590202_พุทธศาสนาตามภูมิ-บ้านราชฯ-อัมพัฏฐสูตร-ตอน-๒
คลิกที่นี่เพื่อดาวโหลดเสียง
พ่อครูว่า วันนี้วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ 2559 แรม 10 ค่ำเดือนยี่ปีมะแม เราก็มาตั้งใจเล่าเรียนศึกษา คนไม่ใช่สัตว์เดรัจฉานเป็นคนเราต้องศึกษา เป็นคนเราไม่ศึกษาก็ไม่ใช่คนแล้ว เป็นผู้ที่ไม่รู้เรื่องเกิดมาแล้วไม่ใฝ่การศึกษา เพราะคนมีการศึกษามีระบบมีวิธีการ มากมายที่ทำให้คนสามารถ รู้ รู้จนกระทั่งถึงที่สุดแห่งชีวิตว่าเกิดมาทำไมเกิดมาแล้วจะไปไหน เรียนอยู่อย่างไรจะเลิกเวียนได้อย่างไร จนกระทั่งสามารถที่จะไม่เกิดอีกได้เลย ออกจากการเกิดของความเป็นคนของเราได้เลยอย่างนี้เป็นต้นซึ่งเป็นเรื่องของคน
เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็รู้ตัวก็ไปศึกษาผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์แต่ไม่ไฟการศึกษาแม้แต่ความรู้ ว่าเขาเป็นมนุษย์เขาก็ไม่รู้ เขาก็ยังปล่อยตัวไปตามประสาของเดรัจฉาน หากินไปตามสังคมเขาพาหากินสัตว์เดรัจฉานก็พากันหากินตามประสาคนก็พากันหากินตามประสาคนคนที่หากินตามประสาไปเรื่อย แล้วก็ถูกมอมเมายิ่งกว่าสัตว์ให้เป็นติดยึดมากมายหลายอย่างเช่นทุกยากกว่าสัตว์เดรัจฉานอีกเยอะ แล้วก็ไม่รู้ว่าเราต้องศึกษาปล่อยตัวไปตามเรื่องตามราวที่โลกมีคนไม่รู้ที่มีอยู่มาก นำพาไปก็ไปเละเทะอย่างนั้นก็น่าสังเวชใจ
ผู้ใดเข้าใจที่อาตมาพูดนี้ดีแล้วสำนึกตั้งใจว่าจริงหนอ ถ้าพูดไทยได้ฟังที่อาตมาพูดสะดุดใจแล้วก็ว่าจริง ว่าเราเกิดมามีแต่ใฝ่หาสิ่งมาบำเรอใจทำมาหากินไป ก็เท่ากับสัตว์เดรัจฉานที่ทำมาหากินแต่มันถูกมอมเมาไม่มาก เท่ากับคนคนนี้ถูกมอมเมามากแล้วก็หลงเลอะเทอะมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน จึงทุกข์มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน ทุกข์ก็ทุกข์มากกว่า สุขก็เป็นสุขๆทุกข์นี้ยิ่งหนัก
พระศาสดาหลายศาสนาก็พยายามให้คนเจริญให้คนพ้นทุกข์ที่เป็นการสุจริตก็ยังเข้าท่า ยิ่งผู้เป็นมนุษย์แล้วเข้าใจศึกษาจนรู้จักทางที่พระพุทธเจ้าพาทำมีทฤษฎีที่สามารถที่จะพาหลุดพ้นได้พ้นทุกข์ได้เลย ถ้าจะอยู่ก็อยู่อย่างคนประเสริฐไม่สร้างบาปสร้างเวรสร้างไปอยู่ดีเป็นคนมีประโยชน์คุณค่า ต่อโลกนี้ต่อไปด้วย ผู้ที่มีปฏิภาณรู้อันนี้จนใฝ่การศึกษา แม้ศึกษากันแล้วทุกวันนี้ก็เพี้ยนไปจากความรู้ของพระพุทธเจ้าไปอีกเยอะ ลงผิดยึดติดผิดๆไปอีกมาก มันก็ยิ่งน่าสังเวชใจ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ได้แต่บอกไปตามความเห็น ที่เห็นว่าถูก ไม่ได้หลงตนว่าใหญ่อะไร ก็พูดความจริงสู่กันฟัง
Sms 310159
0816956xxx รัฐธรรมนูญใหม่ออกมาแยกขาวแยกดำนักการเมืองและประชาชนได้เลย ฟันธง ก ท ม
0827534xxx อย่าเอาใจนักการเมืองเลยในการร่างรัฐธรรมนูญเอาความถูกต้องและเป็นประโยชน์แก่ชาติดีกว่า
พ่อครูว่า..ตอนนี้ตั้งแต่ร่างรัฐธรรมนูญมา ประเด็นที่เขากำลังพยายามที่จะเข้าหาประชาชน ไม่ไปเอาใจนักการเมืองไม่เห็นแก่นักการเมืองและประเทศไทยประชาธิปไตยเป็นมา 83 ปีแล้วก็ล้มลุกคลุกคลานจนป่านนี้ ประชาธิปไตยก็ยังไม่ไปไหนเลย เป็นประชาธิปไตยผูกขาดของนักการเมือง อาตมาเห็นเช่นนั้นจริงๆ
เป็นประชาธิปไตยผูกขาดของนักการเมืองบางกลุ่มที่มีจำนวนไม่เกิน 5000 คน เป็นเรื่องทำมาหากินทั้งนั้นซึ่งผิดตั้งแต่ต้น การเมืองไม่ใช่เรื่องทำมาหากิน การเมืองเป็นเรื่องจริงของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นที่ประชาชนต้องเอาใจใส่เพราะเป็นเรื่องของประชาชนทั้งหมดโดยเฉพาะในระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็แล้วไปเถอะไปออกเสียงออกสิทธิ์ ไม่ได้
ในประชาธิปไตยนี้มีสิทธิ์ออกเสียงได้ทุกคน จากคนไทยนั้นยังงมงายในเรื่องนี้มาก ยังไม่ตื่นตัวในระบอบประชาธิปไตยยังจมอยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นยุคทาสยังไม่ตื่นจากตรงนี้ คลิปพวกนักการเมือง เราเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่นักการเมืองที่แท้จริงนักการเมืองนั้นต้องเป็นผู้ที่มีจิตอาสาทำประโยชน์เพื่อประชาชนอย่างแท้จริงไม่ใช่เป็นงานอาชีพ
พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าแห่งประชาธิปไตย ที่ตอนนั้นไม่ได้เรียกว่าประชาธิปไตยแต่เรียกว่าอธิปไตยด้วยความรู้ของท่านก็รู้จักอธิปไตย 3 อธิปไตยของโลก อธิปไตยของบุคคลที่เป็นตัวตนกับประชาธิปไตยที่แท้จริงคือธรรมาธิปไตย เรียกว่าโลกอธิปไตยอัตตาธิปไตยธรรมาธิปไตยคือประชาธิปไตยที่แท้จริงซึ่งรู้จักโลกของกระแสความสัมพันธ์มวลมนุษยชาติ อยู่กันอย่างไรสัมพันธ์กันอย่างไรตกลงกันอย่างไรในกลุ่มนั้น แล้วก็มีแต่ละคนคืออัตตา คือแต่ละคนก็ใช้ตัวตนแทรกแซง อยู่ในโลกเพื่อแย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุขครอบครัวตะกละตะกลามด้วยเล่ห์เหลี่ยมมาเป็นตัวกูของกู ก็มีชีวิตอยู่เช่นนั้น
ผู้ที่เข้าใจโลกเข้าใจสังคมและเข้าใจแอบถ่าอยู่เหนือความเป็นโรคความเป็นสังคมอยู่ในอัตราที่เป็นผู้ที่มีอำนาจแท้เรื่องความน่าจะเป็นธรรมจึงช่วยโลก ช่วยคนที่มีอัตรา คนที่มีอัตตานั้นเป็นคนบาป อัตตาคือความเห็นแก่ตัว
ถ้าอัตตาในระดับพีชนิยามจะไม่มีความเห็นแก่ตัวไม่มีselfish ไม่มีish เมื่อมันเป็นจิตนิยามก็มีความเห็นแก่ตัวยิ่งมาเป็นมนุษย์ก็ยิ่งเห็นแก่ตัว ที่ต้องมาแก้ไขให้กลับมาเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจสูง ไม่ใช่มนุษย์เป็นคนที่มีจิตทราม ไม่หลุดพ้นความเป็นสัตว์มีสิทธิประเสริฐจริง
Sms 10259
0893867xxx นมก.พ่อครูฯปชธต.ของนักโกงกินเมืองอธรรมคือปชช.อยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรบ.อันไม่เป็นธรรม!ปชธต.ของนกม.มีธรรมคือปชช.มีอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนโดยถูกต้องชอบธรรมถูกไหม?เมื่อไรจะพบหนอ?
พ่อครูว่ารัฐบาลคือกลุ่มที่จะไปรับใช้ที่จะไปทำงานเพื่อประชาชนไม่ใช่เป็นเจ้านายประชาชน ประชาธิปไตยของนักการเมืองคืออำนาจเป็นของตนไม่ใช้อำนาจยกให้ประชาชน
0893867xxx ปชธต.ใบขาวสะอาดที่สุด ที่จริงคนไทยมีมานานแล้วดังพ่อครูเคยกล่าวพระนามพ่อหลวงฯของปท.ไทยทรงเป็นนักปชธต.ซึ่งทรงงานด้วยทศพิธราชธรรม ที่สวยงามที่สุด!ยิ่งกว่าปชธต.ใดๆในโลก!
อาตมาว่าเห็นด้วย แต่ปชช.โดยมากยังไม่เข้าใจที่ในหลวงตรัสซึ่งท่านอนุโลมปฏิโลมให้มาก ในหลวงตรัสชัดเจนว่าเราไม่เคยทำผิดกฎหมาย เราปฏิบัติอยู่ในรัฐธรรมนูญของไทย เราไม่เคยผิดกฎหมายใครก็ได้ยินบ้างว่าท่านตรัสอย่างนั้นจริงฉันตอบอย่างนั้นเธอบอกว่าพวกคุณเป็นนักการเมืองนักบริหารประเทศแล้วคุณไปทำผิดกฎหมาย เบ่งข่มโดยอำนาจที่ตนมี ยิ่งมาตอนหลังก็เละเทะใช้อำนาจในสภาซื้อนักการเมืองในสภากาชาดอำนาจในสภาทำตามใจชอบอย่างเต็มที่ แล้วยังบอกว่าตนเป็นประชาธิปไตยเป็นประชาธิปไตยอีก พวกเราอยู่ในยุคนี้ก็ต้องแก้ไขปรับปรุง ผู้ที่มีปัญญาและหวังดีมีหน้าที่ก็ทำอยู่เต็มที่
มาสู่อัมพัฏฐสูตร สูตรที่ ๓ ในพระไตรฯล.๙ เป็นสูตรที่ท่านสอนศีลสมาธิปัญญา ธรรมะของพุทธเงินออมสินเป็นหลักและปฏิบัติไปตามเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายมีศีล 5 เป็นเบื้องต้นและปฏิบัติให้เกิดฌาน ให้มีมรรคผลตามกิมัตถิยสูตร ๑. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) .
๒. ปามุชชะ – ปราโมทย์ (มีความยินดี)
๓. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) .
๔. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)
๕. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)
๖. สมาธิ (จิตมั่นคง)
๗. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) . .
๘. นิพพิทา (เบื่อหน่าย) .
๙. วิราคะ (คลายกิเลส)
๑๐.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน)
(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม ๒๔ ข้อ ๑ , ๒๐๘)
พระพุทธเจ้าท่านก็เป็นเจ้าของวิชชาจรณสัมปัณโณ จรณะคือความประพฤติ ก็พัฒนาให้ตามหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าค้นพบ จะบรรลุเป็นจิตสูงจนเป็นอรหันต์ แล้วท่านก็บอกความเสื่อมของชาวพุทธ ๔ ประการ ศาสนาพุทธคือวิชชาจรณะ แต่วิชชาจรณะไม่เสื่อมหรอกแต่คนต่างหากที่เสื่อมจากวิชชาจรณะ
๓.๓ เรื่องวงศ์ของอัมพัฏฐมาณพ
พวกมาณพกราบทูลว่า ขอพระองค์อย่าทรงเหยียดหยามอัมพัฏฐมาณพด้วยพระวาทะว่าเป็นลูกทาสีให้หนักนักเลย อัมพัฏฐมาณพมีชาติดี เป็นบุตรผู้มีสกุล เป็นพหูสูต เจรจาไพเราะ เป็นบัณฑิตและเธอสามารถจะโต้ตอบกับพระองค์ได้ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ถ้าพวกเธอคิดว่า อัมพัฏฐมาณพมีชาติทราม มิใช่บุตรผู้มีสกุล มีสุตะน้อย เจรจาไม่ไพเราะ มีปัญญาทรามและไม่สามารถจะโต้ตอบกับพระสมณโคดมได้ อัมพัฏฐมาณพจงหยุดเสียเถิด พวกเธอจงโต้ตอบกับเราแทน ถ้าพวกเธอคิดว่า อัมพัฏฐมาณพมีชาติดี เป็นบุตรผู้มีสกุล เป็นพหูสูตร เจรจาไพเราะ เป็นบัณฑิตและสามารถจะโต้ตอบกับพระสมณโคดมได้ พวกเธอจงหยุดเสียเถิดอัมพัฏฐมาณพจงโต้ตอบกับเรา มาณพเหล่านั้นกราบทูลว่า อัมพัฏฐมาณพจงโต้ตอบกับพระองค์เถิด พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ปัญหาประกอบด้วยเหตุนี้มาถึงเธอเข้าแล้ว ถึงเธอจะไม่ปรารถนา เธอก็ต้องแก้ ถ้าเธอจักไม่แก้ก็ดี จักกลบเกลื่อนด้วยคำอื่นเสียก็ดี จักนิ่งเสียก็ดี หรือจักหลีกไปเสียก็ดี ศีรษะของเธอจักแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง ณ ที่นี้ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอได้ยินพวกพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์เล่ากันมาว่าอย่างไร พวกกัณหายนะเกิดมาจากใครก่อน และใครเป็นบรรพบุรุษของพวกกันหายนะ อัมพัฏฐมาณพได้นิ่งเสีย พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามเป็นครั้งที่สอง อัมพัฏฐมาณพก็ได้นิ่งเสีย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธอจงแก้เดี๋ยวนี้ บัดนี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะนิ่ง เพราะผู้ใดถูกตถาคตถามปัญหาอันประกอบด้วยเหตุถึงสามครั้งแล้วไม่แก้ ศีรษะของผู้นั้นจะแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง ณ ที่นี่ (ที.สี. ๙/อัมพัฏฐสูตร/๑๕๐-๑๕๑/๘๖-๘๗)
๓.๔ ยักษ์วชิรปาณี
สมัยนั้น ยักษ์วชิรปาณีถือค้อนเหล็กใหญ่ลุกโพลงโชติช่วงยืนอยู่ในอากาศเบื้องบนอัมพัฏฐมาณพ คิดว่า ถ้าอัมพัฏฐมาณพนี้ถูกพระผู้มีพระภาคตรัสถามปัญหาที่ประกอบด้วยเหตุถึงสามครั้งแล้ว แต่ไม่แก้ เราจักต่อยศีรษะของเขาให้แตกเป็นเจ็ดเสี่ยง ณ ที่นี้ พระผู้มีพระภาคและอัมพัฏฐมาณพเท่านั้นเห็นยักษ์วชิรปาณีนั้น อัมพัฏฐมาณพตกใจกลัวขนพองสยองเกล้าทูลขอให้พระผู้มีพระภาคเป็นที่ต้านทาน เป็นที่เร้น เป็นที่พึ่งกระเถิบเข้าไปนั่งใกล้ ๆ แล้วกราบทูลว่า พระโคดมผู้เจริญได้ตรัสคำอะไรนั่น ขอพระโคดมผู้เจริญโปรดตรัสอีกครั้งเถิด พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอได้ยินพวกพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์เล่ากันมาว่าอย่างไร พวกกัณหายนะเกิดมาจากใครก่อน และใครเป็นบรรพบุรุษของพวกกัณหายนะ? อัมพัฏฐมาณพกราบทูลว่า ข้าพเจ้าได้ยินมาเหมือนอย่างที่พระโคดมผู้เจริญตรัส พวกกัณหายนะเกิดมาจากกัณหะนั้นก่อนและกัณหะนั้นเป็นบรรพบุรุษของพวกกัณหายนะ(ที.สี. ๙/อัมพัฏฐสูตร/๑๕๒/๘๗-๘๘)
๓.๕ ลูกทาสี
เมื่ออัมพัฏฐมาณพกล่าวเช่นนี้ มาณพเหล่านั้นส่งเสียงอื้ออึงเกรียวกราวว่า อัมพัฏฐมาณพมีชาติทราม ๆ มิใช่บุตรผู้มีสกุล เป็นลูกทาสีของพวกศากยะ เป็นโอรสของเจ้านายอัมพัฏฐมาณพ พวกเราไพล่ไปสำคัญเสียว่าพระสมณโคดมผู้ธรรมวาทีพระองค์เดียว ควรจะถูกรุกรานเสียได้ พระผู้มีพระภาคทรงดำริว่า มาณพเหล่านี้พากันเหยียดหยามอัมพัฏฐมาณพด้วยวาทะว่า เป็นลูกทาสีหนักนัก ถ้ากระไรเราพึงช่วยปลดเปลื้องให้ จึงตรัสว่า พวกเธออย่าเหยียดหยามอัมพัฏฐมาณพด้วยวาทะว่า เป็นลูกทาสีให้หนักนัก เพราะกัณหะนั้นได้เป็นฤาษีคนสำคัญ เธอไปยังทักษิณาชนบทเรียนมนต์อันประเสริฐ แล้วเข้าไปเฝ้าพระอุกกากราชทูลขอพระราชธิดาพระนามว่ามัททรูปี พระเจ้าอุกกากราชทรงพระพิโรธขัดพระทัยแก่พระฤาษีนั้นว่าบังอาจอย่างนี้เจียวหนอ ฤาษีเป็นลูกทาสีของเราแท้ ๆ ยังมาขอธิดาชื่อว่ามัททรูปี แล้วทรงขึ้นพระแสงศร ท้าวเธอไม่อาจจะทรงแผลง และไม่อาจจะทรงลดลง หมู่อำมาตย์ราชบริษัทพากันเข้าไปหากัณหฤาษีแล้วกล่าวว่า ขอความสุขสวัสดีจงมีแต่พระราชา ขอความสวัสดีจงมีแด่พระราชา ฤาษีตอบว่า ความสวัสดีจักมีแด่พระราชา แต่ว่าท้าวเธอจักทรงแผลงพระแสงศรลงไปเบื้องต่ำ แผ่นดินจักทรุดตลอดพระราชอาณาเขต อำมาตย์กล่าวว่า ขอความสวัสดีจงมีแด่พระราชา ขอความสวัสดีจงมีแก่ชนบท ฤาษีตอบว่า ความสวัสดีจักมีแด่พระราชา ความสวัสดีจักมีแก่ชนบท แต่ถ้าท้าวเธอจักทรงแผลงพระแสงศรขึ้นไปเบื้องบนฝนจักไม่ตกทั่วพระราชอาณาเขตถึงเจ็ดปี อำมาตย์กล่าวว่า ขอความสวัสดีจงมีแด่พระราชา ขอความสวัสดีจงมีแก่ชนบท ขอฝนจงตกเถิด ฤาษีตอบว่า ความสวัสดีจักมีแด่พระราชา ความสวัสดีจักมีแก่ชนบท ฝนจักตก แต่พระราชาต้องทรงวางพระแสงศรไว้ที่พระราชกุมารพระองค์ใหญ่ด้วยทรงพระดำริว่า พระราชกุมารจักเป็นผู้มีความสวัสดี หายสยดสยอง พระเจ้าอุกกากราชทรงวางพระแสงศรไว้ที่พระราชกุมารพระองค์ใหญ่ พระราชกุมารก็เป็นผู้มีความสวัสดี หายสยดสยอง พระเจ้าอุกกากราชทรงกลัวถูกขู่ด้วยพรหมทัณฑ์จึงได้พระราชทานพระนางมัททรูปีราชธิดาแก่ฤาษีนั้น พวกเธออย่าเหยียดหยามอัมพัฏฐมาณพด้วยวาทะว่า เป็นลูกทาสีให้หนักนักเลย กัณหะนั้นได้เป็นฤาษีสำคัญแล้ว (ที.สี. ๙/อัมพัฏฐสูตร/๑๕๓-๑๕๔/๘๘-๘๙)
๓.๖ ทรงเปรียบเทียบวรรณะ
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ขัตติยกุมารในโลกนี้พึงสำเร็จการอยู่ร่วมกับนางพราหมณกัญญา เพราะอาศัยการอยู่ร่วมกันของคนทั้งสองนั้น พึงเกิดบุตรขึ้น บุตรผู้เกิดแต่นางพราหมณกัญญากับขัตติยกุมารนั้น จะควรได้ที่นั่งหรือน้ำในหมู่พราหมณ์บ้างหรือไม่ ? อัมพัฏฐมาณพกราบทูลว่า ควรได้ ตรัสถามว่า พวกพราหมณ์ควรเชิญเขาให้บริโภคในการเลี้ยงเพื่อผู้ตาย การเลี้ยงเพื่อการมงคล การเลี้ยงเพื่อยัญพิธีหรือการเลี้ยงเพื่อแขกบ้างหรือไม่? กราบทูลว่า ควรเชิญเขาให้บริโภคได้ ตรัสถามว่า พวกพราหมณ์จะควรบอกมนต์ให้เขาหรือไม่? กราบทูลว่า ว่าควรบอกให้ ตรัสถามว่า เขาควรจะถูกห้ามในหญิงทั้งหลายหรือไม่? กราบทูลว่า เขาไม่ควรถูกห้ามเลย ตรัสถามว่า เขาควรจะได้รับอภิเษกเป็นกษัตริย์ได้บ้างหรือไม่? กราบทูลว่า ข้อนี้ไม่ควรเลย ตรัสถามว่า เพราะเหตุอะไร? กราบทูลว่าเพราะเขาไม่บริสุทธิ์ข้างฝ่ายมารดา
ตรัสถามว่า เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พราหมณกุมารในโลกนี้พึงสำเร็จการอยู่ร่วมกับนางขัตติยกัญญา เพราะอาศัยการอยู่ร่วมของคนทั้งสองนั้น พึงเกิดบุตรขึ้นบุตรผู้เกิดแต่ขัตติยกัญญากับพราหมณกุมาร จะควรได้ที่นั่งหรือน้ำในหมู่พราหมณ์บ้างหรือไม่? กราบทูลว่า ควรได้ ตรัสถามว่า พวกพราหมณ์จะควรเชิญเขาให้บริโภคในการเลี้ยงเพื่อผู้ตาย การเลี้ยงเพื่อการมงคล การเลี้ยงเพื่อยัญพิธี หรือการเลี้ยงเพื่อแขกได้บ้างหรือไม่? กราบทูลว่า ควรเชิญเขาให้บริโภคได้ ตรัสถามว่า พวกพราหมณ์ควรบอกมนต์ให้เขาหรือไม่? กราบทูลว่า ควรบอกให้ ตรัสถามว่า เขาควรถูกห้ามในหญิงทั้งหลายหรือไม่? กราบทูลว่า เขาไม่ควรถูกห้ามเลย ตรัสถามว่า เขาควรจะได้รับอภิเษกเป็นกษัตริย์ได้บ้างหรือไม่? กราบทูลว่า ว่าข้อนี้ไม่ควรเลย ตรัสถามว่า เพราะเหตุอะไร? กราบทูลว่า เพราะเขาไม่บริสุทธิ์ฝ่ายบิดา
ตรัสถามว่า เมื่อเทียบหญิงกับหญิงก็ดี เมื่อเทียบชายกับชายก็ดี กษัตริย์พวกเดียวประเสริฐ พวกพราหมณ์เลว เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พราหมณ์ทั้งหลายในโลกนี้พึงโกนศีรษะพราหมณ์คนหนึ่ง มอมด้วยเถ้า เนรเทศเสียจากแว่นแคว้นหรือจากเมืองเพราะโทษบางอย่าง เขาจะควรได้ที่นั่งหรือน้ำในหมู่พราหมณ์บ้างหรือไม่? กราบทูลว่าไม่ควรได้เลย ตรัสถามว่า พวกพราหมณ์ควรเชิญเขาให้บริโภคในการเลี้ยงเพื่อผู้ตาย การเลี้ยงเพื่อการมงคล การเลี้ยงเพื่อยัญพิธีหรือการเลี้ยงเพื่อแขกได้บ้างหรือไม่? กราบทูลว่า ไม่ควรเชิญเขาให้บริโภคเลย ตรัสถามว่า พวกพราหมณ์ควรบอกมนต์ให้เขาหรือไม่? กราบทูลว่าไม่ควรบอกให้เลย ตรัสถามว่า เขาควรถูกห้ามในหญิงทั้งหลายหรือไม่? กราบทูลว่าเขาควรถูกห้ามทีเดียว
ตรัสถามว่า เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน กษัตริย์ทั้งหลาย ในโลกนี้พึงปลงเกศากษัตริย์องค์หนึ่ง มอมด้วยเถ้า แล้วเนรเทศเสียจากแว่นแคว้นหรือจากเมืองเพราะโทษบางอย่าง เขาจะควรได้ที่นั่งหรือน้ำในหมู่พราหมณ์บ้างหรือไม่? กราบทูลว่า ควรได้ ตรัสถามว่า พวกพราหมณ์ควรเชิญเขาให้บริโภคในการเลี้ยงเพื่อผู้ตาย การเลี้ยงเพื่อการมงคล การเลี้ยงเพื่อยัญพิธีหรือการเลี้ยงเพื่อแขกได้บ้างหรือไม่? กราบทูลว่าควรเชิญให้เขาบริโภคได้ ตรัสถามว่า พวกพราหมณ์ควรบอกมนต์ให้เขาหรือไม่? กราบทูลว่า ควรบอกให้ ตรัสถามว่า เขาควรถูกห้ามในหญิงทั้งหลายหรือไม่? กราบทูลว่า เขาไม่ควรถูกห้ามเลย ตรัสว่า กษัตริย์ย่อมถึงความเป็นผู้เลวอย่างยิ่ง เพราะเหตุที่ถูกกษัตริย์ด้วยกันปลงพระเกศา มอมด้วยเถ้า แล้วเนรเทศเสียจากแว่นแคว้นหรือจากเมือง เมื่อกษัตริย์ถึงความเป็นคนเลวอย่างยิ่งเช่นนี้ พวกกษัตริย์ก็ยังประเสริฐ พวกพราหมณ์เลว (ที.สี. ๙/อัมพัฏฐสูตร/๑๕๕-๑๕๘/๘๙-๙๑)
๓.๗ คาถาสนังกุมารพรหม
สมจริงดังคาถาที่สนังกุมารพรหมได้ภาษิตไว้ว่า “กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่เทวดาและมนุษย์”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า คาถาที่สนังกุมารพรหมขับถูกไม่ผิด ภาษิตไว้ถูก ไม่ผิด ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ เราเห็นด้วย ถึงเราก็กล่าวเช่นนี้ว่า “กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่เทวดาและมนุษย์” (ที.สี. ๙/อัมพัฏฐสูตร/๑๕๙-๑๖๑/๙๑-๙๒)
๓.๘ วิชชาจรณสัมปทา
อัมพัฏฐมาณพทูลถามว่า จรณะเป็นไฉน วิชชาเป็นไฉน? พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม เขาไม่พูดอ้างชาติอ้างโคตรหรืออ้างมานะว่า ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เราอาวาหมงคล วิวาหมงคล หรืออาวาหวิวาหมงคล มีในที่ใด ในที่นั้นเขาจึงจะพูดอ้างชาติบ้างอ้างโคตรบ้าง หรืออ้างมานะบ้างว่า ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เรา ชนเหล่าใดยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ หรือยังเกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล ชนเหล่านั้น ชื่อว่ายังห่างไกลจากวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม การทำให้แจ้งซึ่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยมย่อมมีได้เพราะละการเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ และความเกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล
(พ่อครูว่าวิชชาจรณะคือประชาธิปไตยที่แท้ )
อัมพัฏฐมาณพทูลถามซ้ำว่า จรณะเป็นไฉน วิชชาเป็นไฉนเล่า? พระผู้มีพระภาคตรัสตอบย้ำว่า พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรมพระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้วได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ให้บริสุทธิ์ โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมาเขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้วสำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อยสมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรมวจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ถึงพร้อมด้วยศีลคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ (ที.สี. ๙/อัมพัฏฐสูตร/๑๖๒-๑๖๓/๙๒-๙๓)
พ่อครูว่านักบวชในอโศกต้องมีโภคขันธาปหายะ (ทิ้งทรัพสินศฤงคารมาโดยไม่อนุโลมเลย) ส่วนญาติปริวัตตังปหายะนั้นก็ให้ทิ้งมาเช่นกันแต่ก็มีอนุโลมอยู่บ้างตามหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า
อาตมาภูมิใจว่าสมณะอโศกละทิ้งทรัพศฤงคารมาแล้วแต่ก็มีบางผู้บางคนก็เก็บสะสมวัตถุบ้างแต่ไม่ใช่วัตถุใหญ่โตอะไรนักหนา ก็ให้ไปเอาไว้ที่สขจ.ดีกว่า ระวังงูเห่ากันตายนะ อาตมาสามารถทำได้แม้แต่สิกขมาตุให้มาบวชถือศีล ๑๐ ก็พยายามสละทรัพสินศฤงคาร ก็ทำได้อย่างน่าภูมิใจ ก็อยู่กันตายเผาไปหลายรูปแล้วก็ทำได้ ทางโน้นเขาอ้างว่าทำได้อย่างไรไม่ใช้เงินใช้ทองออกจากกุฏิก็ต้องใช้เงินแล้วแต่พวกเราทำได้ เดินเอาอย่างเดียว ใครนิมนต์ให้ขึ้นรถไม่ขึ้น จนมีคราวหนึ่งตำรวจจับไปที่โรงพักเอาใส่รถไป สอบสวนมาก็พบว่าท่านไม่ผิด ท่านก็บอกว่าให้เอาท่านไปไว้ที่เดิมตอนจับมา อาตมาตั้งชื่อว่า สมณะหม่อน มุทุกันโต
คำพูดใดที่ไม่เป็นไปเพื่อการละหน่ายคลายคำพูดนั้นคือเดรัจฉานกถา คำพูดที่ควรพูดคือ กถาวัตถุ ๑๐
ไม่ใช่ว่าไม่ทำอะไรไม่ทำการงานมีแต่นั่งสมาธิหลับตาปฏิบัติธรรม อย่างนั้นไม่ใช่แต่ของพุทธทำงานอย่างไม่มีมิจฉาอาชีวะ ๕
ปฏิบัติตนให้บริสุทธิ์จนไม่มอบตนในทางที่ผิด มาอยู่กับหมู่มิตรดีสหายดี ที่นี่ ถ้าไปอยู่กับทางโน้นก็จะไม่ง่ายในการบริสุทธิ์ในศีล ๑๐ เป็นไปได้ยากมากเลย ควรมาอยู่กับหมู่ที่ควรอยู่ ทำจนพ้นมิจฉาชีพข้อที่ ๕ อาตมาภูมิใจที่พวกคุณทำกันได้แล้ว แม้จะมีจิตที่เหลืออยู่ก็พากเพียรไปทำให้หมดไป จบ