พ.ค.202018ธรรมะพ่อครูศาสนา610520_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ คนจนที่มีแบบ ตอน3 อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1mEFU2sPuK06ikzOkN9CZ4oTV70chFBvdzHbmkhl2q3k ดาวโหลดเสียงที่..https://drive.google.com/open?id=1WoeROUkuFmesOyBhYz3zyc4-K41X7jx5 ดูยูทิวป์ได้ที่…https://www.youtube.com/watch?v=Rh3YgaUJR2g สมณะฟ้าไทว่า… นี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก รายการวิถีอาริยธรรม สำหรับผู้ที่สนใจลดละกิเลสให้เป็นพระอาริยะ ที่ราชธานีอโศก ก็มีค่ายสัมมาอริยมรรคมีคนมาเข้าค่าย 23 คน เมื่อก่อนตอนอาตมาอายุ 20 กว่าปี มาที่สันติอโศกวันอาทิตย์คนมาฟังธรรมกันแน่นขนัด เนื่องจากอโศกมีอยู่ที่กรุงเทพฯที่เดียว แต่เดี๋ยวนี้มีกลุ่มชุมชนหลายแห่ง เป็นชุมชนคนจน เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ แต่ไม่สิ้นไร้ไม้ตอก คนจนล้ำสมัย มี class มีวรรณะ เป็นคนชนชั้นสูง คนจนที่รู้ว่าจนเพราะอะไรจนเพื่ออะไร ที่มาจนคือจนเพื่อผู้อื่นจนแล้วก็ให้ผู้อื่น ที่จนเพราะว่าให้คนอื่น ถ้าไม่ให้คนอื่นก็มีไว้กับตัวเองเยอะแยะมากมายเพราะเราเป็นคนขยัน ในวรรณะ 9 มีคุณสมบัติของคนยอดขยัน วิริยารัมภะ เราก็ได้ประโยชน์จากการฟังธรรมของพ่อครู แล้วนำมาเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองให้ดียิ่งขึ้น อาศัยพ่อครูและหมู่กลุ่มคอยขัดเกลา คอยบอกคอยสอนให้เราพัฒนาการขึ้นเป็นลำดับ เราก็ระลึกถึงท่านที่มีบุญคุณต่อเรา ในงานอโศกรำลึก เราควรจะมีกตัญญูกตเวทิตาต่อท่าน ที่ทำให้เราเจริญพัฒนาขึ้นมาได้ขนาดนี้ ถ้าเราไม่มีท่านเราก็คงจะทุกข์อีกไม่ใช่น้อย พ่อครูว่า…SMS วันที่ 18 พฤษภาคม 2561 (พ่อครู : สมณะโพธิรักษ์) _3867ไฟโลภะโทสะโมหะถ้ามีในหัวใจผู้นำ?แล้วแปรพลังในจิตวิญญาณที่มิใช่พลังบริสุทธิ์!แล้วโลกจะมีพลังเย็นที่ไหนมาดับภูเขาไฟให้สงบลงได้ทั้งเกาะ?เล่าหนอ? พ่อครูว่า…เขาเรียกศัพท์คำว่าไฟ แต่มันเป็นพลังงานมีฤทธิ์มีอำนาจที่จะสลายอะไร พลังงานที่จิตของเราสร้างได้ เป็นพลังงานอุณหธาตุ ที่เรียกว่าไฟ มันมีอำนาจมันมีฤทธิ์มีประสิทธิภาพที่จะสลาย อำนาจพลังงานที่มันสามารถจัดการได้ตามที่เราเจตนา ตามที่เราต้องการ มันมีอำนาจเพียงพอมีฤทธิ์เพียงพอ มันก็จัดการไปได้ นี่เป็นความสามารถของมนุษย์ที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์ มนุษย์สามารถทำใจในใจ สามารถสร้างพลังงานของจิตใจของเราให้เป็นอย่างนี้ขึ้นมา ซึ่งพวกเรานี้ จะเข้าใจชัดเจนว่า มันเป็นไปได้ คนข้างนอกเขาไม่ได้ฝึกหัดเล่าเรียนศึกษา มันก็ไม่รู้เรื่อง ฟังไปแล้วก็ฟังผ่านหูไม่เข้าใจ เขาก็สร้างพลังงาน ตั้งแต่ภายนอก อย่างเก่งก็เป็นพลังงาน ที่เป็นพลั ใช้งานได้ ทำได้อย่างเก่งก็เท่ากับปรมาณูที่ทำได้ เป็นพลังงานที่ละเอียด แต่สามารถจัดสรรจัดการให้มันเป็นพลังงานรวมมีฤทธิ์แรงก็ทำได้ไม่มีปัญหา เอาไปใช้ประโยชน์ทางโน้นหรือใช้แบบโง่อวิชชา มันก็เป็นโทษ ไปใช้ประโยชน์ได้ก็ใช้บ้าง ส่วนทางเรานี้ก็เน้นมาทางนามธรรม มาทางจิตวิญญาณ ก็เป็นพลังงาน นัยเยี่ยงเดียวกัน แต่มันไม่ใช่อันเดียวกัน แล้วเราก็ทำได้ สามารถศึกษาฝึกฝนเอามาใช้งานได้ ใช้มากใช้น้อยเป็นประโยชน์จริงของเราชัดๆอยู่จริง เราจึงได้ผลจากที่ได้ศึกษาฝึกตนนี้ _3867สัคคกถาฤาละกามสุขโลกียะสู่โลกุตระฯกามาทีนวกถาฤาละหน่ายจากกามหมดสิ้นความอยากฯเนกขัมมานิสังสกถาฤาเลิกหลงรวยติดฟุ้งเฟ้อได้อานิสงส์จนพอเพียงถือประหยัดแล้วเผื่อแผ่ด้วยศก.คนจน!พ่อครูสอนลงตัวตรงวรรณะ9เป๊ะ! _อุดม สงวนตระการกุล : ภาพ เสียง ติดขัด _ນາງເກດມະນີ ສູກສະຫວັນ ກາບນະມັດສະການພໍ່ຄູທານ່ສາມະນະທານ່ສິກຂະ ມາດຂ້ານອ້ຍຢາກມາກາບນະທີນີ້ແຕ່ຫັຍງມີວິບາກກັ້ນຈະພະຍາຍາມມາໃຫ້ໄດ້ກາບສາຖຸຫຼາຍໆ _นางเกดมนี ภูสะหวัน ข้าน่อยอยากมากราบที่นี่ แต่ยังมีวิบากกรรม จะพยายามมาให้ได้ กราบสาธุหลายๆ (สมณะหนักแน่นแปล) _กรุงเทพโพลล์ ชี้ “บิ๊กตู่” คะแนนนิยมเพิ่ม-ผู้นำซื่อสัตย์กล้าตัดสินใจโดนใจคนไทย กรุงเทพโพลล์สำรวจ “นายกฯ แบบไหนโดนใจคนไทย” ต้องการผู้นำซื่อสัตย์ เด็ดขาดกล้าตัดสินใจ ล่าสุด “บิ๊กตู่” ประชาชนนิยมเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน 3 นโยบายประชานิยมที่โดนใจ เรียงลำดับ รักษาฟรี – อุดหนุนเกษตรกร – ค่าครองชีพ – บัตรสวัสดิการ วันนี้ (19 พ.ค.) กรุงเทพโพลล์โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ดําเนินการสํารวจความคิดเห็นประชาชนเรื่อง “นายกฯแบบไหนท่ีโดนใจคนไทย” โดยเก็บข้อมูลกับประชาชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศจํานวน 1,205 คน พบว่า นโยบายประชานิยมที่โดนใจประชาชนทำให้อยากเลือกเข้ามาเป็นนายกฯ มากที่สุด นโยบายรักษาฟรี ประกันสุขภาพถ้วนหน้า (ร้อยละ 57.0) รองลงมาคือ นโยบายช่วยเกษตรกร อุดหนุนผลผลิตเกษตรกร (ร้อยละ 54.4) นโยบายสวัสดิการและค่าครองชีพ รายได้ (ร้อยละ 48.3) นโยบายช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ผู้ยากจน เช่น บัตรสวัสดิการการแห่งรัฐ (ร้อยละ 48.0) และ นโยบายเกี่ยวกับการปราบการทุจริตคอร์รัปชัน (ร้อยละ46.9) เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีแบบไหนที่อยากได้มาดำรงตำแหน่งคนต่อไป ส่วนใหญ่ร้อยละ 66.4 อยากให้เป็นผู้นำที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีประวัติคอร์รัปชัน รองลงมาร้อยละ 46.6 เป็นผู้นำที่มีความเด็ดขาด กล้าตัดสินใจในการบริหารประเทศร้อยละ 45.9 เป็นผู้นำที่มีความสามารถสร้างสรรค์ผลงานเป็นที่ประจักษ์ หรือโครงการใหม่ๆ และร้อยละ 45.2 เป็นผู้นำที่มีความขยันทุ่มเทในการทำงานเพื่อประชาชน พ่อครูว่า…งานนี้โดยภูมิธรรมโดยปฏิภาณปัญญาอาตมามอง ก็มองว่าเราลำเอียงเข้าข้างบิ๊กตู่ไหม… ก็ไม่ …ก็ดูกลางๆ แต่พฤติกรรมการงานการกระทำบทบาท Activity ต่างๆ อันนี้สิ อาตมาพูดไปหลายๆที่ว่า อาตมาก็พอรู้จักนายก 28 คนที่ผ่านมา คนนี้คนที่ 29 อาตมาก็ใช้เครื่องมือความรู้ภูมิธรรมของอาตมานี่แหละวัด ว่านายกฯตู่ มีคะแนนนำสูงกว่านายกฯคนอื่นอย่างชัดเจน ด้วยค่ารวม ก็เลยออกเสียงสนับสนุนไป ก็มีเสียงกลับมาพร้อมมือไม้มีส้นเท้ามาด้วย ก็ไม่เป็นไร เขาจะให้มาก็ตามความรู้สึกของตัวเอง เขาก็จริงใจ แล้วก็จะไปตีราคาไปบังคับความรู้ความเห็นของคนได้อย่างไร อาตมาก็ว่าไม่มีการโกรธเคืองคนเหล่านั้น อ่านจิตของตัวเองดูไม่มีอาการโกรธแม้เล็กน้อย ก็ไม่มี มีเห็นแต่น่าสงสาร คำว่าสงสารคือเห็นเขาวนเวียน สงสารแปลว่าหมุนเวียน จมในสังสารวัฏ โลกที่เขาจมอยู่ ความหมายของคำว่าสงสารนั้นลึกซึ้ง หมายถึงเราเห็นเขาตกจมในวงวนอีกนาน นี่คือเห็นสงสารเขา และก็น่าสงสารน่าเห็นใจ จะช่วยให้เข้าใจให้รู้จัก ช่วยให้รู้เท่าทันมันก็ช่วยไม่ได้ บีบบี้เอาไม่ได้ ก็ได้แต่แสดงความจริงของเราออกไปเท่าที่เราจะมีกำลังความสามารถจะแสดงทั้งรูปธรรมนามธรรม ผสมกันเป็นสังขารธรรม อาจเป็นดินน้ำไฟลมปรุงแต่งรูปร่างอย่างนั้นเลย ที่อาตมามีความรู้ จิตนิยาม พีชนิยาม อุตุนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม ก็สรุปผลว่า มีอัตราการก้าวหน้า ส่วนเสียหายบกพร่องก็มี ภาวะตอบโต้มาก็มี แต่บางไม่หนักหนาอะไรหรอก เรายังสามารถแสดงออก อาตมาแสดงออกไม่น้อย แรงพอได้ แต่ภาวะตอบโต้มานี้ทำให้เห็นว่าอาตมาก้าวหน้าได้ประโยชน์ ถึงเห็นว่า เราก็ทำสิ มันไม่ควรจะยับยั้งหยุดยั้งอะไรหรอก ได้ค่าบวกเพิ่มขึ้น ค่าลบลดลงๆ จนกระทั่งบวก เรายังไม่อยากให้คะแนนตัวเองถึงขั้นคูณ ความจริงมันจะเป็นขั้นคูณหรือไม่ก็ ไม่มีปัญหา มันยังมีอัตราการก้าวหน้า เพราะฉะนั้นก็มีกำลังใจมีความจริงมีกำลังวังชามีความพอใจเต็มใจ เหนื่อยก็ไม่ว่า จะต้องทำงานหนักขึ้นไปอีก เราทำจริงเต็มที่ ก็พยายามสร้างสังขารตัวเอง บูรณาการสังขารตัวเอง พยายามที่จะเป็นการพิสูจน์สัมประสิทธิ์ Coefficient ของตัวเอง ถ้าอาตมาพยายามทำต่อไปแล้วผลของสูตร E=C(mc2+A) ถ้าพลังงานสูตรนี้จริง ในอนาคต ถ้าเผื่อว่าองค์กร nobel prize ไม่เลิก อาจจะให้รางวัลโนเบลไพรส์อาตมาก็ได้ เขาจะเข้าใจในอีก 20 30 ปีถัดไป เป็นสูตรสำคัญเหมือน E=mc2 ของไอน์สไตน์ แต่ตอนนี้เขายังไม่รู้ถึงประสิทธิภาพของมัน ก็ช่วยไม่ได้หรอก แม้เขาจะให้เชิญอาตมาไปรับก็ไม่ไป จะเอามาให้ก็เอามาให้ที่นี่ ขอขอบคุณไม่ได้ปฏิเสธ แต่จะให้เดินทางไปรับ มันไม่ไปหรอกมันเมื่อย อยากให้ก็เอามาให้เอง นี่บอกไปก่อนนะ หรือจะส่งมาให้ผ่านแจ็คหม่าก็ได้ ขอให้ไม่ให้แล้วก็ไม่เป็นไร ไม่ได้พูดเล่น เราก็ใช้เวลาทำดีต่อไป หากเขาเข้าใจยอมรับก็ดีแล้ว เขาไม่พอใจเราก็ทำต่อไป ดูว่า เขาถูกเราผิดเราก็แก้ไข หากเราตรวจแล้วไม่ลำเอียง เราผิดจริงๆก็แก้ไข แต่หากตรวจแล้วเราไม่ผิดจริงๆเลย ก็ว่าไป คนที่ทำงานกับมนุษยชาติอย่างซื่อสัตย์ กล้าหาญ มีความอุตสาหะวิริยะ มีความขยันหมั่นเพียร อาตมาว่านายกรัฐมนตรีไทย 29 คนนี้ ใครที่จะมาช่วยกันคนละไม้คนละมือทุกวัน ประกาศว่าทำอันนั้นอันนี้ ประกาศอยู่ทุกวัน นายกฯคนไหนมี 29 คน ที่มีนี้ ก็คนนี้แหละทำก็มีคนนี้แหละ และที่ประกาศมาคุณก็วิเคราะห์ต่อได้ว่ามันดีหรือไม่ดี มันดูมีท่าอยู่นะ แล้วทำไหม? ก็ทำอยู่นะ ได้ผลไหมก็มีผลอยู่แน่นอน มันคงไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มันได้ เพราะฉะนั้นถ้าคิดองค์รวมของการทำงานแล้วไม่ต้องมาว่าก็ใช้ปัญญาของอาตมาอย่างนี้ขนาดนี้ไป ที่จะไม่เห็นด้วยก็ไปบังคับเขาไม่ได้ ไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร อาตมารู้สึกสนุกกับการทำงาน เพราะทำงานและมันดี มันได้ผลดี มันเห็นผู้คน แม้แต่ผู้คนมายิ้มแย้มแจ่มใสร่าเริงเบิกบาน มาได้รับประโยชน์ ลดความเป็นโทษภัย แทนที่จะเอาเวลาไปเสียหาย แต่มาอยู่กับพวกเรามาซึมซับกับพวกเรา ยินดีปรีดาร่าเริงมันก็ดีแล้ว ดีกว่าใช้เวลาความคิดความอ่านการกระทำ ไปในทางเบียดเบียนเอาเปรียบเอารัด หรือไปหาทางสร้างความรุนแรงเลวร้ายอะไรขึ้นมา มาทางนี้ดีกว่า ได้มากหรือได้น้อยก็แล้วแต่ อาตมาก็ใช้เวลาความรู้ของอาตมาประมวลเป็นองค์ประกอบ ในการให้คนที่มาที่นี้ได้รับประโยชน์ได้รับความรู้ ทำขึ้นมาคนก็ได้ใช้สอยเอาประโยชน์ แม้แต่เด็กๆเล็กๆเขาก็มาอย่างเบิกบาน ดีกว่าจะไปอยู่กับเทคโนโลยี กดๆ มันมีรูปแบบรูปธรรม เป็นองค์ประกอบเท่าที่อาตมาสามารถทำได้ มันก็ดูดี ตอนนี้ก็ ทุกอย่างในด้านการสร้างสรร ในด้านการผลิต เราผลิต เน้นไปในเรื่องของอาหารการกิน บริโภค มากกว่าอุปโภค(เครื่องใช้) ผลิตเครื่องกิน เราถนัดเครื่องกินมากกว่าเครื่องใช้ เครื่องใช้อุตสาหกรรมเรายังไม่เก่ง เราเก่งกสิกรรม อันนี้อาตมาเห็นสอดคล้องกับในหลวงรัชกาลที่ 9 ในหลวงว่า เราเก่งทางด้านกสิกรรมไม่ได้เก่งทางด้านอุตสาหกรรม เก่งแบบอุตสาหกรรมนั้นมันถอยหลัง ไปไกล โลกมันอุดมสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นธรรมชาติก็สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร ด้วยตัวมันเอง มาให้แก่โลกแก่มนุษยชาติแก่สัตว์โลก ส่วนอุตสาหกรรมนั้นธรรมชาติไม่สร้างให้มันหรอก ต้องเป็นมนุษย์สร้าง แต่มนุษย์ทุกวันนี้สร้างอุตสาหกรรมแล้วมันบอกว่าเจริญก็เลยทำให้เยอะมีความรุนแรง มันมีประโยชน์มากก็จริง แต่ประโยชน์เรื่องของอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไม้สอยมันพอใช้แล้ว ยังดีที่โลกยังอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร พีชธาตุ มันยังสามารถที่จะเติบโต ทันให้คนกินใช้สอย หากแรงงาน ทรัพยากร ของอุตสาหกรรมเอาไปใช้มาก เครื่องใช้อาวุธเทคโนโลยีอุตสาหกรรม เอามาใช้ประโยชน์มาก คนจะทยอยตาย คนจะทำร้ายกันด้วยอุตสาหกรรม เป็นเครื่องมือในการฆ่าคนเพราะมันกินไม่ได้ อุตสาหกรรมไม่สามารถยังให้สังขารร่างกายเจริญงอกงามได้ เพราะมันสังเคราะห์ไม่ได้ ต้นธาตุของพีชธาตุ อุตสาหกรรมใช้อุตุธาตุ แม้ถึงขนาดสร้างหุ่นยนต์ได้ ก็พยายามให้พลังงานหุ่นยนต์เก่งเท่าพลังงานจิตวิญญาณ ซึ่งมันไม่ง่ายหรอก ไม่ง่ายจริงๆ ขอยืนยันว่า ไม่ง่ายเด็ดขาด อาตมาเข้าใจด้วยภูมิปัญญาว่า จะเปลี่ยนอุตุธาตุให้มาเป็นจิตธาตุนี้ยาก แต่ต้องเปลี่ยนมาเป็นพีชธาตุขั้นกลางก่อนนี้ยังยาก จะให้หุ่นยนต์มาเป็นแบบพืช มีสังขารมีสัญญากำหนดรู้และปรุงแต่งเองยังไม่ได้เลย หุ่นยนต์ยังทำไม่ได้ มันยังต้องอาศัยรหัสอาศัยพลังงานที่คนป้อนไว้ หมดพลังงานมันก็ไม่ทำต่อแล้ว มันเติมเองก็ไม่เป็นอีกมันสร้างพลังงานเองไม่ได้ จะสังขารปรุงแต่งก็ไปตามรหัส circuit ของหุ่นเท่านั้นเอง ทำไปเกินกว่า circuit นี้ไม่ได้ คนเขายังไม่เชื่อ คิดว่าจะได้อยู่ ก็พยายามพิสูจน์กัน การที่จะข้ามขีด ของอุตุ มาผ่านเป็นพีชะ จึงเรียกว่าเป็นความเรียงลำดับอันน่าอัศจรรย์ หากจะข้ามจากอุตุ มาเป็นจิตนิยามนี้ เมินเสียเถิดอย่างคิดถึง พีชะมันทำใจในใจไม่เป็น ผัสสะมันเอาข้างนอกมาใช้เป็น แค่นั้นเอง ยิ่งเจตนาของมันก็สั้นก็แคบ มันไม่ออกนอกจาก cyclic ของมัน แวดวงของมัน พีชะ ประสิทธิภาพพลังงานมันออกไปภายนอกอาละวาดภายนอกไม่ได้ ก็อย่างเก่งก็ออกไปหา 4 ตัว 3 กำลังสร้าง 4 กว่าจะมาเป็น 5 6 ก็เป็นแนวระนาบ 6 ก็เดินทางโค้งไม่ได้ ก็ได้แต่ระนาบเป็นมิติ แค่นี้ 3 มิติ ไม่ออก 4 มิติ ในกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าสี่เหลี่ยมจัตุรัส อย่างเก่ง ก็มาเป็นวงรีอีก ผู้ที่มีปัญญาจัดความ chaos ให้เจริญเป็นลำดับ อันนี้เป็นความเจริญเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ พูดถึงตรงนี้นึกถึงดอกเตอร์เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ ดู Doctor ยุค ศรีอาริยะ สรุปว่าตอนนี้อาตมาก็ดูวิเคราะห์รวบรวม รวบรวมได้ว่า ราคาของพลเอกประยุทธ์ อาตมายังให้คะแนน เขาให้คะแนนกัน 40 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ อาตมาให้ 80 ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ นายกฯประยุทธ์ที่ทำงานอยู่ตอนนี้ คืออาตมาดูแล้วฉลาดที่จะ หาคนมาทำงานร่วม ฉลาดที่จะคิดโครงการ คิดแผนและวิธีทำ และร่างแผน ลงมือทำ มีคนมาสนับสนุนมีทำไม่ขาดสาย ซึ่งเราก็รู้ต้นทุนว่าเมืองไทยนั่นแหละที่มาตั้งแต่ 80 กว่าปี ปู้ยี่ปู้ยำกันมาหนัก ถ้าเป็นคนก็เหลือแต่ผง ก็อย่าเพิ่งตัดเวลาตัดรอนเลย เปิดโอกาสให้กันบ้าง ตาม roadmap แล้วมันจะเป็นไปเอง อาตมาเชื่อมั่นในมนุษยชาติแต่ละคน ที่เป็นประชากรของประเทศ คนไทย จิตวิญญาณที่มีในอนุสัยของคนไทยเป็นโลกุตระ อนุสัย มีทั้งโลกียะ และโลกุตระ เป็นอนุสัยที่ลึก แต่ของคนไทยถูกดึงขึ้นมา แล้วมันก็มีความจริง ความจริงที่มี คือคนไทยมีอนุสัยลึก มีโลกุตระฝังมา มีเชื้อ DNA สืบทอดอันนี้มา DNA เก่าแก่ของแต่ละตระกูลไทย มันก็ยังมีจริงๆ มันจึงออกมา เพราะอะไร เพราะการสอนโลกุตระ ก็อาตมาสอนอยู่คนเดียว คนไทยไม่มีแล้ว มันไม่ได้จากอาตมา มันได้จากของเก่า อาตมาไม่ได้ขี้ตู่นะ ว่าประชาชนคนไทยได้จากอาตมา ไม่ใช่ อาตมาไม่ตู่เอาหรอก มันเป็นธาตุเดิมของคนไทย พอในหลวงสวรรคต ก็เห็นของในหลวงได้ อาตมาก็ดีใจแล้วอุ่นใจแล้ว ก็ถึงบอกว่าเอาเถอะ คุณเห็นของในหลวงเห็นให้ดีเห็นให้เต็มเลย เท่านี้ก็พอใจแล้ว สันโดษแล้ว สรุปลงตรงนี้ การเมืองจึงไม่ต้องไปดูไบ แต่ดูไปอยู่ในเมืองไทยนี้แหละ จะเกิดแล้วก็เป็นไปตามควร มาสู่หนังสือคนจนที่มีแบบ (14) ชาวพุทธรวมพลังต่อยอด“ความจน”ให้เจริญวิเศษ จึงทำให้เกิดสังคมที่ต่างก็มีลาภโดยสุจริตเป็นธรรม(ลาภธัมมิกา) แล้วนำมารวมกัน กินใช้อาศัยบริโภคร่วมกันในการดำเนินชีวิต เป็น“สาธารณโภคี”รวมทุกคนทั้งสังคมชุมชนทั้งกว้างทั้งลึกเป็นเครือแห(ยิ่งกว่าเครือข่าย Pyramidal web)อันเป็นเศรษฐกิจขั้นเยี่ยมยอดเจริญสูงยิ่งได้สุดกว่าเศรษฐกิจแบบใดๆ เท่าที่มนุษยชาติสามารถทำได้ในโลก! สังคมคนหมู่ใด ประเทศใด ที่เป็นสังคมเศรษฐกิจ ขั้น“สาธารณโภคี” สังคมนั้นจึงเป็นตัวอย่างให้สังคมมนุษย์เผด็จการทุนนิยม แม้แต่ประชาธิปไตย และให้คอมมูนิสต์ เรียนรู้ และต้องศึกษาอย่างลึกล้ำสำคัญยิ่งยวด (15) “สาธารณโภคี”คือระบบสังคมที่มีเศรษฐกิจดีสูงสุด เฉพาะอย่างยิ่งประชาธิปไตย หรือคอมมูนิสต์นั่นแหละ แม้แต่เผด็จการ ถ้ามีสังคมชุมชนหมู่บ้านใดอยู่กันอย่าง“สาธารณโภคี”ได้จริง สังคมชุมชนนั้นเป็นสุดยอดแห่งประชาธิปไตย ยอดสุดแห่งคอมมูนิสต์ สุดยอดแม้เผด็จการ เพราะไม่มีระบบสังคมแบบไหนตรงตามเป้าสำคัญสูงสุดดีเท่า“สาธารณโภคี”อีกแล้ว “สาธารณโภคี”ทำให้การเป็นอยู่หรือระบบการปกครองมี“ผลดี”แก่สังคมมนุษย์ดีสุด เพราะ“สาธารณโภคี”เป็นสังคมที่คนแต่ละคนในสังคมชุมชนนี้ทำงานฟรี อยู่ในสังคม“สาธารณโภคี”นี้แล้ว แรงงานก็ดี ผลผลิตก็ดี ทุกคนยกให้ส่วนกลางหมด จึงเท่ากับคนในสังคมนี้เสียภาษีให้ส่วนกลาง 100 % การบริหารปกครองประเทศนั้นต้องการได้ภาษีจากประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้มากนั่นแหละ มาให้แก่ส่วนกลาง(สาธารณะ)หรือให้แก่รัฐ ที่เป็นจุดหมายสำคัญหลักของระบบเศรษฐกิจการเมืองทุกระบบ แล้วเชื่อมั่นกันว่า ผู้บริหารจะได้จัดการทรัพย์สินส่วนกลางนั้นสะพัดหรือเฉลี่ยออกไปสู่ให้คนทั้งสังคมได้มีอยู่มีกินทั่วถึงกันสงบสุข ไม่เดือดร้อน ไม่ก่อความวุ่นวาย (16) “สาธารณโภคี”คือระบบสังคมที่มีอิสระสูงสุด ซึ่งนัยะสำคัญยิ่งๆ ของความเป็น“สาธารณโภคี”นั้นผู้จะเข้าไปอยู่ในสังคม“สาธารณโภคี”นี้ต้องพอใจยินดี เต็มใจเป็นคนส่วนกลาง ยกแรงงาน ยกรายได้ ยกผลผลิตที่ต่างคนต่างอุตสาหะพากเพียรขวนขวายลงมือลงแรงทำหรือช่วยกันทำขึ้นในสังคม ได้เท่าไหร่ก็ให้ส่วนกลางทั้งหมด ไม่เอามาเป็นของส่วนตน โดยทุกคนมีอิสระเสรีเต็มที่แต่สมัครใจเอง ไม่ได้ถูกบังคับกดขี่เหมือนระบบคอมมูนิสต์ หรือเหมือนระบบประชาธิปไตย โดยเฉพาะยิ่งเผด็จการยิ่งไม่ใช่ใหญ่เลย ทุกคนยินดีพอใจระบบนี้ เป็น“ความอิสระ”ของทุกคนที่สมัครใจจะเข้ามาอยู่ในระบบ“สาธารณโภคี”นี้เอง คนที่ไม่มี“ปัญญา”จะ“ไม่ยินดี”มาเป็น“คนจน” คนที่มี“ปัญญา”จริงๆจึงจะยินดีมาเป็น“คนจน” ดังนั้น ระบบ“สาธารณโภคี”จะเกิดได้ก็ต้องมี“คน”หมู่หนึ่ง ประชากรจำนวนหนึ่งที่มีความยินดีในระบบดังกล่าวนี้รวมตัวกันขึ้นมา แล้วก็ทำอย่างนี้กันได้อย่างเป็นจริงยืนยัน เพราะสังคม“สาธารณโภคี”นั้น คนที่จะเอาชีวิตมาอยู่แบบ“สาธารณโภคี”ก็เป็นเรื่องของความเข้าใจอย่างดี และด้วยความสมัครใจของคนที่จะเข้ามาอยู่ในสังคมแบบนี้เองเป็น“ความอิสระ”เต็มที่ของตนเองทั้งนั้นทุกคน แม้ตนจะยังมีกิเลสอยู่ แต่มี“ปัญญา”เข้าใจและเชื่อมั่นของตนจริงๆ จึงเต็มใจตั้งใจมาเป็น“คนจน”เอง “อิสระ”แท้ ๆ (17) สาธารณโภคีคือ ระบบ“คนจน”ที่ไม่มีของตัวของตน นั่นคือ “สาธารณโภคี”นี้ตนเต็มใจเป็น“คนจน”เอง ด้วย“ปัญญา” ซึ่งเป็นความรู้ขั้นโลกุตระ ยินดีที่จะลงแรงมาก ทำงานหนักแท้ๆปานใดๆก็ไม่เอาค่าแรง ไม่เอาผลผลิตนั้นมาเป็นของตน ไม่แบ่งเอาอะไรเป็นของตนเลย เป็นคนไม่สะสมทรัพย์สินเป็นของตนแต่ยอดยิ่งขยัน(อปจยะแต่วิริยารัมภะ) ยินดีพอใจกับการมีน้อย(อัปปิจฉะ) สงบกายสบายใจ(ปวิเวกะ) เพราะเป็นคน“ไม่มีสวรรค์(อสังสัคคะ)” “นรก”จึงเกิดในคนผู้นี้ไม่ได้ เพราะคนผู้นี้“ไม่สะสมภพ-ชาติ”(อปจยะ)จึงไม่มี“ภพนรก-ภพสวรรค์”ขึ้นในจิตใจ ที่เจริญ“ปัญญา”แล้วจริง เพราะไม่ต้องการเป็น“คนรวย”(อัปปิจฉะ) จึงสมัครใจเป็น“คนมักน้อย”(อัปปิจฉะ) เต็มใจตั้งใจเป็นคน“กล้าจน,เอาเป็นของตนน้อยๆ ไม่มีของตนมาก”(อัปปิจฉะ)ด้วยปัญญาตน มีน้อยก็พอเพียง พอใจ ใจพอ(สันตุฏฐิ)เต็มปัญญาไม่ริษยาใครที่เขามีมาก ใจสงบ(ปวิเวกะ)ครบปัญญา เป็นคนหมดสวรรค์ จึงหมดนรกไปด้วย(อสังสัคคะ) ผู้หมดสวรรค์หมดนรกสำเร็จเป็นจริงนี้แล ที่เป็น“คนผู้ไม่มีตัวไม่มีตนหมดของตัวของตน”แท้ “จิต”มีคุณสมบัติ“เฉยๆ-กลางๆ”คือ จิตมีอยู่ แต่มี“ความรู้สึกกลางๆ เฉยๆ คือ อุเบกขาเวทนา”(ยังไม่สูญ) ชี้ที่“เวทนา”ไม่สุข-ไม่ทุกข์ ; ไม่มีสวรรค์-ไม่มีนรก เพราะจิตไม่ยึดเอาอะไรเป็น“ของตัวของตน”แล้ว ฉะนี้คือ ผู้หลุดพ้น ผู้“ไม่มีความมีของตัวของตน” นรกกับสวรรค์เป็นเหรียญอันเดียวกัน คุณมีอีกข้างหนึ่งก็ต้องมีอีกข้างหนึ่ง ไม่มีอีกข้างหนึ่งอีกข้างหนึ่งก็ไม่มี มันคู่กันมันเป็นเมถุนเป็นของคู่ อันนี้เป็นของเดี่ยว เข้าใจความเป็นของคู่กับของเดี่ยวนี้ให้ได้ ของเดี่ยวนี้มันสูญมันว่างเปล่า มันมีขึ้นมาเมื่อใดมันก็เป็นคู่กับไม่มี เพราะฉะนั้นใช้พยัญชนะเท่านั้นว่าไม่มี ความจริงมีอะไร มี “สูญ” มีอะไร มี “ไม่มี” (18) “เป็นกลาง”ในที่นี้ต้อง“กำหนดหมาย(สัญญา)”ให้ถูก “ความเป็นกลาง”ในที่นี้ตามปรมัตถสัจจะเจาะจงลงไปมุ่งเอา“เวทนา(ความรู้สึกหรืออารมณ์)”ต่างหาก“เป็นกลาง” ไม่ใช่“ปฏิปทา”เลย แปลว่า“ทางสายกลาง”ยิ่งผิด มัชฌิมา”แท้จริงตามคำตรัสของพระพุทธเจ้านั้นคือ“จิต-เจตสิก”ที่เจาะลึกละเอียดลงไปอีกได้แก่“เวทนา”เป็น“ความรู้สึกหรืออารมณ์”แท้ๆต่างหากที่“เป็นกลาง” อารมณ์กลางๆ เฉยๆ ไม่สุข-ไม่ทุกข์ มันว่างจากอารมณ์ที่มันชอบหรือมันชัง มันไม่ผลักหรือมันไม่ดูด มันไม่ไป“ข้าง(อันตา)”ไหนเลย คือ มันไม่มี“ข้าง” ไม่มี“อันตา(คือ ไม่มีข้าง,ส่วน,ปลาย,ฝ่าย,ด้าน,โต่ง,เหลื่อม)”ไปฝ่ายใดเลย ความรู้สึก ต่างหาก ที่มันอยู่“กลางๆ” ไม่มีนรก-ไม่มีสวรรค์ ไม่มีเรา-ไม่มีเขา ..ซึ่งไม่ใช่ไปหมายเอา“วิธีปฏิบัติหรือทางปฏิบัติ” และ“ทาง”(วิถี ใครจะเรียกว่า“สาย”ก็ไม่ว่า)หรือ“วิธีปฏิบัติ”ที่ภาษาบาลีว่า“ปฏิปทา”นั้น ก็ให้สำคัญมั่นหมายกันที่“ทิฏฐิ”ต่างหากที่ต้อง“สัมมาทิฏฐิ”ให้ดี นั่นคือทำ“ความเห็นให้ถูกต้องตรงกับวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงสอน” ไม่ใช่ไปหลงงมอยู่ที่“กลางๆ” หรือ“ความเป็นกลาง”หรือ“ทางสายกลาง” หรือมัวแต่ไปเดินเป็น“สาย”ให้อยู่“กลางทาง”ให้ได้ “เวทนาหรือจิต”ต่างหากที่ต้องทำให้“เป็นกลาง” ให้เป็น“มัชฌิมา” คือให้เป็น“อุเบกขาหรือไม่ทุกข์ไม่สุข”นั่นเอง หมายเอา“ความรู้สึก”แท้ๆที่ให้“เป็นกลาง” ไม่ใช่ทำ“วิธีปฏิบัติ”ให้“เป็นกลาง” และไม่ใช่ให้ทำ“เวทนา”ไปเป็น“ความตรงทาง” “วิธีปฏิบัติหรือทางปฏิบัติ”นั้นต่างหากที่ท่านให้ทำ“ความตรงทาง” ต้องทำ“ทางปฏิบัติ”ให้“ตรง”ให้“ถูกทาง” คือ“สัมมา” มิใช่ไปทำ“วิธีปฏิบัติ”ให้“เป็นกลาง”คือ“มัชฌิมา” “ปฏิปทา”คือ“วิธีปฏิบัติ” พระบรมศาสดาทรงให้“ทำทิฏฐิ”คือ“ความเข้าใจ”หรือความเห็นให้ถูกตรง คือต้อง“สัมมาทิฏฐิ” ซึ่งมันไม่ใช่“ความเป็นกลางของความรู้สึกหรืออารมณ์” ที่บาลีว่า“เวทนา”เลย อย่าสับสนไขว้เขวเป็นอันขาด พ่อครูว่า…หนังสือเล่มนี้ออกไป น่าจะเปิดศักราชใหม่ของอะไรหลายอย่าง (19) แยก“จิต”แยก“วิธีปฏิบัติ”ให้ถูก มิฉะนั้น“วิปลาส” แยก“ความรู้สึก,อารมณ์”ที่บาลีว่า“เวทนา”นั้นมันแตกต่างกันกับคำว่า“ความเข้าใจ”ที่บาลีว่า“ทิฏฐิ”ให้ชัดๆ ยิ่งเป็น“ความรู้สึกหรืออารมณ์(เวทนา)” กับ “วิธีปฏิบัติ(ปฏิปทา)” มันยิ่งแตกต่างแยกไปคนละชิ้นคนละอันกันเลย “ปฏิปทา”นั้นคือ“ทางปฏิบัติ หรือวิถีทางประพฤติ” เป็น“เหตุ” ที่พาไปสู่“ผล”ได้สำเร็จ จึงมี“ความรู้สึกเป็นกลาง” ซึ่งบาลีว่า “มัชฌิมา” อันหนึ่ง“เหตุ” แต่อีกอันนั้นมัน“ผล” “ผล”ที่มี“ความเป็นกลาง” มิใช่หมายเอาแค่“ปฏิปทา” แต่“ปฏิปทา”หรือ“ทางปฏิบัติ”นั้นมันเรื่องของ“การทำ” ซึ่งต้อง“สัมมาทิฏฐิ”ก่อน “ปฏิปทา”เป็น“เหตุ”ยังไม่ใช่“ผล” “มัชฌิมา”ต่างหากเป็น“ผล”คือเกิดอาการ“ความรู้สึกเป็นกลาง” ที่เกิดจาก“เหตุ”อันตนปฏิบัติ กำหนดกันให้ชัดๆ “ทิฏฐิ”ต้อง“สัมมา(ถูกตรง)”ก่อน แล้วจึงจะ“ปฏิบัติ”ให้ถูกตาม“ทิฏฐิ”นั้น “ผล”ที่เกิด“ความเป็นกลาง”จึงจะมีจริงได้ แม้แต่มี“สัมมาทิฏฐิ”แท้ๆมาก่อนแล้ว แต่ถ้าแม้น “ปฏิบัติ”ไม่”สัมมา”คือ ไม่ถูกต้องตรงตามความเข้าใจ กลับ “ปฏิบัติ”ผิดไป ไม่ถูกต้องตรงตามที่เข้าใจ มันก็“มิจฉาปฏิบัติ” เพราะประพฤติไม่ตรง ก็ไม่มี“ผล”ถูกต้องสำเร็จเป็น“จริง”ได้ (20) “ทิฏฐิวิปลาส”จึงมี“สัญญาวิปลาส”แล้ว“จิตวิปลาส” “ทิฏฐิ”จึงมาก่อน แล้วปฏิบัติตาม“สัมมาทิฏฐิ”นั้นจนกระทั่ง“จิต”ต่างหากที่สำเร็จเป็น“กลาง(มัชฌิมา)” ซึ่งจะไม่ใช่ไปหมายเอา“ปฏิปทา(วิธีปฏิบัติหรือทางหรือวิถี)”โน่นที่เป็น“กลาง”ซ้ำไปแปลว่า“ทางสายกลาง” ให้เขวไปว่า “ทางหรือวิถีปฏิบัติ”ที่เป็น“กลาง”เสียเอง มันก็เลยหลงเข้าใจผิดกันไปว่า “มัชฌิมาปฏิปทา”หมายเอาแต่“ทางเดิน”หรือ“วิธีปฏิบัติ”เท่านั้นที่เป็น“กลาง” ไม่มีอะไรเกี่ยวกับ“จิต,เวทนา”แล้วไปอธิบายกันว่า “มัชฌิมาปฏิปทา” คือ “ทางสายกลาง” คนก็กำหนดหมายเอาแค่“ทาง”เท่านั้น ที่เป็น“กลาง” ก็เลยไม่ไปถึง“จิต”หรือ“เวทนา”กันสักที หลงเพี้ยนไปอธิบายกันอยู่แต่กับ“ทาง”ว่าเป็น“กลาง” ก็ยึดกันได้แค่“ทาง”เท่านั้น งมง่วนวนวุ่นอยู่กับ“ทาง”กับ“สายแห่งทาง”กันอยู่แค่นั้น ไม่ถึง“จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน” เช่น อธิบายว่า “การปฏิบัติต้องเป็นกลาง” เหมือนดัง“พิณ 3 สาย” ต้องขึงให้ตึงทั้ง 3 สาย จึงจะได้เสียงที่ถูกต้อง รู้ว่า สายไหนเสียงต่ำ สายไหนเสียงกลาง สายไหนสูง นั่นมัน“การเปรียบเทียบ” ไม่ใช่“การมุ่งหาความจริง” ซึ่ง“ปรมัตถสัจจะ”ไม่ใช่มีแต่“สมมุติสัจจะ” มันต้องมีทั้ง 2 ถ้า“สัจจะ”ไม่ครบ มันก็จะได้“ความวิปลาส”ไปเป็นลำดับ นั่นคือ ได้“ทิฏฐิวิปลาส”ก่อน แล้วก็ไปกำหนดหมายเป็น“สัญญาวิปลาส”ตามมา สุดท้ายก็กลายเป็นคน“จิตวิปลาส” เป็นผู้มีครบ“วิปลาส 3” สมณะฟ้าไท สรุป…จบ Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin20 พฤษภาคม 2018Tags: พ่อครูสมณะโพธิรักษ์วิถีอาริยธรรมสมณะโพธิรักษ์ Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:610518_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ คนจนที่มีแบบ ตอน3NextNext post:610521_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาพาให้สุขภาพดีด้วย 8 อ.Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024