610613_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ผ่าความจริงของอรหันต์เดาอรหันต์เก๊
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1Jh3oP2HGBXD9QVFWhMy1SaXtcPUfE7vQf1k8A89g32k
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1txGPr1svBlsLNr4N3QSp33FJJFjoM02D
ดูยูทิวป์ได้ที่…
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 13 มิถุนายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ผ่านงานอโศกรำลึกได้ 2 วัน เป็นงานรวมตัวภายในของชาวอโศก เราปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารก็เป็นความร่วมมือของชาวอโศกทุกๆชุมชน มาช่วยกันปลูกอ้อยกล้วยต้นไม้ ปลูกข้าวเป็นนาส่วนกลางชาวอโศก แต่การทำนาก็ยังไม่เสร็จเพราะมีต้นกล้าที่จะทำนาอีกเยอะ ใครจะมาช่วยกันปลูกก็เชิญ
ตอนนี้ในกระแสสังคม การเมืองก็ร้อนแรง เรื่องพระก็ร้อนรน หากพูดถึงการเมืองกับเรื่องของพระเขาก็จะเอาไปรวมกัน พูดพาดพิงพวกเรานิดหน่อย
การเมืองเป็นการเสียสละเพื่อประชาชน คุณสมบัติของคนไปทำงานการเมืองต้องมีอิสระเสรีภาพ เป็นคนที่ไม่มีตัวตน ประชาชนก็ต้องมีศีล การเมืองของไทยตอนนี้เป็นการเมืองที่ดีที่สุดในโลก ตอนนี้ในโลกก็มีการจับมือของคิมจองอึนกับโดนัลทรัมป์
ค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า
“เดือนแห่งวัสสาพาพ้นทุกข์”
ครั้งที่ 29 ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก
ศุกร์ที่ 15 – อาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน 2561
รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้)
สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ
โทรฯ คุณชญาดา 087-4437865
สมัคร online ได้ที่ inbox เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP
พบกับกิจกรรมตามมรรคมีองค์ 8 พบกับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีที่จะพาคุณสู่ “ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น”(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) อันจะพาไปสู่ความบริสุทธิ์จนถึงสัมมาวิมุติ
พ่อครูว่า…
_บ้านเล็ก เมืองน้อย….กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง
ขออนุญาตช่วยอธิบายถึงสาเหตุที่ว่า ” เมืองไทยมีแต่อรหันต์เดา พูดบอกไม่ได้ ”
พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่าสามารถบอกได้ ภิกษุด้วยกันผู้ปฏิบัติธรรมด้วยกัน เห็นเองว่าใครเป็นอรหันต์แล้วก็บอกกันได้ เมื่อชัดเจน ก็มีพระวินัย ว่ามีสติวินัย ต้องยกไว้เลยว่าอรหันต์ไม่มีผิดวินัย เพราะถ้าเป็นอรหันต์จริงท่านมีภูมิพอ มีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 พระพุทธเจ้ามีทั้งพระวินัยและแบบอย่างไว้หมด แต่คนไม่รู้
ก็ได้แต่อวดดีสู่รู้ตู่กันไปตู่กันมา เป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติของคนก็เลยเกิดเป็นเช่นนั้นไม่มีปัญหาอะไร ก็เลยน่าสงสาร อาตมาจะได้อธิบายเพิ่มเติมว่าทำไมอาตมาต้องบอก
ส่วนหนึ่งในนิยามของความเป็นผู้ดี ถูกกำหนดว่า ผู้ดีต้องไม่ว่าใคร เป็นคนดีต้องไม่บอกว่าตัวเองดี ใครบอกว่าตัวเองดี จะกลายเป็นอวดตัวอวดตน ไม่ใช่ผู้ดี
ถ้าอยากเป็นผู้ดีก็ต้องตามนี้ นี่คือการออกแบบค่านิยมที่เป็นตัวควบคุมความคิดและกำหนดพฤติกรรมของสังคม
หรืออีกนัยหนึ่งคือการควบคุม Demand-Supply ให้เป็นไปตามที่ต้องการ
ยกตัวอย่างการออกแบบค่านิยมในงานศิลปะ(ทางโลกียะ)
Art Dealer คือนายหน้าผู้ค้างานศิลปะ
ลูกค้าก็คือเศรษฐีที่ไม่มีแม้แต่ศิลปะในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น แต่ชื่นชอบในการสะสม ซึ่งมีเป้าหมายอยู่ที่การค้ากำไร
ผลงานที่จะโก่งราคาได้สูงจึงต้องมีอยู่ชิ้นเดียว และศิลปินเจ้าของผลงาน ได้ลาโลกไปแล้ว
ตามเงื่อนไขเหล่านี้ Art Dealer จะเป็นผู้รวบรวมสินค้าไว้เป็น Collectionให้เหล่าเศรษฐีไว้ทำกำไรกัน
ผู้คนทั่วไปก็ตกเป็นเหยื่อของค่านิยมเช่นนี้ จนเกิด Demand-Supply กลายเป็นผู้มีส่วนร่วม รับรองการตีมูลค่างานศิลปะไปโดยไม่รู้ตัว
ศิลปินที่เดินตามระบบ ผลิตผลงานออกมาอย่างสม่ำเสมอ จะถูกหมายตาไว้ ถูกซื้อผลงานไว้เก็งกำไร โดยสะสมไว้อวดโชว์กันเป็นเฟอร์นิเจอร์
และเมื่อศิลปินผู้นั้นลาโลกไป มูลค่าก็จะสูงขึ้นหลายสิบเท่า และหลายร้อยเท่าถ้าเลี้ยงดูปูเสื่อพวกนักวิจารณ์งานศิลป์ทั้งหลายดีๆ
ทั้งหมดนี้ถูกควบคุมด้วยค่านิยมที่ออกแบบมาอย่างแยบยล
ลองคิดดูเล่นๆว่า ถ้าศิลปินแกล้งตาย เพื่อรอให้มูลค่าผลงานของตัวเองสูงขึ้นมากๆ แล้วค่อยเผยโฉม ผลิตผลงานเพิ่มออกสู่ตลาด อะไรจะเกิดขึ้น?
แล้วจะเป็นอย่างไร? ถ้าศิลปินที่แกล้งตาย นำผลงานเหล่านั้นมาแจกฟรี…….
ผลที่จะตามมาคือ Demand-Supply ที่ควบคุมไม่ได้ !!!
ความกลัว ที่จะควบคุมไม่ได้นี้เอง คือที่มาว่า ทำไมผู้มีอำนาจ จึงไม่ปล่อยให้ผู้ใด ประกาศตนเป็นผู้บรรลุธรรมด้วยตนเอง
และจะทำทุกวิถีทางเพื่อสกัดกั้น ทำลายการยอมรับนับถือ เมืองไทยจึงมีแต่อรหันต์เดา
หากมีบุคคลผู้ไม่เดินตามระบบ ไม่ยอมผ่าน Dealer ถึงแม้จะถูกตรง จริงแท้ เพียงใด ก็ยากที่จะได้รับการเหลียวแลจากคนส่วนใหญ่ในสังคม
อรหันต์เดา จึงเป็นสินค้าไว้ป้อนแก่ผู้งมงาย เป็นเรื่องของผู้วิเศษมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ที่ไม่มีอยู่จริง
และเป็นการแอบอ้างถึงผู้ที่มรณภาพไปแล้วเท่านั้น
เพราะหลักประกันความปลอดภัยที่สร้างความมั่นใจที่สุดแก่ผู้มีอำนาจ คือ ความเหลวไหล และคนตายที่พูดไม่ได้
พ่อครูว่า…อาตมาไม่แคร์ว่า ใครจะว่าอาตมาเป็นอรหันต์หรือไม่ อาตมายืนอยู่บนฐานของความจริงอย่างเดียว และก็แสดงยืนยันทุกอย่างไม่มีเล่ห์เหลี่ยมไม่มีความเอียงอาย ไม่มีความเก้อเขิน ไม่มังกุ ไม่สะทกสะท้านอะไรเลย ไม่มีอะไรแฝงซ่อน มีแต่ความจริงใจปรารถนาดี มีแต่ความต้องการให้รู้ว่านี่คือความจริงๆๆๆ จริงๆๆๆ จบด้วยความจริง
ก็น่าจะขยายความหลายประเด็น
ยกตัวอย่างศิลปิน ศิลปะมาประกอบก็ผ่านไป เอาเข้าเนื้อว่าทำไม?โลกนี้ จึงอยู่กับความเหลวไหลกับอรหันต์เดา และอยู่กับอรหันต์คือคนตายที่พูดไม่ได้ หากคนเป็น จะยืนยันว่าตนเองเป็นอรหันต์ไม่ได้ ไม่ได้ อรหันต์ต้องตายแล้วพูดไม่ได้ คืออรหันต์ คนตายไม่รู้หรอก แต่ให้คนอื่นมาตีราคาว่าเป็นอรหันต์ได้ ถ้าคนเป็นอยู่คืออรหันต์เดา
อรหันต์แท้ บอกคนอื่นไม่ได้ จนผู้รู้ตีความว่าผู้บอกว่าตนเองบรรลุธรรมคือผู้ไม่บรรลุธรรม อาตมาก็ไม่รู้ว่า ไปเอาเหตุผลหลักเกณฑ์หลักการแบบนี้มาจากไหน เอาอะไรมาตัดสินอย่างนี้กัน
อาตมายืนยันว่า อาตมาเกิดมาในชาตินี้อาตมาเป็นคนที่ไม่เหมือนใคร เป็นคนแปลกประหลาดพิสดาร เป็นคนที่ ภาษาอังกฤษว่า Untouchable คนไม่เข้าใกล้ ถ้าไม่ดีก็คือ อย่าไปใกล้เลยทิ้งห่างให้ไกลเลย น่าเกลียดน่าชัง แต่ถ้าเป็นคนสูงสุดจริงก็อย่าไปวิจารณ์ท่าน ถ้าเป็นคนที่นับถือสูงสุดแล้วแตะไม่ได้ วิจารณ์ไม่ได้ว่าไม่ได้เลย ซึ่งเขายกให้สูงมากเลย สูงจน พูดตรงนี้แล้วก็นึกถึง คิมจองอึน แม้แต่ขี้ไปขี้ที่ไหนก็ต้องขนกลับบ้าน สุดยอด อย่าว่าแต่เอาขี้กลับบ้านเลย สถานที่ขี้ต้องหอบเอาไปด้วย เกิดมาในโลกนี้ 84 ปีเพิ่งเคยเห็นคนแบบนี้มีในโลกด้วย จะเห็นได้ว่า ศักดินาของพวกคอมมิวนิสต์ ต้องแรงและสูงขนาดนั้น ยิ่งกว่าเรื่องของสถาบันกษัตริย์อีก
ค่านิยมของคนหรือความยอมมันสร้างได้อย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้นการสร้างอำนาจให้แก่ตัวเอง โดยวิธีการใช้ทุกอย่างเลย จนสุดท้าย เป็นคนมีอำนาจแบบนี้ ไม่ว่าคนในยุคไหน ก็ล้วนแล้วแต่อยากเป็นเช่นนี้ ขออภัยยกตัวอย่างตัวเอง อาตมารังเกียจ และอาตมาจะไม่ทำการให้ใครมายกย่องเคารพเชิดชู อาตมาไม่แคร์ใครจะหาว่าต่ำต้อยเลวทรามยิ่งกว่า Untouchable ขนาดไหน ใครจะกดว่าอาตมาต่ำต้อยขนาดไหนก็ไม่ว่า
อาตมาจริงใจมีสิทธิ์พูดความจริง อาตมาได้คัดเลือกมนุษย์ ที่มีความรู้เองเป็นของตนเองเฉลียวฉลาด ว่าอันนี้คือสุดยอดความรู้ เขาจะรู้ว่าอาตมามีความรู้อันนี้ เพราะฉะนั้นอาตมาแสดงออกไปอย่างไม่แคร์อะไรอย่างนี้ มันเท่ากับเป็นการคัดเลือกคนให้ใช้ปัญญาของตนเอง ใช้ปัญญาอย่างสุดยอด จึงเป็นการ screen ผู้คนเข้ามาได้อย่างนี้ อาตมาก็สบาย เพราะได้คนที่ผ่านเข้ามาผ่านการกรองผ่านการคัดเลือกด้วยสัจจะ มาแล้ว ถึงไม่ได้เดือดร้อนยุ่งยากในการทำงาน
เพราะคนที่ไม่มีปัญญาไม่เข้ามาที่นี่หรอก เพราะฉะนั้นคนมีปัญญาจึงเป็นคน สุภระ สุโปสะ แล้วก็มาทำให้เกิด วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
เป็นคนจนนั้นดีที่สุดในโลก ไม่ใช่เป็นคนเกียจคร้าน ผลาญพร่า ประพฤติเลว แต่เป็นคนจนที่ประพฤติดีเยี่ยมยอดด้วย
เลี้ยงง่าย อยู่ง่าย กินง่าย ไปง่ายมาง่าย พัฒนาอบรมฝึกฝนกันได้ง่ายทุกวันทุกวัน เป็นนักเรียนที่ดีใส่ใจศึกษา คนใส่ใจมากก็ได้มาก เป็นคนใคร่ศึกษา เป็นคนสันโดษใจพอ อาตมาภาคภูมิใจที่ให้พวกเรามาไม่ต้องมีทรัพย์สิน ทำงานฟรีไม่ต้องได้เงินทองแลกเปลี่ยนเลยคุณก็พอ ชีวิตพอ ทำงานฟรีไม่ต้องมีรายได้ตอบแทนอีกแล้ว ทำแล้วก็สร้างสรรร่วมกันกินร่วมกันใช้ในสังคมนี้ สบม.ทมด.ปกต.หห.จจ.อาตมาทำงานนี้สำเร็จ มีของจริงไม่ใช่พูดลอยลม ได้พิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าถึงที่สุด
สมัยพระพุทธเจ้านั้นสาธารณโภคีเกิดไม่ได้ในหมู่สังคมฆราวาส เพราะเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์คนเป็นทาส เขาไม่มีอิสระเสรีภาพ เขาไม่รู้จักสิทธิมนุษยชนด้วย ฆราวาสทำไม่ได้ ก็เอาคนที่อิสระ พระพุทธเจ้าก็ประกาศลัทธิของท่าน ประกาศกฎเกณฑ์ของท่านใครจะมาอยู่ในจารีตกฎเกณฑ์นี้ ก็มาเองอย่างอิสระ ไม่ได้บังคับล่อหลอกหว่านล้อมอะไรให้ใช้ปัญญาเลือกเฟ้น ศึกษาและมาเป็นเอง พระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่ในยุคโน้น ท่านก็ไปตามระบบของท่านมีลัทธิของท่านแบบของท่าน คนจะมาเข้ารีตมาเป็นคนของท่าน จากแคว้นไหนประเทศไหนไปที่ไหนในทวีปอินเดีย สมัยโน้นเขายกให้หมดเลย ประเทศที่ใหญ่ที่สุดคือแคว้นโกศล แคว้นมคธ เลยประกาศได้ทั่วเลยในทวีปนั้น การคมนาคมยังไม่ได้ออกนอกทวีป ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ไปทั่วโลกเลย ท่านประกาศเองหรือมีธรรมทูตไป แต่ก็มีธรรมทูตออกมาจากประเทศอินเดีย ทวีปอินเดียออกมาสู่เอเชีย ไปสู่ยุโรป
สรุปแล้วพระพุทธเจ้าเป็นคนที่รู้ความเป็นมนุษยชาติ กับความเป็นสังคมที่สุดยอดแล้ว เป็นความเป็นมนุษย์และเป็นความสุดยอด เช่น อย่างชาวอโศกเป็นมนุษย์สุดยอดของสังคม ขออภัยที่พูดอย่างไม่เหนียมอาย ขออภัยคนที่คิดว่าการยกตัวตนเป็นคนไม่ดีไม่ยิ่งใหญ่ คนมีปัญญาฟังก็เข้าใจ คนถือสาฟังก็อาจจะมี อาตมาไม่แคร์ทั้งหลักเกณฑ์กฎเกณฑ์อะไรทั้งนั้น เพราะในยุคนี้ 1. มีอิสระเสรีภาพที่สุด 2. เป็นยุคที่มีความเจริญความฉลาดมากเพียงพอ สูงแล้ว ยุคนี้คนโง่ตกเป็นทาสในสังคม คนฉลาด แม้ฉลาดเฉโก ก็เป็นนาย ทุกวันนี้มีนายมีทาสที่ซ้อนแฝงหลอกกันเท่านั้นเอง อาตมาไม่มีจริตในการหลอกเลย มีแต่เปิดเผยความจริง ไม่มีมุมซ่อนแฝงที่จะปิดบังความจริง เปิดเผยความจริงทั้งหมด โต้งๆเลย ไม่เหลืออะไรที่จะปิดบัง
อาตมาจึงเป็นคนที่พูดตรงไม่เสียเวลาไปแวะ พูดเปรี้ยงๆๆๆ เลย ฟังได้ก็ฟัง ฟังไม่ได้ก็ต้องฟังเพราะได้ยินไปแล้ว อาตมาเกิดมาในยุคนี้นั้นสุดๆแล้ว แสดงอะไรสุดๆ ไม่มีอะไรต้องบันยะบันยัง เพราะคนเราจริงๆแล้วลึกๆต้องการความจริงสุดๆใช่ไหม ต้องการความรู้สุดๆใช่ไหม ต้องการความจริงสุดๆใช่ไหม อาตมาจะต้องไปยึกยักกั๊กไว้ทำไม
คนที่มั่นใจว่านี่คือความรู้ที่ใช่ คนที่มีปัญญาที่จะพิจารณาเอาความจริงให้แก่ตัวเอง เขาก็มาเอา อาตมาจึงได้ลูกค้าจำนวนหนึ่งที่มีความเจริญฉลาด ลูกค้าที่โง่ไม่รู้เรื่องสอนยากก็ไม่มา มีแต่ลูกค้าที่สอนง่าย จึงเจริญได้ พาให้เป็นคนชนิดนี้เป็นคนอาริยะ
อาตมาประกาศไปแล้วว่าชุมชนชาวอโศกเป็นชุมชนพระศรีอารย์เป็นชุมชนแผ่นดินพุทธ ประกาศไปแล้วอย่างไม่ยึกยักไม่มังกุอะไรเลย เต็มๆ ประกาศไปอย่างบริสุทธิ์สุดๆ
และความจริงอันนั้นก็ปรากฏ ปรากฏอยู่ในสังคมมนุษย์โลก โลกยุคนี้ ในปัจจุบันนี้อาตมาก็ขอพูดความจริงอย่างเปิดอกว่า
นี่แหละคือมนุษย์สูงสุด มนุษย์เจริญ civilized สูงสุดแล้ว จนเป็นสังคมกลุ่มหมู่ที่มีพฤติกรรมชีวิต อย่างนี้ เป็นคนมีวรรณะ 9
ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) มีเท่าไหร่ก็เอามารวมกับกองกลางเป็นสาธารณโภคี ซึ่งเป็นระบบที่สูงส่งที่สุดในโลก คอมมิวนิสต์ก็ต้องการอย่างนี้ ประชาธิปไตยก็ต้องการอย่างนี้ได้เอาเข้ากองกลางให้แก่ประชาชนมากที่สุด และเอาให้มากที่สุดจากสมาชิกในชุมชนในสังคม ชาวอโศกมีสมาชิกในสังคมนี้ทุกคนอยู่ในนี้ มีเท่าไหร่ก็เอามาไว้กองกลางหมด แล้วมันจะเหลือเป็นของตัวตนที่ไหน ไม่ได้สะสมเป็นของตัวตนเลยเป็นที่สุดแห่งที่สุดแล้ว
แม้แต่พระพุทธเจ้าจะมีสเปกเอาไว้ว่า Specification ว่า ผู้ที่ทำงานอาชีพสูงสุดจะต้องทำงานอาชีพที่ทำงานฟรี ไม่เอาอะไรแลกกับคืนมาเลย
แม้แต่การแลกเปลี่ยนของแลกของหรือเอาไปตีราคาเป็นเงินก็ไม่มี ทำงานฟรี สูงสุดแล้ว สัมมาอาชีพพ้นมิจฉาชีพ สูงสุดคือคนทำงานฟรี ในความเป็นสัมมาอาชีพสูงสุดของคนและสังคม ในสังคมไหนมีการทำงานให้ฟรี ไม่มีการแลกเปลี่ยนตีราคาของหรือแรงงาน ไม่มี แจกฟรีหมด แจกกันไปแจกกันมาให้กันไป เผื่อแผ่กันไปเผื่อแผ่กันมา เกื้อกูลกัน เป็นสังคมที่สุดสุดแล้ว
สมาชิกในสังคมนี้จึงเป็นสังคมตัวอย่างของโลก พูดอย่างไม่แคร์ไม่เหนียมอายไม่กั๊ก พูดความจริงเต็มสุดๆตัวเลย เปิดเผยโป๊เปลือย อย่างไม่เหลืออะไรซุกซ่อนปิดบังอำพรางเหนียมเลย ไม่มีจริตความจริงแบบนั้นไม่เหลืออะไรเลยเปิดหมด
เพราะฉะนั้นใครอยากจะมาดูมนุษย์สูงสุด อยากจะมาดูสังคมของมนุษย์สูงสุดมาที่อโศกนี่ ขออภัย วันนี้พูดใหญ่เหลือเกิน ใหญ่ยิ่งกว่า โดนัลด์ทรัมป์ คิมจองอึน หรือใหญ่กว่าทักษิณอีก
สมณะฟ้าไทว่า..มั่นใจมีรูปธรรมชัดเจน
พ่อครูว่า…อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาแสดงอธิบายให้ละเอียดยิ่งกว่าผุยผงอีก ขนาดนี้มีใครจะมาอธิบายอย่างนี้ ขนาดเป็นอรูปเป็นนามธรรมก็อย่างละเอียดเข้าไปอีก คนฟังก็เลยอาจจะไม่รู้ว่าในหัวอันไหนหางอันไหนตีนสับสนกันได้ อาตมาก็เห็นใจแต่ว่าจะต้องพูด ก็ในยุคนี้ เป็นยุคที่ต้องพูดต้องแสดงต้องเปิดให้หมด มันยังเหลืออีกอย่าว่าแต่เปิดก็เปิดอีกยังเหลืออีก ก็จะเกิดแล้วเปิดอีก หรือยังไม่รู้ก็จะเกิดแล้วเปิดอีกจนกว่ามั่นใจว่าจะได้แล้ว เปิดเผยสัจธรรมพอแล้ว เนื้อหาสัจธรรมนี้ มีที่จะให้มนุษย์สื่อสารสืบทอดต่อไปจนกว่าจะถึงครบ 5000 ปีของศาสนาพระพุทธเจ้าหมดหน้าที่แล้วก็ค่อยมา
แต่ยังไม่พอยังเผื่อพออยู่ในขณะนี้ อาตมาก็ยังจะต้องคิดว่าจะเกิดอีกหรือไม่เกิดอีก ด้วยความจริงเกิดมาในชาตินี้ก็พอแล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ถึงขนาดนั้น ยังต้องการจะเกิดต่อ บอกได้ ตายชาตินี้แล้วจะเกิดมาอีก เพราะไม่เชื่อว่าตัวเองจะมีฝีมือปลูกฝังจนกระทั่งแข็งแรงมั่นคงถาวรแล้ว อย่างนี้นำพาไปได้ อาตมาไม่เชื่อว่าตัวเองจะเก่งขนาดนั้น ขนาดอาตมายังไม่เชื่อตัวเอง
สมณะฟ้าไทว่า…แสดงว่า จะเกิดมาดูว่าไปได้หรือเปล่า
พ่อครูว่า…ได้ เป็นโพธิสัตว์ก็เกิดมาดูว่า ธรรมะพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าดำเนินไปดีแน่นะ สุคโตนะ ไปรอดแน่นะ แล้วเราก็ไม่ต้องไปเปิดเผยตัวอะไร ไม่มีใครจะมาประเมินเราได้ เราต้องมาประเมินของเราเอง เพราะเราสูงหรือยิ่งใหญ่เกินกว่าใครที่จะประเมินได้ อาตมาต้องมาประเมินเอง
พูดไปเขาว่าคุยโม้ ก็มาลงที่อรหันต์เดา อาตมาสงสารจริงๆ อรหันต์เดา หากใครชัดเจนสิ่งเหล่านี้ที่มีอยู่จริงในสังคม มันน่าสงสารที่มีแต่อรหันต์เดาและหลอกกัน หรือหลงว่าตัวเองเป็นอรหันต์ เขายกย่องเป็นอรหันต์ก็เลยรับสมอ้างเลย แต่เขาไม่มีความรู้จริง อาตมาก็เลยต้องมายืนยันว่าอย่างนั้นไม่ใช่อรหันต์ อย่างนั้นมันเสียของพระพุทธเจ้าเลย ไปบอกว่าคนนี้เป็นอรหันต์อย่างนั้นมันไม่ใช่ ยกตัวอย่าง
อย่างธัมมชโย เข้าไปยืนยันว่าเขาเป็นสุดยอดอรหันต์เป็นต้นธาตุต้นธรรมด้วย แล้วคนไปหลงเชื่อก็ฉิบหายใหญ่เลย อาตมาก็ต้องมา ฉีกชี้ ยืนยัน มีหลักฐานจากพระไตรปิฎกหรือจากที่ไหนรับรองก็เอามายืนยันอ้างอิง อาตมาถึงอยู่รอดเพราะอาตมามีพระไตรปิฎกเป็นหลักยืนยันได้ ยังดีว่าในสังคมไทยยังยอมรับ คนที่ไม่ยอมรับก็ไม่เชื่อฟังไม่นับถือแม้จะอ้างอิงอะไร
แต่อาตมาอ้างอิงยืนยันตามพระไตรปิฎกและแสดงธรรมะตามพระไตรปิฎกที่มีอ้างอิงยืนยันตลอด เขาจะยิ่งเห็นจริง เช่น อาตมาเอาคำสอนพระพุทธเจ้า ไม่ว่าแม้แต่แค่บาลีแต่ละคำ สูตรแต่ละสูตร ไม่ว่าจะเป็นขยายคำแต่ละคำ แต่ละสูตรแต่ละสูตร อาตมาก็ว่าอาตมาขยายละเอียดลออ
ยกตัวอย่างง่ายๆ คำว่าสมาธิ มีใครขยายสมาธิขนาดอาตมา แม้แต่ในประเด็นว่าสมาธิไม่ใช่ฌาน มีนัยยะแตกต่างกันของฌานกับสมาธิ ฌานคือภาคที่ปฏิบัติ สร้างพลังงานอุณธาตุไปล้างไฟ ราคะโทสะโมหะ
ไฟที่ชื่อว่าฌาน มันเป็นพลังงานที่มีฤทธิ์อำนาจ หากถูกต้องเป็นไฟฌานจริง ก็จะสลาย ไฟราคะโทสะโมหะได้ ฌานมีพลังงานมากจริง ราคะโทสะโมหะก็หมดได้
อรหันต์ชำระ ราคะโทสะโมหะได้เป็นผู้ที่ชำระกิเลสได้เก่ง สร้างฌานมาเผากิเลสได้สำเร็จจึงเกิดเป็นบุญ เป็นการทำลายราคะโทสะโมหะให้สูญสิ้นไปเลย ไม่เกิดอีกเลยดับสนิทเลย ไม่เวียนวนกลับเลย “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”
มีใครนำพยัญชนะและหลักฐานมายืนยันอ้างอิงอย่างเช่นอาตมาบ้าง แม้แต่คนอื่นเขาก็อ้างอิงหลักฐาน ก็ให้มาเทียบกันเลยว่าอันนั้นผิดอันนี้ถูก เช่น อรหันต์ที่นี่ถูก อรหันต์ที่อื่นผิด อนาคามีที่นี่ถูก อนาคามีที่อื่นผิด สกิทาคามี แม้แต่โสดาบันเขาก็มั่วหมดแล้วไม่ได้มีรายละเอียดเลย พูดกันว่าปฏิบัติธรรมทุกวันนี้ต้องอรหันต์ เป็นนิพพานไปเลย เขาดึงอรหันต์มาใช้กับพระโสดาบัน เลยราคาพระอรหันต์มาอยู่ที่โสดาบัน เขาไม่รู้ว่าอรหันต์กับโสดาบันต่างกันไม่รู้เท่าไหร่ ก็ตีราคาอรหันต์=โสดาบัน คือโสดาบันเขาเป็นกันไม่ได้ ก็เลยบอกว่าเป็นโสดาบันก็สุดยอดแล้วคืออรหันต์อันเดียวกัน มันน่าสงสารมากกว่า ก็เลยเหนื่อยก็ไม่ยอมเหนื่อย เมื่อยก็ยังไม่ยอมเมื่อย คำที่คุณจำลองพูด เหนื่อยเราก็ไม่เหนื่อย เมื่อยเราก็ไม่เมื่อยเราไล่ไปเรื่อยๆ เราไม่เมื่อยเราไม่เหนื่อย เขาก็กลบเกลื่อนประโลมใจไม่งั้นท้อถอย
ก็ทำงานสำเร็จมา แวะเข้าหาการเมืองหน่อย
ทุกวันนี้การเมืองอาตมาไม่ได้พูดอย่างเล่นลิ้นไม่ได้พูดอย่างโง่ๆ เช่นที่พูดว่า ประชาธิปไตยของไทยนี้สุดยอดในทุกวันนี้ เขาบอกว่าไม่เลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตยเขามีความรู้อยู่แค่นี้ ถ้าไม่ใช่การเลือกตั้งบุคคลเข้าไปในสภา ไม่ว่าจะเป็นสส.เป็นนายก เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นตำแหน่งบริหาร ถ้าไม่ใช่เกิดจากต้นทางที่ให้ประชาชนได้เลือกตั้ง ประชาชนเป็นคนตั้งนายกเองบางประเทศ หรือตั้งคณะครม.ก็แล้วแต่วิธีแตกต่างกันไป
เมืองไทยขณะนี้ บริหารเป็นประชาธิปไตยอย่างได้สัดส่วนที่ดีที่สุด อาตมาพยายามนิยามความเป็นประชาธิปไตยอย่างสูงส่ง ความเป็นประชาธิปไตยประเด็นที่ 1. คืออิสระเสรีภาพ ประเด็นที่ 2. คือไม่มีอัตตา ประเด็นที่ 3.คือมีความรู้ทางจิตวิญญาณ
เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยขาเดียวจะไม่ค่อยมีความรู้ทางจิตวิญญาณ เรียกว่าสุกเอาเผากินกันไป เขาจะคำนึงถึงเรื่องจิตวิญญาณน้อย เห็นตัวอย่างได้ อย่างเช่นโดนัลด์ทรัมป์ เขาไม่แคร์จิตวิญญาณใครเลย เขาใหญ่ เขาถึงบอกว่า American First ต้องใหญ่ที่สุดในโลก ไม่เหนียมอายเลย พูดออกมาอย่างจริงใจด้วยนะ คือ เป็นคนบ้าระห่ำ มารยาทสังคมไม่มี
เพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่าในประเทศไทยมีผู้บริหารที่มีนายกตู่อยู่ขณะนี้ พูดไปแล้วก็หาว่าอาตมาไปเชียร์นายกตู่ คนหลายคนก็บอกว่าโพธิรักษ์มีคะแนนลบอยู่ในสังคม อย่าไปเชียร์นายกตู่ทำให้คะแนนนายกตู่ลดลง อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็มันจริงใจที่จะเชียร์ด้วยความจริงใจก็ขอหน่อยเถอะน่า ขอเชียร์ด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงใจหน่อยเถอะ
นัยยะของความเป็นอิสระเสรีภาพขณะนี้ ไม่ว่าจะให้อิสระเสรีภาพทางด้านสื่อสาร ทางด้านพวกบ้าบอ ประท้วงอย่างโน้นอย่างนี้อยู่ ทั้งๆที่เอากฎหมายขู่มันก็ไม่กลัว จะทำรุนแรงก็ไม่ได้ จนให้อิสระเสรีภาพ จนไม่มีที่ไหนให้อิสระเสรีภาพสูงขนาดนี้หรอก หรือพวกอยากได้อำนาจมันแสดงออกมาอย่างโน้นอย่างนี้ หากเป็นประเทศอื่นก็ถูกจับขังคุกแล้วมันเว่อร์เกินไป
อิสรเสรีภาพในประเทศไทยขณะนี้ จึงสมบูรณ์แบบแล้ว การที่ไม่มีตัวตนคือไม่ยึดตัวเองเป็นใหญ่ นายกตู่ก็ทำได้อย่างประมาณได้สัดส่วน ชอบที่ลีลา นัจจะ คีตะ วาทิตะ เหลือกิน ท่าทีลีลาแสดงคำพูดและแสดงน้ำเสียง คำพูดบางทีโอ้โห ..เป็นคำเด่นเยอะนะ ศึกษาดีๆ
สมณะฟ้าไทว่า…นายกตู่นี้คนจะโกรธก็โกรธไม่ลง เขาออกปากเลย
พ่อครูว่า…เป็นสุดยอดแห่งลีลาจอมยุทธหนังกำลังภายใน อาตมาไม่ได้แกล้งยกยอปอปั้นอะไร ทำไมอาตมาไม่จำเป็นต้องยกยอปอปั้นนายกฯอะไร เพราะสมาชิกที่อาตมาดูแลรับผิดชอบ เลี้ยงตัวเองได้สบาย พอเพียง ไม่ต้องไปขออะไรกับนายกฯเลย เราไม่ค่อยจะได้รับอะไรจากรัฐบาลอะไรหรอกเป็นสัจจะบ่งชี้ว่า พวกเราพึ่งตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องไปรบกวนใคร
การบริหารประเทศมีหลักเกณฑ์ง่ายๆ
-
ลดความเป็นหนี้ ระบบความเป็นหนี้หรือสินเชื่อ เป็นระบบที่เลวร้ายที่สุดของทุนนิยมสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะเป็นนายของทุน ระบบสินเชื่อนี้ เพราะฉะนั้นคนจนเขาก็จะต้องให้คนจนเป็นหนี้อย่างโงหัวไม่ขึ้น คนรวยก็จะต้องให้เป็นหนี้ อย่างสุดท้ายล้มละลายเลย คนรวย นี่คือ กลยุทธ์วิธีการของสังคมทุนนิยม แล้วก็นายทุนที่เผลอไผล รู้ตัวก็ล้มละลายเพราะใช้ดอกไม่ทัน นายทุนให้ยืมให้คืนเงินต้น คืนไม่ได้ก็ล้มละลายก็เกิดอยู่แล้วในสังคมทั่วไป
เป็นสังคมที่โหดร้ายมาก ระบบทุนนิยมสามานย์ เมื่อมาเป็นระบบบุญนิยมตามที่อาตมาได้พยายามสาธยาย และนำพามาปฏิบัติพิสูจน์มาประพฤติ จนเป็นได้ บุญคือเน้นที่จิตวิญญาณ แล้วก็ล้างกิเลสในจิตวิญญาณให้หมดความเห็นแก่ตัว หมดอัตตาตัวตนให้ได้ ซึ่งทุกวันนี้พวกเราเป็นไปได้ แม้จะยังไม่ใช่อรหันต์ทีเดียว ก็พยายามสังวรระวังไม่แสดงออกถึงความเห็นแก่ตัว ก็อยู่ในกลุ่มของอนาคามีเป็นต้น
คนอยู่ภายในพวกเราระบบอนาคามีสังคมนี้ ไม่ได้สะสมทรัพย์ศฤงคารบ้านช่องเรือนชานเป็นของตนคืออนาคามีอย่างเป็นรูปธรรม แต่ในจิตก็อยากมีเป็นของตัวตนก็อาจจะกดข่มไว้ กดข่มไม่ได้ก็ออกไปทำนอกสถานที่ชาวอโศก เป็นอิสระเสรีภาพ แต่เข้ามาในนี้แล้วก็ต้องปฏิบัติตาม คนที่ปฏิบัติได้อย่างสบายไม่ฝืนไม่ลำบากได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบาก ก็อยู่ไปสบาย และมั่นใจว่า เรามีวรรณะ 9 เราอยู่อย่างนี้สบายเป็นคนเลี้ยงง่าย เป็นคนอบรมสั่งสอนให้เจริญในธรรมไปตามควร ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมไปตามลำดับ เป็นคน อัปปิจฉะไม่เอามากไม่มีมาก จน จนไม่มีเป็นของตัวเอง อาศัยกินใช้แค่นี้ มีเครื่องใช้อาศัยปัจจัยบริขาร ไม่ต้องเปลืองอะไรมากมาย เป็นสังคมที่ประโยชน์สูงประหยัดสุดอย่างแท้จริง เป็นสังคมที่มีเศรษฐกิจสุดยอด คนที่แสวงหาความจริงเข้าใจมีปัญญาเขาก็สนใจ เขาก็จะต้องมาพิสูจน์ อาตมาก็ยินดี เอหิปัสสิโก เชิญเข้ามาพิสูจน์ตรวจสอบ เรามั่นใจในความจริงอันนี้ เข้ามาพิสูจน์เลยยินดี
อาตมาภาคภูมิใจที่สามารถสร้างสังคม ชาวอโศก มีมวลประชาชน มีคุณภาพคุณธรรมมีคุณสมบัติของพุทธอยู่ในสังคมที่เห็นอยู่นี้ เป็นคนไทยมีพฤติกรรมชีวิตอยู่ในสังคมอย่างนี้แม้จะอยู่ในที่นี่ แม้จะออกไปข้างนอกอนุโลมแก่ตัวเองบ้าง ก็ยังอยู่ในสถานะที่เป็นคนที่ไม่เหมือนกับชาวโลกร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็มีคุณธรรมมีคุณสมบัติ ตามหลักวรรณะ 9 นี้ ได้มรรคผลในตัวเองจริง ที่เป็นจริงแล้วในตัวเอง บรรลุผลแล้ว คุณไปไหนก็เป็นอย่างนี้
คนที่เข้ากระแสในการสร้างคนของพระพุทธเจ้า เริ่มต้น เป็นพระโสดาบันเท่านั้นแหละท่านรับรองไว้ว่า เป็นเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน คำว่าเอกราชคืออะไร Independence เอกราชคืออยู่เหนือ เช่น โสดาบันอยู่เหนืออบาย โลกที่เป็นอบาย โลกที่มันไม่ดีแล้ว
ผู้ที่เคยติดเคยคลุกคลีเกี่ยวข้องในโลกอบาย เช่น ติดการพนัน ติดการละเล่น จนกระทั่งมันมากไป ติดขี้เกียจ ติดอบายมุข 6 อบายมุข 4 เป็นต้น ก็เลิก สิ่งนั้นที่ในสังคมเขาก็ยังมีสังคมมีการเล่นการพนันการละเล่นจัดจ้าน มีการบันเทิงเริงรมย์จัดจ้าน มีอะไรต่างๆนานา ในสิ่งที่เรียกว่าไปอบายมุข เป็นสังคมคนขี้เกียจ เขาก็มีอยู่อย่างนั้น แต่ผู้ที่หลุดพ้นแล้วอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้นผู้จะไปเจอ คนแต่ก่อนติดการพนันเล่นการพนัน คุณไปในที่ไหนๆในโลกที่เขามีบ่อนการพนัน คุณก็ไปเล่นกับเขา คุณจะไปชายแดนประเทศไทยมีบ่อนการพนัน จะไปมาเก๊าไปลาสเวกัส โมนาโค ก็แล้วแต่ คุณไม่ต้องเป็นทาสสิ่งเหล่านั้น ไม่เอาแล้วอยู่เหนือแล้ว นี่คือคนบรรลุหลุดพ้น
อยู่เหนืออย่างเป็นเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน ที่ไหนจะมีบ่อนการพนัน ที่ไหนเขาจะเล่นการพนันคุณก็ลอยตัว อยู่เหนือเป็นเอกราช อยู่ทั่วทั้งแผ่นดินที่มีสิ่งนี้ คุณไปไหนคุณก็หลุดพ้น ไอ้นั่นกินเราไม่ได้อีกแล้ว เราไม่ไปเป็นเหยื่อไม่ไปคลุกคลีไม่เกี่ยวข้องไม่มีรสชาติ ไม่ใช่รถกันกระสุนของคิมจองอึนนะ แต่ไม่มีรสชาติทางใจ มั่นใจ เฉยกับสิ่งเหล่านั้น แต่ก่อนมีอาการของเวทนา มันอยากสนุกชื่นใจพอใจถ้าหากได้เล่น ไปชื่นใจในสิ่งที่ไม่ควรจะไปชื่นใจ ก็ปฏิบัติจนสามารถอ่านเวทนาในเวทนาในความรู้สึกในอารมณ์ จนอารมณ์ความรู้สึกเวทนาเรานั้นไม่มีอาการที่มันชื่นใจ ไม่มีระริกระรี้เลยเป็นอรหัตผล แต่ก่อนนี้ชื่นใจมีรสชาติ เดี๋ยวนี้ไม่มีรสชาติ เจวเลว (ภาษาอีสานว่าไม่แซบไม่นัวเลย ไม่มีรสชาติเลย)
แต่ก่อนจะเป็นของกินของใช้เขาปรุงแต่งกันและก็มีปรุงแต่งโดยธรรมชาติ มีสีน่ากิน รูปน่าดู เสียงน่าฟัง รสชาติน่าลิ้มลอง สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งมันก็มีอยู่ตามธรรมชาติ ปรุงแต่งมาหลอกล่อกันเต็มโลก ไม่ว่ายุคไหนๆก็มี แต่นี่เราผ่านหมด แม้แต่ในระดับอบายมุขก็คือที่ในสังคมส่วนใหญ่เขา มันเป็นความจัดจ้าน เรียกว่าอบาย
ขั้นต้นของโสดาบันก็หลุดพ้นจากอำนาจรสชาติจัดจ้านเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นรสชาติทางโลกีย์ 1. เขาแย่งเอาลาภอย่างจัดจ้าน แย่งเงินแย่งทองแย่งข้าวของ เราก็ไม่ต้องไปเป็นตัวแย่งเพิ่มเติม จึงเป็นการลดการยื้อแย่งให้แก่สังคม ระบบรัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์ก็ดีขึ้นเพราะลดการแก่งแย่งทั้งอำนาจและทรัพย์สินเงินทองกัน
เกิดคนที่หลุดพ้นไม่แย่งชิง ไม่ว่าจะเป็น ลาภ ยศ สรรเสริญโด่งดัง แม้ที่สุดการเป็นสุขก็ไม่แย่งสุขใคร ศาสนาพุทธจึงไม่มีสุขไม่มีทุกข์นั่นคือผู้จบ เป็นอรหันต์
ของศาสนาพุทธจึงไม่มีสวรรค์ สวรรค์เป็นของเก๊ทั้งนั้น เป็นชั้นต่ำชั้นเตี้ยชั้นสูง ยิ่งชั้นสูงก็ยิ่งเป็นของเก๊มากขึ้น แม้แต่สวรรค์ชั้นต้นชั้น 1 นิดหน่อยก็เป็นเก๊ เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก เพราะฉะนั้นไม่ต้องตายไปแล้วต้องไปอยู่กับพระเจ้า เพราะว่า พระเจ้าเป็นสวรรค์และเป็นผู้ที่สั่งเราลงนรกด้วย ตายแล้วต้องไปอยู่กับพระเจ้า เป็นอำนาจบาตรใหญ่ของพระเจ้า ศาสนาพระเจ้ามีอำนาจบาตรใหญ่ คนตายแล้วต้องไปอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าอยู่ไหนก็มีสวรรค์อยู่ตรงนั้น ส่วนใครทำไม่ดีก็เป็นสัตว์นรกไป เป็นบัญชาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ศาสนาพุทธรู้จักจิตวิญญาณ จิตวิญญาณนี้ เป็นของแต่ละคน ศาสนาพุทธศึกษาจิตวิญญาณจนสุดท้ายทำให้จิตใจหมดสวรรค์หมดนรก หมดตัวหมดตน พระเจ้ามองหาไม่เจอ หาไม่เห็น เพราะแม้แต่ตายก็สูญ ไม่มีพลังงานจิตวิญญาณไปไหนเลย ไม่ไปหาพระเจ้า ไม่มีที่ไหน…..สูญ! แยกธาตุเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน พระเจ้ารอเก้อ จะเอามารับสวรรค์ก็ไม่เอาจะไปชี้ให้ลงนรกก็ไม่มี หมดความเป็นสวรรค์หมดความเป็นนรก
ใครรู้จักจิตวิญญาณอาการของความเป็นจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวทำงานเดียวกันกับจิตวิญญาณเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับของพระเจ้ากับทุกคนเป็นจิตวิญญาณอันเดียวกัน
ในเมื่อเรามาเกิดเป็นคนมีจิตวิญญาณ เราก็ศึกษาจิตวิญญาณในตัวเรา ให้รู้เลยว่า พระเจ้านี้เป็นสวรรค์ และพระเจ้ามีสิทธิ์จะชี้นรก เราก็ทำจิตวิญญาณของเราให้หมดสวรรค์หมดนรก พระเจ้าก็หาไม่เจอ พระเจ้าก็ไม่มี เพราะว่าพระอรหันต์ตายแล้วสลายธาตุจิตวิญญาณ หายไปเลย ไม่ไปหาสวรรค์ไม่ไปหานรกไม่ไปหาพระเจ้าไม่ต้องให้พระเจ้ามาชี้เพราะเราทำจิตวิญญาณของเราเป็นอย่างนั้นจริงๆได้แล้วจบ เชื่อไหมล่ะว่าศาสนาพุทธมีนิพพานอย่างนี้ ถ้าหากเชื่อก็มาพิสูจน์สิ คนพิสูจน์ได้แล้วก็มียืนยัน อาตมาก็พิสูจน์ได้ยืนยันว่ามีนิพพานเป็นอรหันต์ ใครไม่เชื่อก็ไม่ได้เสียใจ จะไปเสียใจทำไมว่าเขาไม่เชื่อ และก็ไม่ได้น้อยใจอะไรไม่ได้ตะกละอะไร คนเชื่อมีแค่นี้ก็พอใจแล้วเกินกว่า 5 คน
เดี๋ยวนี้ก็ได้ข่าวว่า มีคนเปิดดูที่อาตมาเทศน์ เป็นร้อยเป็นพัน จะถึงหมื่นวิวไหม หลักพันก็เอาล่ะ เป็นกุศลหนักหนาแล้วมีคนเปิดดูใน YouTube เดี๋ยวนี้มันมีให้ดู
จะพูดอจินไตยให้ฟังอันหนึ่ง สิ่งที่มันรวบรวมความรู้อะไรเอาไว้ เป็นแหล่งเก็บข้อมูลอะไรต่ออะไรไว้มากที่สุด คนที่รู้มากที่สุดคนที่รู้ยอดที่สุดก็คือ อัตตาคือตัวกู เพราะฉะนั้นแหล่งที่ว่าตัวกูนี้ ชื่อว่ากู และเป็นพลังงาน อิตถีภาวะด้วย เรียกว่า เกิ้ล เพราะว่าบัญญัติมันต้องลงกับสภาวะ ใครเก่งกว่า Google ทุกวันนี้ และทำไม่หยุด ที่เราพูดอยู่ตอนนี้เขาเก็บไว้หมด มีอะไรเรียกว่า server มโหฬารใหญ่ เก็บได้ไม่อั้นเลย เขาก็ทำยิ่งใหญ่ที่สุดได้
กูนี่แหละใหญ่ๆ อย่างพระพรหม โดยพยัญชนะมันลงตัวอย่างนั้น จะเป็นภาษาฝรั่งหรือไทยมันก็เข้าใจได้ สภาวะอย่างนั้นไม่ได้ผิดเพี้ยนอะไร เช่น พระพุทธเจ้าเกิดมาต้องเป็นเจ้าชายสิทธัตถะต้องชื่อนี้ มีพระพุทธเจ้าองค์ก่อนทำนายไว้แล้ว จะมีอัครสาวกชื่อสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะ ไม่ได้พยากรณ์นะมันจะต้องมีลงตัวอย่างนั้นเลย จะไปบิดพลิ้วไม่ได้เป็นนักบอกความจริง จะต้องมีอย่างนั้นทุกอย่าง แม้แต่อาตมาเคยบรรยาย พระพุทธเจ้าอุบัติประสูติขึ้นในโลกแผ่นดินต้องไหว ดินน้ำไฟลมต้องรับรู้ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญไม่ใช่เรื่องขี้โม้ ไม่ใช่เรื่องทำโก้เก๋ แต่เป็นเรื่องจริง มันต้องลงตัวทั้งรูปกับนาม เป็นธรรมะ 2 มันต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ต้องลงตัวกัน ไม่เหลื่อมไม่ผิดไม่เพี้ยน ไม่ผิดฝาผิดตัวเป็นฝาที่ลงตัวกัน
SMS 11 – 12 มิถุนายน 2561
_2166ผมได้ดูที่คุณสุทธิชัยสัมภาษณ์หลวงพ่อ ผมทึ่งจริงๆครับ ท่านตอบโดยไม่ต้องตั้งท่าคิดเลย จนคุณสุทธิชัยต้องอ้าปากฟัง
_2166พวกพระที่โฮละเลไปซูฮกธรรมชโย เขาไปเอาเงินครับ เขาไม่ศรัทธาหรอกครับ พระพวกนั้นก็รู้อยู่แล้ว !!! หรือพ่อท่านไม่รู้ครับ??? ฮ้วย!!!!
พ่อครูว่า…เขามีวิธีการดึงดูดคน แต่อาตมารังเกียจวิธีการเหล่านั้น
_1025กราบนมัสการพ่อท่าน ด้วยความเคารพอย่างสูง ลูกอยากถามพ่อท่านว่า คนเราจะเกิดอัญญะเมื่อได้ฟังสัตตบุรุษ แล้วคนที่ไม่เคยฟังธรรมจากสัตตบุรุษเลยจะอัญญะได้ตอนใหน กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า…ไม่ได้ หากไม่ได้ฟังจากสัตบุรุษ มันเป็นความรู้ชนิดอื่นที่นอกเหนือจากโลกที่เขามีเป็นโลกียะหรือคนในดาวดวงนี้ก็มีความรู้อยู่ในดาวดวงนี้ แต่พอมีอัญญธาตุก็คือคนที่เกิดในโลกใหม่ดาวดวงใหม่ที่ไม่ใช่ดาวดวงนี้โลกนี้ที่เป็นโลกียะ อัญญะคือ ความรู้ที่แตกต่างจากคนโลกรู้วนเวียนอยู่ และมีชีวิตอยู่เป็นเช่นนี้ คนที่มีอัญญธาตุก็ได้ความรู้ใหม่ต่างจาก อัญญะแปลว่าอื่น เป็นความรู้อย่างอื่นที่ไม่ใช่อย่างที่โลกเขารู้ จะฉลาดขนาดไหนก็เรียกว่า เฉกะหรือเฉโก ฉลาดอัจฉริยะขนาดไหนก็เป็นโลกียะมีสูงมีต่ำ มีดีมีชั่ว มีสุขมีทุกข์วนอยู่ตรงนี้ มีแต่สวรรค์นรกอยู่อย่างนี้ พอเริ่มมีอัญญธาตุก็รู้ว่า มีโลกที่ดับสวรรค์กับนรกด้วยหรือ เป็นธาตุที่ดับสวรรค์ดับนรกหรือลึกคือมีธาตุที่ดับพระเจ้า ดับปรมาตมัน(ปรมาตมันคือ ปรมะ +อาตมัน) จะรู้สุดยอดโลกียะสูงสุดที่จะเป็นโลกียะสูงสุดในร่างมนุษย์นี้คือสูงสุดเป็นพระศาสดาหรือพระบุตร และพระบุตรนี้คือคนที่พระเจ้าส่งมาเกิด คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์จะส่งพระบุตรมาเกิด สงวนลิขสิทธิ์ไว้ที่พระเจ้าคนเดียว แล้วพระเจ้าอยู่ที่ไหน ไม่มีใครรู้ พระบุตร ยังไม่ได้สัมผัสกับพระเจ้าเลยมีหน้าที่เป็น ประกาศก prophet มีหน้าที่ประกาศธรรมะพระเจ้า ไม่ได้สัมผัสพระเจ้าแต่เป็นตัวแทนพระเจ้า พระบุตรก็ไม่รู้ว่าพระเจ้าเป็นตัวตนอย่างไร ไม่เคยสัมผัสรูปร่าง ไม่มีตัวตน ไม่มีอะไรเลยแต่มีใหญ่ที่สุดด้วย เป็นปรมาตมัน ที่ว่าไม่มีนี้คือ ทำไมมันลึกลับนัก ไม่มีใครมีสิทธิ์รู้ความเป็นปรมาตมัน
ศาสนาพุทธมาเปิดเผยเรื่องของปรมาตมัน หรือปรม อัตตา มาเปิดเผยปรมัตตะแต่ละคน โดยสอนปรมัตถ์ ซึ่งเป็นความจริงความรู้เข้าไปรู้ที่เขาถือว่าเป็นปรมัตถ์ หรือปรมาตมัน คือความจริงที่ยิ่งใหญ่ที่ได้พระเจ้ามีคนเดียวมีสิทธิสงวนไว้ ศาสนาพุทธเอามาเปิดเผยและให้ทุกคนที่มาเกิดในร่างมนุษย์นี้ สามารถปฏิบัติได้ อยากปฏิบัติได้สูงสุดก็เป็นพระศาสดา แล้วก็เลิก ปรมาตมัน เลิกเป็นที่สุดแห่งที่สุด หรือไม่ถึงขั้นนั้นก็แค่อรหันต์ ก็สามารถเลิกจากพระเจ้า เลิกปรมาตมัน เลิกนรกเลิกสวรรค์ได้ แล้วแยกธาตุได้เลย ไม่เหลือจิตนิยามแม้แต่ พีชนิยามก็ไม่เหลือ พระอรหันต์หรือพระเจ้ามีแยกธาตุได้หมดเลย
พีชะ เป็นธาตุระดับพืช แยกเป็นอุตุนิยามเป็นดินน้ำไฟลมเลย เหมือน น้ำที่เป็นไฮโดรเจนกับออกซิเจนหลุดจากกันแล้วก็ไม่มีธาตุน้ำ ธาตุน้ำหายไป เหมือนกับการแยกรูปกับนาม กลายเป็นก๊าซไฮโดรเจนกับออกซิเจนไปแล้ว จะไม่กลับมารวมตัวกันอีก ก็ตัวเองเป็นผู้จัดการแยกเอง จะเอามารวมตัวได้อย่างไร พระอรหันต์จึงรู้การแยกธาตุของปรมาตมัน หรืออาตมัน เพราะปรมาตมันของศาสนาพุทธหรือพระเจ้าของพุทธนั้น ดับแล้วซึ่งปรมาตมัน ดับแล้วซึ่งพระเจ้าก็ไม่เหลือ ดับสวรรค์ดับนรก
ปรมาตมันคือยิ่งใหญ่ของสวรรค์ เรานี่แหละใหญ่ สมัยโบราณสมัยฮินดูเรียกว่าพระพรหม สมัยต่อมาเรียกพระเจ้า แต่ละชื่อก็ต่างกันไป ของแต่ละศาสนาก็มีชื่อพระเจ้าของเขาไป อาจจะมีซ้ำกันหรือไม่ซ้ำกัน คือ ถ้าจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและหลงปรมาตมันนิรันดรตีไม่แตกไม่สูญสลาย นับเป็นความคิดของเทวนิยม ส่วนของพุทธนั้น อเทวะไม่มีสอง เทวะแปลว่าสอง ทวิ พูดเป็นไทย เทวฺ เปลี่ยนจากสองมาไม่มีคู่ เป็นหนึ่งก็แยกกันไม่มีเพิ่มเติมแล้ว สุดท้ายเหลือ 1 ก็ไม่เอา เป็นนปุงสกลิงค์ ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์อยู่ก็มีนรกทั้งนั้นเพราะเป็นสิ่ง 2 สิ่งที่แยกกันไม่ออกเหมือนเหรียญสองด้าน คุณแยกอย่างไรก็ไม่ได้ ให้ทำเหรียญบางขนาดไหนก็เป็นสองด้าน ถ้ายังมีสภาวะเป็นแผ่น ถ้าไม่เป็นแผ่นก็อย่างเช่นเป็นน้ำ H2O ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่ดับปรมาตมันให้สูญไปเลย
ศาสนาเทวนิยมไม่ได้ศึกษาทางนี้ เลยเข้าไปยึดถือว่าศึกษาไม่ได้ในปรมาตมัน ต้องเป็นสิ่งที่อยู่นิรันดรสูญไปไม่ได้ เขาเชื่ออย่างนี้แล้วจึงไม่คิดจะศึกษา จิตวิญญาณของตัวเอง เขาสนใจแต่สวรรค์เท่านั้นและทำสวรรค์ตามพระเจ้าสั่ง ก็ดี ไม่ใช่ไม่ดี ดี พระเจ้านั้นไม่มีองค์ไหนที่ชั่ว มีแต่พระเจ้าดีทั้งนั้น คนที่ปฏิบัติตามพระเจ้าก็ได้ดี ดีที่สุด ในทิฏฐิหรือลัทธิแบบนี้ ประเทศที่มีพระเจ้านิรันดร ส่วนของพุทธนั้นไม่ต้องมีพระเจ้านิรันดร
[337] อันตคาหิกทิฏฐิ 10 (ความเห็นอันถือเอาที่สุด, ความเห็นผิดที่แล่นไปสุดโต่งข้างใดข้างหนึ่ง — the ten erroneous extremist views) คือเห็นว่า
-
โลกเที่ยง (The world is eternal.) ไปหลงสุดโต่งว่าโลกเที่ยง ไม่เปลี่ยนแปลงไม่อนิจจัง ศาสนาพุทธนั้นทำให้โลกเที่ยงได้เพราะมีอำนาจอธิปไตยอยู่เหนือโลกจึงทำให้โลกเที่ยงได้ โลกมันหมุนไป แต่โลกที่บังคับให้เที่ยงได้มี โลกคือ ความปรุงแต่งหมุนวนอยู่ระหว่างกายกับจิต ภายนอกกับภายใน เป็นธรรมะ 2 วนเวียนอยู่อย่างนั้นไปไปมามาไม่หยุด เพราะฉะนั้นคุณไม่หยุดไม่หมุนไม่ไปไม่มาอีกเลย นั่นแหละคือโลกเที่ยง
เช่น คุณเลิกโลกอบายดับจบ ไม่มีโลกอบายแล้ว สูญไปจากจิต จิตไม่ไปไม่มากับอบาย มันทำอะไรเราไม่ได้ เราก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับมันเหมือนมันไม่มีในโลก อย่างเที่ยงแท้อยู่เหนือโลกแล้ว
มีเกวัฏฏะ ไปหาที่สุดแห่งโลก เดินตามหาที่สุดแห่งโลก ไปถามว่าใครรู้จักที่สุดแห่งโลกบ้าง ไปเจอพระพรหม หรือเขาเรียกพระอินทร์ คือจิตวิญญาณที่ใหญ่ที่สุด ก็ถามว่า ที่สุดแห่งโลกอยู่ที่ไหนท่าน พระพรหมก็บอกว่าข้านี่แหละใหญ่ๆ ใหญ่ที่สุดไม่มีใครเท่าเทียม ถามถึงสามครั้งพระพรหมก็ตอบเช่นนั้น พระพรหมก็ดึงเข้าไปในม่าน ไม่ให้บริวารเห็น บอกว่ามาถามต่อหน้าคนอื่นได้อย่างไร พระพรหมเสียหน้าหมดตอบไม่ได้ ให้ไปถามพระพุทธเจ้าเอง ท่านรู้ที่สุดแห่งโลก กูไม่รู้กูใหญ่อย่างเดียว
อาตมาก็ถามพวกเรา มีใครอธิบายอย่างนี้บ้างให้เข้าใจชัดเจนอย่างนี้ตามตำนานก็มีตัวอย่าง ก็บอกไป ก็เลยกลับไปหาพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าก็บอกว่าเหมือนนกติรทัสสี ที่ชาวเรือหลงทางในทะเลหาฝั่งไม่เจอ ก็เลยปล่อยนกติรทัสสี มันจะเห็นฝั่ง แล้วมันก็กลับมา จะรู้ว่าฝั่งอยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าก็บอกว่าเธอเหมือนนกติรทัสสี ที่สุดแล้วก็กลับมาถามเรา
-
โลกไม่เที่ยง (The world is not eternal.)
-
โลกมีที่สุด (The world is finite.)
-
โลกไม่มีที่สุด (The world is infinite.)
พ่อครูว่า…ก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น แม้แต่อัตภาพที่ไปยึดว่า ชีวะ อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง
-
ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น (The soul and the body are identical.)
-
ชีวะก็อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง (The soul is one thing and the body is another.)
-
ตถาคตเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก (The Tathagata is after death.)
-
ตถาคตเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมไม่เป็นอีก (The Tathagata is not after death.)
-
ตถาคตเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก ก็ใช่ ไม่เป็นอีก ก็ใช่ (The Tathagata both is and is not after death.)
-
ตถาคตเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก ก็มิใช่ ย่อมไม่เป็นอีก ก็มิใช่ (The Tathagata neither is nor is not after death.)