590209_พุทธศาสนาตามภูมิ-อัมพัฏฐสูตร-ตอน-๖ (คลิกชื่อเพื่อดาวโหลดเอกสาร) ,
คลิกที่นี่เพื่อดาวโหลดเสียง
พ่อครูว่า….วันนี้วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2559 ขึ้น 2 ค่ำเดือน 3 ปีมะแม หรือปีวอกแล้วแต่ใครจะชอบ เราไม่ยึดมั่นถือมั่น เป็นปีอะไรก็ไม่ว่ากัน วันนี้เราก็มาต่อ ที่เราได้เรียนกันไป อาตมาก็สอนไปตามภูมิ ก็สอนมา 46 ปีจัดเต็มแล้ว ไม่ชัดเลยก็ดูเร็วเพราะฉะนั้นจะต้องเร่งยังมีเรื่องจะต้องสาธยายอีกเยอะ
บางอย่างมีสภาวะแต่ไม่เก่งเรื่องภาษาที่จะสื่อออกไปภาษาไทยอย่างเดียวก็ไม่พอแน่นอนไม่ลึกไปถึงปรมัตถธรรมของพระพุทธเจ้า บางที่ต้องใช้หลายภาษา แล้วก็ได้ขึ้นมาเรื่อยๆให้ติดตามฟังให้ดี ตอนนี้กำลังเชื่อมโยงให้เห็นถึงความจริงจากที่เขาศึกษาไม่ว่าทางฟิสิกส์คือทางชีววิทยา ฟิสิกส์เท่ากับ ไปถึงอย่างที่ไอน์สไตน์เขาทำเอาไว้
แต่จะมากำลังเห็นถึงความต่อเนื่องระหว่างอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม ส่วนคนเรามีกรรมเป็นของๆตน มีกรรมเป็นทายาท เราต้องรับมรดกกรรมของตน กรรมเป็นเผ่าพันธุ์เป็นเชื้อแท้ ต้องมาศึกษากรรมที่เป็นองค์รวมรูปนาม เกิดปฏิกิริยาขึ้น ถ้ามีปัญญาก็สามารถควบคุมจัดสรร ให้ชำระกิเลสไปในตัว หากไม่เข้าใจอย่างสัมมาทิฏฐิก็ไม่เป็นบุญที่ชำระกิเลสได้ จะดีหรือไม่ดีก็อยู่ที่ผลของกรรมวิบาก ตนต้องรับมรดกกรรมของตน ตนก็ได้อาศัยกรรมของตนเป็นที่พึ่ง พระพุทธเจ้าท่านค้นพบว่า มนุษย์ทุกคนมีกรรมปัจจุบัน แล้วก็ต้องมาปฏิบัติเพื่อลดละให้สิ้น ต้องปฏิบัติขณะปัจจุบัน ดับกิเลสในปัจจุบัน สั่งสมเป็นอดีตที่ตั้งมั่นเหมือนเสาระเนียดที่มั่นคงแข็งแรง ไม่มีอะไรมาล้มล้างได้ ในทุกอดีต อนาคตก็สูญตลอดกาล จะมีอนาคตที่มีเรี่ยวแรงขนาดไหนก็มาล้มล้างหักโค่นไม่ได้ เป็นสัจจะที่แต่ละคนต้องพิสูจน์
อาตมมาถึงวันนี้ ๔๖ ปีแล้วก็ต้องใช้คำที่ตรงและแรงแบบนี้ ก็สาธยายพุทธศาสนาตามภูมิ การเปรียบเทียบก็เพื่อให้เห็นดำเห็นขาวชัด ไม่ต้องหาเรื่องไปเคลื่อนเขา อาตมาก็หนักไปทางพรหมฑัณท์แล้ว
SMS 8ก.พ59
0816956xxx ผมพบชาวอโศกประมาณเกือบยี่สิบปีเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้า เลิกไหว้เจ้า เลิกไหว้ทุกอย่างที่ไม่ใช่พุทธ เชื่อพระพุทธเจ้าไม่ตกนรก ก ท ม
พ่อครูว่า เราเลิกไหว้เจ้าแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปรุกรานเขา เขาก็ต้องอาศัยตามภูมิของเขา สถานะเขาเป็นสายศรัธา เทวนิยม แล้วพวกเขามีมากกว่าสายปัญญาด้วย ถึงต้องมีแท่นมีที่ให้เขาอาศัย เราต้องเข้าใจอันนี้แล้วอยู่กันอย่างดี ขัดเกลากันบ้าง
0816956xxx ทักษิณก็เสียเพราะเงิน ก ท ม
0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูฯสอนเรื่องกายคือองค์ประชุมของจิตดังท่านเคยอ่านในพระตปฎ.พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ตถาคตเรียกกายว่าจิตบ้างมโนบ้างวิญญาณบ้าง!เล่ม16ข้อ230สาธุ
พ่อครูว่า เรื่องกายนี้เรื่องใหญ่ ติดตามฟังให้ดี อย่านึกว่าฟังครบแล้วนะ
0893867xxx ขอบคุณญตธ.บุญนิยมtvที่ เผยแพร่ธรรมที่สร้างสำนึกดีๆให้เกิดขึ้นในจิตใจมนุษย์ไม่เหมือนอลัชชีกินปัจจัยคอรัปชั่นไร้สำนึกจรธ.เอวัง
พ่อครูว่า….พูดถึงบุญนิยมทีวีอาตมาเห็นถึงอานิสงส์เห็นเนื้อบารมี บุญนิยมทีวีอยู่ได้ด้วยบารมีธรรมเป็นธรรมะที่อุ้มชูอยู่ เป็นทีวีที่อยู่ท่ามกลางทุนนิยม เค้าลงทุนกันเป็นร้อยล้านพันล้านทีวีดาวเทียมก็ตาม จนเป็นหนี้เป็นสินกันจะล้มละลายกันหลายเจ้า เขาแข่งกันทั้งโลกที่แม้แต่ทีวีดาวเทียมของสายธรรมะก็ไม่ออกนอกกรอบของโลกีย์ ไม่ได้สื่อสารเรื่องโลกุตระที่เป็นของพระพุทธเจ้า
แม้จะมีคนรู้น้อยแต่ก็เป็นโลกุตระ มีเหตุปัจจัยของคนที่พวกเรา ช่วยกันทำ ไม่ว่าตัวเล็กตัวน้อยตัวใหญ่คนละเล็กละน้อยตามกำลังวังชาความรู้ความสามารถทำงานที่หลุดพ้นมิจฉาชีพมา หลุดพ้นการทำงานที่ไม่มีสิ่งแลกเปลี่ยน ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ทำงานไม่เอาลาภแลกลาภ ถ้าเป็นยุคประชาธิปไตย ก็ได้ก็เสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากในโลกที่ประเทศไทยไหนก็ทำไม่ได้ ของเราเป็นประเทศเล็กๆที่ซ้อนในประเทศไทย แต่ไม่ใช่จะมาขบถประเทศไทย ชาวอโศกไม่ขบถต่อประเทศไทย เพราะขบถหมดแล้วไม่รู้จะหนีไปไหน
มิจฉาอาชีวะเราพ้นได้ดี ทำอาชีพถึงขนาดเสียภาษี ๑๐๐ % เป็นสาธารณโภคี มีมิจฉาสังกัปปะ ๓ เราก็ทำได้ดี มิจฉากัมมันตะ ๓ เราก็พ้นได้ดี อาจมีบกพร่องบ้าง มดปลวกบ้างสุดวิสัย หรือใครมีกิเลสบ้างก็น้อย ระมัดระวังสังวรจริง ไม่เอาของคนอื่น ไม่เกิดคดีฟ้องร้องกันมาเลย พูดโกหกก็ไม่มีอะไรมากมาย อบายมุขนี่ดีมากเห็นชัดเลยไม่ไปอย่างโลกเขาที่แย่มากแล้วแต่เขาไม่เข้าใจ
ศีล ๕ ก็เยี่ยม ได้สังกัปปะก็สามารถเข้าใจ สามารถรู้ จิตเจตสิก รู้จักปรมัตถ์ สามารถรู้จัก กาย เวทนา จิตธรรม แจกถึงเวทนา ๑๐๘ แยกเคหสิตะ เนกขัมมะได้ และพยายามทำกันได้ อยู่ในร่องร่อยศาสนาพุทธแท้ เป็นไปได้ เราตั้งหน้าตั้งตาสร้างสิ่งเหล่านี้กัน
มันเกิดเชื้อเกิด dna ของพุทธแล้วในเมืองไทยจะต้องมีสถานที่ บ้านราชฯก็ลงหลักปักแหล่งกันพอสมควรไปเรื่อย มีเสนาสนะสัปปายะบุคคลสัปปายะ มีการสร้างบ้านหลังแรก ก็ยังไม่เสร็จ แต่บ้านราชฯก็เป็นถิ่นที่อาศัย ของชาวบ้าน มาทำงานกันพอเลี้ยงชีวิตได้ พึ่งพากันไป เป็นไปได้ที่อบอุ่น สามัคคี แต่ก็มีวิบากมีคนรวนคนกวน ก็ไม่หนักหนาสาหัส พอให้เราตื่นตัวไม่เย็นใจไม่ประมาท กำลังดี ไม่มีเสียเลย เราจะประมาท ปล่อยปละละเลย
แม้แต่ที่สุดธรรมะที่อาตมาพาทำถึงแยกโลกียะ โลกุตระ ออกทางจิตวิญญาณ มโนปวิจาร ๑๘ เป็นแกนเลย หากอ่านอาการลิงคนิมิต แยกโลกียะ โลกุตระมันมีนิมิตต่างกันอย่างไร อาการต่างกันอย่างไร อาตมาอธิบายอุเทส จนให้พวกเราทำได้ จนเกิดคนจริง อาตมาไม่ได้ใช้อามิสล่อไม่ได้มีโลกธรรมล่อเลย อันนี้เป็นดัชนีชี้ค่าที่เป็นของจริง
อาตมาไม่กังวลว่าอันนี้จะล้มละลาย คนกลัวว่าอโศกหากโพธิรักษ์ตายไปก็ล้มละลาย เขาก็เชื่อเช่นนั้นก็แล้วแต่ ส่วนคนที่เห็นดีก็อย่าช้า ต้องพากเพียร พระพุทธเจ้าว่า ความสำเร็จก็ด้วยความเพียร ให้ตลอดรอดฝั่งถึงเป้าหมายได้แท้จริง นี่คือสัจจะที่อาตมาก็ทั้งพยายามยืนยัน ปรากฏการณ์
0846110xxx พ่อตายแล้วทำไมถึงกลัวผีพ่อทั้งที่รักพ่อ
ตอบ…ที่กลัวเพราะคนเราไม่รู้ เช่นเรากลัวที่ตรงนั้นมืดๆ เพราะว่าไม่รู้ว่ามีงูมีเสืออะไรอยู่ ไปเหยียบมันได้ ลึกเข้าไปมันก็มีตัวที่หลอกเราได้ เป็นผีอยู่ที่มื ดรวมแล้วคือกลัวความไม่รู้ นี่คือคำตอบ กลัวเพราะคุณไม่รู้ไม่รู้คำว่าผี ผีคือจิตวิญญาณ จิตวิญญาณเป็นผี ในตัวคนเป็นก็เป็นผี ตายไปก็เป็นผี แต่จิตวิญญาณที่หลังตายไปแล้วมาหลอกใครไม่ได้ ไปรับวิบากอย่างเดียว
ถ้าวิญญาณเป็นผีก็ต้องเป็นตัวร้ายเลว ถ้าเป็นเทวดาก็เป็นวิญญาณดีถ้าวิญญาณดีมาจะไปกลัวทำไม ถ้าวิญญาณร้ายมา จะมาได้อย่างไร มาไม่ได้หรอก เพราะเจ้าหน้าที่ยมบาลไม่ยอมให้มาหรอกต้องติดคุกในนรก ออกมาไม่ได้หรอก ผีร้ายพวกนี้ เช่นเดียวกับคนติดคุกออกมาไม่ได้
นี่ก็มีศพในโลงเย็นตั้งอยู่ที่นี่ คนก็เดินไปเดินมากันไม่เห็นผีในโลงนี้ มีตั้งหลายศพแล้วไม่เห็นออกมาหลอกกันสักที พวกเราเข้าใจแล้ว ที่เห็นผีนั้นอุปาทาน ตาเราหลอกเอง
แล้วคุณไม่เชื่อว่าวิญญาณที่หลังตายแล้วมาในโลกปัจจุบันไม่ได้ มันต้องไปตามวิบากของมัน มาไม่ได้
เรามาต่ออัมพัฏฐสูตร
มโนมยิทธิญาณ
[๙.๒] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วแน่วแน่แล้ว ย่อมน้อมจิตไป เพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง เปรียบเหมือนชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง หรือชักดาบออกจากฝัก หรือชักงูออกจากคราบฉะนั้น ข้อนี้ก็เป็นวิชชาประการหนึ่ง.
ที่มา: อัมพัฏฐสูตร ๙[๑๖๓]๑๐๔
ทำให้เวทนารวมลงเป็นหนึ่งเป็นปุริสภาวะ เป็นปุงลิงค์ จากอิตถีลิงค์ เมื่อทำได้แล้วจะสามารถทำให้เป็นนปุงสกลิงค์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์
มโนมยิทธิคือมีฤทธิ์อำนาจในการทำจิตให้บรรลุธรรมได้สำเร็จไม่ได้หมายถึงอิทธิปาฏิหาริย์หรืออาเทสนาปาฏิหาริย์เป็นหลัก ต้องศึกษาอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ก่อนถึงค่อยมีปาฏิหาริย์อื่น เพราะจะมีหลักประกัน สัพพปาปสอกรณัง กุสลสูปสัมปาแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาเพิ่มวิบากด้วยไม่ต้องกังวลและได้ดีได้เร็วด้วย เป็นทางโปร่ง ถ้าไม่ตั้งตนเป็นโพธิสัตว์ที่ต้องสืบทอดพระพุทธเจ้า บางองค์ท่านไม่ต้องรับภาระหนักอย่างอาตมาก็ทำพวกนี้ได้มาก ส่วนอาตมาทิ้งไปหมดแล้ว
ต้องตามดูให้ดีกว่าอาตมาคือใคร อาตมามาทำงานอันนี้ก็เปิดตัวแล้วว่าอาตมาเป็นสยังอภิญญา ก็ค่อยๆเปิด อวดอย่างต้องมีฐานรองรับไปตามเวลาลำดับ ไม่ใช่มีจิตอยากอวด
ฟังธรรมให้ดี คุณก็พิจารณาว่าจะอยู่ข้างนอกหรือควรมารวมกันให้เป็นปึกแผ่นบนแผ่นดินพุทธนี้
อิทธิวิธญาณ
[๙.๓] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วแน่วแน่แล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธี และบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายก็ได้ ทะลุฝากำแพง ภูเขาไปได้ ผุดขึ้นดำลงในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ เปรียบเหมือนช่างหม้อ หรือช่างงา หรือช่างทองผู้ฉลาด เมื่อต้องการภาชนะ หรือเครื่องงา หรือทองรูปพรรณอย่างใด ก็ย่อมทำสำเร็จได้ฉะนั้น ข้อนี้ก็เป็นวิชชาประการหนึ่ง.
ที่มา: อัมพัฏฐสูตร ๙[๑๖๓]๑๐๕
คือมีความหลากหลาย มากมายในการลดละกิเลสได้ คำว่าเอโก นี้ไม่ได้หมายถึงคน เอโกแปลว่าหนึ่งเดียว พหุแปลว่าหลากหลาย เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ ไม่ใช่หมายถึงตัวตนบุคคล แต่เป็นนามธรรม
นามธรรมของอาตมามี แล้วก็พาพวกคุณรู้ พวกคุณเอาไปทำจนเกิดผลเป็นอาริยบุคคล จนโพธิสัตว์มีลูกจำนวนพันเป็นอเนก เป็นลูกทางจิตวิญญาณทั้งนั้น มีนามธรรมเป็นหลัก ไม่เอาตัวตนบุคคลเป็นหลัก แต่ก็มีเกิดตามหลังจิตที่เกิดก่อน จิตพามา ไม่ได้เอาโลกธรรมอามิสล่อ แต่นามธรรมพามา
ทำให้ปรากฏหรือทำให้หายได้ ผู้สามารถจริงอย่างอรหันต์ เราจะอนุโลมได้ สร้างจิตไปอย่างเขาก็สร้างได้ แล้วพอเสร็จงานก็หายไป เป็นนามธรรม จิตเป็นตัวให้มีหรือไม่ให้มี ทำให้เกิดทำให้ตายก็ได้ ทำให้เกิดหรือทำให้หายได้ ไม่ใช่ที่ร่างกายนะ แต่อยู่ที่นามธรรม เราจะสร้างอารมณ์ หัวเราะสนุกสนานก็ได้ จะทำให้หายก็ได้
ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ถ้าไม่เข้าใจของจริงนามธรรมก็ไชหัวทะลุกำแพงภูเขาก็ตายพอดี แต่ถ้าเอาสว่านไปเจาะไม่ใช่อิทธิฤทธิ์นะ
ทะลุภูเขาตอนนี้กิเลสในโลกมันกองเป็นภูเขาใหญ่กว่ามากกว่าเอเวอเรสต์แสนเท่าแล้ว กำแพงกิเลสแข็งหนากว่าเพชรแสนเท่า แต่เราก็เดินผ่านกองภูเขากำแพงหนา เหมือนเดินในที่ว่า ใครเห็นภูเขาของตนที่เดินผ่านได้เฉย ของใครของมัน บางคนก็ภูเขาเล็กๆ บางคนก็ภูเขาใหญ่
เราเดินผ่านกองกิเลสกองกระแสโลกีย์ที่เขาแย่งโลกธรรมมอมเมาเป็นอบายจัดจ้านแต่เราก็เฉยไม่สะดุ้งสะเทือนไม่หวั่นไหว ไม่ได้อยากได้อยากมีอยากเด่นอะไร คือสิ่งที่มีได้
ผุดขึ้นดำลงในแผ่นดินเหมือนในน้ำ นี่เก่งกว่าไส้เดือนอีก เดินบนน้ำได้เหมือนเดินบนแผ่นดิน นี่เก่งนะ
มันปฏิโสตังทวนกระแสโลก คนโลกๆทำไม่ได้ต้องคนโลกุตระเท่านั้น แต่คนไม่ค่อยเชื่อ อาตมาไม่มีอลังการไม่มีสำนักรับรองเลย ว่าของตนเองเขาก็ไม่เชื่อ ไม่มีหลักฐานที่เขายอมรับเลย
อาตมาออกมานี่ไม่ได้พ่ายแพ้ทางโลกเลย เงินเดือนสองหมื่นกว่ามากกว่านายกฯสมัยนั้นอีก แต่อาตมาทำได้
เหาะไปในอากาศได้เหมือนนก มันเบาก็ลอยไปได้ เหมือนพระพุทธเจ้าว่าจะไปไหนก็ไปได้ ไปด้วยปีกแข็งมีบาตรบริหารท้อง มีจีวรบริหารกายจะไปไหนก็ได้เหมือนนกปีกแข็งบินไปได้ทั่วสารทิศ
ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ ด้วยฝ่ามือ แต่ใครจะมีมือแม่นาคยาวไปถึงพระอาทิตย์ได้แต่ไม่ใช่ แต่คือพลังโลกีย์แรงขนาดไหนในโลกเราก็อยู่ได้ อยู่ลูบหัวล้านโลกธรรมได้ ลูบคลำพลังงานโลกีย์ได้ ไม่ได้หนีไปไหน
เป็นนามธรรมนี้ไปได้ตลอดพรหมโลก ไม่ว่าจะเป็นพรหมโลก ๑๖ อรูปโลกอีก ๔ เป็นพรหมโลก ๒๐
รูปพรหม 16 ชั้น
พรหมปาริสัชชาภูมิ
พรหมปุโรหิตาภูมิ
มหาพรหมาภูมิ
ปริตตาภาภูมิ
อัปปมาณาภาภูมิ
อาภัสราภูมิ
ปริตตสุภาภูมิ
อัปปมาณสุภาภูมิ
สุภกิณหาภูมิ
เวหัปผลาภูมิ
อสัญญีสัตตาภูมิ
อวิหาสุทธาวาสพรหมภูมิ
อตัปปาสุทธาวาสพรหมภูมิ
สุทัสสาสุทธาวาสพรหมภูมิ
สุทัสสีสุทธาวาสพรหมภูมิ
อกนิฏฐสุทธาวาสพรหมภูมิ
อรูปพรหม 4 ชั้น
อากาสานัญจายตนภูมิ
วิญญาณัญจายตนภูมิ
อากิญจัญญายตนภูมิ
เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
รูปพรหม ๑๖ และอรูปพรหม ๔ ชั้น เราก็รู้แจ้ง รู้ว่ามารคืออะไรพรหมคืออะไรเทวดาคืออะไร จะเป็นเทวดากามาวจร ๖ เทวดาสมมุติเทพ เทวดาวิสุทธิ์เทพก็ตามคือพรหม รูปพรหม ๑๖ อรูปพรหม ๔ก็ได้ใช้พลังงานที่เป็นพรหมนี้จริงตรวจสอบเกิดมีเป็น ตามฐานะของแต่ละคนอย่างน้อยก็เข้าใจบัญญัติปริยัติที่ขยายให้ฟัง เราก็จะศึกษาพรหม ตั้งแต่อรหันต์เป็นพรหมบริสุทธิ์ จนเป็นอนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์ ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้แต่มีจริงได้
ทิพโสตญาณ
[๙.๔] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วแน่วแน่แล้ว ย่อมน้อมจิตไป เพื่อทิพยโสตธาตุ สามารถได้ยินทั้งเสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งไกลและใกล้ เกินโสตของมนุษย์ เปรียบเหมือนคนที่ได้ยินเสียงกลอง เสียงตะโพน ฯลฯ แต่ไกล ๆ ก็รู้ได้ว่านั่น เป็นเสียงกลอง เสียงตะโพน ฯลฯ ฉะนั้น ข้อนี้ก็เป็นวิชชาประการหนึ่ง.
ที่มา: อัมพัฏฐสูตร ๙[๑๖๓]๑๐๕ – ๑๐๖
พ่อครูว่า ได้รสทิพย์กลิ่นทิพย์เย็นร้อยอ่อนแข็งทิพย์ ทิพย์คือเกินกว่ามนุษย์สัมผัส คนสัมผัสเห็นอันนี้ก็ว่าเห็นแล้วเราอยากได้ แม้จะเกิดเล็กน้อย ไกลอย่างไรก็จับอ่านทัน จะเป็นกามคุณ ๕ ละเอียดเล็กน้อยอย่างไรก็อ่านได้ เสียงนี้ไกล เสียงนี้แยกแยะได้ด้วยเหมือนได้ยินเสียงแล้วกำหนดนิมิตแยกแยะได้ว่า นี่เสียงบัณเฑาะว์อันนี้เปิงมาง อันนี้ตะโพน แม้เสียงนี้เบามากไกลมากก็รู้ได้ คือรู้กิเลสหยาบ กลาง ละเอียดได้
เจโตปริยญาณ
[๙.๕] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วแน่วแน่แล้ว ย่อมน้อมจิตไป เพื่อเจโตปริยญาณ สามารถกำหนดรู้ใจของสัตว์หรือบุคคลอื่นด้วยใจ เช่น จิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ ฯลฯ หรือจิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น เปรียบเหมือน หญิงชาย ที่ชอบการแต่งตัว เมื่อส่องกระจกดูเงาหน้าของตน ถ้าหน้ามีไฝ ก็รู้ว่าหน้ามีไฝ หรือหน้าไม่มีไฝ ก็รู้ว่าหน้าไม่มีไฝฉะนั้น ข้อนี้ก็เป็นวิชชาประการหนึ่ง.
ที่มา: อัมพัฏฐสูตร ๙[๑๖๓]๑๐๖
รูปนามคือสภาวะธรรมะสอง มีปฏิกิริยากันเกิดสภาวะสามหรือมีอะไรห่อหุ้มเป็น Cytoplasm ถ้าอยู่ในอากาศก็เป็นอากาศ ถ้าอยู่ในเชื้อชีวะก็เป็นเซลล์ตั้งแต่โปรโตพลาส ก็เป็นน้ำ ตั้งแต่ระดับกลละ อัพพุทะ เปสิ ฆนะ ปัญจสาขา
แยกแยะลักษณะที่เป็นผี เป็นมาร เป็นพรหม พระพุทธเจ้าแยกแยะได้ ไม่มีวิทยาศาสตร์ไหนจะทำได้อย่างนี้ อาตมาก็เอาของไอสไตน์มาเชื่อมต่อ เป็นฟิชชั่นหรือฟิวชั่ว มันแตกตัวในจิตเราก็จับเอามาทำงานได้ แม้นิวเคลียร์ฟิชชั่น ทางโลกเขาจับเอามาไม่ได้เป็นกัมมันตรังสี ส่วนที่เขาจับได้เป็นฟิวชั่นก็เอามาใช้ได้
แต่ของพระพุทธเจ้าเอามาใช้ได้ทั้งสองแบบเก่งกว่าฟิสิกส์ อาตมาไม่ได้เก่งเอาฟิสิกส์ทางจิตวิญญาณมาใช้ จะต้องมาทำทางอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ เป็นเรื่องยาก ทำมา ๔๖ ปีแล้วคุณว่าน่าเหนื่อยไหม มันเหนื่อยอยู่ แต่ท้อไม่ได้ ต้องพากเพียรต่อไปทำให้ทะลุปรุโปร่ง
ทุกวันนี้อยากเห็นโพธิสัตว์ผู้พี่แต่ก็ไม่มีมา เอาผู้น้องก็ได้ แต่ตอนนี้ก็เห็นไรๆอยู่บ้างก็มาช่วยกันรวมตัวกันคนละไม้คนละมือนี่คือเรื่องจริงที่พิสูจน์ยืนยันได้ ก็อย่าเพิ่งรีบตายกันนะ รักษาสุขภาพด้วยแปดอ. ด้วยดีจะได้เห็นสิ่งดีสิ่งจริงนี้ต่อไป
เจโตปริยญาณสามารถทำได้ถึงภาวะสอง ฟิชชั่นคือวิกขิตตังจิตตัง ส่วนที่จับตัวกันได้คือสังขิตตังจิตตังหรือถีนมิทธะที่ตีไม่แตก แต่ของพระพุทธเจ้าจะตีแตกไปได้เรื่อยๆ แล้วตีกระเทาะต่อก็จะดีขึ้นๆ เป็นมหรรคตะถ้าทำได้ถ้าทำไม่ได้ก็อมหรรคตะ ดีขึ้นเป็นสอุตระ เราจะรู้ว่าดีกว่านี้ยังมีอีก พระอาริยะจะไม่ประมาท ทำให้มากเผื่อพอจน อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ปักมั่นครบบริบูรณ์จน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
ผู้ใดรู้ว่าตนเป็นสายศรัทธาแล้วมีเจโตวิมุติ แล้วรู้มีปัญญาด้วยเป็นปัญญาวิมุติก็เป็นอุภโตภาควิมุติ เป็นอนุตตรังจิตตัง เป็นชื่อคลุมใหญ่เหมือนcytoplasm ส่วน ในมีนิวเคลียส มีฟิวชั่นฟิชชั่นอยู่
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
[๙.๖] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วแน่วแน่แล้ว ย่อมน้อมจิตไป เพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ สามารถระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง … จนกระทั่งตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัปบ้าง ว่าในภพโน้นเราเป็นอย่างนั้น ๆ เมื่อสิ้นอายุแล้ว จุติจากภพโน้นไปเกิดในภพนั้น เป็นอย่างนั้น ๆ จนสิ้นอายุ จึงจุติจากภพนั้นมาเกิดในภพนี้ เปรียบเหมือนคนที่ะลึกได้ว่า ได้จากบ้านตนไปบ้านโน้น ในบ้านนั้น ได้ทำอย่างนั้น ๆ แล้วได้จากบ้านนั้นไปยังบ้านโน้น ได้ทำอย่างนั้น ๆ แล้วกลับจากบ้านนั้น มาสู่บ้านของตนตามเดิมฉะนั้น ข้อนี้ก็เป็นวิชชาประการหนึ่ง.
ที่มา: อัมพัฏฐสูตร ๙[๑๖๓.๑๒]๑๐๗
ที่ไม่รู้ก็เกิดไปตามภพโน้นภพนี้ พอรู้แล้วว่าภพนี่อบาย กาม รูปโลกอรูปโลก เป็นภพโลกีย์เรารู้แล้วก็ไม่ไปหลงติดภพนั้นๆ
แต่ก่อนเป็นคนโคตรโกงก็หยุดโกงแล้ว โคตรตลบแตลงก็เลิกแล้วพร้อมอาการ อาการเป็นตัวสำคัญที่ต้องอ่าน อาการของรูป ของนาม จะรู้รูปกาย นามกายต้องรู้ด้วยอาการลิงค นิมิต อุเทส
นิมิตตัวนิ่งพอแตกตัวก็แตกไปอีกก็แยกได้อีก ถ้าไม่เคลื่อนไหวก็ตีไม่แตกต้องทำให้แตก ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย จนมันสูญตีไม่แตก กระทบกระแทกอย่างไรก็ไม่แตก อสังหิรังไม่มีอะไรทำร้ายได้อีก
ก็จนกระทั่งไปมาหมดทุกบ้านครบทุกบ้าน รู้หมด
ซ้อนอีก ขนาดพระพุทธเจ้าอธิบายท่านยังไม่เหน็ดเหนื่อย ซ้ำซากนั้นแหละ แสนมัน ไม่ใช่น่าเบื่อหน่าย ต้องเอาเพลงความซ้ำซากของอาตมามาขยายอีก
จุตูปปาตญาณ
[๙.๗] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วแน่วแน่แล้ว ย่อมน้อมจิตไป เพื่อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ รู้ชัดว่าหมู่สัตว์ย่อมเป็นไปตามกรรม ผู้ที่ประกอบอกุศลกรรมด้วย มิจฉาทิฏฐิ ตายแล้วย่อมไปสู่ทุคติ นรก ส่วนผู้ที่ประกอบกุศลกรรมด้วยสัมมาทิฏฐิ ตายแล้วย่อมไปสู่สุคติโลกสวรรค์ เปรียบเหมือนคนที่ยืนอยู่บนปราสาทตั้งอยู่ ณ ทาง ๓ แพร่งกลางพระนคร ย่อมมองเห็นหมู่ชนเบื้องล่าง รู้ได้ว่าคนเหล่านั้นกำลังไปไหนทางไหนอย่างไรฉะนั้น ข้อนี้ก็เป็นวิชชาประการหนึ่ง.
ที่มา: อัมพัฏฐสูตร ๙[๑๖๓]๑๐๘
อะไรที่หลุดพ้นแล้วทิ้งไม่ต้องไปดับอีกไม่มีการถอยหลัง จุติแล้วก็ผ่านไปสูงขึ้นเรื่อยๆ
ผิวพรรณถ้าดูข้างนอกก็เป็นผิวพรรณข้างในก็เป็นยศชั้น
คำว่าติเตียนพระอาริยเจ้านั้น แทนที่เขาจะมากราบไหว้พระอาริยะ แต่เขาเฉยๆ ไม่ไปติไม่ไปด่าว่าอะไรตอบ เขาก็ไม่เป็นไร แต่นี่เห็นพระอาริยะแล้วไม่มาเงี่ยโสตสดับไม่มานั่งใกล้ว ผู้ติเตียนพระอาริยะเพราะเขาโง่เขาไม่รู้ไม่เชื่อ ถ้ารู้แล้วไม่มาจะถือว่ารู้จริงไหม ขนาดคุณรู้ว่านี่บ่อเพชรนะ แต่คุณก็ว่าไปทำอย่างอื่นก่อนวันหลังค่อยมาเอา คุณจะทิ้งไหมก็ไม่ทิ้ง แต่นี่ยิ่งกว่าเพชรอีกนะ ผู้มิจฉาทิฏฐิเห็นรู้พระอาริยะแล้วไม่มาเป็นไปไม่ได้ แต่ที่ไม่มาเพราะเขาโง่ เขาต้องตกนรกโดยสัจจะ เขาติพระอาริยะเจ้าจริง ก็เป็นกรรมที่ทำแล้ว ดูถูกดูแคลน ไม่มาก็คือโง่แล้ว ไม่เชื่อก็โง่แล้ว เชื่อแล้วไม่มาก็โง่ ยิ่งติเตียนพระอาริยะเขาก็ต้องตกนรก
คนจะไปสุคติโลกสวรรค์นั้น ไม่ใช่ว่าเอาน้ำเอาข้าวเอาทองไปให้แล้วบอกว่าขอให้ไปสู่สุคติ มันไม่ได้หรอก การเอาไปให้ใครก็เป็นคุณค่าของคนให้เป็นสังคมศาสตร์ไม่ใช่สัจศาสตร์ไม่ใช่ญาณวิทยา ไม่ใช่ Epistemology เป็นไสยศาสตร์เดรัจฉานศาสตร์ไปโน่น ผู้จะไปสวรรค์หรือตกนรกก็ขึ้นอยู่กับกรรมของเขาเองทั้งนั้น
อาสวักขยญาณ
[๙.๘] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วแน่วแน่แล้ว ย่อมน้อมจิตไป เพื่ออาสวักขยญาณ รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง มีญาณรู้ชัดว่าหลุดพ้นแล้ว ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว เปรียบเหมือนคนที่ยืนอยู่บนขอบสระที่มีน้ำใสสะอาด ย่อมเห็นสิ่งต่าง ๆ ใต้น้ำในสระนั้นได้ชัดเจนฉะนั้น ข้อนี้ก็เป็นวิชชาประการหนึ่ง
อัมพัฏฐะ ภิกษุผู้ปฏิบัติดังกล่าวมานี้เรียกว่าผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะอันยอดเยี่ยม ไม่มีวิชาและจรณะอื่นใดจะยิ่งกว่า
ที่มา: อัมพัฏฐสูตร ๙[๑๖๓]๑๐๙
พ่อครูว่า…ผู้ที่จะรู้อาสวะ หรืออาสวสมุทัย ก็ต้องรู้ไล่มาตั้งแต่หยาบ ผ่านสังโยชน์ ๓ ไล่มาจนหมดโลกกาม หมดรูปภพอรูปภพ จนหมดมานะ อุทธัจจะ หมดอวิชชา จนสิ้นเกลี้ยงอนุสัย
ผู้จะพ้นอวิชชาต้องพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ คือกำหนดรู้ทุกรูปสัญญา อรูปสัญญาทวนแล้วทวนอีก ไม่มีอะไรที่ต้องรู้อีก เคล้าเคลียสัญญา ใช้สัญญาทำงานไม่ใช่ดับเวทนาดับสัญญา แต่ดับสิ่งที่ควรดับ จนหมดเวทนาที่ควรดับในเวทนา ๑๐๘ ไม่ใช่ดับเวทนาดับสัญญาดื้อๆ
ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ ๔
[๑๐] พ. อัมพัฏฐะ ทางเสื่อม [ทางที่ไม่นำไปสู่ หรือทางที่ห่างไกลจาก] วิชชาและจรณะอันยอดเยี่ยม มีอยู่ ๔ ประการ คือ
๑. ไปอยู่ป่า บริโภคเพียงผลไม้หล่น (ข้อนี้ยังมีวินัยอยู่ เพื่อรอผู้บรรลุวิชชาจรณะ)
๒. ไปอยู่ป่า บริโภคเหง้าไม้ รากไม้ และผลไม้ ที่ขุดหาและสอยเก็บมาได้
๓. สร้างเรือนไฟไว้ใกล้บ้าน และเฝ้าบูชาไฟ[อัคคนีเทพ]
๔. สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่สี่แยก คอยบูชาสมณะพราหมณ์ที่จะมาจากทิศทั้ง ๔
สมณพราหมณ์บางคน เมื่อไม่บรรลุวิชชาและจรณะอันยอดเยี่ยม ก็จะเลือกปฏิบัติตามทางเสื่อมแต่ละประการที่กล่าวนั้น ซึ่งไม่ทำให้บรรลุผลอันใด นอกจากจะเป็นได้เพียงคนปรนนิบัติผู้ที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเท่านั้น
พ. อัมพัฏฐะ เธอกับอาจารย์ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะอันยอดเยี่ยมนี้บ้างหรือไม่?
อ. ข้าพเจ้ากับอาจารย์ ยังห่างไกลจากวิชชาและจรณะอันยอดเยี่ยมนั้น
พ. อัมพัฏฐะ เมื่อเธอกับอาจารย์ไม่บรรลุวิชชาและจรณะอันยอดเยี่ยมเช่นนี้แล้ว เธอกับอาจารย์ได้ปฏิบัติตามทางเสื่อมทั้ง ๔ นั้นหรือเปล่า
อ. ไม่ได้ปฏิบัติแม้แต่ประการใดเลย
พ. อัมพัฏฐะ เธอกับอาจารย์ไม่เพียงแต่ไม่มีวิชชาและจรณะอันยอดเยี่ยมเป็นสมบัติเท่านั้น แม้คุณสมบัติอันพึงได้จากการปฏิบัติตนตามทางเสื่อมนั้นก็ยังไม่มีอีกด้วย
อัมพัฏฐะ เธอเห็นหรือไม่ว่าอาจารย์ของเธอได้สำคัญผิดเพียงใด ทั้งๆ ที่แม้แต่ทางเสื่อมอาจารย์ของเธอก็ไม่ได้บำเพ็ญ ยังกล่าวว่า สมณะโล้น เชื้อสายคฤหบดี เป็นชนชั้นต่ำ เกิดจากพระบาทของท้าวมหาพรหม ไม่คู่ควรที่พราหมณ์ผู้ทรงไตรวิชาจะสนทนาด้วย นอกจากนั้นแม้อาจารย์ของเธอจะได้ครองเมืองที่พระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชทาน แต่พระองค์ก็ไม่ทรงโปรดให้เข้าเฝ้าต่อหน้าพระที่นั่งเลย เวลาจะทรงปรึกษาด้วย ก็ทรงปรึกษาโดยมีพระวิสูตรกั้น
ที่มา: อัมพัฏฐสูตร ๙[๑๖๓ – ๑๖๘]๑๐๙ – ๑๑๒
ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ ๔
ดูกรอัมพัฏฐะ วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แล มีทางเสื่อมอยู่๔ ประการ ๔ ประการเป็นไฉน?
๑. ดูกรอัมพัฏฐะ สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านทีถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่หนึ่ง.
[๑๖๔] ๒. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้ สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สอง.
อย่างอาตมาตอนไม่ตายก็มีคนทำเหรียญแล้ว อาตมาเอาไปทิ้งก็เสียดายของ ก็เลยแจกแล้วสอนว่าอย่านับถือย่างขลังนะ แต่ให้ไปเพื่อระลึกถึงการทำกุศลทำบุญ
[๑๖๕] ๓. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถที่จะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้บ้าน หรือนิคมแล้วบำเรอไฟอยู่ สมณพราหมณ์นั้น ต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สาม.
[๑๖๖] ๔. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่าผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง ๔ นี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สี่.(ทุกวันนี้เขาเอารถมารับไปเลย เป็นทางไม่รู้กี่แพร่ง ไม่แค่สร้างเรือนไฟ แต่สร้างจานบินเลย นี่คือสายลืมตาสะกดจิต อีกสายหนึ่งก็ดับนิโรธสะกดจิตไปตกเหวตาย เสือคาบไปกินตาย ที่คนไม่ไปเจอก็เยอะ คือออกนอกแนวทางพระพุทธเจ้าไปตามลำดับ)
ดูกรอัมพัฏฐะ ทางเสื่อมแห่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้มีอยู่๔ ประการดังนี้.
ทวนอีก สูตรแรกในพระไตรฯล.๙ คือให้เห็นถึงทิฏฐิที่ผิด ๖๒ ประการ มีพวกตักกีวิมังสีพวกนักนึกคิดเดาเอา พวกเซนโกอาน นี่ ไม่ได้ทำไปตามลำดับ ตั้งแต่จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ถ้าไม่เอามหาศีลก็ไปทำแบบทางเสื่อมที่พระพุทธเจ้าบอกนี้
[๑๖๗] ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์ย่อมปรากฏในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้บ้างหรือไม่?
ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ากับอาจารย์เป็นอะไร วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมเป็นอะไร ข้าพเจ้ากับอาจารย์ ยังห่างไกลจากวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้.(สมัยก่อนคือพราหมณ์มหาศาล สมัยนี้คือพระมหาศาล ระดับยศชั้นนั้นได้รับลาภสักการะมากเท่าไหร่ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็นรกกินหัวไปเท่านั้นเอง พูดเตือนสติให้กลับตัว อย่าไปจมอย่างนี้ ตื่นเสียทีๆๆ )
ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แหละ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น บ้างหรือไม่?
ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ.
ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ และไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ จึงถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่า ด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บ้างหรือไม่?
ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ.
ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้ๆ บ้านหรือนิคม แล้วบำเรอไฟอยู่ บ้างหรือไม่?(บำเรอคือต่างคนต่างพากันติดหนักเลย การบำเรอไฟ เช่นจุดธูปเทียน หรือรดน้ำมนต์ ยุคพระพุทธเจ้ายังไม่มี แต่ยุคนี้มีเกินกว่าสมัยพระพุทธเจ้าอีก )
ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ.
ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือนไฟที่มีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่า ผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง ๔ นี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง บ้างหรือไม่?
ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ.(คนนี้ผยองจนไม่เชื่อว่าใครจะเป็นอาจารย์ฉันเป็นต้นธาตุต้นธรรม ไม่ถือว่าใครเป็นอาจารย์มีมานะเต็มบ้อง)
ดูกรอัมพัฏฐะ เธอกับอาจารย์เสื่อมจากวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ด้วย และคลาดจากทางเสื่อมของวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ๔ ประการนี้ด้วย.
ยุคของพพจ.พราหมณ์มหาศาลยังไม่เลยเถิดถึงสร้างจานบินไม่ประกาศอะไรใหญ่โตขนาดนี้ เขาก็ยังสอนมนต์กัน เปรียบเทียบให้ชัดว่าธรรมกายนี้แย่กว่ามนตรยานแบบทิเบต เขาก็อยู่ของเขาไม่ซ้อนหลอกออกมาเช่นนี้เลย ได้แต่สวดมนต์ลึกซึ้งลึกลับไป ตามประสาเชื่อตายแล้วเกิดเกิดแล้วตาย ไปในสายนั้นไม่มีวิชชาจรณะสัมปัณโณไม่สมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ไม่มีจรณะ ๑๕ วิชชา ๘
[๑๖๘] ดูกรอัมพัฏฐะ ก็พราหมณ์โปกขรสาติอาจารย์ของเธอได้พูดว่า สมณะโล้นบางเหล่าเป็นเชื้อสายคฤหบดี กัณหโคตร เกิดแต่บาทของพรหม ประโยชน์อะไรที่พวกพราหมณ์ผู้ทรงไตรวิชาจะสนทนาด้วย ดังนี้ แม้แต่ทางเสื่อม ตนก็ยังไม่ได้บำเพ็ญ ดูกรอัมพัฏฐะความผิดของพราหมณ์โปกขรสาติอาจารย์ของเธอนี้เพียงใด ถึงพราหมณ์โปกขรสาติกินเมืองที่พระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชทาน พระองค์ยังไม่ทรงพระราชทานพระวโรกาสให้เข้าเฝ้าหน้าพระ-*ที่นั่ง เวลาจะทรงปรึกษาด้วย ก็ทรงปรึกษานอกพระวิสูตร ดูกรอัมพัฏฐะ ไฉนเล่าจึงไม่พระราชทานการเข้าเฝ้าต่อหน้าพระที่นั่งแก่เขาผู้รับภิกษาที่ชอบธรรม ซึ่งพระราชทานให้ ดูเถิดอัมพัฏฐะ ความคิดของพราหมณ์โปกขรสาติอาจารย์ของเธอนี้เพียงใด. (คล้ายๆกัน รับพัดยศก็รับจากอาจารย์กันเอง ไม่ได้เข้าเฝ้าในหลวงไม่ได้รู้ด้วย) จบ