ขอนอบน้อมบูชาพ่อครู…ผู้จุดแสงสว่างแก่โลกในยุคกึ่งพุทธกาล
พิธีไหว้ครู บวร ราชธานีอโศกปีนี้(2561) เรียบง่าย แบบคนจนสุขสำราญเบิกบานใจ เด็กนักศึกษาหญิง ปวช.เกษตร “เจน” เล่าถึงพระคุณครูได้อย่างน่าซาบซึ้งประทับใจ…เธอได้ย้ายโรงเรียนมาอยู่ที่ราชธานีอโศกตอน ม.4 ต้องเจอกับแรงกดดันมากมาย เธอขอคณะคุรุกลับบ้านไปทำใจก่อน แต่คณะคุรุมีมติไม่ให้กลับ…เธอกลับไปที่เรือพักหญิง นอนคลุมโปงร้องไห้…ขณะนั้นมีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาหาเธอ..เธอนึกว่าเป็นน้องๆเดินมา…แต่ว่า พอเปิดหน้าดู กลับเป็นป้าแมว…ป้ามาปลอบใจให้กำลังใจเธอ และยังมีสิกขมาตุผาแก้วอีก ที่มาให้กำลังใจ และคุยเพิ่มเติมให้เธอกลับไปทำใจที่บ้านได้…เธอจึงอยู่เรียนต่อมาถึงทุกวันนี้…
และอีกเรื่องที่ประทับใจมาก คือ เธอเป็นคนนอนตื่นยาก ติดหลับ จึงมาเรียนสายอยู่บ่อยๆ แต่ว่าคุรุที่สอนก็ไม่เคยว่าเธอเลย เธอก็รู้สึกผิดอยู่แล้ว..แต่มีวันหนึ่งเธอไปสายเช่นเคย แต่ภาพที่เห็นคือ…คุรุ นั่งหลับรอสอนเธออยู่… คุรุคงทำงานมาเหนื่อยมาก แต่ก็ยังคงมาสอนเธอตรงเวลา รอเธอมาเรียน … เธอก็ยังคงมาสายเช่นเดิม และครั้งนี้ก็เช่นกัน คุรุก็ไม่ว่าเธอ ยังคงสอนเธออย่างเป็นปกติ…เธอสะเทือนใจมาก และปฏิญาณกับตัวเองว่า จะพยายามไม่ไปเรียนสายอีก…เพื่อกตัญญูต่อความเสียสละ ความเป็นผู้ให้ของคุรุ ที่ท่านมาทำงานสอนให้ฟรี เป็นครูผู้ให้ อย่างไม่ได้หวังอะไรตอบแทนเลย
“พูดให้ฟัง ไม่ดังเท่ากับทำให้ดู” “ตัวอย่างที่ดีมีค่ากว่าคำสอน” คำกล่าวนี้เป็นความจริงอย่างที่ “เจน” ได้ซาบซึ้งประทับลงไปในดวงใจของเธอ
ที่บ้านราชฯ ปีนี้พ่อครูอยู่ที่นี่ในวันไหว้ครู แต่ลูกๆไม่ขอรบกวนพ่อครูลงมาร่วมพิธีไหว้ครู แต่ในหัวใจของลูกๆทุกคน ต่างซาบซึ้งดีกับจิตวิญญาณความเป็นครูผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณใหม่แก่ลูกๆ
แม้ในวัย 84 ปี เมื่อถึงเวลาแสดงธรรม ท่านก็จะไปรอลูกๆก่อนแทบทุกๆครั้ง แต่ก็ที่เห็นและเป็นอยู่เสมอๆคือ มีลูกๆไม่กี่คนมารอพ่อครู บางครั้งท่านก็พูดให้ลูกๆขำๆอย่างมีศิลปะ “อ้าว! ใครอยากเป็นอรหันต์ก็เชิญมาฟังธรรมได้” แม้กระนั้นลูกๆก็ไม่ได้ละทิ้ง ค่อยทยอยมา ทุกครั้ง เร่ิมต้นคนฟังน้อย แต่ฟังไปๆคนก็มามากขึ้นๆจนจบการเทศนาคนก็ไม่ถอยหนีมีแต่จะเพิ่มขึ้นๆ
ตัวข้าพเจ้าเอง แม้จะมาฟังธรรมทุกครั้ง แต่ในความตั้งใจฟังธรรมนั้น ก็ยังห่างไกลกับความตั้งใจสอนของพ่อครู มานั่งเรียนเต็มคาบ แต่ใจไม่เรียนเต็มคาบ ตลอดสองชั่วโมงก็ยังมีแอบแวบไปหาเรื่องฟุ้งซ่านไปได้เสมอ ๆ รู้สึกว่าตนเองไม่เป็นนักเรียนที่ดีของพ่อครูเท่าไหร่เลย การบ้านก็ทำไม่ครบ แม้เรียนรู้จดจำได้ กำหนดรู้สักกายะของตนได้อย่างไม่วิจิกิจฉา(ลังเลสงสัย) แต่เวลาปฏิบัติเรื่องที่เอาจริงก็ได้ผลจริง แต่อีกหลายเรื่องก็กลับลูบคลำกิเลสไม่ยอมจัดการมันเสียที ไม่ทำให้เด็ดขาดถาวรไม่กลับกำเริบเสียที เพราะไม่ขยันไม่ทำให้มากทำให้บ่อยทำซ้ำทำทวน ยังประมาทอยู่ นี่ก็นับว่า ยังประมาทและไม่ได้ปฏิบัติบูชากตัญญู ให้สมกับที่พ่อครูอุทิศตนเองทั้งชีวิตอบรมสั่งสอนให้แก่เรา
ท่านทั้งลงมือทำให้เห็นมาอย่างยาวนานกว่า 48 พรรษา ท่านทั้งพร่ำสอนอยู่ แทบตลอดเวลาที่ท่านมีโอกาส ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน ที่ไหน ท่านก็ไม่ลังเลและไม่ย่อท้อในการเปิดเผยธรรมะโลกุตระ ที่ชาวพุทธเกือบทั้งหมดได้เลอะเลือนลืมเลือนโลกุตรธรรมไปแล้ว
ลองคิดดูว่า ท่านทำงานมา ยากลำบากขนาดไหน ท่ามกลางคนไทย 95%ที่เป็นชาวพุทธ แต่เป็นพุทธที่ผิดเพี้ยนกลายเป็นพุทธที่มีแต่พิธีกรรมและสวดมนต์แบบเทวนิยม หรือเป็นศาสนาออกป่าแบบฤาษี ไปเกือบทั้งหมดแล้ว เมื่อท่านมาประกาศโลกุตรธรรมที่ตรงกันข้ามกับพวกเขา ท่ามกลางพุทธกระแสหลักที่ผิดเพี้ยนไปเกือบหมดแล้ว ท่านจึงถูกต่อต้านอย่างหนัก จะไม่ให้ท่านทำงานนี้ต่อไป “ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า นอกรีต จากการปฏิบัติที่เคร่งครัดของพ่อครูและหมู่กลุ่ม ได้แก่ ฉันอาหารมังสวิรัติ, ฉันอาหารวันละ 1 มื้อ, ไม่ใช้เงินทอง, นุ่งห่มผ้าย้อมสีกรัก, ไม่มีการเรี่ยไร, ไม่รดน้ำมนต์-พรมน้ำมนต์, ไม่ใช้การบูชา ด้วยธูปเทียน, ไม่มีไสยศาสตร์ฯ และต่อมา ได้รับการพิพากษาว่าเป็น ผู้แพ้ ไม่สามารถ เรียกขานตนเองว่า พระ ได้ จึงเรียกตนเองว่า สมณะ แทน”(จากวิกิพีเดีย)
กาลเวลาผ่านไป ตลอด 48 ปีที่พ่อครูทำงานมา แม้จะยากลำบากอย่างไร สังคมก็ได้พิสูจน์ผลการทำงานของพ่อครู อันเป็นเครื่องแสดงว่าท่านคือ พระโพธิสัตว์ เป็นสมณพราหมณ์ผู้มีสยังอภิญญา มีหน้าที่มากอบกู้ศาสนาพุทธ ตามสัมมาทิฏฐิ ข้อที่ 10 ที่พระพุทธเจ้าสมณโคดมได้ตรัสไว้ มีบันทึกในพระไตรปิฎก
ผลงานของท่าน ยืนยันว่าท่านต้องเป็นพระโพธิสัตว์ระดับสูงเท่านั้น(พระโพธิสัตว์มีลูกจำนวนพันเป็นเอนก) จึงสามารถสร้างสังคมหมู่กลุ่มสังคมสาธารณโภคี สังคมโลกุตระ เกิดได้เป็นรูปธรรม เป็นหมู่บ้านที่คนมีศีล 5 เป็นอย่างต่ำกันเป็นปกติ กระจายอยู่ทั่วประเทศไทย คนในหมู่บ้านที่ท่านสร้าง พ้นอบายมุขอย่างสมบูรณ์ พ้นโลกกามคุณ พ้นโลกธรรม และพ้นโลกอัตตาไปตามลำดับ อย่างเอหิปัสสิโก เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์กันได้
หากชีวิตนี้ลูกไม่ได้พบพ่อครู ชีวิตของลูกคงต้องจมดิ่งดำมืดวนเวียนไปกับโลกียะ ลูกคงไม่สามารถพบทางสว่างของชีวิตได้เป็นแน่แท้ พ่อครูจึงเป็นเหมือนผู้ให้แสงสว่าง ผู้บอกทางที่พ้นทุกข์ให้แก่ลูก ในเมื่อพ่อครูใช้เลือดเนื้อชีวิตและจิตวิญญาณทุ่มเทกับงานสร้างจิตวิญญาณคนให้พ้นโลกีย์มากขนาดนี้ หากลูกไม่ลงทุนใช้เลือดเนื้อและจิตวิญญาณ เงี่ยโสตสดับฟังธรรมพ่อครู ทุ่มเททุ่มโถม ทำสัมมาปฏิบัติให้ตรงตามคำสอนพ่อครู ลูกคงจะไม่ได้ผลพ้นทุกข์ตามที่พ่อครูตั้งใจสอน…ลูกก็คงกลายเป็นคนโง่เง่าอย่างที่สุด ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณตนเองได้แม้จะได้พบพ่อครู ผู้สยังอภิญญาแล้ว ได้สดับฟังคำสอนอันเป็นโลกุตระแล้ว …ก็คงจะเสียชาติเกิดเป็นแน่แท้ …
ลูกขอให้คำสัจไว้ด้วยเลือดเนื้อและจิตวิญญาณ ว่าจะไม่ย่อท้อ จะตั้งใจเต็มใจทุ่มเททุ่มโถมใจกาย เพื่อเนื้อแท้โลกุตรธรรมให้บังเกิดแก่จิตวิญญาณของลูกให้จงได้…ด้วยความเคารพบูชาอย่างสูงสุด
? ตื่นรู้ตามโพธิ์…20 มิ.ย.2561
สมณะโพธิรักษ์ผู้กอบกู้พุทธศาสนาในยุคกึ่งพุทธกาล
จากคุณ บ้านเล็กเมืองน้อย….เขียนถึงพ่อครูได้น่าประทับใจ
กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง
กราบขออนุญาตช่วยเสริมคำประกาศของพ่อท่านเมื่อเช้า วันที่๗ เดือน๗ ปี๗๗ (๒+๕, ๖+๑) สักหน่อยครับ
เมื่อ ๘๔ ปีก่อน หนูน้อย “แป๊ก” หรือ ด.ช. มงคล รักพงษ์ ผู้มีปู่ของยายเป็นเจ้าเมือง อุบลราชธานี ได้ถือกำเนิดขึ้น ใช้ชีวิตเยี่ยงเด็กปกติทั่วไป
เมื่อเติบใหญ่ ดิ้นรนพึ่งพาตนเอง จนจบศิลปะ เข้าทำงานเป็นพิธีกรชื่อดังของทีวีช่อง 4 บางขุนพรหม ทีวีช่องแรกของประเทศไทย
เมื่อระลึกได้ว่า หน้าที่ ที่แท้จริงคืออะไร จึงออกบวช เผยแพร่สัทธรรมแท้ของพุทธศาสนา แต่ถูกฝ่ายเสียประโยชน์ให้ร้าย สุดท้ายยอมแพ้ชะตาทราม
ออกเดินทางไกลอันยากลำบาก สร้างแบบอย่างอันดีงาม ด้วยความมุ่งมั่น จนเป็นต้นกำเนิดของ ๔๘ พรรษา แห่งการงานอันทวนกระแส
ก่อเกิด แผ่นดินพุทธ แดนสัปปายะของโลกุตรชน รังสรร วัฒนธรรมอโศก ละกิเลสด้วยบุญนิยม มีเศรษฐกิจพอเพียงแบบ สาธารณะโภคี เปลี่ยน คนรวยไม่รู้จักพอ มาเป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ ด้วยวรรณะ ๙ ลดโลกร้อนด้วยขยะวิทยา ปรับสมดุลดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์ ผลิตผลที่ได้ จึงไร้สารพิษ มีเหลือเฟือแจกจ่าย เป็นตลาดอาริยะ ปลูกฝังสังคมบวร ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา ใช้ความสงบสยบความรุนแรงของทรราช ดับเภทภัยให้บ้านเมือง
กอบกู้พุทธศาสนาด้วยธรรมฤทธิ์ วิชิตอวิชชาในปุถุชน
เปลี่ยนผู้คนเป็นอาริยะ ด้วยธรรมะของสยังอภิญญาภูมิ ปลุกชมพูทวีปขึ้นใหม่ในแดนไทย ช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนาในกึ่งพุทธกาล ให้อยู่ต่อนานถึง 5,000 ปี ผู้กอบกู้มวลมนุษยชาติให้รอด พระศรีอาริยะเมตไตรย พ่อครู สมณะ โพธิรักษ์
พ่อครูได้เทศนาไว้ในอโศกรำลึกปี 2561 ตอนหนึ่งว่า…..ก็ขอสรุปว่า ประกาศตัวเองอย่างยิ่งใหญ่ในวันอโศกรำลึกปีพ.ศ. 2561 ซึ่งเป็นปี 77 คือ 2+5 หรือ 6+1 มันก็ 7 อาตมาเกิดปี 2477 ขอประกาศเลยว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์เป็นผู้จะมากอบกู้ศาสนาพุทธอย่างสัมมาทิฏฐิ ดึงให้เข้าร่องรอยที่มันออกนอกทิศทางเลอะเทอะเยอะแยะ จนกระทั่งทำลายศาสนา ปูยี่ปู้ยำอยู่ในสังคม ตอนนี้สังคมเขาปราบมันก็ดีขึ้น ปราบปรามเสี้ยนของศาสนาไป นี่ก็ประกาศตัวเองขึ้นมาในวันนี้ ปีนี้ปี 77 คือปี 2561 วันนี้กลาง วันที่ 7 เดือน 7 ด้วย แรม 9 ค่ำ ก็ประกาศมันข้างแรมนี่แหละ มันก็ยาก เพราะว่าประกาศตอนเดือนมืด ถ้าขึ้น 9 ค่ำก็ดีนะ ก็ได้แค่นี้แหละโพธิรักษ์ ประกาศแสงสว่างในที่มืดก็ได้แค่นี้ ….
ภาพ พิธีไหว้ครู บวร ราชธานีอโศก 19 มิ.ย. 2561