียง “รู้” เฉยๆ เราก็ “รู้” ว่าไอ้นี่ก็คือสมบัติโลกอันหนึ่งที่มันสมมุติขึ้นมาตั้งอยู่บนโลก ไม่ไปเอานิยายด้วยกับมัน จะเอายังไงก็อย่างนั้น ช่างมันเถอะ ถ้ามันจะมาตีเรา เราก็หลีกมันเสีย เพราะแน่นอนว่าคนนี้ตีหัวคนได้ง่ายๆ แน่ ถ้ามันเป็นฮิปโป้ฮิปปี้บ้าๆ บอๆ เพราะฉะนั้นเราก็หลบมันเสีย และท่านถึงบอกว่า อย่าไปเอาใจใส่มัน มันเกิดได้เป็นได้ทุกอย่าง สีแดงก็สร้างขึ้น สีเขียวก็สร้างขึ้น แบงค์ก็สร้างขึ้น เพชรนิลจินดาก็สมมุติกันขึ้น สมมุติกันขึ้นมาทั้งโลก ท้ายที่สุดผู้หญิงผู้ชายก็สมมุติกันขึ้นมา ไอ้แท้ที่จริงไม่มีผู้หญิงผู้ชายหรอก มัน “มี” เพราะไปยึดถือกันเข้า ไส้เดือนมันไม่สมมุติกันมาก มันมีตัวผู้ตัวเมียไหม “ไม่มี” ตัวผู้ตัวเมียของไส้เดือนไม่มี เพราะไม่ไปสมมุติกันมาก สมมุติกันมาก มันก็แตกตัวขึ้นมา ไม่สมมุติมาก มันก็อยู่ตัวของมัน ถ้าสมมุติมาก มันก็ยึดถือจะต้องแตกเหล่าแตกกอ จะต้องสร้างวิญญาณ เพราะว่ามันถือว่ามันมีวิญญาณ มันก็มีลูกขึ้นมาได้ในตัวของมันเอง ไม่มีปัญหาอะไรเลย ถ้าเราเข้าใจเรื่อง “วิญญาณ” แท้ๆ และเข้าใจลึกซึ้งถึงความจำเป็นที่มันจะบีบคั้น ถ้าไส้เดือนมันไปเกิดสมมุติตัวเองขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ว่า ไม่ได้แฮะมันต้องมีเพศแฮะ เพศหญิงเพศชาย ประเดี๋ยวไส้เดือนจะมีเพศหญิงเพศชาย คนก็เหมือนกัน ที่มันแตกมาเป็นเพศหญิงเพศชาย เพราะได้หลงสมมุติมาตั้งนานแล้ว เป็นสัตว์ที่เจริญกว่าไส้เดือน สมมุติกันขึ้นมาเป็นเพศนั่นเพศนี่ จนเจริญขึ้นมาเป็นลิง เป็นค่าง ก็สมมุติมาจนกระทั่งเป็นคนนี่ ไปยึดถือกระทั่งว่า ผู้หญิงกับผู้ชายไม่เหมือนกัน พระว่า… ไส้เดือนไม่มีเพศ แล้วเขาสืบพันธุ์ยังไงครับ พ่อครูว่า… เขาสืบพันธุ์ในตัวของเขาเอง ไส้เดือนมีทั้งเพศหญิง-เพศชายอยู่ในตัวเดียวกัน อาตมาเอาชีววิทยามาอธิบายให้ฟังด้วย มีทั้งเพศหญิง-เพศชาย เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านถึงบอกว่า เมื่อรู้ชัดอย่างนี้ว่า สัญญานี้ว่าแผ่นดินนี้ ไม่มีความกระวนกระวายชนิดที่อาศัยสัญญาว่า มนุษย์ และชนิดที่อาศัยสัญญาว่า ป่า ไม่มีไปวุ่นวายด้วย ไอ้นี่จะเรียกว่ามนุษย์ ไอ้นี่จะเรียกว่า ป่า ไอ้นี่จะเรียกว่า ภูเขา ลำธาร น้ำ ไอ้นี่จะเรียกว่า ฮิปโปฮิปปี้ ไม่ไปสมมุติกับเขาหมด มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวายในภาวะเดียว เฉพาะสัญญาว่าแผ่นดินเท่านั้น สั้นเข้ามาอีกแล้วใหญ่ขึ้น แต่แคบเข้าความรู้สึกแคบเข้า แต่กว้างใหญ่ไพศาล สัญญานี้ว่างจากสัญญาว่าป่า สัญญานี้ว่างจากสัญญามนุษย์ และรู้ชัดว่า มีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียว เฉพาะสัญญาว่าแผ่นดินเท่านั้น ยึดถืออย่างเดียวว่า เออสักแต่ว่าคนเหมือนกันหมด ถ้าเราสมมุติมาใกล้ สักแต่ว่าคนหมด ก็เหมือนกับที่ท่านว่าสักแต่ว่าแผ่นดินหมด ไอ้นี่ก็แผ่นดิน มันไม่มีแผ่นดิน มันไม่มีอย่างอื่น พระว่า… สังขารไหมครับ พ่อครูว่า… เป็นไอ้นี่ขึ้นมาเป็น “สังขาร” เราไปยึดด้วยว่าสังขาร เป็น “สังขาร” ปรุงขึ้นมาทั้งนั้น ปรุงขึ้นมาเป็นผู้หญิง ปรุงขึ้นมาเป็นผู้หญิง-ผู้ชาย ปรุงขึ้นมาทั้งนั้น เพราะฉะนั้นพอ สักแต่ว่าคนเหมือนกัน ไม่มีแม้แต่กระทั่งเพศชาย-เพศหญิงไม่มี เป็นเพศหญิงก็เพราะไปปรุง ปรุงขึ้นมา แต่แท้จริงโลกมันปรุงมาแล้ว มันเกิดผู้หญิง-ผู้ชายแยกออกมาเป็นตัวๆ มันมีอะไรหลายอย่าง ไม่เหมือนกันในโลก แต่โดยใจของเราอย่าไปเอาด้วยกับเขาสิ เขาจะเป็นหญิงก็ช่างเขาปะไร แต่ก็คนใช่ไหม ผู้หญิงก็คน ผู้ชายก็คน มันไม่เป็นอะไร เพราะฉะนั้นสักแต่ว่าคน ไม่มีผู้หญิงไม่มีผู้ชาย เมถุนธรรมเราจะได้ลดบ้าง เอาเข้าหน่อย เอาเข้าหน่อย เมถุนธรรมจะได้ลดลงได้ ด้วยอาการนี้แหละ เธอจึงพิจารณาเห็นว่าความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้นเลย ก็เช่นเดียวกับเมื่อกี้นี้ ท่านบอกแล้วว่า ด้วยความเห็นว่าว่าง ไม่มีอยู่ในสัญญานั้นเลย คือเห็นว่ามี ได้ และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในสัญญานั้นว่า มีอยู่ว่ามี เห็นแล้วก็ปล่อยไป ไอ้นี่ว่ามี และความว่างก็มีอยู่ด้วยตลอด พิจารณาเห็นความว่างในสิ่งที่ไม่มีอยู่นั้น อยู่ในสัญญาคือไม่มีอะไร และรู้สิ่งนั้นที่สัญญานั้นยัง “มี” อยู่ว่า “มี” รู้กำหนดที่เขาสมมุติว่ามี และเราเองไม่กำหนดตามเขาก็คือ..ว่าง นี่เท่านี้ความหมายของท่าน เพราะฉะนั้นถ้าเราทำได้จริง จิตมันไม่ไปยึดถือจริง จิตมันก็ไม่ไปรับเอามาจริง ..มันก็เป็นจริง แต่ขณะนี้เราฟังแต่ภาษา พระว่า… หลักปฏิบัติก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติเลย พ่อครูว่า… ไม่มีอื่นเลย ศีล สมาธิ ปัญญาจะพูดอีกกี่ร้อยรอบ ที่พูดให้ฟังอยู่ขณะนี้คือ..ศีล หรือเรียกว่า..ปริยัติ ที่พูดให้ฟังอยู่ขณะนี้คือศีลหรือปริยัติ ต่อไปเมื่อรู้แล้วเอาไปลองทำดูซิ เรียกว่า.. ปฏิบัติหรือสมาธิ พอเอาไปปฏิบัติหรือสมาธิ มันจะเกิด..ปฏิเวธธรรม เกิดผลขึ้นมาจริงๆ ให้เราสัมผัส มันถึงจะ อ๋อ.. ตัวอ๋อนั้นคือ..ปัญญา ตัวอ๋อตัวนั้นคือปัญญา พุทโธ่เอ๋ย.. แหม.. หลงกันซะตั้งนาน นี่ผู้หญิง ก็ไอ้คนเท่านั้นเอง ผู้หญิงที่ไหนล่ะ หรือผู้หญิงเองก็เหมือนกันถามจริงๆ นี่ผู้ชายหรือ พุทโธ่เอ๋ย.. ก็ไอ้คนเหมือนกันนะ มันไปแบ่งเพศแบ่งพันธุ์อะไรที่ไหนกัน ไม่เห็นจะต้องไปสืบพันธุ์กันตรงไหน ก็ไอ้คนเท่ากัน คนนี้ก็จบลง..ว่างลง สุญญตะลง ก็ไม่ดิ้นรนที่จะไปสืบพันธุ์ ถ้ายังเห็นเป็นผู้หญิง-ผู้ชาย ..สังขารธรรมก็เกิดอยู่ตลอดโลก สังขารกันเข้าไป สังขารตัวนี้แปลว่าสืบพันธุ์ ตามหลักเรื่องนี้ ไม่มีผิดหรอก เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าต้องเห็นให้ได้ เป็นให้ได้ ที่นี้ให้เห็นให้ได้ เป็นให้ได้ต้องไปหยุดให้ได้จริงๆ ด้วย ลองจริงๆ หรือปฏิบัติให้มีสมาธิ เพราะฉะนั้นสมาธิอันนี้อย่าไปเพ่งเล็งแต่เฉพาะต้องมานั่งหลับตาปี๋ๆ อยู่อย่างนั้น มันไม่ไหวนะ เอาแต่นั่งหลับตาปี๋ๆ แล้วก็จะไปลงยังไง องค์นี้ท่านปฏิบัติหลับตาปี๋ๆ มาแล้ว แล้วก็ติดมาตั้งไม่รู้เท่าไหร่ๆ หลับตาปี๋กิเลสข้างนอกกระโดดโลดเต้นลูบหัวอยู่ก็ไม่รู้ พอลืมตาขึ้นมา กิเลสมันก็บานเบอะเท่านั้นเอง ก็ลืมตามันก็มาครอบเราเป็นสมมุติอยู่อย่างนั้น หลุดไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่เห็นสมมุติไม่แจ้งใจในปัญญา วิมุติปัญญาไม่เกิด พระพุทธเจ้าท่านไม่สอนเจโตวิมุตอย่างเดียว เพราะฉะนั้นคนที่เจโตวิมุติมีเยอะแยะไป สมัยพระพุทธเจ้าพวกนั่งหลับตาปี๋ๆ มีนิโรธสมาบัติ เป็นปรมาตมันบ้าง เป็นอะไรต่ออะไร วิมุติอยู่ในป่าเยอะแยะไปหมด แข็งทื่อ..มีฤทธิ์มีเดช พระพุทธเจ้าท่านไม่ยกเป็นอาริยะ ถ้ามีปัญญาเกิดแม้น้อยหนึ่ง ท่านก็เรียกเป็นอาริยะแล้ว โสดาฯ ยิ่งเป็นปัญญารู้จักละ จักวางอะไรได้ด้วยท่านถึงบอกว่า มีอะไรต่ออะไรขึ้นไปมีศรัทธานุสารี ธัมมานุสารี มีศรัทธาวิมุติ มีทิฏฐิปปัตตะ มีกายสักขี มีปัญญาวิมุติ จนกระทั่งเลยไปเป็นอุภโตภาควิมุติ เป็นปัจเจกพุทธะ สุดท้ายก็เป็น อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านแยกไว้ละเอียดลออหมดเลยทุกอย่าง เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าเราจะรู้ได้ด้วยปัญญานี่จะต้องรู้ไปอย่างนี้ ตามลำดับ เพราะฉะนั้นท่านแบ่งแยกแม้กระทั่งของศาสนาอื่นท่านสอนไว้ ท่านก็แบ่งแยก แต่ของท่านที่สุดก็คือ สัมมาสัมพุทธะสูงสุด ท่านแยกเอาไว้หมดเลย พระว่า…คำว่า นิสสัตตะ นิชชีวะ สภาวะ พ่อครูว่า… อันนี้อาตมาไม่เคยได้ยิน แต่เป็นสภาวะที่รู้ได้เห็นได้ เราก็จะรู้ได้ว่าอันนี้ไม่มีชีวิต ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ฉะนั้นท่านถึงไม่พยากรณ์ แม้ มาลุงกยบุตร ที่ไปถามท่านนักหนาว่า ไอ้นี่เป็นชีวะ ไอ้นี่เป็นสรีระ ท่านบอกไม่เอานะ มาพูดอยู่นี่มันโยกโย้ ไอ้นี่เป็นชีวะ ก็ไม่ใช่ ไอ้นี่เป็นสรีระก็ไม่เชิง มาอธิบายอยู่ท่านบอกท่านไม่เอา เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าไอ้นี่เป็นสัตว์ เป็นบุคคล หรือไอ้นี่เป็นชีวิต ไม่ชีวิตอะไรต่างๆ ย่อมรู้ได้ด้วยการปฏิบัติ ไม่จำเป็นจะต้องมาพูดกันมาก ย่อมรู้ได้ด้วยการปฏิบัติ ไม่ใช่มารู้ได้ด้วยภาวะการพูดๆ ฟังๆ ไปพูดนะ ประเดี๋ยวก็เป็นมิจฉาทิฏฐิประเดี๋ยวเลอะ เดี๋ยวก็หลง ง่ายเข้าๆ เลยเอาแต่สบายเลย เสพเมถุนด้วยจิตว่างเลย ไปลงถึงขั้นเสพเมถุนด้วยจิตว่างละ หวานเลย ผู้หญิง-ผู้ชายแค่นี้ก็ยังให้รู้ว่าไปโง่สมมุติเป็นผู้หญิงผู้ชายทำไม ผู้หญิงผู้ชายก็ไม่มี เมื่อไม่มีผู้หญิงผู้ชาย มันจะมีการเสพเมถุนนี้ได้ที่ไหนในโลก ก็ถ้าไปเสพเมถุนอยู่แล้วก็บอกว่า ว่าง มันจะว่างลงไปได้ยังไง ก็มันยังแบ่งเป็นผู้หญิงผู้ชายอยู่แท้ๆ ก็ยังมีผู้หญิงผู้ชายอยู่ จะไปว่างไปได้ยังไง ว่างลงไม่ได้ มันสุญญตะลงไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าถึงบอกว่า สักแต่ว่ามีนะ ภูเขา ลำธาร น้ำ อะไรต่างๆ ไม่ต้องไปเกี่ยว มันเกิดมาให้ยึดแต่ว่า..เออนี่มันก็ลงตัวมันอยู่ในนี้แหละ มันรวมตัวกันขึ้นมา กว้างขึ้น ขณะนี้ อธิบายถึงพรุ่งนี้นะ ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นยังไง ตอนนี้จากป่าแล้วกระจายไปสู่แผ่นดิน ดูต่อไปซิ ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุไม่ใส่ใจสัญญาว่าป่า ไม่ใส่ใจสัญญาว่าแผ่นดิน ตอนนี้ไม่ใส่ใจว่าสัญญาว่าแผ่นดินอีกแล้วนะ ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะ อากาสานัญจายตนสัญญา จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ในอากาสานัญจายตนสัญญา เดี๋ยวอาตมาจะอธิบายเรื่อง “อรูปฌาน” ให้ฟัง ที่จริงแล้วต้องไปนั่งหลับตากับ “รูปฌาน” เหล่านี้ให้ได้จริง เดี๋ยวอาตมาจะอธิบายให้ฟัง เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ ในอากาสานัญจายตนสัญญานี้ ไม่มีความกระวนกระวาย ชนิดที่อาศัยสัญญาว่าป่า และชนิดที่อาศัยสัญญาว่าแผ่นดิน มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวายคือ ภาวะเดียว เฉพาะ อากาสานัญจายตนสัญญาเท่านั้น เธอรู้ชัดว่าสัญญานี้ ว่างจากสัญญาว่าป่า สัญญานี้ว่างจากสัญญาว่าแผ่นดิน และรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ ก็คือสิ่งเดียวเฉพาะ “อากาสานัญจายตนสัญญา” เท่านั้น ด้วยอาการนี้แหละ เธอจึงพึงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้นเลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในสัญญานั่นเองยังมีอยู่ รู้ความ “มี” และความ “ไม่มี” ว่า “มี” ดูกรอานนท์ แม้อย่างนี้ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่าง ตามความเป็นจริง ไม่เคลื่อนคลาด บริสุทธิ์ ของภิกษุนั้น นี่ท่านยกขึ้นมาอีกแล้ว นอกจากป่าก็ให้มายึดเอาอากาศ “อากาสานัญจายตนะ” หมายความว่า แล้วท่านมีสัญญาด้วยนะ หมายความว่ามารับรู้แต่ว่าอากาศ อากาศนี้ยิ่งกว่าแผ่นดินอีกนะ มีอยู่รอบโลกนอกออกไปจากอากาศนี้นอกโลกออกไป..ยิ่งกว่าแผ่นดิน เมื่อกี้อาตมายังนึกว่าท่านจะมาเอาโลกซะก่อน ท่านไม่เอาโลกเลยท่านเอาอากาศเลย อากาศมีมากยิ่งกว่าโลกอีก เพราะฉะนั้นนอกจากเราจะไม่ยึดถือแค่ว่า นี่ก็ต้นไม้ นี่ก็ภูเขา นี่ว่าป่า ว่าอะไร นี่แผ่นดิน ก็ให้วางอีก อย่าไปยึดถือว่าไอ้นี่แผ่นดิน ที่แผ่นดินมันเกิดได้เพราะมันผสมผเสมาจากอากาศ อากาศมันมาสร้าง สร้างให้เกิดแผ่นดิน สร้างให้เกิดทุกอย่าง เพราะฉะนั้นถ้ารวมความแล้ว ไอ้อากาศนี่แหละรวมตัวมาเป็นโลกทั้งโลก ที่เรายืนอาศัยอยู่ พระว่า… เป็นสังขารหรือเปล่า พ่อครูว่า… สังขารสิ มันปรุงแต่งมาตั้งเป็นกี่ล้านปี กว่าจะรวมตัวมาเป็นโลก เราเองมีชีวิตอยู่กี่ร้อยปีอย่าไปเที่ยวได้คำนวณเอาเลยว่า ไอ้โลกนี้มันปรุงแต่งกันมาทีละนิด ทีละหน่อย เดี๋ยวนี้คนกำลังทำลายโลก ขุดดินเหมือนกัน เหมือนกันกับร่างกายของเรา ร่างกายของเราดีๆ นะ มีขนคิ้วออกมาตามธรรมชาติไม่เอาแล้ว ถอนมันจริงถอน..สักวันโดนตา เหมือนกับทุกวันนี้ ขุดดินถอนต้นไม้ เดี๋ยวนี้ป่าไม้ไม่ค่อยมีแล้วนะ ป่าไม้เหมือนกับคิ้วเหมือนกับผมของคน ในโลกนี้ป่าไม้ ต้นไม้ใบหญ้าเหมือนกับผมของคน ให้มีความชุ่มเย็น คิ้วให้มันมี อะไรให้มันมี มีความชุ่มเย็น ไม่ช้าไม่นานหรอก ถอนมันจริงเดี๋ยวโลกร้อน ต้นไม้ก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี เดี๋ยวโลกแตก มีแต่ความร้อน ความเย็นไม่มี เช่นเดียวกัน คนที่ทรมานตนเองแบบนั้นแหละ เกินขอบเขตประเดี๋ยวจะตาย ขุดจริง อ้าว..ตาไม่ 2 ชั้นเซาะร่องก็ไปขุดเข้าไป ขุดเข้าไปประเดี๋ยวตาย ตรงนี้มันไม่มีเนิน ไม่มีภูเขา ก็ทำภูเขา ไอ้ตรงนี้มันไม่นูนก็บีบมันเข้าไป ให้มันนูนไปเดี๋ยวก็ตาย ตายกันมาแเยะแล้วบีบมันเข้าไป เช่นเดียวกันเลยกับโลก ไม่มีผิดเลย เพราะฉะนั้น โลกนี้แหละ ถ้าเราทำลายมันมาก ประเดี๋ยวมันก็ตาย เพราะฉะนั้นโลกนี้มันจะตายเพราะเรานี่แหละทำ ไประรานต้นไม้บ้าง ไปทำไอ้โน่นไอ้นี่บ้าง ไม่มีภูเขาก็สร้างให้เป็นภูเขาทองเลย สร้างภูเขาอะไรขึ้นมา ไม่มีบ่อน้ำ ไม่มีลำธาร ขุดลำธาร ขุดคลอง ทำเข้าไปสิ แล้วไม่รู้เลยว่าในโลกนี้ที่มันอยู่ได้นี่ มันมีเส้นเลือดของมันใต้น้ำ ใต้ๆ พื้นดิน มีเส้นทางน้ำ มันมีเส้นทางน้ำ มันมีเส้นทางอะไรต่ออะไรที่มันหล่อลื่นในลูกโลกนี้อยู่นะ เหมือนเส้นเลือดในกายของเรา ที่มันหล่อลื่นให้ร่างกายของเราเป็นไปด้วยดี เพราะฉะนั้นในพื้นโลกนี้มีหมดแหละ ต่างๆ นานา แม้กระทั่งตับไตไส้พุงของโลกก็มี มีบ่อแร่ มีบ่อปรมาณู มีบ่อรังสีต่างๆ อยู่ในพื้นโลกนี้แหละ ที่มันจะก่อให้เกิดพลังงาน ที่จะทำโลกนี้ให้มันหมุนอยู่ได้ แล้วให้มันอยู่ได้ในโลก คนก็ไปเอาอะไรไปควักเอาตับมากินนิดหน่อย ไปควักเอาปอดมากินนิดหน่อย ไปควักเอาแร่มา ไปควักเอาน้ำมันมาใช้ ไปควักอะไรมาใช้ นี่แหละ สักวันหนึ่งมันก็แตก เมื่อไม่มีแล้วศูนย์แห่งความดึงดูดก็ไม่มีอะไร ก็ไม่มีแล้ว โลกนี้มันก็ลำบากขึ้นๆ นี่เป็นเรื่องจริง เพราะฉะนั้นคนตายเพราะอะไร ตายเพราะเชื้อโรคมันอยู่ในตัวเรานี่ มันขุดกินตับหน่อยนึง กินปอดหน่อยนึง กินไส้หน่อยนึง ประเดี๋ยวคนก็ตาย เพราะไอ้เชื้อโรคนั่นแหละ คือเหมือนคนที่อยู่ในโลก เจาะกินไปเรื่อยๆ แล้วคนเองหลงว่าเจริญ แหม..ขุดตรงนี้ได้มากๆ เจริญ ก่อตรงนี้ให้ได้มากๆ ทำตรงนี้ให้สูงๆ ทำตรงนี้ให้เป็นภูเขาได้มากเจริญ ถ้าทำตรงนี้ให้เป็นตึกราม 100 ชั้นเจริญ ทำเข้าไป แต่แท้ที่จริง ไอ้การก่อให้เป็นตึก 5 ชั้นคือเนื้องอก คือมะเร็ง ก่อเข้าไปสิ ก่อเข้าไปนี่ในตับ ในไต ในไส้ในพุง ก็ก่อเป็นมะเร็งขึ้นมา ประเดี๋ยวก็ตาย ขุดปอดให้พรุนไปข้างหนึ่งประเดี๋ยวก็ตาย ขุดตับให้พรุนไปข้างนึงเดี๋ยวก็ตาย ไม่ได้ผิดอะไรกันเลย เพราะฉะนั้น คนอย่าไปทำอะไรไปสร้างอะไรกันให้มากมาย โลกมันจะแตกเพราะเรานี่แหละ ก็เช่นเดียวกับเราแตก หรือ เราตายไปเพราะเชื้อโรค ไม่มีผิดเลย พระว่า… คนที่เป็นโรคมะเร็งมาจากไหนครับ พ่อครูว่า… ก็สร้างตึกดินน้ำลมไฟ ที่นี้ถ้าดินน้ำลมไฟนี่มันไม่มีอะไรเลย มันไม่ไปเกาะกลุ่มมันไม่มารวมตัวกัน มันสักแต่ว่ามันอยู่ ดินก็อยู่ น้ำก็อยู่ ไฟก็อยู่เป็นตัวธาตุของมันอยู่แท้ๆ ธรรมดา ไม่มีอะไรเกิด ก็หมายความว่าดินน้ำลมไฟนั้นก็สักแต่ว่าเป็นอย่างนั้นไม่มีที่ใคร ไม่มีที่ไหน แต่ถ้าดินน้ำลมไฟนั้นมันเกาะกุมตัวรวมตัวกันเข้าปั๊บ! จะเกิดธาตุเพิ่มขึ้นอีก 2 ตัว ตอนแรกจะเกิดธาตุเพิ่มขึ้นอีกตัวเดียวก่อน ถ้าตัวนั้นเรียกว่าอากาศธาตุ กำลังพูดถึงอากาศ อากาสานัญจาฯ ถ้าตัวนั้นเป็นอากาศ อากาศตัวนี้ อากาสานัญจาฯ ยังไม่เอาอายตนะเข้าไป มันจะเป็นธาตุตัวที่ 5 เรียกว่า อากาศธาตุ มันยังไม่รู้สึกอะไรมากมาย นอกจากมันปรุงแต่งขึ้นมาเป็นคนเมื่อไหร่ปั๊บ! วิญญาณธาตุเกิดขึ้นมาอีกตัว อากาศสภาพ ทางอภิธรรมเรียกว่า “ปริจเฉทรูป” คือพอเอาดินน้ำลมไฟมารวมตัวกันเข้า มันรวมไม่สนิทหรอก มันจะมีช่องว่างอยู่ที่นึง ไอ้ช่องว่างที่ตรงนั้นแหละ เราเรียกว่า “ปริจเฉทรูป” เป็นอากาศ สภาพเป็นอากาศธาตุ เพราะฉะนั้นเมื่อรวมตัวกันเข้า ก้อนดิน ก้อนอิฐ ก้อนหิน เนี่ยที่มันรวมกันอยู่ในพวกนี้มี 5 ธาตุ มันใหญ่ มันยังไม่รู้สึกอะไรมากมาย นอกจากมันปรุงแต่งขึ้นมาเป็นคนเมื่อไหร่ปั๊บ! วิญญาณธาตุเกิดขึ้นมาก่อน ขึ้นมาเป็นสัตว์อีกเมื่อไหร่ หรือขึ้นมาเป็นต้นไม้ ดินน้ำไฟลม รวมตัวขึ้นมาเมื่อไหร่เป็นต้นไม้ ต้นไม้นี่มีวิญญาณธาตุแล้วนะ ต้นไม้นี่เป็นวิญญาณธาตุแล้วนะ มีวิญญาณธาตุแล้วนะ มันมีความรู้สึกแล้ว มีความรับรู้แล้ว แดดอยู่ที่ไหนมันก็รู้ โน้มไปหาแดดแล้ว มันมีวิญญาณธาตุขึ้นมาแล้วนะ แต่เป็นอิฐ เป็นหิน มันยังไม่มี มี 5 ธาตุ มีอากาศธาตุเท่านั้นพอมันรวมตัวสูง ประยุกต์ตัวเอง ตกแต่งตัวเอง พัฒนา หรือสังขารธรรมและทำตัวเองขึ้นมาเรื่อย ปรุงแต่งตัวเองขึ้นมา ให้ฉลาดขึ้น ให้สูงขึ้นๆ แบบโลก แบบก่อแบบโลกนี่แหละ มันจะเกิดมาเป็นต้นไม้ พอเป็นต้นไม้มี 6 ธาตุเข้าไปแล้ว มีวิญญาณธาตุเลย เพราะฉะนั้นอาตมาพูดเดี๋ยวนี้หมายใจเอาว่า วิญญาณธาตุในต้นไม้ก็มี ก็อย่าเพิ่งไปงงว่า ต้นไม้ทำไมมีวิญญาณธาตุ อาตมาก็อธิบายไปให้เข้าใจในสภาวะนี้เสียก่อน แต่อย่าไปยึดถือว่าเอาไปปนเปกับวิญญาณธาตุที่อยู่ในคน วิญญาณธาตุที่อยู่ในคนนี้ ถูกปรุงแต่งยิ่งกว่าต้นไม้ ขึ้นมาเป็นวิญญาณธาตุที่มีทั้งความฉลาด และความโง่ มากมาย แยกความฉลาดความโง่ขึ้นมาอีก เพราะฉะนั้นเริ่มต้นขึ้นมาเป็นต้นไม้ก็มี 6 ธาตุแล้ว มีดินธาตุ น้ำธาตุ ไฟธาตุ ลมธาตุ และก็อากาศธาตุและก็วิญญาณธาตุ พระว่า… ต้นไม้มันมีวิญญาณธาตุ มันไม่มีวิญญาณขันธ์ พ่อครูว่า… ถ้าเผื่อว่าเราจะเอาว่าวิญญาณขันธ์นั้น คือเครื่องปรุงแต่งที่ถึงขั้นมีดี-มีชั่ว มีรส-มีชาติ อันนั้นก็ยังไม่มีในต้นไม้ ถ้าวิญญาณขันธ์นั้นนะ ตีเอาว่าวิญญาณขันธ์นั้นคือ ของที่ปรุงแต่งขึ้นมาจากความรับรู้เฉยๆ จนกระทั่งเกิดเป็นรส เป็นชาติเรียกว่ามีกิเลส มีตัณหา ถ้าอย่างนั้นแล้วล่ะก็ต้นไม้ยัง ยังไม่นับว่ามีวิญญาณขันธ์ แต่เรียกว่ามีวิญญาณธาตุแล้ว เพราะฉะนั้นในตัวคนนี่ไม่ได้ดับวิญญาณธาตุหรอก ดับวิญญาณขันธ์นะ ตัวที่มีรสชาติทุกข์-สุข ดับวิญญาณขันธ์ ที่อาตมาเคยอธิบายให้ฟังแล้วขันธ์ทั้ง 5 ดับวิญญาณขันธ์นะ แต่ยังมีตัวรู้ ยังมีธาตุรู้ ยังมีวิญญาณธาตุอยู่ ไม่ได้ดับวิญญาณธาตุนะ แต่จะดับวิญญาณธาตุนี่อีกทีก่อนตาย ยิงเปรี้ยงเลย ละลายเสีย วิญญาณธาตุนี้จะอยู่ก่อนตาย ยิงเสียให้ได้ด้วย ใครยิงได้มากเท่าไหร่คนนั้นก็ทำลายวิญญาณธาตุได้มากเท่านั้น ไม่เท่ากันด้วย เพราะฉะนั้นพระอรหันต์จึงไม่เท่ากันอีก สามารถที่จะทำลายวิญญาณธาตุของตัวเองให้เสื่อมสลายไปมาก เช่นเดียวกันกับเราเอาก้อนหินก้อนหนึ่งมาทุบแตก ใครมีความสามารถเก่งก็ทุบแตกละเอียดได้มาก ที่นี้จะเอามาจับรวมตัวรวมตนให้เป็นตัวเป็นตนได้ยากขึ้น ถ้าแตกสองเสี่ยงไม่ช้าหรอก มันรวมตัวเป็นของเก่าก็ได้ง่าย เรียกว่ารวมตัวเป็นตัวตนได้ง่ายขึ้น ถ้าทุบเป็น 3 เสี่ยงก็ยากขึ้นไปอีกนิด ถ้าทุบให้เป็น 5 เสี่ยงเป็นร้อยเสี่ยงยากขึ้นไปเป็นลำดับ ทุบให้กระจุยเลยละลายเลยเหมือนอย่างพระพุทธเจ้าท่าน ทำพระธาตุของท่าน พอเวลาเผาเสร็จ มีผลอย่างพิเศษมาราดให้พระธาตุแตกเป็นเสี่ยงไปหมดเลย นั่นคือทำวิญญาณธาตุให้สลายแตกออกไป พระว่า… วิญญาณธาตุ คือที่พูดเมื่อกี้ว่า ใครจะวางได้สนิทกว่า พ่อครูว่า… ถูก ใครวางได้สนิทเท่าใด ผู้นั้นก็คือยิ่งไม่มีเท่านั้น และตัวพวกนี้มันจะแตกสลายเองในตัว เพราะฉะนั้นเวลาตายจริงแล้ว พระธาตุก็เป็นจริง พระธาตุใครจะแตกได้เป็นเศษเล็กเศษน้อยเท่าของพระพุทธเจ้าไม่มี บางองค์ก็ยังเป็นท่อนเป็นแท่งอยู่เลย แต่ของพระพุทธเจ้าเป็นเม็ดข้าวสาร เป็นเม็ดงา แตกละเอียดยิบเท่านั้นเลย แต่เกาะเป็นเม็ดๆไม่ได้เป็นผุยผง เหมือนยังกับขี้ฝุ่นขี้เถ้า แต่ก็มีพระอังคาร ขี้ฝุ่นขี้เถ้าก็มี แต่เป็นเศษ แต่รวมตัวเป็นเม็ดนี่เยอะเลย และก็ไม่มีหรอก เหลือที่เป็นพระอังคาร เหลือที่เป็นอะไรที่ของใหญ่ๆ ที่ไม่แตกเท่านั้นเอง นอกนั้นท่านแตกละเอียดเลย เพราะพระพุทธเจ้าท่านทำลายขันธ์ ทำลายธาตุของท่านได้อย่างเก่ง ถ้าเข้าใจอันนี้ไม่ได้นะ ก็เอาไปอ่านสิตำราพระพุทธเจ้า ทำไมพระธาตุพอเวลาปรินิพพานแล้วเผาเสร็จ พระพุทธเจ้าถูกถวายพระเพลิงแล้วเสร็จผลต่อมา พระธาตุต่างๆ แตกละเอียดออกไป อยู่ดีๆ ทำไมแตกออกไป เราเข้าใจธรรมะ เข้าใจภาษาเข้าใจเหตุผลอย่างนี้แล้วจะเข้าใจว่า อ๋อ..แตกเพราะเหตุนี้ เข้าใจไหม แตกทำลายเพราะเหตุนี้ แต่ทำลายพระอำนาจความเป็นจริงเเท้จริงไม่ได้เลย พระว่า… นี่ใช่ไหมที่ว่า มันจะมองเห็นว่า ถ้าสมาธิไม่บริสุทธิ์จะไม่เห็นอันนี้ พ่อครูว่า… ถูก ถ้าความเงียบหรือความสงัดหรือความสงบระงับ มันยังมีอะไรรบกวนอยู่ ถ้ามันยังไม่สงบระงับ เรียกว่าบริสุทธิ์จริงๆ มันก็จะไม่เห็นความละเอียดเล็กอันนี้เข้าไปได้ เราจะรู้ความละเอียดเล็กอันนี้เข้าไปได้ก็ต่อเมื่อ จิตของเรามันสงบระงับละเอียดเข้าไปอยู่ในภูมิเดียวกัน จึงจะเห็นซึ่งกันและกัน พระว่า…ที่มันมีจิตสมาธิ กระดูกมันมีผล พ่อครูว่า… มันก็มีผลสมาธิถึงจุด ท่านบอกว่าไม่ต้องไปหวังเอา ไม่ต้องไปสร้างเอา มันโผล่ขึ้นมา พลั๊วๆๆ เลย มันเกิดขึ้นมา ขอให้เราทำแล้วมันได้ผล ที่ถึงจุดปั๊บ! อันนี้ก็เกิดให้เรา ไอ้นี่ถึงจุดปั๊บ! อันนี้ก็โผล่ให้เรา แต่ถ้าเผื่อว่าเราเองยังไม่ถึงจุด โหยหา ก็เป็นตัณหา ถ้าเผื่อว่ามันถึงจุดแล้ว ห้ามมัน ยังไม่มีทางที่จะไม่ได้เลย ห้ามมันก็ไม่ได้ มันได้ มันมี มันมาเอง มันโผล่มาเอง มันมาเอง จะนั่งจะนอนจะยืนจะเดินจะเป็นอะไร มันโผล่ขึ้นมาให้เห็นเสมอ บางทีอย่างนี้ปั๊บ! พอจิตเราร่วมลงเป็นสุญญตาปั๊บ! อะไรก็โผล่ขึ้นมาเอง พอจิตสงบแล้ว พอเจอไอ้นี่ก็ปรุงเป็นธรรมะแตกออกมา เป็นธัมมวิจยะต่อดูแล้ว แตกโพลงออกมาเป็นธัมมวิจยะ ก็เกิดโพธิปักขิยธรรมขึ้นมาเท่านั้นเอง เรียกว่ารู้แท้รู้จริงเป็นความรู้ที่แท้ ก็ออกมาไม่มีอะไร พระว่า… สมาธินี้ถ้ามีแล้ว ก็ต้องทำขึ้นมา พ่อครูว่า… อันนั้นเป็นบาทฐาน สมาธิต้องทำอยู่ทุกเมื่อ แต่มันลึกเข้า ละเอียดเข้าๆ แล้วเราจะบอกว่า เราจะวางสมาธิไม่ได้..เปล่า สมาธินี้แหละทำไปๆ แล้วมันจะอยู่ในตัวของเรา เรียกว่าอธิจิต พระว่า… ถ้าทำอยู่มันยังไม่เป็น ถ้าเป็นแล้วไม่ต้องทำ พ่อครูว่า… อธิจิตนี่แหละ …น้อมเข้าไป ผลของมันเป็นอธิจิต แล้วก็ไม่ต้องไปทำอะไรมันมาก ถ้าเป็นอธิจิตแล้ว ไม่ต้องทำอะไรมันมาก เพราะฉะนั้นตัวสมาธินี้ …ทำเข้าไปซะก่อน พอทำแล้วมันเป็นอธิจิตแล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรมันมาก พอปั๊บ! มันก็เป็นสมาธิมันก็รวมลงมาเลย พระว่า… มีความละเอียดลออยิ่ง พ่อครูว่า… แน่นอนเอาที่ไปไว้ยิ่ง มันก็ยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ฉะนั้นไม่ต้องไปบอกว่านั่งพุทโธ พุทโธ พุทโธ แล้วมานั่งดู ลมหายใจ อัสสาสะ ปัสสาสะ ไม่แล้ว พระว่า…ด้วยหรือไม่ พ่อครูว่า… พรวดเลย พอวางปั๊บ! มันก็ถึงจุด มีอะไรขึ้นมายกจิตขึ้นมาพิจารณา มันก็เป็นวิปัสสนาหรือธรรมวิจัย มันก็รู้ซ้าย-รู้ขวา รู้ของจริง-รู้ของไม่จริง รู้สมมุติโลก-รู้สมมุติธรรม รู้สมมุติที่โลกอันหนึ่งแล้วก็รู้สมมุติธรรม ที่อาตมาเรียกว่าสมมุติธรรมก็เพราะว่า ขณะนี้เรายังสมมุติ แม้กระทั่งอากาศ สมมุติแผ่นดินก็เป็นสมมุติธรรม สมมุติอากาศก็เป็นสมมุติละเอียดขึ้นมาแล้ว ถ้าสมมุติไปทาง ห้วย หนอง คลอง บึง เป็นแผ่นดินเมื่อไหร่ก็เป็นสมมุติโลก พระว่า… ความมีต้นไม้ ภูเขา แผ่นดิน ก็มีความเป็นอากาศละเอียด พ่อครูว่า… เป็นอย่างนี้ถึงบอกว่า “อากาสานัญจายตนะ” แบบสมถะที่เขาบอกว่าไปพิจารณาแต่ลมนะ มันไม่ได้เป็นของตัวตน อธิบายพูดกันไม่รู้เรื่อง ขณะนี้กำลังเป็นอากาศ อากาสานัญจายตนะ เพราะฉะนั้นเราอย่าไปสมมุติอยู่เลย แม้กระทั่งแผ่นดิน ก็เกิดได้เพราะอากาศ เพราะฉะนั้นเราก็มองใจให้กว้างว่า ทุกอย่างก็เหมือนลมรำเพย นี่แหละ มันก็โบกบินอยู่อย่างนี้แหละ มันไม่มีอะไรเป็นตัวตนเลย แผ่นดินมันยึดตัวของมันอยู่ได้ก็ช่างหัวมัน แต่ไอ้แผ่นดินที่แท้จริงมันก็คืออากาศนี่แหละ สักวันหนึ่งมันก็จะละลายหายสูญไปเป็นอากาศนี่แหละแล้วมันก็โบกโบยเคลื่อนไหวเป็นอนัตตา อยู่ไปมาไปมาอยู่ในโลกนี้ พระว่า… เอาอันนั้นมาเป็นอารมณ์ พ่อครูว่า… เอาอันนั้นมาเป็นอารมณ์ละเอียดยิ่งกว่าเป็นแผ่นดินขึ้นมาเป็น อากาสานัญจายตนะ ละเอียดขึ้นไปอีกแล้ว เป็นอารมณ์ของอากาศแล้ว เพราะฉะนั้น อากาสานัญจายตนะก็คือ จะยึดสมมุติเอาความรู้สึกอายตนะ ไปจับยึดอยู่ที่อากาศ ไปยึดแต่ว่าตรงนี้ก็มีแต่อากาศนี่แหละ ไอ้นี่ก็ไม่ใช่คน ไอ้นี่ก็ไม่ใช่แผ่นดิน อันนี้ก็ไม่ใช่ต้นไม้ อันนี้ก็ไม่ใช่ภูเขา อันนี้ก็ไม่ใช่แบงค์ อันนี้ไม่ใช่เพชร อันนี้ไม่ใช่พลอย ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น “อากาศ” ทั้งนั้นแหละ ถ้าใครเห็นได้อย่างนั้น แหม…แจ๋วเลย มองอะไรเห็นแต่เป็นอากาศหมดเลย ทะลุปรุโปร่งหมดเลย ไหวไหม ไหวไหม มันไม่ไหวนะ เจอบางที แหม ไก่ย่างกลิ่นฉุนๆ นี่ก็ชักแย่แล้วเหมือนกัน…มันไม่ไหว ดีเหมือนกันถ้าเผื่อว่าไม่ไล่ถึงวิญญาณประเดี๋ยวจะไม่เข้าใจ เมื่อถึงอากาสา นัญจายตนะ อากาสานัญจายตนะ ก็ไม่ก้าวล่วงลงสู่หมดเลย ทุกอย่างเป็นอากาศธาตุให้หมด จนขนาดนั้นแล้ว ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุไม่ใส่ใจในวิญญาณัญจายตนสัญญา ยกขึ้นจากอากาศเป็นวิญญาณแล้ว เมื่อกี้นี้อาตมาได้อธิบายไปแล้ว ดินน้ำลมไฟ มาเป็นอากาศ แล้วมาวิญญาณนะ พระว่า… มีธาตุที่ 6 เป็นธาตุไม้ด้วย พ่อครูว่า… เอาภาษาอะไรมา ตอนนี้เรากำลังพูดธรรมะ ดินน้ำลมไฟแล้วก็มีอากาศธาตุ วิญญาณธาตุนี่กำลังขึ้นถึงวิญญาณ นี่แหละเป็นขันธ์ 5 แท้ๆ ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุไม่ใส่ใจ วิญญาณัญจายตนะ ไม่ใส่ใจอากิญจัญญายตนสัญญา ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะ เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา ท่านรวบหมดเลย จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ใน เนวสัญญานาสัญญายตนะ เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า ใน เนวสัญญานาสัญญายตนะนี้ ไม่มีความกระวนกระวายชนิดที่อาศัย วิญญาณัญจายตนสัญญา และ ชนิดที่อาศัยอากิญจัญญายตนสัญญา มีอยู่ก็แต่ ความกระวนกระวายคือภาวะเดียว เฉพาะ เนวสัญญานาสัญญายตนะเท่านั้น เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจาก วิญญาณัญจายตนะ สัญญานี้ว่างจาก อากิญจัญญายตนะ และรู้ชัดว่านี่ “มี” ไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียวเฉพาะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เท่านั้น ด้วยอาการนี้แหละ เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้น ด้วยสิ่งที่ “ไม่มี”อยู่ ในสัญญานั้นเลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในสัญญานั้น อันยัง “มี” อยู่ว่า “มี” ดูกรอานนท์ แม้อย่างนี้ ก็เป็นก้าวลงสู่ความว่าง ตามความเป็นจริงไม่เคลื่อนคลาด บริสุทธิ์ ของภิกษุนั้น ตอนนี้ยกขึ้นไปถึงนอกจากอากาศที่เราเห็น ทุกเวลาโปร่งใส มองทะลุปรุโปร่งไปหมดแล้วว่า ไม่มีตัวตน มองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอากาศหมด แม้กระทั่งคนก็ให้เป็นอากาศ แท่งทึบ ถึงขนาดภูเขา ใบไม้ต้นไม้ ตึกรามบ้านช่อง ก็มองทะลุเป็นของธรรมดาไปหมดเลย ถ้าจะเอาเงินมากอง 2-3 กอง กองละ 500 ล้าน กองอยู่ตรงนี้ก็มองทะลุเป็นอากาศ ว่างไปหมดได้ หวานเลย เพราะฉะนั้น เมื่อนอกจากที่จะไปยึดอากาศนั่นแหละพระพุทธเจ้าท่านก็ว่า…อย่าเลย ใจเราอย่าไปยึดเลย แม้อากาศก็ไม่ไปรู้ว่ามีอากาศ ใจเราวิญญาณธาตุนี่…คือตัวรู้ แม้แต่ที่ไปรู้ว่าอากาศก็ยังเป็นอากาศ ก็อย่าเลยๆ วางเสียไอ้ตัวรู้นั้น ก็อยู่เฉยทำเป็นไม่รู้อะไรเลย เป็น อากิญจัญญายตนะซะ ไม่มีนิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่รู้…อยู่เฉยเสีย แม้เราจะอยู่เฉยก็เป็น อากิญจัญญายตนะ โลกนี้ไม่มีเลย ไม่มีทั้งความรู้นอกจากต้นไม้ภูเขาใบหญ้าไม่มีทั้งโลก ไม่มีทั้งอากาศ ไม่มีทั้งความรู้ ที่ไปรับรู้ว่าเป็นอากาศแล้ว ก็ให้วางเฉยอยู่ ตอนนี้กลับแล้วเฉยเป็นอะไร เฉยเหมือนอย่างกับท่อนไม้ เหมือนท่อนดิน ท่อนหินนี่ อะไรนิดน้อยนึงก็ไม่รู้ เฉย..มันอย่างนี้ เรียกว่าไม่มี อากิญจัญญายตนะ นิดนึงน้อยนึงก็ไม่รู้ไม่มีไม่เห็นอะไร ให้อยู่อย่างนั้น แต่ถึงขนาดนั้น ในคนที่ยังไม่ตาย ไม่มี ไอ้ที่ยังไม่รู้ ฟังให้ดีนะจุดนี้ แม้ถึงขนาดนั้นแม้แต่คนที่ยังไม่ตาย มันไม่มีหรอกที่มันจะไม่รู้ ไม่มีหรอก ที่ยังไม่หมดสัญญา…สัญญาคือตัวรู้ที่ฝังลึกไว้ในส่วนลึกฟังให้ดี ไม่ใช่วิญญาณนะ สัญญานี่ไม่ใช่วิญญาณ “สัญญาคือตัวที่ละเอียดกว่าวิญญาณ” วิญญาณคือตัวคุมตัวโต “สัญญา”นี้ลึกยิ่งกว่า อยู่ใน…ลึก แม้เราจะเห็นว่าความมีเหล่านี้ไม่มีก็ได้ อะไรๆ ก็ไม่มีเลย ไม่มีอะไรนิดน้อยนึงก็ไม่มี เป็นอากิญจัญญายตนะ มันก็ยังมี เรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ มันก็ยังมี มันก็ยังมี มีอยู่นิดนึง แต่ว่าน้อยแล้ว แทบจะเรียกว่ารู้บ้าง-ไม่รู้บ้าง ถึงเรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ รู้บ้าง-ไม่รู้บ้าง มลำเมลืองๆ รู้นิดรู้หน่อย รู้ไม่ชัดไม่เจนอะไร ถ้าผู้ใดยึดได้อย่างนั้นก็เรียกว่า เบาว่างสบาย สบายไปยิ่งแล้ว เพราะฉะนั้นในศาสนาหรือในศาสดาลัทธิอื่นๆ เขาถึงจุดนี้ อย่างอาจารย์ของพระพุทธเจ้าท่านอุทกดาบส พอถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะ ท่านก็บอกว่าสุดยอดแล้ว นี่แหละจุดนี้แหละ นี่แหละเบาว่างที่สุดแล้ว สบาย มันนิ่งแล้วมันเลย อากิญจัญญายตนะ คือท่านอาฬารดาบส สอนถึงขั้น “อากิญจัญญายตนะ” ไม่มีอะไรนิดน้อยเลยนึงให้ว่างติดอยู่ตรงนั้นเอง ท่านบอกว่าสบายแล้ว มันจะกลายเป็นอัตตาแล้วถ้า อากิญจัญญายตนะ มันจะกลายเป็นอัตตาแล้ว เป็นตัวไม่รู้อะไรเลย นิ่ง..เฉย..อยู่เป็นนิโรธสมาบัติ นั้นท่านอาฬารดาบส พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ายังไม่จริงละมั้ง ท่านไปหาอาจารย์อีกไปเจออุทกดาบส สอนบอกว่า นอกจาก อากิญจัญญายตนะ มันยังมีอยู่นิดนึงมันยังระเริง อยู่ในใจ จึงเรียกว่ามันยังมีรู้นะ ไอ้ที่ว่าไม่รู้นี่ยังไม่ตายจริงนะ ยังไม่จริงนะว่ามันไม่มี มันมีนะ แต่เพราะคนนั้นไม่สามารถที่จะหยั่งความเก่งเข้าไปหยั่งรู้ภาวะรู้นั้นได้ จึงอยู่แค่ อากิญจัญญายตนะ ฉะนั้นถ้าพวกนี้สามารถที่จะทำใจละเอียดยิบลึกลงไปสู่สภาวะ อากิญจัญญายตนะ จะรู้ว่าปัดโธ่เอ๋ย! อากิญจัญญายตนะ ก็ยังมีตัวรู้อยู่อีกเรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นสัญญาอันหนึ่งเหมือนกัน รู้ได้ คนเรายังไม่ตายจริงแล้ว ไม่มีทางจบ พระว่า… รู้ตัวนี้เฉพาะตนหรือไม่ พ่อครูว่า… อันนี้ไม่ต้องพูดแล้วว่าเฉพาะตนหรือไม่ เฉพาะตนท่านนี้ ผู้ที่ยังไม่เคยปฏิบัติก็ฟังไปเหมือนร้องเพลงให้ฟัง พระว่า… วางไปจนหมดความหมายและวางอีก พ่อครูว่า… เรียกว่าคล้ายๆ กับว่าดับแล้ว แต่ลงไปในความดับนั้นเข้าไปหา อากิญจัญญายตนะ คือความไม่มีอะไรแล้วมันดับแล้ว เข้าไปหาไอ้ตัวดับนั้น มันยังมีแฮะ ยังมีตัวรู้อยู่ในตนนะ ยังไม่ตายมันยังมีอีก พระพุทธเจ้าท่านถึงบอกว่า โอ้โห! อุทกดาบส นี่ก็สอนลึกจริงๆ แฮะ ยังมีตัวรู้อยู่จนได้ มันมีตัวรู้อยู่ได้…มันก็ไม่ดับสิ มันก็มีทุกข์สิ มันมีตัวรู้ก็คือ…ตัวเกิดคือตัวสังขาร มันก็ยังไม่จบสิ มันก็ยังเป็นอวิชชา ยังงงๆ เป็นวิจิกิจฉาอยู่นั่นเอง มันยังเกิดวิจิกิจฉาอยู่เท่าไหร่ๆ มันก็ยังเป็นอวิชชาอยู่เท่านั้น พระพุทธเจ้าก็ยังบอกว่ายังมีสังขารธรรม ยังมีตัวรู้ยังมีตัวปรุง ยังมีตัวเกิด…สังขารเป็นตัวเกิด ยังมีตัวเกิดอยู่นี่ ไม่จบนี่ พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่เอาแล้ว หมดอาจารย์แล้ว หาเอง จึงไปบำเพ็ญ เอาไปหมดเลยทีนี้บำเพ็ญฌานเท่านั้นเท่านี้ จนกระทั่งรอบไม่รู้กี่รอบกี่อะไร จนกระทั่งรู้ว่า…ความบาง ความว่างนิโรธสมาบัติอะไร ที่เขาศึกษากันขั้นไหนๆ ท่านก็แยงลงไปรู้จนกระทั่งหมดละเอียด แล้วบอกว่า โดยสภาวะแท้จริงในโลกนี้ ถ้ายังไม่ตาย…ก็ยังจบไม่ได้ เข้าใจไหม ถ้ายังไม่ตาย…มันจบไม่ได้ แต่จบได้เหมือนกันแฮะ มีวิธีจบ ต่อๆ เดี๋ยวพระพุทธเจ้าท่านจะต่ออะไรวิธีจบ พอไปยึด เนวสัญญานาสัญญายตนะ มันยังมีตัวรู้นะนี่ออกจาก อุทกดาบส เพราะ อุทกดาบส สอนแค่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุไม่ใส่ใจ อากิญจัญญายตสัญญา ไม่ใส่ใจ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ท่านรวมลงหมดเลยตรงนี้ใส่ใจแต่สิ่งเดียว เฉพาะเจโตสมาธิ อันไม่มีนิมิต ใส่ใจแต่เฉพาะเจโตสมาธิ หมายความว่าจิตอันนี้ยิ่งกว่า อธิจิต อันที่พูดเมื่อกี้นี้แล้ว มันลึกยิ่งกว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ รูปฌานขั้น เนวสัญญานาสัญญายตนะ สนใจอยู่แต่ว่าจิตที่ว่ามีความรู้ที่ว่ามี เนวสัญญานาสัญญายตนะ อย่างหนึ่งอย่างเดียวเท่านั้น แต่ให้มันสูงขึ้นไปกว่านั้น ยกให้ เนวสัญญานาสัญญายตนะ นั้นออกไปด้วย เป็นตัวรู้ที่ซ้อนอยู่อีกชั้นหนึ่ง อันไม่มีนิมิต นี่แหละตัวนี้แหละสูงกว่า อันไม่มีนิมิต ถ้าพูดโดยอารมณ์นิพพานนั้นหมายความว่าขณะนี้ เนวสัญญานาสัญญายตนะ คือ นิมิตนิพพาน ยังมีนิมิตอยู่ มีความรู้นิมิตอยู่นิดหน่อยเป็น นิมิตนิพพาน ฉะนั้นดับตัวนี้ลงไปให้เป็น อนิมิตนิพพานเสีย ให้ลึกลงไปเป็น อนิมิตนิพพาน อนิมิต คือ ไม่มีนิมิตเลยเป็นนิพพานลงไปสู่จุดนั้น หรือ เป็นสุญญตา อนิมิตสุญญต หรือ อนิมิตสุญญตาก็ได้ นึกว่าให้ไปถึงจุด ว่างลงไปถึงจุดนั้น จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ในเจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า ในเจโตสมาธินี้ ไม่มีความกระวนกระวายชนิดที่อาศัย อากิญจัญญายตนสัญญา และชนิดที่อาศัย เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา มีอยู่ก็แต่เพียง ความกระวนกระวายคือความเกิดแห่งอายตนะ ความเกิดด้วยอายตนะที่มันเกี่ยวด้วยทวารทั้ง 6 ทวารทั้ง 5 และทวารใจอีกทวาร 1 อายตนะที่ 6 อาศัยกายนี้เอง เพราะว่าแท้จริงแล้ว ไอ้ที่มันเกิดอยู่มันยังไม่ตาย เนี่ยมันอยู่นี่แหละ ทั้งตัวนี่แหละ มีประตู 5 ข้างนอกกับประตูใน ประตูใจอีกประตูหนึ่ง 5 ประตู นี่แหละ มันรับรู้ รับเห็น รับคิด อยู่นี่ เธอรู้ชัดว่าสัญญานี้ว่างจาก อากิญจัญญายตน สัญญานี้ว่างจาก เนวสัญญานาสัญญา และรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ คือความเกิดแห่งอายตนะทั้ง 6 อาศัยกายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัยนี่แหละเห็นไหม เพราะชีวิตมันอยู่ มันยังไม่ตาย ชีวิตมันเป็นปัจจัยอยู่ เพราะฉะนั้นไอ้อายตนะ 6 จะเอาไปทิ้งที่ไหนมันก็ไม่พ้น มันก็จะยังอยู่อาศัยกายนี้เอง เพราะชีวิตเป็นปัจจัย ชีวิตมันยังอยู่ ด้วยอาการนี้แหละ เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้น ด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเจโตสมาธินั้น เธอรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในเจโตสมาธินั้นอันยังมีอยู่ ว่ามี เพราะฉะนั้นจงรู้ให้ได้ว่า ถึงแม้ว่ามันจะมีก็มันมี เพราะชีวิตมันยังไม่ตาย ไอ้ที่ไม่มีก็เพราะว่าเราให้รู้ให้ได้ว่าชีวิตคืออะไร ตอนนี้กลับมารู้ชีวิตแล้ว กลับมารู้ชีวิตแล้ว เข้าใจให้ดีตอนนี้กำลังจะยกโลกขึ้นมาที่นี่แล้ว เมื่อกี้เราพูดถึง แผ่นดิน แผ่นฟ้าต่างๆ เมื่อกี้ใช่ไหม อากาศ กำลังจะยกโลกเข้ามาที่นี่แล้วนะ ฟังให้ดีนะ รวมเข้ามาอายตนะ 6 แล้วก็มายกขึ้นมาที่ชีวิตนี้ ตราบใดที่เรายังมีอายตนะ 6 และยังมีชีวิตอยู่ ด้วยอาการนี้แหละจงรู้ให้ได้ว่า ชีวิตนี้มันยังมี มันสำคัญ มันจะดับชีวิตไม่ได้นะ จะดับด้วยวิธีใดก็เป็นเพียงสมมุติไว้เท่านั้นเอง ยังไม่จริง เป็นชั่วครั้งชั่วคราวแค่นั้นเอง ยังไม่จริงนะ ชีวิตนี้ยังไม่จริง ยังไม่ดับแท้ เพราะฉะนั้นให้รู้ให้ได้ว่าสิ่งนี้มี ถ้าเราจะไม่มีก็หมายความว่าเราสมมุติดับเท่านั้นเอง ตอนนี้กลับแล้วนะ เมื่อกี้สมมุติมี ตอนนี้สมมุติดับ สมมุติว่าไม่มีนะ กลับแล้วนะ ตอนนี้กลับอีกรอบนึงนะฟังให้ดีนะ เมื่อกี้อาตมากำลังยกโลกข้างนอกสมมุติว่าโลกนอกไม่มี เดี๋ยวนี้ยกโลกข้างนอกทิ้ง ยกโลกเข้ามาหาตัว สิ่งที่มันมีอยู่ มันเป็นสมมุติเราตอนนี้ สิ่งที่มีในตัวสมมตินี่ มันหมายความว่าโลกยกเข้ามาที่ตัวแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะรับว่ามี ไอ้สิ่งที่มีอยู่นั้นคือ ตัวนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่ามันจะดับขึ้นไปจริงๆ ก็ ขาดหายกันจริงๆ แต่ว่าตราบใดที่ชีวิตมันยังไม่ขาดหาย มันยังมีลมหายใจ ยังมีอายตนะ ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีความเป็นอยู่อยู่ สิ่งที่มีความเป็นอยู่นี่แหละ ตอนนี้เรียกว่ามันแท้จริง แต่สิ่งที่เราจะดับมันลงไปไม่ให้รู้อะไร ไม่ให้มีอะไร เป็นสมมุติ ฟังให้ดีนะตอนนี้ กลับไปอีกนิดนึงนะ เข้าใจให้ได้นะ ถ้าเข้าใจอันนี้ไม่ได้แล้ว จะขึ้นสู่จุดที่เรียกว่า ใช้ภาษามาอธิบายสภาวะไม่ได้ เพราะฉะนั้นคนนั่งฟัง งงๆ.. เอ๊ะ เมื่อกี้บอกว่าโลกสมมุติ บอกว่าความดับความว่างจึงไม่สมมุติ ตอนนี้บอกว่าความดับความว่างสมมุติเสียแล้ว ไอ้นี่ไม่สมมุติซะแล้ว ฟังให้ดีนะ ฉะนั้นตอนนี้เราต้องไปยึดว่า ถ้าเราจะไปนั่งหลับ นั่งดับ นั่งวางลงไป แล้วเราก็บอกว่าเราก็วางไว้ มันเป็นสมมุติ สมมุติให้มันว่างลง เพราะในโลกเขายังไม่หยุดนี่และโดยแท้จริงนอกจากโลกเขาไม่หยุดแล้ว ไอ้ร่างกายชีวิตนี้ก็ยังทำงาน ยังทำงานอยู่ยังไม่ตายแท้ ยังไม่ว่างแท้ ยังไม่หยุดแท้ ยังเกาะเกี่ยวเป็นสังขารอยู่ ยังไม่แยกธาตุ ยังไม่สูญหายละลาย ยังเกาะกลุ่มอยู่ เข้าใจไหม ยังเกาะกลุ่มอยู่ อันนี้ลึก อันนี้กลับอีกอันหนึ่ง เอาล่ะ ใครพอไปได้ก็เอาไอ้นี่มันสูงมากแล้ว อาตมาก็ไม่รู้จะว่ายังไง พระว่า… สงสัยว่าเมื่ออธิบายว่าเมื่อเข้าถึงสุญญตนิมิตแล้วใช่ไหม อนิมิตแล้ว แต่ทำไมมากลับมาพิจารณาชีวิตอีก มันยังไม่สิ้นสุดใช่ไหม พ่อครูว่า… คุณเห็นแบงค์เป็นของสูงหรือยังล่ะ พระว่า… ถ้าสมมุติว่าเข้าถึงแล้วสุญญตะแล้ว พ่อครูว่า… สุญญตะ นี้มาเรื่อยๆ ไงแผ่นดินนี้สูญ มีแผ่นดินแต่ว่าไอ้นี่มันสูญ แต่ว่าแผ่นดินยังไม่สูญ เหมือนกันเรื่อยมาจนกระทั่งเข้ามาหาตัวแล้ว เพราะฉะนั้นท่านอธิบายละเอียดนะ เข้ามาจนกระทั่งถึงตัวแล้ว พระว่า…เราผ่านรูปฌานแล้วจน อากาสานัญจายตนะ ถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะ เรียกว่า อรูปฌานก็ผ่านแล้ว จนกระทั่งถึง สุญญตสมาธิ หรือว่า อนิมิตแล้ว ก็สิ้นสุดแล้วใช่ไหม พ่อครูว่า… ไม่สิ้นสุดนะ ยังไม่สิ้นสุด พระพุทธเจ้าถึงบอกว่ายังไม่สิ้นสุดนะ อย่าไปทำเป็นเล่นไปนะ พระว่า…กำลังยังปฏิบัติอยู่ ดูอยู่ พ่อครูว่า… ดูอยู่ยังเพ่งอยู่ต่อไป ยังเพ่งอยู่นะ เพราะฉะนั้นแม้แต่ร่างกายเรานี้ยังไม่ตายจริงก็อย่าไปสมมุติว่ามันตาย ไม่งั้นมันจะไม่มีประโยชน์ พระพุทธเจ้าท่านเอาเพชรตรงนี้ ไม่อย่างนั้นมันจะไม่มีประโยชน์ประเดี๋ยวจะบอกว่า โอ๊ย ไอ้ดับ ไอ้สูญเนี่ยสบายว่างเฉย ก็ก้อนอิฐ ก้อนหิน เท่านั้นเองสิ ตอนนี้ เนวสัญญานาสัญญายตนะ หรืออะไร อากิญจัญญายตนะอะไรมันก็แค่เป็นก้อนอิฐก้อนหิน อยู่เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นร่างกายนี้โดยความเป็นจริง มันยังไม่ตาย มันยังมีจริงอยู่ เพราะฉะนั้นเมื่อมันมีอยู่จริงตอนนี้แหละ ถ้าเราจะตายเมื่อไหร่หรือว่าเราจะว่างลงเมื่อไหร่ เราสมมุติเอาส่วนตัวของเรา บอกว่าตอนนี้เราวางทั้งโลก เราไม่เอาแล้ว เราไม่รับรู้อะไรหมดเลย เราก็สมมุติเอาแต่โดยความเป็นจริงนั้น ใช้ให้มันเป็นประโยชน์ ใช้ชีวิตนี้ให้มันเป็นประโยชน์ กลับออกมาอีกทีแล้ว แต่ผู้นั้นต้องทำได้จริงนะ ผู้นั้นต้องวางอย่างนี้ได้จริงแล้วนะ ถึงจะกลับได้ ถ้าวางไม่จริง แล้วกลับไม่ได้ ถ้าจะไปสมมุติเอาบอกว่า โอ้ย ไอ้ตัวเองนี่มีจริง ก็ยึดถือตัวตนแล้ว ยึดถือตัวตนแล้ว แต่ทีนี้คนที่เขาวางได้จริงแล้วนี่ มันไม่มีอาการยึดถือตัวตนแล้ว เขาจึงค่อยมายึดถือตัวตน ถึงบอกว่า อาตมาเลิกกินเนื้อสัตว์ได้แล้ว อาตมาเลิกกินอร่อยได้แล้ว อาตมาจะกินเนื้ออีก อาตมาก็กินได้ แต่อาตมาไม่อร่อยด้วยหรอก เพราะอาตมาไม่ได้สมมุติตามว่า ไอ้นี่อร่อย กินได้ แต่ว่าไม่กินแล้ว หรือจะกินอาตมาก็ไม่ตาย ไม่บาป แต่ไม่กิน ที่ไม่กินนี่มีประโยชน์ มีประโยชน์ตรงเป็นตัวอย่างให้คนอื่น เพราะฉะนั้นที่บอกว่าอาตมาทำนี่ไม่ใช่ว่าอาตมาไม่กินแล้ว อาตมาก็จะชักดิ้นชักงอก็ไม่ หรืออาตมากินจะชักดิ้นชักงอก็ไม่ แต่ที่ไม่กินเสียก็ “สูญ ” ถ้าจะกินเนื้ออร่อยนี่ ถ้าจะกินเนื้ออร่อยนี่ อาตมาก็สูญ ถ้าไม่กินเสียก็สูญ เท่ากันใช่ไหม เพราะฉะนั้นถ้าเป็นอาตมา อาตมาไม่กินเนื้ออร่อย แต่คนอื่นเห็นว่าเออดีแฮะท่านไม่กินเนื้ออร่อยเป็นตัวอย่างอันดี ก็ได้ประโยชน์ใช่ไหม อาตมาจึงไม่กินเนื้ออร่อย และเป็นประโยชน์แก่โลก หรือเป็นตัวอย่างให้แก่โลก แต่ถ้าเผื่อว่าเป็นคนธรรมดาบอก เอ้ย..กินว่างก็ได้ กินเนื้ออร่อย กินเนื้อไม่อร่อยก็ได้ สูญเท่ากันก็กินเสีย นั่นเรียกว่า กิเลสมันพาไปกินใช่ไหม ก็ไปกินก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก จิตว่างฉันกินด้วยความว่าง กินเนื้ออร่อยกินด้วยความว่าง สบาย เสพเหล้าด้วยความว่าง เต้นรำด้วยความว่าง เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าก็กินเนื้ออร่อยด้วยความว่างได้ ไม่แปลกอะไร แต่ถ้าเผื่อว่าเรากิน สูญจริงๆ อารมณ์เราสูญจริงๆ กินเนื้ออร่อยก็สูญ ไม่คิดว่าเราเองได้กำไรตรงไหน กินเนื้อไม่กินเนื้อก็สูญ ไม่มีขาดทุนตรงไหน เข้าใจไหมฟังดีๆ นะถ้าเรากินเนื้ออร่อยเราก็ไม่ถือว่าเรากำไร ไม่กินเนื้อเราไม่กินขาดทุนตรงไหน เราไม่กินเนื้อเราไม่เปลืองโลกด้วย เนื้อในโลกเราก็ไม่เปลือง เราไม่กินเนื้อก็ได้ เราก็สูญเท่ากันทุกอย่าง เราไม่กินเนื้อไม่มีใครฆ่าไม่ให้เรากินด้วยเราก็เป็นตัวอย่างว่าเราไม่กินเนื้อแล้วนะ ทิ้งกิเลสอะไรอร่อยๆ นี้แล้ว ก็เป็นตัวอย่างให้แก่โลกได้ เราก็ไม่เดือดร้อน นี่เพราะเราสูญจริง ๆ แต่ถ้าเราไม่สูญจริง ๆ ว่างๆ ก็แอบไปกินเนื้ออร่อย ต่อหน้าคนก็กินไม่กินเนื้อ แต่พอลับหูลับตาคนก็ไปแอบกินเนื้อ นี่แหละ จึงเรียกว่าเป็นของไม่จริง เพราะฉะนั้น ถ้าเราจริงแล้ว ไม่มีขาดทุนไม่มีกำไรนี่เราไม่ได้อยากได้ตรงไหนแล้ว เราก็ทำไปตามสบายก็เป็นสูญจริงๆ เพราะฉะนั้นอาตมาถึงขีดเส้นใต้ไว้ ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุไม่ใส่ใจใน อากิญจัญญายตนะ ไม่ใส่ใจใน เนวสัญญานาสัญญายตนะ ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะเจโตสมาธิ อันไม่มีนิมิต จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ในเจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต นี่เรียกว่า อนิมิตตะ เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิตนี้แล ยังมีปัจจัยปรุงแต่ง จูงใจได้ ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งจูงใจได้นั้นไม่เที่ยง ไม่เที่ยง ตอนนี้ท่านกำลังจะเอาเข้าไปหาอนัตตลักขณ กำลังจูงเข้าไปหาอนัตตลักขณแล้ว ท่านกำลังจูงให้เห็นเข้าไปหาใน อนัตตา หรือ อนัตตลักขณ นั่นเอง อนัตตลักขณ นี่เป็นภาษาบาลี ภาษาสันสกฤตก็เรียกว่าอนัตลักษณะ ลักษณะของอนัตตา กำลังจะปรุงเข้าหาลักษณะของอนัตตา มีความดับเป็นไปธรรมดา เมื่อเธอรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้น แม้กามาสวะ ตัวต้นคือกาม แม้ภวาสวะ ตัวที่เป็นภพเป็นชาติในจิต อากาสานัญจายตนะ ภพชาติทั้งนั้นเลย อันละเอียดต่อเข้าไปอีก แม้จากอวิชชาสวะ แม้แต่ความที่ไม่เคยมีมาแต่ไหนแต่ไร ได้รู้อย่างนี้แล้ว เรียกว่า พ้นจากอวิชชาสวะแล้ว เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วย่อมมีญาณรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว ต้องตัวรู้จริงๆ รู้ว่าหลุดแล้วตอนนี้เราดับเราวางเรารู้ รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว การปรุงแต่งไม่มี รู้ว่าการปรุงแต่งไม่มี ในจิตไม่ใช่แต่ความเกิด ในจิตที่ละเอียดยิบลงไปนั้น แม้แต่ชาติตัวนั้นจะปรุงขึ้นมาก็รู้ว่าไม่มี ผู้ที่รู้อย่างนี้จริงๆ ต่างหากเล่า เขาจะบอกตัวเองได้ว่าเขาจบแล้ว ไม่มีใครบอกกับเขานี่ แต่เขามาบอกกับผู้อื่น ผู้อื่นก็หาว่าเขา อวดอุตริมนุสสธรรม แต่ผู้นี้แหละเป็นผู้ที่จะรู้ด้วยตัวเอง เมื่อตัวเองจับสภาวะตัวนี้เอง พรหมจรรย์ก็จบแล้ว ความที่สูงสุดบริบูรณ์ บริสุทธิ์ที่สุด พรหมแปลว่าความบริสุทธิ์ จรรยะ หมายความว่าสิ่งที่จะเป็นไปต่อไป จรรยะ จรรยา ความประพฤติและจะเป็นอยู่ในโลกแล้ว เพราะฉะนั้นความบริสุทธิ์ในโลกจะเป็นอย่างไร ผู้นี้เป็นผู้รู้แจ้ง จะปรุงแต่งตามควร จะเห็นสิ่งนี้ว่ามีกับเขาได้พอสมควร ไอ้สิ่งนี้ว่าไม่มีก็ตัดตัวเองออกมาเสียพอสมควร เป็นผู้รู้อยู่ รู้ควร รู้จริงๆ กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว ผู้นี้ได้ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ถ้าให้รู้อย่างนี้เรียกว่า จบเป็นอรหันต์ กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มี จบแล้วสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนสูงสุดในสิ่งที่ควรสอน อันนี้เท่านั้นเรียกว่าอรหันต์ของพระพุทธเจ้า เธอรู้ชัดอย่างนี้ว่า ในยามนี้ไม่มีความกระวนกระวายชนิดที่อาศัยกาม เรียกว่ากามาสวะ ชนิดที่อาศัย ภวา หรือภพ เรียกว่า ภวาสวะ และชนิดที่อาศัยอวิชชาเรียกว่าความไม่รู้เลยชนิดเรียกว่า อวิชชาสวะ มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวายคือ ความเกิดแห่งอายตนะทั้ง 6 อาศัยกายนี้เอง เพราะชีวิตเป็นปัจจัยมันยังไม่ตาย มันยังอยู่ มันยังไม่จบ มันยังมีกาย มีอาศัยอยู่ เธอรู้ชัดว่าสัญญานี้ว่างจากกาม รู้ชัดว่าเราว่างแล้ว จากกาม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) เรารู้ชัด รู้ที่เรา คนอื่นไม่รู้ เพราะฉะนั้นเราจะกินของอร่อยนี่เราก็รู้ว่า เฮ้ยอันนี้กาม “สูญ” ฉันไม่กิน อันนี้รูปสวย ชอบปรุงแต่ง สูญ ไม่เกี่ยว อันนี้เสียงเพราะ “สูญ” ไม่เกี่ยว กามก็มี รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ไม่มี สัญญานี้ว่างจาก ภวาสวะ เพราะฉะนั้นจะมานั่งสร้างอารมณ์อะไรต่ออะไรต่างๆ ก็ไม่ต้องสร้างอีกแล้ว ไม่มานั่งปรุง ไม่มานั่งสร้างรูปฌาน นั่งเพ่ง นั่งเล็ง ไม่มีอีกแล้ว จะหลับตาก็หลับว่างๆ ถ้าอยากจะหลับตาก็ว่างอยู่ในวิหารธรรม ไม่หลับตาก็จะนั่งวิหารธรรมว่าง จะลืมตาโพลงๆ ก็ว่างไม่มีการมานั่งหลับตาลืมตาอีกแล้ว เพราะฉะนั้น ในสภาวะนี้ เป็นสภาวะพ้นจากภวาสวะแล้ว ด้วยไม่สร้างภพสร้างชาติด้วยประการทั้งปวง สัญญานี้ว่างจาก อวิชชาสวะ เพราะเป็นผู้ที่รู้แจ้งแล้วมีวิชชาในตนอย่างพร้อมมูลและรู้ชัดว่า มีไม่ว่างอยู่ก็คือความเกิดแห่งอายตนะทั้ง 6 ไม่ว่างนี่ อายตนะทั้ง 6 มันว่างที่ไหนล่ะ เข้าใจไหมตอนนี้กลับมาอีกแล้ว มันไม่ว่างนี่อายตนะทั้ง 6 เอามันไปทิ้งที่ไหน ทิ้งไม่ได้ มันอยู่ในตนในตน ยัง ยังตัดไม่ได้ อาศัยกายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัยมันยังมีชีวิตชีวา มันยังกระเสือกกระสนอยู่ด้วยอาการนี้แหละ เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้น ด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเจโตสมาธินั้นเลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในเจโตสมาธินั้น อันยัง “มี” อยู่ว่า “มี” ดูกรอานนท์ แม้อย่างนี้ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่าง ตามความเป็นจริงไม่เคลื่อนคลาด บริสุทธิ์ ของภิกษุนั้น ดูกรอานนท์ สมณะหรือ พราหมณ์ในอดีตกาลไม่ว่าพวกใดๆ ที่บรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ นี้เรียกว่า สุญญตสมาบัติ นะฟังนะอาจจะยังไม่เคยได้ยินว่า สุญญตสมาบัติเป็นยังไง นี่แหละสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ด้วย สมาบัติกันอยู่เนืองๆ ด้วย ไม่ว่าพวกใดๆ ที่บรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดอยู่ทั้งหมดนั้น ก็ได้บรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์เยี่ยมยอดนี้เองอยู่ แต่คำว่า อยู่ คำเดียวนี้ของท่าน หมายความว่าผู้นั้นได้แล้ว คำว่าอยู่นี่ ถ้าใครไม่บรรลุ ก็ไม่มีคำว่า อยู่ ก็อยู่ไหนก็ไม่รู้ ก็หามาให้ตน สมณะหรือพราหมณ์ในอนาคตกาลไม่ว่าพวกใด เมื่อกี้ท่านบอกว่า แม้แต่อดีตนี่ก็บอกว่าแม้แต่ในอนาคตกาล หรือแม้แต่ปัจจุบันนี้ก็ตาม ได้พูดไว้ตั้งแต่ 2500 กว่าปี ที่จะบรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ ยอดเยี่ยม เยี่ยมยอดอยู่ทั้งหมดนั้น ก็จะบรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดนี้เองอยู่ สมณะ หรือพราหมณ์ในบัดนี้ไม่ว่าพวกใดๆ ที่บรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดอยู่ทั้งมดนั้น ย่อมบรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์เยี่ยมยอดนี้เองอยู่ แม้ฟังแล้ว งงเหลือเกินปนกันไปกันมาหมดเลยแต่ที่จริงท่านเน้นอยู่แต่แค่ว่า ผู้ที่จะทำได้เท่านั้นคือผู้ที่ได้ และผู้ที่จะมีอยู่ แปลเป็นภาษาไทยนะ ผู้ที่จะทำได้เท่านั้นจึงเป็นผู้ที่จะทำได้ และมีอยู่ ผู้ทำไม่ได้ก็ไม่มีได้ แต่ภาษาของท่านพูดอย่างนี้ ผู้ที่ทำไม่ได้ก็ไม่มีอยู่ เพราะฉะนั้นจะบรรลุไอ้เยี่ยมยอดนี้เองอยู่ จะบรรลุหรือจะเป็นผู้ทำอยู่ ดูกรอานนท์ เพราะฉะนั้นแล พวกเธอพึงศึกษาไว้อย่างนี้เถอะว่า เราจะบรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์เยี่ยมยอด อยู่ พึงศึกษา หมายความว่าเป็นเสขบุคคลอยู่พึงศึกษาให้มีอยู่เถิดตลอดเวลา แล้วจึงจะถึงอาจเสขะถึงจะไม่ศึกษาอีกแล้วแล้วจะเป็นผู้บรรลุอยู่ คำว่า “อยู่” ของท่านถึงเป็นผู้มีอยู่บรรลุอยู่ แต่ยังไม่มีอยู่ยังไม่บรรลุอยู่ก็ต้องหมั่นศึกษาเรื่อยไป พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว พระอานนท์จึงชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคว่า ชัด อาตมาก็เชื่อว่าหลายคนที่นั่งในที่นี้ได้ยินภาษิตนี้ของพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสเอาไว้เมื่อ 2,500 กว่าปีมาแล้ว มาได้ยินขึ้นอีกในวาระนี้วันนี้ก็คงจะ ชื่นชมยินดี พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคด้วยเหมือนกัน เพราะเหตุว่ามันเป็นของจริง และของลึก เพราะฉะนั้นเราจะบอกว่าเอาสุญญตามาพูด โครมๆ ง่ายๆ ง่ายๆ นะ พูดไปเถอะลมๆ แล้งๆ มันไม่ได้ มันต้องมีอาการที่เกิดเป็นจริงอยู่ในสภาวธรรมนั้นๆ ถ้าไม่มีอาการแสดงออกเลยนะ และก็ทำไป อย่างนู้นอย่างนี้มีแต่ความมั่นใจเฉยๆ มั่นใจได้ คนเราหลงว่ามั่นใจทั้งนั้นแหละ คนเราหลงก็มั่นใจทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้นคนที่หลงว่า เอออย่างนี้เป็นได้ มีได้ ตายได้ด้วย คนที่หลงผิดไปทำ เขาหลงไปในสิ่งที่เขาหลง เขาเห็นจริงเหมือนกัน เขาเห็นจริงในสิ่งที่เขาหลง เพราะฉะนั้นมันเป็นมิจฉาทิฏฐิไป เขามั่นใจปักใจเหมือนกันนะ เอาหัวชนฝาได้เหมือนกันนะ มั่นใจเหมือนกันนะแต่ทิฏฐินั้นเป็นมิจฉา มันไม่ใช่สัมมาทิฏฐิที่ถูกที่ต้องของพระพุทธองค์ เพราะฉะนั้นถึงบอกว่า ถ้าเรามีสัมมาทิฏฐิไม่ได้ในโลกนี้แล้วนะ พึงเรียนไปเถิด พึงปฏิบัติไปเถิด ก็เหมือนกับเราหันทิศไม่ถูก มันก็จะเดินเข้าป่ารก เข้ารกเข้าพงไป สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นเราฟังนี่แหละ คือกำลังเข้าหาทิฏฐิ ถ้าฟังผู้ที่พูดถูก ก็จะมีความเห็นถูกได้ ก็จะมีความเห็นถูกได้ ก็จะมีความเห็นถูกได้ ฟังผู้ที่ไม่ถูกก็จะเหมือนจ้ำจี้มะเขือเปราะกะเทาะหน้าแว่นอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่ได้อะไร พระว่า… สุญญากาศอันนี้ ถ้าตัวอนัตตา สุญญตะ เห็นจะต้องปฏิบัติตามทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นน่ะ ทางอื่นไม่ใช่ ทีนี้มีปัญหาว่าถ้าเราปฏิบัติตามสูตรนี้แล้ว ต้องผ่านอรูปฌาน อากาสานัญจายตนะ พ่อครูว่า… ผ่านสิ อาตมาเคยพูดนักหนาแล้วว่า ฌานไม่ใช่หลับตาเท่านั้น ต้องเพ่งอ่านให้เห็นชัดต้องผ่านสิ ผ่านแล้ว ก็ไม่ใช่แค่ผ่านแค่รูปฌานเท่านั้น อาตมาถึงบอกว่าเมื่อเวลาเจริญแล้วรู้ฌานแล้ว ก็ไม่หยุดอยู่แค่รูปฌาน อรูปฌานก็ไม่ได้ไปยึดถือ เพราะจากอรูปฌานไปแล้วเป็นอากาศไปแล้ว ก็ต้องกลับมาหาแท่งท่อนอันนี้ เพราะฉะนั้นจะไปล้างแท่งท่อนอันนี้ออกไปทิ้งไม่ได้ เพราะมันยังมี เพราะฉะนั้นแม้รูปฌาน นี่คือรูปแท้ๆ เราจะพิจารณาไปไกลถึงขนาดเห็นโลกเห็นแผ่นดินเห็นอากาศเห็นวิญญาณ เห็นอากาศธาตุ ปริจเฉทรูป เห็นจนกระทั่งสุดท้ายก็เห็นไปหมดแล้ว กลับมาหาตัว เนวสัญญานาสัญญา ที่ตัวอยู่ข้างในลึกๆ ที่จิตของเรา ไปรู้รูปทั้งหลายแหล่ที่เล็กละเอียดอยู่ที่นี่ พอกลับมาอยู่ที่นี่แล้วตัวนี้คืออะไร ก็คืออายตนะของเรา คือเรียกว่าตัวจิตทวารใจตัวที่ลึกที่สุดนี่ อายตนะตัวที่ 6 ก็ไอ้ตัวนั้นเองแหละ เพราะฉะนั้นเมื่อเหลือตัวนั้นเองก็จะสังเกตการณ์กับอรูปฌาน เมื่อรู้แล้วทิ้งได้ด้วย ทิ้งอรูปฌานให้หมดด้วย เมื่อใดมันสกปรกก็รู้ รู้ว่าสิ่งที่มาทำให้สกปรกนั้นเป็นอะไร เมื่อจะยอมให้สิ่งนี้มาสกปรก ก็จะหมายความว่า เอาเถอะไม่เป็นไรเราหรอก แค่เราเองเสื้อผ้าสวยๆ เสื้อผ้าที่เราใส่นี้จะถูกโคลนนิดนึง แต่เรากำลังจะช่วยคนที่จะจมน้ำตาย เราก็ทำ อย่างนี้เรียกว่ารู้ ก็มันไม่สงสัยหรอกจะถูกขี้โคลน เราลงไปช่วยคนนี้ก็ต้องช่วย แต่ว่าประโยชน์ในการที่จะเอาคนนี้ขึ้นมาจากน้ำไม่ตายนั้นสูงกว่าก็ให้ทำ เพราะฉะนั้น รู้มันจะผ่องใสเมื่อใดก็รู้มัน มันไม่ผ่องใสเมื่อใดก็รู้ว่าไม่ผ่องใส แต่ต้องเหมาะควรที่จะยอมไม่ให้ผ่องใส ไม่ใช่ว่า อ้าว ลงไปในโคลนนี้แล้วมีแบงค์ร้อยอยู่ในนั้นลงมือ ไม่ไปเอา ไม่เอาอะ อาตมาคนหนึ่งก็ไม่เอาแบงค์ร้อยลอยอยู่ในขี้โคลน เอาลุยลงไปเอาสิ ขี้โคลน ไม่เอาหรอก แต่มนุษย์ธรรมดา โคลนแค่นี้ แบงค์ร้อย หวานเลย พระว่า… ต้องมีปัญญาด้วย พ่อครูว่า… ต้องทำให้ได้ ไม่ใช่ว่าวันนี้ฟังธรรมแล้วได้เลย อาตมาบรรยายวันนี้อาตมารับรองเลยว่า การบรรยายที่ลึกละเอียดที่สุดวันนี้ ก็ลึกละเอียดที่สุดกว่าที่สุดที่ได้พูดจากันมา พระว่า…สอุปาทิเสสนิพพานนี่เรา รู้ตัวชัดแจ้งความเป็นจริงเสร็จแล้วเราก็ต้องเลิกปล่อยตัวรู้ พ่อครูว่า… เริ่มรู้ปล่อยรู้ เมื่อเราจะอยู่ในสภาวะที่ว่าเราไม่ช่วยโลก เป็นประโยชน์ตนถ่ายเดียว เราก็ปล่อยรู้หมดเลย เป็นประโยชน์ตนแล้วเราก็วางเฉยจริง เรียกตื้นๆ ว่า อุเบกขาธรรม วางเฉยอยู่ไม่เอาอะไร แต่ถ้าเผื่อว่าเราจะปรุงขึ้นมาก็ให้รู้ว่า ถ้าให้ได้ปรุงลงไปนี่ มันมีสังขารธรรมและทำขึ้นมาแล้วนะ จะทำงานแล้วนะ จะต้องมีจิตมีภาระขึ้นมาแล้วนะ เพราะฉะนั้นไอ้จิตภาระที่เราบอกว่าเราได้จบอยู่แล้วนี่เรากำลังจะฟื้นฝอยหาตะเข็บขึ้นมาแล้วนะ เมื่อจะฟื้นฝอยภาระต่างๆ ขึ้นมานี้อีกเราก็ต้องรู้ว่าเราปรุงขึ้นมา เราทำให้เป็นประโยชน์ต่อโลกนะ ถ้าเป็นประโยชน์ต่อตนเองตอนนี้ไม่ทำแล้ว ผู้นี้ไม่ไปทำหรอก เป็นประโยชน์ตนคนนี้ไม่ไปทำ มันไม่ไปไหนเพราะอายตนะ 6 มันไม่ละลายไปไหน ชีวะมันยังมีอยู่ ชีวตมันยังอยู่ พระว่า ..เราใช้สังขาร วิตกขึ้นมา พ่อครูว่า… ใช้สังขาร วิตกขึ้นมา และปรุงแต่งขึ้นมาตามเหมาะตามควรจึงเรียกว่า ใช้ตรงนี้ต้องอาศัยมรรคองค์ 8 ทำตลอดเวลา ถ้าไม่ใช้อาศัยมรรคองค์ 8 ละผิดเลย เพราะฉะนั้นในขณะที่จะปรุงอะไรขึ้นมานี่มรรคองค์ 8 คุมอยู่ตลอดเวลา ต้องมีการเห็นซะก่อนว่า สัมมาทิฏฐิจะต้องเห็นให้ได้นะ เห็นให้ได้ในสิ่งนี้ว่าเหมาะควรแล้วนะที่จะทำ ถ้าไม่เหมาะควรไม่ทำให้เหนื่อย พอเห็นว่าเหมาะควรที่จะทำก็ต้องปรุงจิตตัวเองขึ้นมาแล้วนี่เป็นสัมมาวายามะ ขยันขึ้นมาแล้ว ไม่งั้นมันขี้เกียจมันอยากนั่งแช่ ผู้ที่พ้นแล้วไม่อยากทำอะไรหรอก พระว่า… ถ้าผู้สำเร็จอรหันต์แล้วก็เป็นอัตโนมัติไปเลย ไม่ต้องระวังอะไรเลย ไม่ต้องระวังเรื่องมรรค 8 ใช่ไหมครับ ทำแล้วถูกต้องเหมาะควรเป็นอัตโนมัติ พ่อครูว่า… ไม่ใช่เรียกว่าระวัง มันมีอยู่ในตัว มันมีมรรคเป็นองค์ 8 อยู่ในตัว มรรค 8 ก็เป็นวิชชา มีวิชชาคุมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจะทำอะไรก็มีวิชชา จะมีปรุงก็ได้ไม่ปรุงก็ได้ ถึงบอกว่าอรหันต์แล้วจะไม่ปรุงแต่งอะไรเลยเป็นท่อนเป็นแท่งแข็งทื่ออยู่อย่างนั้นตามอภิธรรมแบบที่เขาเรียนกันนักหนาว่าไว้ ไม่ใช่ พระว่า…ไม่ปรุงแต่บาปเท่านั้น พ่อครูว่า… ยังมีกุศลที่ท่านปรุง พระว่า…กุศลก็สักแต่ว่าปรุงเท่านั้น ไม่ได้ยึดมั่น พ่อครูว่า… ท่านไม่ยึดหรอก ท่านไม่มาเอาผลประโยชน์อะไรของท่านแล้ว แม้แต่จะให้ท่านทานข้าวกินนี่ บุญนี่ได้ที่คุณนะไม่ใช่ได้ที่อาตมา เอาข้าวมาให้อาตมากินให้คุณได้บุญนะไม่ใช่อาตมาได้บุญหรอกนะ ถึงขนาดนั้นนะ เพราะฉะนั้น ถึงบอกว่าใครให้ข้าวพระอรหันต์กินดี สูง ให้พระอาริยะกิน ได้ข้าวแก่พระอาริยะกิน ได้บุญสูง เพราะฉะนั้นถึงบอกว่า อย่าเลย ไม่ให้ท่านกินท่านก็ไม่ว่าอะไรท่านตายได้ แต่ท่าน เอาไปให้กินนี่หมายความว่าให้ท่านรักษาชีวิตไว้ จะได้บอกเรา เป็นบุญของผู้ที่ให้ต่างหากไม่ใช่บุญของท่าน ท่านเองท่านจบแล้วไม่เกี่ยวท่านจบภาระหมดสิ้นแล้วไม่ใช่เรื่องของท่านแล้วหมด ท่านไม่ต่ออะไร เพราะฉะนั้นแม้แต่ตัวตนท่านก็ไม่เอา ท่านจะตายเดี๋ยวนี้ ท่านก็ตายได้ จึงหมดความกลัวตาย ที่พูดไปบรรยายไปแล้วนี้แท้จริงแค่ จูฬสุญญตสูตรนะ เป็นสุญญตสูตรนะ ยังน้อยยังมีมหาสุญญตสูตรอีกนะ เพราะฉะนั้นวันนี้ยังไม่ได้พูดถ้าขืนพูดวันนี้แล้วรับรองเมื่อยตาย เอาไว้วันหลัง วันไหนเหมาะๆ พูดกัน แค่ จูฬสุญญตสูตร ก็เข้าใจให้ได้เพราะฉะนั้นอาตมาก็เน้นเสมอว่า เราอย่าเอาแต่ฟังๆ แล้วก็หลงเพลิดเพลินว่าเราได้ปัญญาญาณแล้วก็อย่าเลยเราจะมีปัญญาแล้ว เรียกว่าสมาธิผ่านเลย ไม่ต้องไปมีสมาธิ อย่าไปหลงผิดเอาถึงป่านนั้นนะ ถ้าใครหลงผิดเอาถึงป่านนั้นแล้ว ตัดทางเลย ไม่ได้ไปหรอกนิพพาน ไม่ได้ไปมรรคผลอะไรหรอก เพราะฉะนั้นฟังก็ต้องให้มันถูกจุด ถ้าฟังยังไม่ถูกจุดฟังอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้นจุดที่อาตมาพูดให้ฟังวันนี้นะ ขนาดที่พยายามคลี่จากธรรมแท้ๆ เข้ามาหาโลกโลกีย์มาอธิบายยกตัวอย่างแล้วนะ ยกตัวอย่างโลกีย์บ้างแล้วนะยังมีคนฟังอยู่เท่านี้คิดดูสิ ยังมีคนฟังอยู่เท่านี้เลย ถ้าเอาแต่ดุ้นๆ เนื้อธรรมะไม่ต้องเอาโลกีย์มาบรรยายเลยนะ จะเหลืออยู่กระจุกเท่านี้ พระว่า…ที่ศาลาผม ประชากรสองแสนกว่ามาฟังผมไม่กี่คน พ่อครูว่า… ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ถ้าเผื่อว่าโลกนี้ เรียกว่าโลกนี้มันเต็มไปด้วยธรรมแล้วล่ะก็ จะมีพระพุทธเจ้าเกิดพร้อมกันทีละ 100 องค์ 200 องค์ 500 องค์ แต่เพราะมันยากที่สุด พระพุทธเจ้าท่านถึงตรัสเอาไว้ในพระสูตรเลยว่า ไม่เป็นฐานะเลยที่จะมีพระพุทธเจ้าเกิดมาพร้อมกันในโลกธาตุอันหนึ่ง พร้อมกัน 2 องค์ ไม่เป็นทาง ไม่เป็นฐานะที่จะเป็นไปได้เลย จะมีองค์เดียว หรือแม้แต่พระพุทธเจ้าจะเกิดไล่เลี่ยกันในภาวะที่เรียกว่าเอ้า 1,000 ปี ก็ไม่มี แม้แต่ใกล้เคียงกันในระยะใกล้เคียงกันพระพุทธเจ้าจะบังเกิดไล่เลี่ยกันก็ยังไม่มีได้ เป็นฐานะที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราอ่านแต่พระสูตรเฉยๆ ผ่านๆ นะ ถ้าไม่เข้าใจลึกซึ้งถึงขนาดนี้นะ ไม่เป็นฐานะเลยที่พระพุทธเจ้าจะขึ้นมาปรากฏในโลกธาตุพร้อมกันทีละ 2 องค์ หรือ แม้แต่เวลาที่ใกล้เคียงกัน เราก็อ่านไปเฉยๆ ไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ แต่ถ้าเข้าใจได้นี่แหละมันเป็นของสูงหาได้ยากในโลกน้อย เพราะฉะนั้นคนที่มาฟังธรรมะแท้ๆ นี้จึงน้อย อาตมาไม่ตกใจเลย เหลืออยู่ 5 คน อาตมาก็สอนได้อาตมาไม่ได้ต้องการปริมาณคนเป็นร้อยมายืนฟังอาตมาไม่ต้องการ แต่อาตมาเองรื่นเริงและยินดี ปีติ กับท่านทั้งหลายแหล่ที่อาตมาเห็นหน้า และยิ่งจำหน้าได้บ่อยๆ ชัดๆ ยิ่งอนุโมทนาสาธุ พระว่า… น้อยๆ ก็มีประโยชน์สูง พ่อครูว่า… อนุโมทนาสาธุด้วย เพราะผู้ที่รู้แก่นสารเสียแล้วจึงรับแก่นสาร ผู้ที่รู้ว่าอันนี่เป็นเปลือก เป็นกระพี้จึงตัดเปลือกตัดกระพี้ออกไป ไม่ไปมัวงมอยู่ไปแทะแค่เปลือกแทะกระพี้รับแค่เปลือก และกะพี้และเข้าใจเข้าว่า อันนี้คือแก่น เพราะฉะนั้นผู้นี้แหละเป็นผู้ที่รู้แก่นแท้ๆ สาระแท้ๆ แล้ว อาตมาจึงอนุโมทนาสาธุด้วยอย่างยิ่ง ที่มานั่งฟังกัน เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไปฟังเพลิดเพลินอยู่ในโลกเฉยๆ ได้แต่เปลือกได้แต่กะพี้ฟังๆกันไปมากๆ แน่นอน ในโลกนี้ย่อมมีอย่างนั้นแหละมากกว่า อาตมาไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลยเป็นสัจธรรม เพราะโลกียะมันมีมากกว่าโลกที่เรียกว่าโลกุตระ เป็นของธรรมดา พระว่า… สุญญตาก็ยังมีรูปนามแต่ไม่มีความสำคัญมั่นหมายใช่ไหมครับ ที่นี้สูญญตาจะไปตรงกับจิตเดิมหรือจิตประภัสสรได้ไหม พ่อครูว่า… เมื่อใดเวลาใดดับลงก็เป็นจิตประภัสสรอยู่ เวลาใดดับลงจิตวางลงว่างลงแล้ว เมื่อนั้นเป็นจิตเดิมแท้อยู่ นี่พูดตามภาษาได้ พระว่า…เรียกว่า สุญญตะ คือจิตประภัสสรได้ไหม พ่อครูว่า… สูญญตะคือ จิตประภัสสรคือจิตเดิมแท้สุญญตะนั่นคือพุทธะ ฟังให้ดีนะสุญญตะคือพระพุทธเจ้าเอาอย่างนั้น พระว่า…เป็นการหลุดพ้นทุกข์หรือยัง พ่อครูว่า… ก็หลุดพ้นแล้วสุญญตะ ก็วางแล้วปลงแล้วหยุดแล้วคุณก็หลุดพ้นแล้ว ว่างแล้วปลงแล้วหยุดแล้วเลิกแล้วละแล้ว มันก็พ้นแล้วมันก็พ้นทุกข์แล้ว พระว่า…ผมเข้าใจว่ามันยังมีรูปนามอยู่ พ่อครูว่า… มีรูปนามอยู่ในตัวหมายความว่าเราจะยกจิตของเราขึ้นรู้ เราก็รู้ได้พระพุทธเจ้าท่านก็บอกไว้หลายทีในนี้ บอกว่ารู้ก็ให้สำคัญรู้ให้ได้ ไอ้สิ่งที่ไม่มีอยู่ก็ให้รู้ว่าไม่มี ไอ้สิ่งที่มีก็ให้รู้ว่ามีอยู่ เพราะฉะนั้นจะรู้ว่ามีก็ยกจิตขึ้นมา ไอ้ที่มีกับเขาก็มีได้ไอ้ที่ไม่มีก็ไม่มีได้ทั้งสองฝ่าย คุณไปคิดเป็นการบ้าน ความไม่มีคือรูป ความมีคือนาม เอาไปคิด คุณเอาไปคิด พระว่า…ความไม่มีในรูป คือไม่มีบุญไม่มีบาป ความมีในนาม คือความมีบุญมีบาปได้ไหม ความไม่มีคือรูปนั้นหมายความว่า ความไม่มีบุญมีบาปอยู่ในโลกเราเป็นสภาพของอพยากตธรรม ส่วนนามนั้นที่ว่ายังมีความมีอยู่นั้นคืออาจจะมีบุญมีบาปอยู่หรือมีอยู่นั่นแหละ เพราะว่ามันเป็น ไม่ใช่อกุศลธรรม เป็นกุศลธรรม หากเป็นพระอาริยะแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่เรียกว่ากุศล หรืออกุศลก็ต้องแยกว่าเป็นกิริยาไป พ้นจากบุญบาปแล้ว พ่อครูว่า… สำหรับท่าน ท่านเป็นอโหสิกรรม ท่านต้องมีกรรมแต่เป็นอโหสิกรรมหมด แต่บาปกับบุญมันจบอยู่ที่คนรับ สมมุติว่าอาตมาจะอธิบายอันนี้ต่อ ที่ว่าอโหสิกรรม หรือว่าบาปกับบุญมันเกิด เพราะว่าโลกปรุงแต่งมันมีผล ที่กล่าวเมื่อกี้ว่าความไม่มี รูป คือความไม่มี ไม่มีอะไร ไม่มีบาป ไม่มีบุญ ก็ได้ ไม่มีสังขาร คือการปรุงแต่ง ก็ได้ทั้งสองอย่าง เพราะฉะนั้น ถ้ามีสังขาร หรือมีการปรุงแต่งขึ้นมา มันจะมีบาป และมีบุญขึ้นมา แต่บาปและบุญอันนี้มันเกิดอยู่ในโลก ผู้ใดรับบาปไปผู้นั้นก็รับบาป ผู้ใดรับบุญไปผู้นั้นก็รับบุญ แต่ส่วนท่านผู้ปรุงผู้นี้เหมือนกับพ่อครัว ปรุงมีหน้าที่ปรุงอย่างเดียว แล้วก็ปรุงเสร็จพอปรุงอาหารเสร็จยกออกไป คุณเอาไปกินคุณบอกว่า อร่อย คุณก็ได้บุญ คนนี้บอกว่าไม่อร่อยกินไม่ได้ก็บอกว่าได้บาป บาปบุญเกิดที่ใครอยู่ที่เขา คุณบอกว่า อร่อย คุณก็เกิดบุญที่คุณใช่ไหม เพราะฉะนั้นตัวผู้นี้เอง คุณจะอร่อยคุณจะไม่อร่อยก็เรื่องของคุณสิเรามีหน้าที่ปรุงให้คุณเท่านั้น เหมือนอาตมาอธิบายให้คุณฟัง ถึงเรียกว่าอโหสิกรรมไง คนนี้มีการกระทำแต่การกระทำอันนี้คุณจะรับเป็นบาปเป็นบุญของคุณ เขาก็ไม่เกี่ยว คุณจะไม่อร่อยจนกระทั่งมาตีอาตมา ฆ่าอาตมาบอกว่าเอาขี้หมามาให้กินก็ว่าช่างคุณปะไร จะเกิดถึงขนาดนั้นก็ช่างคุณ แต่คุณเองกินแล้วคุณชอบคุณอร่อย ยึดถืออาตมา ดีจริงนะเอาของอร่อยมาให้กิน แล้วคุณก็จะรักจะชอบก็จะศรัทธาก็ช่างคุณปะไร อาตมาก็เฉยๆ พระว่า…จิตของพระอรหันต์ หมายความว่าน้ำไม่ซึมเข้าในใบบอนใช่ไหมครับ พ่อครูว่า… ก็อย่างนั้นเพราะฉะนั้นยังมีกรรมอยู่ได้ มีกุศลกรรม มีอกุศลกรรมแต่ไม่เป็นของท่าน พระว่า…เมื่อครั้งพุทธกาลฟังแล้วก็รื่นเริงในภาษิต เบิกบาน เบาใจ พ่อครูว่า… มีใครอีกไหม ตอนนี้ก็ชักจะเย็นลงไปแล้ว ..ผู้ฝึกฝนเป็นเสขบุคคล เสขบุคคลเหล่านั้นจะประกอบด้วย สัทธานุสารี ธัมมานุสารี สัทธาวิมุติ แล้วก็ทิฏฐิปัตตะ แล้วก็เป็นกายสักขี และกลายเป็นปัญญาวิมุติ มันก็จะสูงขึ้นไปอย่างนี้ตามลำดับตามลำดับๆ ด้วยเรื่อยไป จนกระทั่งถึงเป็น อุภโตภาควิมุติ หมายความว่าวิมุติได้พร้อมทั้งปัญญาวิมุติ และเจโตวิมุต ทำได้ทั้ง 2 ส่วนพร้อมกันในตัว อุภโตแปลว่า 2 เหมือนกระเทย มี 2 เพศอยู่ในตัว อุภโตภาควิมุติ แปลว่า 2 ส่วนได้ ทั้งเจโตวิมุติ กับปัญญาวิมุติได้พร้อมกันในตัว เพราะฉะนั้น ถ้าจะวิมุติโดยที่เราเองพยายามเพ่งให้เกิดเป็นปัญญามันไว ไปเพ่ง พิจารณาเดินเหินยืนนอนไปมาทุกอย่างแล้ว จะกินแล้วจะอยู่เราจะใช้เราจะสอยเราจะทำอะไร แม้กระทั่งทำงานทำการทุกเวลานี้ เราพยายามมีจิตเข้ามารู้ให้ได้ว่าเราเองกำลังปรุงแต่งทั้งนั้นอยู่ ทุกอย่างที่เรากำลังอยู่นี้ปรุงแต่งทั้งนั้น อาตมากำลังพูดอยู่นี่ก็ปรุงแต่ง ปรุงแต่งอะไรท่านเรียกว่า วจีสังขาร ที่กำลังพูดนี่เป็นวจีสังขาร เพราะฉะนั้น วจีสังขารนี่ถ้าอาตมาไม่ยกมรรคองค์ 8 เป็นสัมมาสมาธิขึ้นมาพูดแล้วล่ะก็ วจีสังขารอันนี้ถ้าเริ่มต้นมีมิจฉาทิฏฐิตัวแรกแล้ว ไปก่อนเพื่อน …เน็ตไม่ดี.. เพราะฉะนั้นถ้ามีความเห็นถูกอาตมา ถ้าเห็นไม่ถูกอาตมาอธิบายไปแล้วก็เข้าป่า เพราะฉะนั้นคนที่มีมิจฉาทิฏฐิตัวแรกอธิบายเข้าป่าเสมอ ไม่พาเข้าไปนิพพานหรอก เพราะฉะนั้นตัวแรกที่จะเห็นจริงเป็นสัมมาทิฏฐิ แล้วก็พยายามให้ตัวเอง มีความขยันหมั่นเพียร สัมมาวายามะ พยายามปรุงขึ้นมาๆ ถ้าไม่ปรุง ถ้าเอาอยู่เฉยๆ มันก็สุขหรอก แต่ถ้าปรุงขึ้นมาเป็นประโยชน์โลกทุกข์นิดหน่อย บางทีต้องใช้ Energy น่าดูเหมือนกัน บางทีต้องปั้นสีหน้าปั้นเรี่ยวแรงเน้นคำนั้น คำนี้มันก็ต้องปรุง ให้เกิดสัมมาวายามะ เพราะว่าเดี๋ยวนี้คนมีจิต ที่เรียกว่า จิตเดิมแท้นั้นมันลึกเหลือเกิน ต้องไชกันให้หนัก ไชกันก็ไปให้ลึกถึงจะถึงที่ เพราะฉะนั้นเราพูดอ่อยๆ เหมือนกับอย่างสมัย 2,500 กว่าปีมาแล้ว อย่างพระพุทธเจ้าท่านพูดท่านตรัส อย่างนั้นอย่างนี้เรื่อยๆ ธรรมดาๆ ไม่ใช่ยุคแล้ว ยุคนี้พูดอย่างนั้นไม่ได้ ยุคนี้ถ้าพูดอย่างนั้นอ่อยๆ รับรองเหลือนี่ 5 คน เหลือตรงนี่ 5 คนจริงๆ ด้วยถ้าพูดอ่อยๆ 5 คนจริงๆ เพราะฉะนั้นอาตมามาบรรยายที่นี่ อาตมาได้รับจดหมายจากพระที่นี่ ท่านเขียนไปท่านเตือนว่า แหม ท่านบรรยายธรรมะดี แต่อาตมาไม่รู้นะว่าอยู่ที่ไหน ก็ไม่รู้จักท่านแต่ท่านเจตนาดีเพราะเห็นท่านเองท่านรับสิ่งนั้นท่านเห็นว่าสิ่งนั้นควรจะมีอยู่ที่อาตมา อาตมาเองก็อยากมีสิ่งนั้นตลอดกาลแต่มันทำไม่ได้มันต้องใช้มันต้องปรุง ในเวลาอย่างที่กระทำอยู่อย่างนี้แหละ ไม่ใช่อาตมาไม่รู้ อาตมารู้ อาตมาเองก็อยากมีสิ่งนั้นตลอดกาล แต่มันทำไม่ได้มันต้องใช้มันต้องปลงในเวลาอย่างที่กระทำอยู่อย่างนี้แหละไม่ใช่อาตมาไม่รู้แต่อาตมา เน็ตไม่ดี หมายความว่า แค่พูดแค่ส่งเสียงแค่กายสังขาร หมายความว่าอากัปกิริยาต่างๆ ที่แสดงออกก็ควรจะอยู่ในภาวะสงบสงบให้มาก แล้วจะเป็นที่น่าบูชามากขึ้นอีกจริง จริงไม่เป็นของแปลกเลยและถูกที่สุด อาตมาก็อยากอยู่ในสภาวะนั้นที่สุด แต่นั่นแหละอาตมาถึงบอกว่า ถ้าอาตมามานั่งเทศน์อ่อยๆ อย่างนี้เหลือ 5 คน เหลือ 5 คนจริงๆ เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าในภาวะที่อาตมาจะเน้นหลับหูหลับตาพูด สลัดหน้าสลัดหลังอะไร อาตมาธรรมดาเดินยืนนั่งยืนอาตมาก็ไม่มานั่งสลัดหน้าสลัดตาหรอกอาตมาไม่ได้ทำหรอก แต่ทำในขณะที่ควรจะทำในขณะที่ปรุงออกมาเพื่อจะสู่กันฟัง และชักจูงกันบ้าง มันลึกกว่าที่ว่านี้ ต้องทิ่มกันให้แรงๆหน่อย มันถึงจะถูกจิต พระว่า… เป็นศิลปะได้ไหม พ่อครูว่า… เรียกว่าศิลปะก็ได้ โลกเรามีชื่อเรียกว่าศิลปะ ถ้าเรียกในภาษาพระพุทธเจ้าก็เรียกว่า อุปายะ เรียกว่า อุปายโกศล พวกมหายานเที่ยวไปสอนกันบอกว่า โพธิสัตว์มี อนิยตะ นิยตะ และพยายามดันทุรังไปสร้างแต่อภิญญาแต่ปัญญาญาณอันนี้ไม่สร้าง ดันทุรังไปเถิดพวกนี้มหายาน ถ้าพวกนี้ไม่เข้าใจแบบนี้แล้วจะเดินแบบสัทธาธิกะหรือวิริยาธิกะ แต่ถ้าใครเข้าใจแบบนี้นะ เดินแบบปัญญาธิกะ สร้างทานศีลเนกขัมมะหรือสมาธิและเกิดปัญญา จนกระทั่งปัญญาบรรลุได้แล้ว จึงค่อยเพิ่มวิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน บำเพ็ญอภิญญาต่างๆ หวานเลย บารมี 10 ทัศนี่เดินเข้าไป พอทำแล้วก็สงเคราะห์โลกเป็นมีเมตตาธรรม และก็รู้จักวางให้ตัวเองมีอุเบกขา เพราะฉะนั้นของเถรวาทเรานั้นบารมี 10 ทัศ ถึงเป็นแบบนี้ แต่บารมีหรือปารมิตาของสายมหายานไปแปรรูปเสียเลยไม่เป็นแบบนี้ เข้าป่า เป็นของพวกสัทธาธิกะและวิริยาธิกะ ไม่ใช่ของพระสมณโคดมของพระพุทธเจ้าของเรา มีพระพุทธเจ้าแบบอื่นก็มี แต่แหมสู้ทนนานเหลือเกิน เพราะฉะนั้น ปัญญาธิกะจึงบำเพ็ญแค่ 20 อสงไขยกัปจบ แต่สัทธาธิกะดันทุรังทำ 40 อสงไขยกัป เพิ่มเป็น 2 เท่า พวกสัทาธิกะหมายความว่าฉันไม่ฟังเสียงแล้ว ฉันจะดันทุรังของฉันแบบนี้ไปได้เหมือนกัน ไม่เป็นไรหรอกไอ้ของกลมๆทั้งนั้นในโลกนี้ ไปได้เหมือนกันมันจะถึงจนได้ เช่นเดียวกันกับจะเดินไปทางอเมริกาไปได้เหมือนกันปักหัวดิ่งตรงไหนก็ได้มันถึงเหมือนกันนะอเมริกานี่ ไปซ้ายก็ได้ไปขวาก็ได้ ถึงเหมือนกัน แต่ไปดันทุรังเข้าทางซ้ายไม่ถึงง่าย นานช้าถึงเรียกว่า 40 อสงไขย พวกสัทธาธิกะปักดิ่งยึดมั่นเลย แต่พวกวิริยาธิกะ ไอ้คนนี้พูดอย่างนี้เอาทีแต่แม้เพียรเหลือเกินขยันทำเสียจริงวิริยาธิกะขยัน ประเดี๋ยวคนมาพูดอีกอย่างนึงก็เอาอีกที่ไม่ค่อยได้เรื่อง เปลี่ยนดีกว่า มาทางนี้เอาทีแฮะ อ้าไปได้หน่อย พอบอกคนนี้มาเป่าหูอย่างนั้นไม่ใช่ กลับไปกลับมากลับไปกลับมา 80 อสงไขยกัปนะ กว่าจะจบนะ บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าพวกนี้อ้วกเลย เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ถ้าไม่ใช้อะไรเป็นปัญญานำนะไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องปรุงให้ได้ ให้ปัญญานำหน้าเสมอ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าองค์สัมมนาโคดมของเราจึงเป็นผู้ที่มีปัญญาเลิศ เป็นผู้ที่สูงที่สุดในจริต ที่นี้ปัญญาสูงกว่าพระพุทธเจ้าที่มีสัทธาธิกะและวิริยาธิกะจึงเรียกท่านว่าเป็น ปัญญาธิกะ และท่านต้องมาสอนคนที่โง่ที่สุด คือคนยุคนี้ เพราะฉะนั้นคนยุคต่อไปให้พระพุทธเจ้าแค่องค์สัทธาธิกะ หรือ วิริยาธิกะสอนก็ได้ ไม่ต้องเอาปัญญาเลิศๆมาสอนหรอก เพราะสอนคนยิ่งโง่ต้องใช้คนที่ปัญญาสูง มันถึงจะคุ้มกัน เพราะฉะนั้นถ้าสอนคนปัญญาสูง เอาคนปัญญาไม่ค่อยสูงมาสอนก็ได้ ให้เขาเหนือกว่านิดหน่อยก็แล้วกัน เหนือกว่านิดหน่อยก็สอนได้ เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้วนะพระพุทธเจ้าเองก็ยังมีความไม่เท่ากัน จะพูดให้ฟัง พระว่า… ปัญญาธิกะนี่ ขั้นสูงเป็นพระอรหันต์แล้วกลับมาทำหน้าที่ต่อได้ไหม พ่อครูว่า… ปัญญาธิกะนี่แหละ จะต้องเป็นพระโพธิสัตว์ที่บรรลุอรหันต์ก่อน และเป็นโพธิสัตว์ที่แท้ด้วย และเป็นโพธิสัตว์ที่ไปได้เร็วรวด แบบพระสมณโคดมของเรานี่ และเป็นพระโพธิสัตว์ที่จะบรรลุได้แน่นอนด้วย จึงเรียกไปว่าเป็นพระนิยตโพธิสัตว์ด้วย เพราะว่าเที่ยงแท้ เพราะท่านรู้หลักหลบเหลี่ยมทุกข์ ท่านมีเหตุผลหลบเหลี่ยมทุกข์แล้ว พระว่า…หมายความว่าท่านมีปัญญารอบรู้ และก็รู้รอบอีกด้วย พ่อครูว่า… รู้รอบด้วย จึงสามารถที่จะบำเพ็ญตนไปได้ เพราะฉะนั้นเช่นเดียวกันกับพระสมณะโคดมของเรานี่นะ ในสมัยที่ท่านเป็นพระสุเมธดาบส ท่านรู้ท่านจะเป็นอรหันต์เดี๋ยวนั้นท่านก็ได้ แต่ท่านยังไม่เอาหรอกท่านยังไม่ ไม่ยอมเอาแค่นี้ไม่ขอจบชาตินี้ สมัยตอนที่พระพุทธเจ้าสมณโคดมเกิดเป็นพระสุเมธดาบสและท่านก็ทอดตัวให้พระพุทธเจ้าทีปังกรดำเนินผ่าน ข้าม ตอนนั้นท่านบอกว่าจะบำเพ็ญโพธิสัตว์ต่อ ท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าเดี๋ยวนี้โดยที่เรียกว่า ท่านไม่ต้องให้พระพุทธเจ้าทีปังกรพยากรณ์ก็ได้ เพราะท่านจะเป็นอรหันต์เดียวนั้นก็ได้ แต่ท่านไม่เอา นี่แหละตัวอย่างอันแท้จริง เพราะฉะนั้นพระโพธิสัตว์แบบปัญญาธิกะจึงบรรลุอรหันต์ก่อน ถ้าคลี่คลายออกมาแบบนี้แล้วจะเข้าใจ ถ้าไม่คลี่คลายอาตมาเขียนหนังสือเล่ม 2 เล่ม 3 ถูกว่า อาตมาพูดอะไรออกไปนอกๆ เรียกว่านอกเขตนอกตำราเขามาก บอกว่าอรหันต์ ก็ยังไม่จบ พระพุทธเจ้าก็ไม่จบบ้าง พระว่า…การที่ท่านพูดได้นี้เป็นอุตริมุสธรรมถึงพูดได้อย่างนี้ พ่อครูว่า… อุตริ อุตระ แปลว่า เหนือ มนุษย์ บอกแล้วว่าเป็นธรรมะ อุตระ มนุสสะ ธัมมะ เป็นธรรมะที่เหนือมนุษย์ ก็ผู้นั้นเอามาพูดได้แล้ว ก็ต้องตรวจหน่อยสิว่ามันมี พระว่า…ผู้รู้ได้อย่างนี้ และแล้วพูดไปเป็นอุตริไหม พ่อครูว่า… เป็นอุตริเหมือนกัน หมายความว่าถ้าพูดไม่ถูกวาระแล้วพระพุทธเจ้าก็ปรับอาบัติเหมือนกันเป็นปาจิตตีย์ ไม่มากหรอก ถ้าคนนั้นมีอุตรินั้นจริง มีความเหนือมนุษย์นั้นจริง ผู้พูดได้อวดได้ แต่ท่านตรัสไว้ว่าลงโทษหน่อยนะ ถ้าไม่พูดแล้วเราจะรู้ของที่เหนือมนุษย์ได้อย่างไรล่ะ ถ้าอาตมาไม่พูดพวกคุณจะรู้ได้อย่างไรล่ะ เอากันจริงๆ เมื่อพวกคุณก็ใส่ใจธรรมนะ โดยแท้จริงนี่อาตมา ตีคำว่าอนุปสัมบัน ไม่ใช่แค่ว่าผู้ไม่ได้บวช อนุปสัมบัน คือผู้ได้ปฏิบัติบ้างแล้ว เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ได้ปฏิบัติเลยพวกอนุปสัมบันเลิกกัน ผู้ที่ปฏิบัติบ้างแล้วพูดสู่กันฟังได้ เพราะฉะนั้นอนุปสัมบันนี่ หากไม่ได้ปฏิบัติอะไรมา ก็ช่างมันเถอะ พระว่า…พอท่านไม่รู้ก็หาว่ารู้ดีมาก พ่อครูว่า… ก็เป็นธรรมดาไง อันนั้นถูกเป็นเรื่องธรรมดา อาตมากล้าพูดอีกอันนึงในขณะนี้ว่า ผู้ที่นั่งฟังอาตมาอยู่นี่ แล้วได้เคยอ่านหนังสืออาตมาเล่ม 2 เล่ม 3 มาก่อนพออ่านมาถึงจุดนี้ที่ว่าพระอรหันต์ยังไม่จบ แล้วพระพุทธเจ้ามีอะไรต่ออะไรอะไรต่างๆ นานา ซึ่งในหนังสืออาตมามีเยอะเลยที่อีกหลายอย่าง อาตมาช่วยเลยว่าผู้นั้นผู้นั้น พออ่านถึงจงดีใจจะบอกว่าเอาอะไรมาพูด อาตมาเชื่อเลยอะไรและมานั่งฟังจนกระทั่งถึงวันนี้ ที่อาตมาอธิบายอยู่นี่ จะคลี่คลายความเข้าใจที่เคยเข้าใจอย่างนั้นมาแล้วเยอะ อาตมาเชื่ออันนี้กล้าพูด พระว่า…คำว่า การปฏิบัติรู้จริงเห็นจริงเข้าใจจริงด้วยตัวของตนเอง ตรงนี้คือรู้แจ้งเห็นจริง ที่นี่บุคคลยังไม่เคยปฏิบัติเลย เขาก็ฟังไม่รู้เขาก็ฟังไม่รู้เรื่อง พ่อครูว่า… เพราะฉันอาตมาถึงยืนยันเหลือเกินว่าฟังไปเถอะอยากจะฟังเพลิด ตั้งค่าอธิบายจนถึงอาการของพระอรหันต์จะตายทำยังไง จะทำยังไง จนกระทั่งตายในท่านั่งท่านอนท่าเดินอะไรอธิบายให้ฟังจน อาตมาก็ว่าใครก็คงไม่มานั่งเล่าให้ฟังอย่างนี้หรอก ถ้านั่งเล่าให้ฟังนี้ก็จะบอกว่าแม้วันนี้ฟังถึงกระทั่งอรหันต์ตายในท่านั้น ท่าโน้น ท่านี้ ฟังจนกระทั่งถึงอรหันต์จะต่อยังไง พระพุทธเจ้ามีความไม่เท่ากันยังไง บอกว่าวันนี้ฟังธรรมะสูงเพลิด แต่ว่าไม่เอาไอ้ที่ต่ำๆ ที่เรายังไม่ถึงนั่นไปปฏิบัตินี่มันก็ไม่ได้อะไร ไม่ได้อะไร เพราะฉะนั้นถึงบอกว่า จะทำให้เกิดผลจริงเป็นจริงรู้จริงแจ้งจริงนั้นไม่ใช่เอาแต่มาฟังว่าแม้วันนี้ฟังสูงมากแล้ว และก็ผยองตน ไม่ใช่ ต้องเอาไปปฏิบัติจับให้ได้รู้ฐานะของตนเองให้ได้ เรียกว่ากรรมฐาน เรียกว่ากรรมฐาน กรรมฐานนี้ไม่ใช่อะไร คือฐานะที่ตัวเองจะกระทำ อย่าไปหลงงมงายเอาว่ากรรมฐานต้องไปนั่งหลับตาเฉยๆ ไม่ใช่นะ กรรมฐานต้องรู้ฐานะของตนเองที่กำลังกระทำอยู่ ถ้าตัวเองมีภูมิธรรมเท่านี้ ก็ทำตามฐานะของเรา อย่าไปหลงเพลิดว่าตัวเองนี้เลิศลอยแล้ว หรือว่าต่ำเกินไปก็ไม่ใช่ฐานะ สูงเกินไปก็ไม่ใช่ฐานะ ต้องรู้ฐานะที่เป็นจริงอย่างแท้จริงของตัวเอง เมื่อรู้แล้ว นั่นแหละจงปฏิบัติเอาทำเอา เรียกว่ารู้กรรมฐาน และกรรมฐานอะไรที่เราจะเอาไปปฏิบัติก็ต้องรู้ ถ้าเราไม่รู้แม้กระทั่งผมนี่เป็นอนิจจังนะนี่ยาวแล้วก็มีแตกได้นะ ท่านก็ให้เพ่งดูเสียก่อน ที่นี้บอกกรรมฐานพื้นๆ เล็บมันมียาวแล้วก็มีขาดหายไปนะ กรรมฐาน 5 ถึงบอกว่ามีเล็บ มีผม มีขน มีฟัน มีหนัง ที่เห็นง่ายๆ ฟันนิดเดียวก็หลุดหายไปได้ง่ายนะ ท่านถึงให้อ่านอยู่แค่นี้นี่เป็นของพื้นๆต่ำๆเตี้ยๆ ถ้าเราทำได้แล้วแจ้งจริงหรือยัง ถ้ายัง ไม่รู้ได้กรรมฐานของเราก็เพ่งแค่นี้นะ อ่านแค่นี้ให้ออกนะ อย่าไปเอาอะไรสูงกว่านี้นะเพราะฉะนั้นกรรมฐานไม่ใช่ว่าไปนั่งหลับตาแล้วเห็นฟันหลับตาและเห็นผมไหม หลับตาและเห็นขนไหมไม่เห็นนะ เพราะฉะนั้นมันหลุดก็รู้อาการมันหลุดให้แท้ ผมมันยาวออกมาแล้วมันก็มีการแตกปลายมันมีการแก่เกิดแก่เจ็บตายอยู่ในเส้นผม และมีการเกิดแก่เจ็บตายอยู่ในเล็บ ผิวหนังมีการเกิดแก่เจ็บตายอยู่ในผิวหนัง ขนมีการเกิดแก่เจ็บตายอยู่ในขน รู้ให้มันได้ชัดๆ เจนๆ แจ้งๆ เมื่อรู้แล้วเลื่อนกรรมฐานของตัวเองขึ้นมา พระว่า… กรรมฐานเห็นอย่างนี้ต้องเห็นด้วยตา พ่อครูว่า… เห็นด้วยตาพูดอย่างนี้ เห็นด้วยกันได้ขนมันยาวได้ แล้วใจที่จะไปรู้แจ้งชัดในใจเกิดเป็นสภาวะเป็นยังไง เกิดจริงอันนี้ก็ให้อ่านจริงๆ เห็นความไม่เที่ยงในจิตจริงๆ พ่อครูว่า… อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พ่อครูว่า… ต้องทำให้เป็นจริงเป็นหนึ่งจิตสงบระงับจากกิเลสกาม จากกิเลสนิวรณ์ทั้ง 5 จากพยาบาท จากถีนมิทธะนั่งให้จิตใจใสแจ๋วแล้ว ก็ยกขึ้นมาว่าเออเนื้อหนังเรานะ ผมเรานะ ฟันเรานะ แล้วก็คิดมาจริงๆ เอาออกมาวิจัยทำอย่างนั้นจริงๆ มีวิตกวิจารในขณะนั้นจริงๆ เอาออกมาเป็นธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์จริงๆ เอามาวิจัยมันจริงๆ ว่าผิวหนังอะไรต่ออะไรของเราเอามาถามจริงๆ ไม่ใช่มานั่งหลับตาเฉยๆ เมื่อไหร่ ยกกรรมฐานอันนี้ขึ้นมานั่งคิดในสภาวะที่กำลังมีอารมณ์เป็นฌานขณะนั้นจริงๆ และเอามาคิด ไม่ใช่ท่านบอกให้อารมณ์ 5 กรรมฐาน 5 เอาเป็นกรรมฐาน 5 ไปศึกษาที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ไม่เคยยกจิตขึ้นให้เป็นสมาธิ ทำจิตให้เป็นสมาธิไม่มีนิวรณ์ทั้ง 5 แล้วแล้วก็ยกผมของขึ้นมาพิจารณา ยกฟันขึ้นมาพิจารณายกเล็บขึ้นมาพิจารณา ยกผิวหนังขึ้นมาพิจารณาไม่เคยยกจริงๆ เลยแล้วสภาวะที่เราจะเห็นแจ้งแทงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของผมของฟันของหนังจริงๆ พ่อครูว่า… สมมุติสิ่งที่พูดกันเฉยๆ แต่ลองทำจริงๆ สิถ้าใครหลงตัว ว่าแค่นี้ อั๊วะก็เข้าใจแล้วคนนั้นก็ไม่ได้ทำ แต่ถ้าใครทำจริงคนนั้นจะเห็นจริง พระว่า… เห็นเป็นสภาวะจริงๆ สภาวะอันไหนครับ พ่อครูว่า… สภาวะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะเห็นไตรลักษณ์อันนั้นได้ พระว่า…สติมันไปเห็น จนเกิดปัญญา พ่อครูว่า… เห็นจริงเลย ถ้าเห็นตอนนี้เห็นเป็นภาษา ถ้าไปนั่งเห็นด้วยจิตที่มันเป็นฌานจริงๆ นะ จิตที่มันละเอียดจริงๆ จิตที่มันไม่มีกิเลสจริงๆ แล้วอ่านให้จริง เป็น ยถาภูตญาณทัสสนะ เห็นความแท้จริงอันแท้จริง ยถาภูตญาณ อันนั้นจึงจะเกิด เพราะฉะนั้นพูดกันไปแล้ว นี่นะไปทำกันซะบ้าง ไปทำจริงๆ ด้วย อยากไปนั่งเอาแต่ฟังๆๆ แล้วก็ แหม… วันนี้ฟังดีอร่อยเลิศเลยสูงด้วย แต่ไม่เคยไปนั่งเพ่งพินิจเลยว่าอะไรมันเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่เคย เพราะฉะนั้นบอกว่าอย่าเอาแต่ฟัง พระว่า…ฟัง ไม่เห็นสภาวะเห็นแต่ความแก่ชรา ฟันหลุดได้ ขนมันหลุด ก็ไม่เห็นความเกิดดับนี่ครับ ภาวะการเกิดดับ มันต้องเห็นด้วยจิต พ่อครูว่า… มันไม่เห็นไตรลักษณ์ เอาล่ะ วันนี้ก็พอสมควรแก่เวลาสาธุ จบ Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin7 พฤษภาคม 2024 Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทองNextNext post:150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024670115 ลดละจากมหามาสู่จุล เปลี่ยนจากไม่เห็นด้วยจนมาเห็นได้ รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #51 ราชธานีอโศก15 มกราคม 2024
670115 ลดละจากมหามาสู่จุล เปลี่ยนจากไม่เห็นด้วยจนมาเห็นได้ รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #51 ราชธานีอโศก15 มกราคม 2024