610518_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ คนจนที่มีแบบ ตอน3
ดาวโหลดเสียงที่..https://drive.google.com/open?id=1RrM-MMBsvY4cfMWFF3e4sRePykmc4wRH
ดูยูทิวป์ได้ที่.. https://youtu.be/er4YCFTiHjk
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก วันคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ใกล้จะถึงเดือนมิถุนายนแล้ว ที่เราจะจัดเตรียมงานอโศกรำลึกกัน วันนี้ได้ดูข่าวพระประท้วงที่ดินแพง ก็เลยปีนขึ้นไปบนเสาวิทยุ อยู่บนนั้นเกือบ 30 ชั่วโมง แต่คนบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเพราะมีเซฟตี้เบลท์ มีที่โรยตัวขึ้นมา ครบเครื่อง หากผิดพลาดอย่างไรก็มีสายโยงไว้อยู่ ก็มีหน่วยกู้ภัยแอบไปช่วย แต่ดูเหมือนว่าเข้าใกล้ไม่ได้ พระจะปีนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ดูข่าวบอกว่า ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่ามีปัญหาเรื่องเป็นหนี้ ที่ดินเขตวัด ไปมัดจำไว้แล้วคิดว่าจะได้เงินจากทอดกฐิน แต่เมื่อถึงเวลาเจ้าภาพที่แจ้งไว้ไม่มาสักราย ธนาคารก็จะมายึดที่อีกด้วย หาทางออกไม่ได้ ก็เลยขึ้นไปบนเสาอากาศประท้วง
เห็นเลยว่ามนุษย์มีสิทธิ์เลือกได้เช่น พระไม่ควรยึดติดกับเงินทองทรัพย์สิน เป็นพระควรอยู่ได้ทุกที่ หากปฏิบัติถูกพระธรรมวินัย ใครก็อยากให้อยู่ หากเราเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบใครก็อยากให้อยู่ด้วย แต่เราก็เลือกเองที่จะไปอยู่บนเสาอากาศ ก็คงจะร้อนพอสมควรอยู่ทั้งวัน ความร้อนของอากาศคงไม่เท่าไรแต่ร้อนทางจิตใจ ที่เราไปตั้งภพ อยากจะได้เงินอยากจะซื้อที่ดิน ต่างๆนานา มันร้อนยิ่งกว่าอากาศอีก
ก็คงต้องกลับมาที่พ่อครู หากพวกเรามาเป็นคนจนสุขสำราญเบิกบานใจ ว่าเป็นคนที่ไม่ยึดติดในสมบัติ ไม่หวงแหนในสมบัติ เรามีสมบัติก็เอาเข้ากองกลาง ไม่ต้องไปอยู่ในระบบสมบัติผลัดกันชม ทุกอย่างเป็นของกองกลาง ทำให้กองกลางมีอุดมสมบูรณ์มากขึ้น เราควรจะอยู่ในระบบนี้ไปจนวันตาย พ่อครูก็ถามพวกเราว่าทุกวันนี้เดือดร้อนลำบากอะไรไหม เราก็ยืนยันว่าไม่ บางคนอยู่มา 20 30 ปี ที่พ่อครูทำสาธารณโภคีมาให้พวกเรา
เมื่อเราไม่ยึดติดไม่หวงแหนทรัพย์สมบัติ ก็จะไม่ทุกข์ร้อนและเป็นอยู่อย่างสุขสำราญเบิกบานใจ แม้บางคนมาบวชแต่ไม่มีความเข้าใจใน โภคขันธาปหายะ ญาติปริวัตตังปหายะ ดูเหมือนว่าขึ้นไปนั้นมีบริขาร 8 ขึ้นไปครบ แต่ใจยึดในหนี้สิน คงไม่ได้เคร่งครัดในบริขาร 8 เอาเกิน 8 ก็เลยเกิดความทุกข์ร้อน แสดงว่าธรรมวินัยพระพุทธเจ้ากำหนดขอบเขตไว้แล้วให้พ้นทุกข์อย่างดี ถ้าใครไปประพฤติผิดพระธรรมวินัยก็จะเกิดความทุกข์ร้อนเดือดร้อนใจ สาธารณโภคี เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าประกาศไว้ดีแล้ว พวกเราปฏิบัติตามสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ก็จะได้รับผลแห่งกรรม ในเส้นทางนี้ที่ดีเช่นเดียวกัน
พ่อครูว่า…SMS 16 – 17พฤษภาคม 2561
_3867กราบขออนุญาติพ่อครูกับหน้าตาแท้จริงที่บ่ต้องหลอกลวงให้เสียหน้า!ภาพลักษณ์ความเป็นจริงบ่ต้องสร้างให้เสียชื่อ!ขอเอามาเป็นแบบอย่างที่ตรงกับสัจธรรมความเป็นจริงที่หนทางพิสูจน์ม้ากาลเวลาพิสูจน์พ่อครูที่มีความรู้จริงตามความเป็นจริงเหนือธรรมชาติทั้งปวงด้วยโลกุตระธ.
_มนัส จังตระกูล · แล้วท่านรับผิดชอบอย่างไรบ้างกับความผิดบาปที่ท่านก่อ…
พ่อครูว่า …ถ้าเราทำจริงก็ต้องรับผิด ถ้าเราไม่ได้ทำผิดแต่คนเห็นว่าผิด จะให้รับผิดก็คงไม่ได้อย่างนี้เป็นต้น ก็ไม่ต้องห่วงหรอก กรรมเป็นอันทำ ธรรมะพระพุทธเจ้า ของใครก็ของคนนั้นแบ่งใครไม่ได้ ไม่เอาก็ไม่ได้ นิดหนึ่งก็ไม่ได้
-
กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน)
-
กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน)
-
กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด)
-
กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร) เราจะต่อเชื้อมาจากพระพุทธเจ้าก็ดีแต่มันก็มาเป็นของเรา เรามา breed มาเป็นของเราแล้วแต่เรายังไม่เท่าพระพุทธเจ้าหรอก ต้องพัฒนาขึ้นไปอีก มันเป็นของของเรา เรา breed พันธุ์ของเราเอง คนอื่นมา breed พันธุ์ให้เราไม่ได้ มาปรับปรุงตกแต่งให้เผ่าพันธุ์เชื้อพันธุ์เรา เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ต้องเราทั้งนั้นเป็นตัว breed มันแท้ๆ
-
กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ)
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 581)
_สราวุธ บุญญโก · ไม่เคยเห็นเกจิท่านไหนอ่านคำด่าแล้วไม่ด่ากลับไม่โต้ตอบ ไม่แสดงอาการไม่พอใจ
พ่อครูว่า…เขาด่ามา เอาขี้มาขว้างเราก็เอาขี้ไปขว้างเขากลับอย่างนั้นหรือ หรือต้องเอาขี้ไปป้ายเขากลับอย่างนั้นหรือ ก็ไม่ใช่ อาตมามีใจที่ไม่เป็นอะไร จะไปแสดงอย่างที่ไม่ตรงกับใจก็ไม่ได้ ใจมันเป็นอย่างนี้ ก็แสดงออกไปอย่างนี้
_อำภา รื่นใจดี · ท่านพ่อครูไม่ใช่เกจิค่ะ ท่านคือพระโพธิสัตว์ จิตของท่านจึงมีแต่ความเมตตาแก่สัตว์ทั้งปวงโดยไม่เลือกว่าจะเป็นคนดีหรือคนเลว สาธุ สาธุ สาธุ เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…ถูกต้อง
_Timethai · ผมเริ่มปฏิบัติธรรมเริ่มต้นที่ศิลข้อที่1ไม่ฆ่าสัตว์ไม่กินเนื้อสัตว์ และเริ่มเพิ่มศีลขึ้นเรื่อยตอนนี้ชีวิตผาสุขมากครับ ติดตามหลวงปู่ทางยูทูบและสื่อเฟสบุ๊ค กราบหลวงปู่ที่ให้แสงธรรมครับ
_นิคม · เคยเขียน จดหมายไปขอหนังสือท่านฟ้าไท 2เล่ม เเลกกับตบะธรรม หยุดทานเนื้อสัตว์ 1เดือน กับหยุดสูบบุหรี่ 1เดือน ผลคือเข้าพรรษานี้ ครบรอบ 7ปี แล้วครับ งดบุหรี่ กับเนื้อสัตว์
พ่อครูว่า…สาธุ ดี ว่าจะทำให้ได้ 1 เดือนทำไปแล้วครบ 7 ปีแล้ว ก็ดีมาก
พ่อครูว่า…นักการเมืองต้องมีธรรมะ นักการเมืองไม่มีธรรมะก็เป็นนักการเมืองที่แย่ที่เลวใช้ไม่ได้ แล้วธรรมะพระพุทธเจ้านั้นไม่ให้แยกการเมืองไม่ให้แยกธรรมะ ท่านเองท่านก็เป็นนักการเมืองเป็นสุดยอดนักการเมืองเลย จนกระทั่งท่านสามารถทำการเมืองยิ่งใหญ่ได้ในยุคของท่านในยุคของทาสยุคของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่รู้จักสิทธิมนุษยชนของแต่ละคน ประชากรยังไม่มีความรู้ ใช้สิทธิอะไรยังไม่ได้ สิทธิในวัตถุข้าวของการแสดงออก สิทธิการพูดจาการกระทำมันไม่ได้ทั้งนั้นเลย แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่แล้ว ทุกวันนี้คนละเรื่อง ทุกอย่างมันเป็นสัจจะที่ถูกต้องไปหมดแล้วไม่มีใครเขายอมหรอก แสดงสิทธิกันเต็มที่
ธรรมะเป็นเรื่องอิสระเสรีภาพสุดยอด การเมืองเป็นอิสระเสรีภาพสุดยอดเหมือนกัน ประชาธิปไตยคืออิสระเสรีภาพสุดยอด เพราะฉะนั้นจึงมีแต่ความเป็นจริงของสัจธรรมเพราะคนมีภูมิปัญญามีความเจริญฉลาด โดยเฉพาะปัญญาคือภาษาของพระพุทธเจ้าแปลว่าความฉลาดทางโลกุตระ คนพยายามแสวงหาความฉลาดอย่างนี้ แม้ความฉลาดทางเฉโกก็พยายามพัฒนามาตอนนี้แล้ว
การเมืองตอนนี้ก็เหมือนกับ สองคนยลตามช่องคนหนึ่งมองเห็นโคลนตมอีกคนตาแหลมคมเห็นดวงดาวอยู่พราวพราย
อยู่ที่ภูมิธรรมของคน ใครเห็นอย่างไรก็เห็นอย่างนั้น อาตมาเห็นว่าไม่ดีก็ควรชี้แนะบอกกันให้หนัก ก็เห็นข้อด้อยของอาตมาแล้ว 7 8 ข้อ อาตมาก็เห็นจริงอย่างนั้น คิดขึ้นมาแล้วก็เขียนโน้ตไว้ว่าเป็นข้อด้อยของเรา เป็นข้อด้อยและเป็นความซับซ้อน อย่างมากเลย ลึกซึ้ง ซอกแซก ลึกซึ้งมาก
อาตมาพบภาษาอังกฤษ recondite เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก เป็นความลึกลับ สิ่งที่อาตมาทำเป็นลักษณะนั้น ซอกแซก รู้จักกันน้อย มันเหมือนคลุมเครือ เป็นลักษณะนั้น แต่ผู้ที่มีภูมิปัญญาฟังบอกว่ามันใช่ อันนี้ลักษณะ recondite อันนี้อาตมาว่าเมืองไทยมีสิ่งนี้ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีสิ่งนี้ ท่านทรงงานของท่าน ท่านไม่ได้ทรงอธิบายละเอียด ซอกแซกเหมือนอาตมา แต่คนไทยรู้เห็นเข้าใจได้ นี่มันแสดงถึงสัจธรรมแห่งภูมิธรรมของวิญญาณธาตุรู้ของคนไทย คนไทยเห็นสิ่งประเสริฐนี้รับเอาประเสริฐนี้ได้
ถึงได้เห็น effect ของคนไทย เมื่อในหลวงรัชกาลที่ 9 สวรรคต โครมเลย แสดงออกความเห็นจริงเห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กำลังหลุดลอยมือไป หายไปก็เสียดาย พรั่งพรูออกมา ใครไปบังคับจิตใจของเขา ไม่ได้นัดแนะกันเลยสิ่งเหล่านี้เป็นสัจจะ และการแสดงออกอย่างนี้ นัยซับซ้อน การแสดงออกของคนไทยที่มีต่อในหลวงมันเป็น recondite เป็นเรื่องซับซ้อนลึกซึ้งรู้ได้ยาก คนไทยรู้ได้มาก คนต่างประเทศจะไม่ค่อยรู้ได้ แต่เขาก็พอรู้ คน 7 พันกว่าล้าน เขาก็สามารถรับทราบได้เหมือนกัน
ขณะนี้นายกฯตู่ทำงานก็มีลักษณะนี้เช่นกัน ซับซ้อน มีลักษณะ recondite ลึกซึ้ง คนรู้ได้น้อย เพราะฉะนั้นก็ว่าไป แต่ก็ยังมีคนรู้อยู่ไม่ใช่น้อย เพราะฉะนั้นสิ่งที่มันไม่จริงสิ่งที่มันไม่ควรมันจะโฆษณาหาเสียงได้อยู่หรือ ประชาสัมพันธ์กันหรือ ใช้กลวิธีต่างๆนานา ดึงเอามวล หาคะแนนเสียงก็ยังได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของธรรมาธรรมะสงคราม เป็นเรื่องของสงครามทางธรรม ซึ่งอาตมาก็อยู่ในเมืองไทยเป็นคนไทย สงครามนี้ แน่นอนเป็นสงครามที่สวยงาม ยิ่งกว่ารามเกียรติ์ยิ่งกว่ามหาภารตะ เขายิงลูกศรไฟไปเป็นเกสรดอกไม้ มันเป็นการแสดงออกที่ลึกซึ้งซับซ้อนมาก สงครามภารตะสงครามรามเกียรติ์ ซึ่งเป็นเรื่องของงานที่ยาวนานเป็นมหานิทานที่ลึกซึ้งซับซ้อน ในจิตวิญญาณอันสูงส่งของมนุษย์
มนุษย์สมัยนั้นรบกันด้วยปัญญารบกันด้วยคุณธรรม ไม่ใช่ไปรบกันด้วย หยาบคายเหมือนโบราณ มันตกยุคแล้ว เพราะฉะนั้นแม้แต่คนยุคนี้ที่มีการใช้อำนาจบาตรใหญ่ ข่มขู่กันอยู่อย่างนี้ ก็ดูไปเถอะ จะเห็นได้ว่าอำนาจโลกีย์อย่างนั้น มันซับซ้อนมันสู้อำนาจที่เป็นสุดยอดของโลกุตรธรรมไม่ได้หรอก
อาตมา พูดจริงๆ ก็ ที่เขาแสดง เป็นบทบาทเป็นตัวจริงปรากฏการณ์จริง phenomenonไม่ใช่เรื่องโม้เหมือนบุพเพสันนิวาสที่เขาเขียนขึ้น แต่นี่มันเป็นปรากฏการณ์จริง แต่เอาเถอะ บุพเพสันนิวาสเขาก็อิงประวัติศาสตร์ต่างๆนานาให้คนได้รับรู้ มันก็มีซับซ้อนอยู่ในบุพเพสันนิวาส คนดูอันนี้รู้เรื่องความซับซ้อนนี้รู้เรื่อง มันเป็นนามธรรมซับซ้อน มันเป็นจิตวิญญาณ คนไทยเรา แม้แต่คนต่างชาติยังมาเอา ยังฮิต ติดอันดับ ของคนต่างชาติต่างประเทศเขาก็มี โดยเฉพาะประเทศลาว ฮิตในลาวไม่ใช่เบา อย่างนี้เป็นต้น
เห็นได้ว่าแนวโน้มของความรู้ หรือค่านิยมของมนุษย์มันไปสู่จุดปลายกัปป์นี้แล้วยุคนี้แล้ว ศาสนาพุทธก็มาเกินครึ่งหนึ่งของอายุศาสนาแล้ว เลย 2500 ปีแล้ว เป็นของจริงอาตมาก็ยังมั่นใจ ความจริงของจริง คนไทยจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นประชาชน ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร หรือกษัตริย์ จิตวิญญาณเป็นของแท้ จิตวิญญาณเป็นตัวประธาน สามเส้า กษัตริย์ ประชาชนและจิตวิญญาณ สามเส้านี้ ศึกษาให้ดีจะเข้าใจเลยว่า ระบอบประชาธิปไตยที่มีสามเส้านี้ แน่นอนดียิ่ง ความประชาธิปไตยที่ไม่มีกษัตริย์ไม่มีประชาชน ไม่ต้องหาความรู้ทางจิตวิญญาณ ก็ไม่ได้เป็นความรู้ลึกซึ้งเป็นปรมัตถธรรม อภิธรรมเท่าไหร่
ที่พูดไปนี้ไม่ได้ดูถูก ไม่ได้ยกตนข่มท่านอะไร ก็ขออภัย เป็นการพูดอย่างวิชาการ วิจัยวิจารณ์ความจริง วิจารณ์สัจธรรม สู่กันฟังเท่านั้น ก็ดูไป ทางการเมืองก็ดี เราไม่ใช่ไม่รับรู้ แต่เรารับผิดชอบอยู่นะ ถ้าหากเห็นดีเราก็ส่งเสริม อะไรไม่ดีเราก็… หากรู้ๆกันอยู่ ก็ให้รับผิดชอบกัน เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ดูแล้วก็ไม่มีอะไรมากเท่าไหร่ มีพวกที่ไม่ชอบหน้าก็อยากจะเอาออก ทั้งๆที่ดูค่าเฉลี่ยแล้วก็ เอาน่า ไม่ใช่จะหาคนมาทำงานร่วมกันได้ง่ายๆ มันก็ต้องเข้าใจให้ลึก เข้าใจให้กว้างอย่างนั้นบ้าง มันไม่ใช่ มักง่ายเมื่อไหร่ ขนาดนี้ก็เหลือแหล่ คนจะพังโรง คุณจะยื้อแย่ง เขาก็ว่าเขาแน่ดีกว่าเรา ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติทางโลก ก็ต่างคนต่างเห็นอะไรที่ดีก็ร่วมมือกันไปอย่าดูดาย สังคมหากดูดายแล้วไปไม่รอด หากคนดีไม่ช่วยสอดส่องสังคม คนดีต่างคนต่างเห็นแก่ตัว ธุระไม่ใช่ มันพังนะ ชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์มันพังมามากแล้ว ต้องดูแลกัน ชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์ไม่ได้ สงฆ์ก็ต้องดีอย่างที่ช่วยกันให้เป็น อยู่นี้ก็อนุโมทนาสาธุ ฝากความระลึกถึงคุณพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ พยายามทำงานเต็มที่เลย ขอบคุณจริงๆทำไปเลย อาตมาเห็นดีเห็นด้วยอย่างยิ่ง อันนั้นเรื่องการเมือง
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน คนจนที่มีแบบ ตอน 3
อาตมาก็คิดว่าจะเข้าสู่เรื่องธรรมะ ตอนนี้เอาหนังสือคนจนที่มีแบบ เอามาอ่านนำก่อนที่หนังสือจะวางตลาด
(8) สังคมมีความสามัคคี มั่นคง เป็นปึกแผ่น ได้ด้วยการ..“ให้!”
“…ข้าพเจ้าเองก็มีความปีติเต็มตื้นใจ ที่ได้เห็นน้ำใจของทุกคนเช่นนี้ เพราะเป็นสิ่งบ่งชี้ให้เห็นถึงคุณธรรมข้อหนึ่ง ที่ยังมีอยู่อย่างบริบูรณ์ในจิตใจของคนไทย ก็คือ การให้
การ“ให้”นี้ ไม่ว่าจะ“ให้”สิ่งใดแก่ผู้ใด โดยสถานใดก็ตาม ล้วนเป็น“การกระทำที่พึงประสงค์”อย่างยิ่ง เพราะเป็นเครื่องประสานไมตรีอย่างสำคัญ ระหว่างบุคคลกับบุคคล
และทำให้สังคมมีความมั่นคงเป็นปึกแผ่น ด้วยสามัคคีธรรม นอกจากนั้น การให้ ยังเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขอีกด้วย
กล่าวคือ ผู้ให้ก็มีความสุข มีความอิ่มเอิบใจ ผู้รับก็มีความสุข มีกำลังใจ สังคมส่วนรวม ตลอดถึงประเทศชาติ ก็มีความผาสุก มีความร่มเย็น
ในปีใหม่นี้ ข้าพเจ้าจึงปรารถนาอย่างยิ่ง ที่จะเห็นชาวไทย มีความสุขถ้วนหน้ากัน ด้วยการให้ คือ ให้ความรัก ความเมตตากัน ให้น้ำใจไมตรีกัน ให้อภัยไม่ถือโทษ โกรธเคืองกัน ให้การสงเคราะห์ อนุเคราะห์กัน โดยมุ่งดี มุ่งเจริญต่อกัน ด้วยความบริสุทธิ์ และจริงใจ…”
(พระราชดำรัสพระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2546 เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2545)
พ่อครูว่า…ความสามัคคีความเป็นปึกแผ่น อยู่ในสาราณียธรรม 6 กับพุทธพจน์ 7 ของพระพุทธเจ้า สาราณียธรรม
-
เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
-
เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
-
เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
-
แบ่งปันลาภผลให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (ลาภา ธัมมิกา – มีลาภตามธรรมแห่งสาธารณโภคี) อยู่รวมกันได้ทรัพย์ศฤงคารก็เอามารวมกองกลางร่วมกินร่วมใช้กันอยู่ เป็นสาธารณโภคีที่ชาวอโศกได้นำมาปฏิบัติประพฤติจนบรรลุ อาตมามีความภาคภูมิใจมากที่เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติกันจนสำเร็จผลเป็นสาธารณโภคี จะเกิดได้อย่างนี้ต้องมี พุทธพจน์ 7
-
มีศีลเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย
(สีลสามัญญตา) คนศีล 5 ก็เคารพคนศีล 8 คนศีล 8 ก็เคารพคนศีล 10 ศีลเสมอและสมานกัน
-
มีความเห็นเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (ทิฏฐิสามัญญตา) (ล.22 ข. 282-283) มีความสมานัตตา เสมอสมานกัน
สาราณียธรรม 6 มีจริงในจิตคน ก็มาร่วมกันมีประโยชน์ร่วมกัน อาตมาอยู่ได้เพราะนำธรรมะพระพุทธเจ้าเหล่านี้มาเป็นหลักให้ปฏิบัติ เปิดจากต้นทุนคือมีจิตใจ 7 อย่างนี้
พุทธพจน์ 7
-
สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)
-
ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน)
-
ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)
-
สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน)
-
อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน)
-
สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่)
-
เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)
(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22 ข. 282-283)
คุณสมบัติจิตเจตสิกแต่ละคนมีคุณสมบัติ 7 อย่างนี้ แล้วจะให้ก่อเกิด สาราณียธรรม 6 ได้ จนกระทั่งมีสาธารณโภคี มีเมตตาที่จิตจริง ไม่ใช่ปากเปล่าเสแสร้งซับซ้อน ทำทีเป็นช่วยเขา ทำทีเป็นดีกับเขาแต่ล้วงตับกินไส้ลึกซึ้ง อำมหิตโหดร้าย เอาตายเลย นี่มันคือ ความหลอกลวงของมนุษยชาติ มันลึกซึ้งอย่างนี้ เล่ห์เหลี่ยมของมนุษย์ แต่ที่เราทำเป็นความบริสุทธิ์ใจเป็นเรื่องลึกซึ้ง
จนเราทำอยู่นี่คนมีภูมิปัญญาจะมองออก อโศกนี้คนเห็นแล้ว ปึ๊ก ไหม? ปึ๊กเลย ชัดเจน แน่น
หนึ่ง ปึ๊ก สอง เป๊ะ เปรี๊ยะ
เป๊ะเลย ตรงเป๊ะ สนิทเนียน ตรงเป๋ง ตรงเปี๊ยะเลย มีบกพร่องบ้าง แต่ค่าเฉลี่ยแล้วชนกลุ่มนี้ของสมาชิกสังคมกลุ่มนี้ มันได้คุณสมบัติหรือคุณธรรม
สามัคคียะ พร้อมเพรียงกันไม่วิวาทกัน อวิวาทะ มีปากหอกติเตียนกันบ้าง ก็แค่มุขสตี ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าทุกอย่าง แล้วก็ได้ผล ไม่วิวาท วิวาทก็เล็กน้อย แล้วแต่ใคร ไปยังวิวาทอยู่ก็ทุกข์ไม่เจริญ พระพุทธเจ้าให้ทำจิตไม่มีวิวาท หากเข้าใจก็ปรับปรุงให้ประสานกันให้ดี เราฝึกฝนอบรมปฏิบัติแล้วก็ได้ผลจริง
เกิดสามัคคียะ ไม่วิวาท ปึ๊ก เอกีภาวะ เพราะจิตของเรา แสดงออกถึงความอยู่ร่วมกันมีสังคหะมีความเกื้อกูล อุดหนุนจุนเจือเผื่อแผ่ช่วยเหลือสังเคราะห์สังคหะ มีความช่วยเหลือ คนมีความสามารถมากรู้มากก็ทำมากๆ ให้เหลือแล้วก็ไปแจกจ่ายให้ผู้ที่มีน้อยทำได้น้อย เขาไม่สามารถทำได้แล้วคุณสามารถก็สามารถกว่า บางคนอายุมากเจ็บป่วยแล้วเป็นต้น
มีการเคารพกัน ครุกรณะ รู้จักการเคารพอันควรเคารพรู้จักคาราโวนิวาโต เป็นมงคลอย่างแท้จริง ด้วยความรู้ความเข้าใจเชื่อมั่นในธรรมะพระพุทธเจ้าและก็เห็นจริงได้ผลจริงด้วย
มีปิยกรณะ มีความรักที่มีนัยซับซ้อน อธิบายความรักถึง 10 มิติที่เจริญสูงขึ้นไป ความรักของชาวอโศกนั้นเลยระดับที่ 7 เลยมิติที่ 7 เรื่องของมิติที่ 1 2 อะไรนี่เรามีน้อยมีเหลือบ้าง
มิติที่ 1 2 3 ก็แคบ แค่สองเรา เมถุนคู่รัก ลูกยังไม่เอื้อเลย สองคนในโลกนี้ อาตมาไม่เอาตั้งแต่หนึ่งคนเดียวเลย ก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจ เห็นแก่ตัวเองใครก็ไม่เอาเลย ก็เอาที่สองคนขึ้นไป ไม่เห็นแม้แต่แก่ลูก มันมีความรักแคบขนาดนั้นจริงๆ ฆ่าลูกทิ้งเลย ทิ้งลูกเลย อะไรมันจะแคบขนาดนั้น นี่คือต่ำสุด
มิติที่สอง ก็เอาลูกก็ดีขึ้น แต่ไม่เอาญาติ เอาแต่ลูก ไม่เอาญาติพี่น้องใครไม่เอา เอาแต่ลูก พ่อแม่ลูก เป็นความรักที่แคบจริงๆ แต่ก็กว้างขึ้นมาเป็นอะไร ญาติไปสู่มิตรสหายสังคมอย่างนี้เป็นต้น ถึงระดับที่ 5 ที่ 6 จนถึงประเทศชาติ จากประเทศชาติก็กว้างขึ้นไปถึงประเทศอื่น เกื้อกว้างไปถึงประเทศอื่นเป็นมิติที่ 7 ที่ 8 มิติที่ 7 เป็นเทียบกับพระเจ้า ซึ่งท่านรักมวลมนุษยชาติทั้งโลก เป็นความรักของพระเจ้า
มิติที่ 8 เป็นความรักที่ซ้อนลงไป เป็นความรู้ของพุทธศาสนา ละลดมา มาเริ่มที่ 7 เป็นลำดับ เป็นความซับซ้อนของศีล สมาธิ ปัญญา ซับซ้อน เพราะฉะนั้นจึงปฏิบัติเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ ซับซ้อน ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ ตั้งแต่ระดับที่ 7 เป็นต้นไป เป็นมิติที่ไม่เห็นแก่ตัวไปตามลำดับอย่างมีความรู้จักตัวตน กิเลสอัตตา คืออะไร ละอัตตาตามลำดับ ตั้งแต่หยาบข้างนอก ขั้นอบาย กามภูมิ มีไม่รู้กี่ชั้น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อนาคามี ก็เหลือแต่รูปภูมิ อรูปภูมิ ก็เรียนรู้ไปอีก เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ปฏินิสสัคโค คัมภีราวภาโส
จนมีความรักมิติที่ 8 ขึ้นมิติที่ 9 มิติที่ 7 อย่างที่เราเห็นเราเป็นส่วนใหญ่ สูงขึ้นเป็นมิติที่ 8 อาตมานี้ปาง 7 ก็ย่างเข้า 8
มิติที่ 8 เป็นมิติที่สูง เป็นพุทธศาสนาที่ถึงขั้น 7 8 9 สามเส้าสุดท้าย เริ่มต้นที่ 7 พอ 8 พอ 9 จะเข้าสู่ความเป็นสัมมาสัมพุทธะ จนกระทั่งมาเป็นสัมมาสัมพุทธะ สยังอภิญญาที่จะเข้าไปสู่สัมมาสัมพุทธะก็มี 9 เหลื่อมไป เป็นลำดับ จนกระทั่งเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ จนสูงสุดเป็นสัมมาสัมพุทโธ เป็นพระพุทธเจ้าเต็มพระองค์
ซึ่งเป็นคุณธรรมที่มีหลักเกณฑ์มีทฤษฎีมีวิชาการ ที่พิสูจน์ได้ มีนัยละเอียดที่อธิบายเป็นเอหิปัสสิโก เชิญให้มาดูได้ ให้มาพิสูจน์ได้ มันยาก มันไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกเป็นเรื่องสูง แต่สามารถเข้าถึงสามารถบรรลุ โอปนยิโก แล้วเราได้ทำได้ เป็นของเรา ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ เอาตัวตนเข้ามา สันทิฏฐิโก เอาตัวเข้ามาปฏิบัติได้แล้วจะเกิดผล
สันทิฏฐิโก คือรวมทั้งตัวตนเราพฤติกรรมชีวิตเราทั้งรูปและนาม รวมทั้งสมมติสัจจะปรมัตถสัจจะ
แต่ปัจจัตตัง เน้นที่ จิตวิญญาณ ตัวตนของเราจะบรรลุธรรมคนที่จิตของเรา เวทิตะ แปลว่าความรู้ เวทิตัพโพ วิญญูหิ เข้าไปถึงธาตุจิตวิญญาณ เป็นนัยของนามธรรมละเอียด ส่วนสันทิฏฐิโกนั้นรวมทั้งภายนอกภายใน ปฏิบัติแล้วจะได้ผล
เรามีทั้งการเคารพกัน มีคุรุกรณะ มีสารณียะ แปลว่าความระลึกถึงกัน ระลึกถึงด้วยความปรารถนาดี เช่น ระลึกถึงผู้ที่ตกยากผู้ที่เลว ผู้ที่ควรจะต้องช่วยเขาก็ระลึกถึงด้วยความปรารถนาดี ไม่ใช่ระลึกถึงแล้วก็จะแก้แค้น หรือจะทำร้ายเขาก็ไม่ใช่ ระลึกถึงด้วยความปรารถนาดี พูดถึงบ่อยๆดุมากๆ ว่ามากๆ กล่าวถึงมากๆ ตำหนิอยู่มากๆ ด้วยความปรารถนาดีจริงใจ อาตมาพูดในรายละเอียดด้วยจริงใจ มันลึกซึ้ง ซับซ้อน recondite มันก็ยังยากอยู่
สิ่งที่อาตมาอธิบายก็มีคุณลักษณะอย่างนั้น ใช้ภาษาอังกฤษ ภาษาไทยอาจจะไม่มีที่จะอธิบายได้บางคำ คนรู้ก็ไม่มากคน ตัวอย่างก็มีไม่มาก ก็ค่อยๆมีกันอยู่ รังสีก็ไม่มากอะไร ก็เลยทำไป นี่คือสภาพที่อาตมาพยายามอธิบาย
สาราณียะ ระลึกถึง คำว่าระลึกถึง แคบๆก็ฟังยาก แต่ระลึกถึงด้วยความปรารถนาดีด้วยความจริงใจ จะช่วยเหลือเกื้อกูล เหมือนอย่างพระพุทธเจ้า เช้าขึ้นมาท่านก็ เออ วันนี้ท่านก็ทรงสาราณียะ ว่าใครควรจะไปโปรด เป็นการสมควรไม่เดือดร้อนมาก ใครเหมาะสมที่สุด เรียกว่าสาราณียะ เพื่อจะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เหมือนอย่างเราก็ระลึกถึงคนนั้นคนนี้ เป็นอย่างไรอยู่ดีไหม ทำอะไรอยู่ ถ้าเดือดร้อนเราก็จะไปช่วยกัน ถ้าไม่เดือดร้อนก็อนุโมทนาว่าไป ใครควรจะต้องไปแวะเวียนไปช่วยเหลือ ก็ระลึกถึง
ไม่ใช่ระลึกถึงว่า ไปหาคนนี้ เพื่อจะไปดูดเข้าพรรคเรา ไปหาเพื่อจะดูด มันไม่ใช่ ไปเพื่อเกื้อกูลช่วยเหลือ นี่คือจิตวิญญาณอันสูงส่ง ระลึกถึง ก็เลยปรารถนาดีจริงใจเราจะช่วยเขาได้ แล้วเราก็ควรจะช่วยเขาได้นะ ไม่ใช่ระลึกแล้วก็ไปเป็นภาระเขาอีกก็ไม่ควร เตี้ยอุ้มค่อม เราก็ไม่ควรจะไป ระลึกถึงแล้ว เข้าไปแล้วก็ควรจะไปช่วยเขาได้ แต่ถ้าเราจะไปเป็นภาระเขาก็อย่าไปๆ ทำภาระตัวเองเถอะ ไปแล้วเป็นภาระเขามันก็เสียก็ไม่เข้าท่า
การระลึกถึงกัน ก็ขยายความสู่ฟังว่า มีคุณสมบัติคุณค่าคุณธรรมอย่างไหนที่ระลึกถึงกัน อย่างนี้เป็นต้น
พุทธพจน์ทั้ง 7 นี้เราปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าแล้วจะได้คุณสมบัติ 7 ที่มีลักษณะมากน้อยก็แล้วแต่ รู้สึกตัวไหมว่าเรามีคุณสมบัติ 7 นี้ มีมากมีน้อย เราก็จะรู้ว่าจริงมันควรได้ คุณษณะจิตวิญญาณแบบนี้คุณธรรมแบบนี้มันควรได้ใช่ไหม เรารู้แล้วเราก็มาเลือก
ชีวิตทั้งชีวิตก็มาฝึกฝนสิ่งเหล่านี้ใส่ตนปฏิบัติก็ขึ้นไปมันก็ได้ คุณอยากได้ไปซื้อตามร้านขายยามันจะได้ไหม ไปซื้อตามห้างสรรพสินค้าใหญ่จะได้ไหม สั่งจากแจ็คหม่าจะได้ไหม ก็ไม่ได้ มันต้องทำเอาเอง มันจะไปหาซื้อที่ไหนก็ไม่ได้หรอก
บอกแจ็คหม่าว่าหาพุทธพจน์ 7 ให้หน่อย ไปซื้อตามร้านไหน เขามีประสิทธิภาพในการซื้อขายเก่งมาก ก็ไม่มีหรอกต้องมาทำเอาเอง ต้องมาประพฤติจึงจะได้
พวกเรามั่นใจในคำสอนพระพุทธเจ้า ว่ามาหาสิ่งนี้แล้ว เป็นจริงเป็นได้ยาก แต่เป็นได้ เราก็จะรู้ว่ามันเป็นปัจจัตตังที่ตัวเรา ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ เพราะเอาชีวิตของแต่ละคนมา สันทิฏฐิโก เอามาเต็มสภาพ อยู่ที่นี่แหละ มาอย่างไรก็มาเป็นสมาชิกที่นี่แหละ เราก็จะได้เป็นปัจจัตตัง
(9) สังคมจะล้มเหลว หรือเจริญสำเร็จ เพราะ…
ชัดเจนยิ่งมั้ย พระราชดำรัสของในหลวง ร.9 ว่า
มุมหนึ่งคือ เราเป็นคนจนคือเรามีไว้แต่น้อยแต่สร้างได้มากแล้วหมุนเวียนสะพัดสู่สังคม เรามีทรัพย์แท้คือความรู้ความสามารถและความขยัน เราก็รู้ว่า ความสุจริตความดีงามทางโลกที่เป็นโลกียะเราก็มีอย่างที่เขามีกันอย่างที่โลกเขาพึงมี สูงไปกว่านั้นเราไม่โลภไว้ให้แก่ตัวเราไม่หอบหวงเรากล้าสละออก แม้มีน้อย เป็นวรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
GDP ของเราคือทำการสร้างสรรในภายในให้ได้มาก ไม่ใช่เอามาจากประเทศอื่นของคนอื่นมาเป็น GDP เราสร้างของเราเองให้ได้มากเป็นโดเมสติกของเรา จึงเป็นความเจริญ แต่จะไปเรียกว่าการเอาจากคนอื่นเป็นโดเมสติก มันก็ไม่ใช่ การเอาของคนอื่นแล้วคุยโม้ว่าเป็นของเรามันก็ไม่ใช่ คุณต้องเอาของคุณสิเป็นโดเมสติก
อาตมามั่นใจว่าอธิบายลักษณะนี้ถูกต้อง แล้วเราทำได้ด้วย ไม่ใช่หมายความว่าเราทำไม่ได้ ชาวอโศกเรามี GDP แบบนี้ เป็นรายได้มวลรวมหรือสิ่งสร้างสรรมวลรวม ของเราภายในของพวกเราเอง ด้วยเลือดเนื้อเชื้อแท้ของพวกเราบริสุทธิ์สะอาด แล้วเราก็จะมีส่วนเกินส่วนเหลือเรามีกินมีใช้พอ มีส่วนเหลือส่วนเกินเราก็จะพัดไปสู่ผู้อื่น สะพัดให้คนอื่นได้ มีการให้คนอื่นได้อย่างนี้ต่างหากคือเจริญ GDP แต่เอาของคนอื่นเอาเนื้อคนอื่นมาแปะ เอาเนื้อช้างมาแปะเนื้อแพะ เพราะตัวเองมีเนื้อแพะ แต่ของเราเนื้อช้าง เราไม่เอาแพะมาแปะ เราเอาช้างไปแปะให้แพะ คุณใหญ่จริงหรือเปล่า หนอย มองว่าช้างตัวใหญ่ แต่ที่จริงเล็กนิดเดียว
สัจจะแท้เราไม่ใหญ่หรอก แต่เราก็เป็นหนูไปช่วยราชสีห์ได้อยู่ อย่างนี้เป็นต้น
นี่แหละคือสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน คัมภีระ ลึกซึ้งซับซ้อน ยากจะเข้าใจ
(1) ล้มเหลวเพราะ..ทุ่มเทให้เศรษฐกิจเจริญขึ้นเร็วๆๆ!
(2) สำเร็จได้เพราะ..ทำตามลำดับด้วยความรอบคอบ
(3) ไทยยอดยิ่งยวดได้ เพราะ….?
เพราะ (3.3) เราจะเป็นที่หนึ่งในโลก ด้วย“พอมี พอกิน”
เราจะเป็นที่หนึ่งในโลก เพราะ..
เป็น“คนจนที่รู้จักพอ มีใจพอในภาวะที่พอเหมาะที่พอควร ไม่โลภโมโทสัน”
เป็น“คนจนที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ต่อสังคม”
เป็น“คนจนที่ไม่สะสมทรัพย์สิน ทั้งไม่สะสมกิเลส”
เป็น“คนจนที่ยอดขยัน ปรารภความเพียร”
จึงเป็น“คนจนที่มีเศรษฐกิจของสังคมอุดมสมบูรณ์”
เพราะ (3.4) ต้องทำแบบ “คนจน”!
เพราะ (3.5) “ขาดทุนของเราเป็นกำไรของเรา”. “Our loss is our gain”
เพราะ (3.6) สังคม มีความสามัคคี มั่นคง เป็นปึกแผ่น ได้ด้วยการ..“ให้!”
จิต“รวยโลภให้-ไร้โลภเอา”
“ให้”นี่แหละยิ่งใหญ่ที่สุดของคน ถ้าจิตใจของใครมีแต่ความยินดีใน“การให้”มากกว่า“การเอา”หรือ“การได้มาให้ตน” ความเจริญยิ่งใหญ่จะเกิดทั้งในตนและทั้งในสังคม และในโลกทีเดียว
เพราะจะเกิดสังคม“คนจน”อย่างเป็นจริงขึ้นมาให้แก่โลก เป็น “ปรากฏการณ์”พิเศษให้โลกเห็นความวิเศษ
(10) ชาวพุทธไม่กลัวจน เพราะมี“ปัญญา”ตามคำตรัส ปกตินั้นคนทั้งหลายต่างก็กลัว“ความจน”กันทั้งนั้น
แต่ผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชนที่สัมมาทิฏฐิ และปฏิบัติดีแล้วตามคำสอนพระศาสดา จะไม่กลัว“ความจน”เลย
เพราะจะเกิดเป็น“คนจนสุขสำราญเบิกบานใจ”
อันเป็น“คนจนแบบอาริยะ”
เป็น“คนจนที่มีปัญญา(ฉลาดโลกุตระมิใช่อัจฉริยะแค่เฉโก)”
เป็น“คนจนที่ไม่เบียดเบียนใคร”
เป็น“คนจนที่มีความมักน้อย อยากจน กล้าจน”
เป็น“คนจน”ที่มีความรู้สมรรถนะความสามารถสร้างสรร จึงมีอยู่มีกิน มีเหลือเผื่อแผ่แจกจ่ายผู้อื่นได้จริงๆ
(11) คนจนอุดมสมบูรณ์สุขสำราญเบิกบานใจ
“คนจน”ยังไง? ที่จนอย่างอุดมสมบูรณ์สุขสำราญเบิกบานใจ ..นี่แหละที่ต้องไขความกันอย่างสำคัญ
“คนจนที่อุดมสมบูรณ์มีความสุขสำราญเบิกบานใจ”ไปตลอดกาลนาน ไม่ขาดตอน ไม่มีความรู้สึกโศกมาคั่นในกาละเลย ก็เพราะคนผู้นั้นได้ปฏิบัติตน“เป็นคนจน”ตามทฤษฎีพระพุทธเจ้าสำเร็จแล้วจริง อย่างสัมมาทิฏฐิ ถูกต้อง ตรงคำสอนแท้ จึงเป็น“คนจนอุดมสมบูรณ์”ที่ไม่ต้องแย่งรวย
อาตมาพูดคำว่าอโศก ไม่ใช่พูดปากเปล่า เพราะใจอาตมาไม่เคยมีความเศร้าโศก ใจที่เครียดก็ไม่มี อารมณ์เครียดก็ไม่มี อาตมาก็ได้แต่อนุมานเอาตามที่เขาว่า มันเป็นความเดือดร้อนอึดอัดขัดเคืองเป็นอย่างไร ใจเราที่เครียดนั้นไม่เคยเป็น ไม่เคยรู้ว่าความเครียดเป็นอย่างไร คนฟังแล้วก็บอกว่าทำเป็นพูดเท่ เก๋ ไม่เชื่อ มันก็ recondite จริงๆ คุณจะมาเชื่อเราได้อย่างไร ก็มีสิทธิ์พูดความจริง เราไม่มีสิทธิ์บังคับให้ใครเชื่อ พูดไปตามประสาซื่อไม่ได้โกหก ไม่ได้เป็นอกุศลอะไร เราพูดความจริง มันเป็นเรื่องที่ยากไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย มันไม่มีความขาดตอนของความอุดมสมบูรณ์สุขสำราญเบิกบานใจ
คนจนนี้มีใครอยากจะแย่งไหม? ก็ไม่มี อย่างนี้แหละง่ายๆ มันจึงปลอดภัย และเป็นคนจนจริงนะ ไม่ใช่จนไม่จริง ทุกวันนี้ชาวอโศก อย่างบ้านราชฯ คนมาดูก็เห็นมีอันนู้นอันนี้เยอะแยะ มันก็เป็นเครื่องใช้มีอะไรต่างๆนานา คุณอยากได้อะไร คุณก็มาปล้นได้ ไม่ว่า เรามีเหลือแจกกันได้ ปล้นเงินหรือ จากคนมีเงิน คุณก็เอาไป แต่จะหาคนมีเงินมากๆ น้อยในพวกเรา ทุกวันนี้ก็ … เราไม่อยากพูดไปเท่านั้นจะหาว่าเรี่ยไร
เรามีหมุนเวียนเป็นสาธารณโภคี มีความลึกซึ้งถึงจิตวิญญาณ ไม่เป็นเราเป็นของเราช่วยเหลือเกื้อกูลกันจริงๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ recondite จริง เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งซับซ้อนรู้ยาก คุณจะซาบซึ้งเข้าใจคำว่า recondite ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น มันเป็นจริงไม่ได้โกหก
ความซับซ้อนเหล่านี้เป็นเรื่องจริง นอกจากลึกซึ้งซับซ้อน แม้เราไม่มีเรายังมีน้ำใจเลยยังจะเกื้อกูลช่วยเหลือผู้อื่นต่ออีก โดยที่เราไม่ทำแบบเตี้ยอุ้มค่อมไปกู้หนี้ยืมสินมาให้ ก็ไม่ใช่ แม้แต่ยืมผู้ที่เป็นสาธารณโภคีด้วยกัน เราก็ยืมกันอย่างที่เรียกว่ามีจริงนะ หากไม่มีเราก็จบ แม้แต่พวกเราเผื่อแผ่กัน เราไม่ไปรบกวนคนข้างนอกไปยืมจากคนอื่นข้างนอก ไม่ใช่ อย่าว่าแต่ยืมเลยคนข้างนอกจะเอามาให้ เราก็ยังไม่รับเลยหากไม่ตามกติกา จะเรียกว่าเป็นคนหยิ่งผยองก็ได้ แต่ไม่ได้หยิ่งผยองอย่าง ต่ำทรามอะไร เป็นคนหยิ่งในตัวถือศักดิ์ศรีในตัวพอสมควร ไม่ไปทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน อย่างที่เขามี โคลงโลกนิติว่า
อดอยากเยี่ยงอย่างเสือสงวนศักดิ์ โซก็เสาะใส่ท้องจับเนื้อกินเอง
แต่ของเราไม่ใช่เสือ โซก็เสาะใส่ท้องปลูกไม้กินเอง
ที่เราทำอยู่นี้มันสอดคล้องตรงกับของในหลวงร. 9 ตามศาสตร์พระราชาราชวงศ์จักรีของไทยที่คนต่างประเทศกำลังตื่นรู้
ซึ่งตรงกันกับ“ศาสตร์พระราชา ร. 9”แห่งราชวงศ์จักรีของไทย ที่คนไทยทั้งประเทศกำลัง“ตื่นรู้” และเกิดปรากฏการณ์“ตื่นตัว-เต็มตื้น”อย่างที่เห็น ตามที่เป็นอยู่ และจะไม่หายไปจากใจ จากความซาบซึ้ง ที่“รับรู้ความพิเศษในคุณวิเศษแห่งโลกุตรธรรม”ของพระพุทธเจ้านี้ไปอีกแล้ว
จึงไม่ขาด“ความจน”เลย และจนอย่างสุขสำราญฯ
(12) ชาวพุทธตั้งใจจน เพราะเต็มใจจนด้วย“ปัญญา”
การเป็น“คนจน”ที่ไม่ได้กลัว“ความจน”เลย เพราะยินดีจะเต็มใจจน ตั้งใจจน และจนอย่างมีความสุขสำราญ
ยินดีเป็น“คนจน”เพราะมี“ปัญญา”ที่เข้าใจยิ่งจริงใน “ความจน”ว่าจะ“จน”อย่างไรดี จึงจะประเสริฐกว่า“ความรวย”
จึงเป็นผู้ชัดเจนชัดจริงในใจว่า ทำไมต้องมาจน
จนอย่างมีความสุขสำราญเบิกบานใจนั้นจริงอย่างไร?
อย่างไรจึงเป็น“คนจน”ผู้มีค่า มีประโยชน์ต่อสังคม
เพราะ“คนจน”ชนิดนี้มีหลักปฏิบัติอันประเสริฐ
คือ เป็นคนมีคุณสมบัติ“อัปปิจฉะ(มักน้อย = กล้าจน)”
มี“สันตุฏฐิ(สันโดษ = ใจพอ)” รัก“ปวิเวก(รักความสงบ)” และ“อปจยะ(เป็นผู้ไม่สะสม)” ซ้ำมิหนำ“วิริยารัมภะ(ยอดขยัน)”อีกด้วย เป็นต้น จึงเป็นคนมี“ปัญญา”เข้าใจ“ความจน”ที่วิเศษแท้จริงของ“คนจนอาริยะ”
คุณสมบัติคุณธรรมที่เจริญ ไม่ใช่หยุดนิ่งแช่เฉื่อย แต่ว่า คุณสมบัติจิตที่เจริญคือ มีความคล่องแคล่วปราดเปรียวทั้งปัญญาก็ไว เจโตก็ปรับได้ไว มีธาตุทั้งปฏิภาณปัญญาปรับได้ไว อาตมามีคุณสมบัติของจิตอย่างนี้แล้วจึงเอามาอธิบายให้ฟัง มีตำราอ้างอิงของพระพุทธเจ้าด้วย ปวิเวกก็มีสามอย่าง
กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก
กายวิเวกคือรูปนามสงบ ไม่มีธาตุที่วุ่นวาย nuisance จิตไม่มีอกุศลเจตสิกเลย
กายคือธรรมะ 2 มีทั้งภายนอกและภายใน หากเอาแต่จิตสงบ มันสงบเพราะอะไร อุปธิมันไม่มี อุปธิมันตายไม่เหลือ อุปธิคืออะไร คือกิเลส คือสิ่งที่ไม่ควรให้มีคือสิ่งที่ไม่ควรให้เหลือ สิ่งที่ไม่ให้มีนั้นแหละ คืออุปธิ ทำให้มันไม่มีไม่เหลือ นี่คือ วิเวก 3
อปจยะ จ คือรู้แจ้ง ย คือเศษวรรค ที่เติมมาไม่ขาด สิ่งที่ยังต่อ ปจยะ เป็นพลังงานเสริมที่เอามาจากเศษวรรค ย เป็นตัวแรก อ คือไม่ ป จ ยะ คือไม่เหลืออะไร ไม่มีอะไร ลงไปถึงพยัญชนะจะเห็นได้ว่า อปจยะ คือ หมดแล้ว
อปจยะคือไม่สะสมทั้งกองกิเลส ไม่สะสมอะไรอย่างอื่น มีความรู้มีความสามารถพอก็ทำงานไปในกาละ มันก็จะต้องมีอยู่เสมอ เพราะตนเองทำได้มากกว่าที่ตนเองกินใช้ ยิ่งอยู่กันหลายคนก็ยิ่งมีรวมกันมาก ทุกคนไม่มีความหลีกเลี่ยงหรอก มีแต่ความขยันทำ ไม่ไปแอบเสพ แอบพักก็ไม่ต้อง ไม่เมื่อยก็ทำ เมื่อยก็พัก เป็นคุณสมบัติแท้ของคนจริง ไม่มีอะไรออกนอกความจริงนี้เลยสุดยอด
จิตมันเร็วกว่าแสงกว่าเสียง อาตมาดูทีวีทีละสามจอ กว่าแสงจะเดินทางมาถึงเรา จิตเรามันเร็วกว่าอีก เสียงก็ยิ่งช้ากว่าจิตมาก บางทีเราฟังเสียงก็รู้แล้ว ไม่ต้องดูภาพก็ได้ เสียงมันละเอียดกว่าภาพ
(13) “คนจนอาริยะ”คือ คนจนที่มี“ปัญญา”ซึ่งมิใช่เฉโก
คนผู้มีความฉลาดที่ชื่อว่า“เฉโก” คือ ผู้ยังไม่ฉลาดขั้น“ปัญญา” มีกรอบจำกัดของความเข้าใจ คือมีความฉลาดอยู่ในกรอบโลกีย์เท่านั้น จึงยังเข้าใจการเป็น“คนจน”นั้นดีไฉน? ประเสริฐอย่างไร? เหนือชั้นกว่า“คนรวย”นัยยะใด?
คนผู้เต็มใจเป็น“คนจน”และตั้งใจปฏิบัติตนให้จนนั้น คือ ผู้ซาบซึ้งดีในการมีวรรณะ 9 จึงมีปกติกถาวัตถุ 10 ปฏิบัติสัมมาอาริยมรรคองค์ 8 ปฏิบัติโพชฌงค์ 7 ปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม 37 ปฏิบัติไตรสิกขา ปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 ฯลฯ
จนกระทั่งเกิดผลเป็นสาราณียธรรม 6 เพราะในจิตของผู้ปฏิบัติเกิดจิตเจริญคุณสมบัติ“พุทธพจน์ 7”ได้แท้กันจริงๆ (พุทธพจน์ 7 ได้แก่ สาราณียะ,ปิยกรณะ,ครุกรณะ,สังคหะ,อวิวาทะ,สามัคคียะ,เอกีภาวะ ; พระไตรปิฎก เล่ม 22 ข้อ 282-283 สาราณิยสูตร)
(14) ชาวพุทธรวมพลังต่อยอด“ความจน”ให้เจริญวิเศษ
จึงทำให้เกิดสังคมที่ต่างก็มีลาภโดยสุจริตเป็นธรรม(ลาภธัมมิกา) แล้วนำมารวมกัน กินใช้อาศัยบริโภคร่วมกันในการดำเนินชีวิต เป็น“สาธารณโภคี”รวมทุกคนทั้งสังคมชุมชนทั้งกว้างทั้งลึกเป็นเครือแห(ยิ่งกว่าเครือข่าย Pyramidal web)นอกจากที่ราชธานีอโศกก็ยังมีเครือแหของเราอีก
อันเป็นเศรษฐกิจขั้นเยี่ยมยอดเจริญสูงยิ่งได้สุดกว่าเศรษฐกิจแบบใดๆ เท่าที่มนุษยชาติสามารถทำได้ในโลก!
สังคมคนหมู่ใด ประเทศใด ที่เป็นสังคมเศรษฐกิจ ขั้น“สาธารณโภคี” สังคมนั้นจึงเป็นตัวอย่างให้สังคมมนุษย์เผด็จการทุนนิยม แม้แต่ประชาธิปไตย และให้คอมมิวนิสต์ เรียนรู้ และต้องศึกษาอย่างลึกล้ำสำคัญยิ่งยวด
ชาวอโศกมีเท่านี้เล็กเท่านี้ แต่ละกลุ่มไม่ใหญ่เท่าไหร่แต่กระจายกันอยู่ทั่วไป ก็มีพอได้แข็งแรงอยู่ 30 ถึง 40 ปีมาแล้ว แล้วอาตมาก็เห็นว่าเพิ่มขึ้นอยู่ และกระแสของสังคมโลกเขาก็เข้าใจและเห็นดีขึ้นใช่ไหม คนต่อต้านก็ลดลง คนเข้าใจได้มากขึ้นเขาก็มาแน่นอนเป็นของที่ไม่ใช่จะมาเอาได้ง่ายๆแม้จะอยากให้นะ บอกให้มาเอาเลยแต่เขาเอาไม่ได้ง่ายๆ ด้วยความเห็นจริง ใจมันเป็นแบบนี้ควรจะได้ คนในนี้ก็เป็นได้ คนก็มาได้ขอให้จริงเถอะ
สมณะเดินดินว่า…คนเราวาระสุดท้ายก็ต้องจนกันทั้งนั้น เหลือความดันโลหิตเหลือหัวใจเต้นไม่เท่าไหร่ คนเรามันอยู่ที่ใจนี่แหละ …จบ