งานสัปดาห์ วิสาขบูชา ที่ภูฟ้าผาธรรม ปี 2561
วันศุกร์ที่ ๒๕ พ.ค.๖๑ ถึงวันพฤหัสบดีที่ ๓๑ พ.ค. ๖๑ นับเป็นครั้งแรกที่ชาวอโศก ได้จัดงานสัปดาห์วิสาขบูชา จากเมื่อปี ๒๕๒๔ ชาวอโศกได้ร่วมงาน วิสาขบูชา ที่สวนลุมพินี จากวันนั้นถึงวันนี้ ชาวอโศกได้จัดงานวิสาขบูชา ซึ่งห่างกัน ๓๖ ปี พร้อมทั้งเกิดธรรมสถาน เป็นครั้งที่สองของชาวอโศก
ภายในงาน ทุกเช้าเวลา ๐๗.๐๐ น. สมณะดำรงพุทธประเพณี มีการบิณฑบาตทั้งในและนอกธรรมสถาน
วันศุกร์ที่ ๒๕ พ.ค.๖๑
๐๙.๐๐น. สมณะ ๘ รูป นำโดยอ.๑ (สมณะบินบน ถิรจิตโต) ทำพิธี ยกรูปเหมือนพ่อครู ขึ้นแท่นที่ลานสัมมาทิฏฐิ
อ.๒ (สมณะผืนฟ้า อนุตตโร) แสดงธรรม อ.๑ นำกล่าวสัจจาธิษฐาน มีสมณะ ๑๑ รูป
หลังพิธี สมณะไปที่ศาลาโรงครัว อ.๑ นำไหว้ พระสวดมนต์ แล้วสมณะแสดงธรรม มี อ.๑ อ.๒ ส.พอแล้ว สมาหิโต ส.ดวงดี ฐิตปุญโญ ส.ลานศิลป์ วชิโร ส.มือมั่น ปรูณกโร ส.บินก้าว อิทธิภาโว ส.โพธิ์สิทธิ์ โพธิสิทโธ ส.ฮังดิน ภูมิคโต และหลังรับประทานอาหาร มีหมอมาช่วยฝังเข็ม
๐๙.๐๐ น. พระจากวัดต่างๆ ๓๐ รูป มาฉันที่หอประชุม (อาคารสัมมาสติ)
๑๔.๐๘ น. อ.๑ แสดงธรรม นำคลิปมาให้ดูและให้ญาติโยมสรุป
ช่วงค่ำ ๑๗.๓๐ น. ฉายภาพยนตร์ “พระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลก”
วันเสาร์ที่ ๒๖ พ.ค. ๖๑
๐๙.๐๐ น. สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ สมณะลานศิลป์ วชิโร แนะนำสถานที่ต่างๆ ที่ธรรมสถาน เริ่มจากลานสัมมาทิฏฐิ และเทศน์ถึงภูฟ้าผาธรรม อยู่ที่ หมู่ ๔ บ้านผาลิ้น ก็ให้ควบคุมลิ้น เรื่องการกินการพูด ถ้าเราไม่ระมัดระวัง ปากจะสร้างภัยอย่างยิ่ง หากเราระมัดระวัง ก็จะเป็นคุณอย่างยิ่ง
รายการภาคบ่าย ๑๓.๐๐น. – ๑๕.๐๐ น. ธรรมะคือคุณากร โดย สมณะเพาะพุทธ จันทเสกโฐ สมณะดวงดี ฐิตปุญโญ สมณะลานศิลป์ วชิโร
ช่วงค่ำ ฉายภาพยนตร์ “พระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลก”
วันอาทิตย์ที่ ๒๗ พ.ค. ๖๑
๐๙.๐๐น. สมณะเสียงศีล ชาตวโร แสดงธรรมที่หอประชุมสัมมาสติ พูดถึงเรื่อง การบำเพ็ญ เจโตสมถะ ท่านได้ประโยชน์ จากการฝึกบำเพ็ญเจโตสมถะ ช่วงนี้ท่านได้ทบทวนธรรมและวาดรูป พูดถึง เจ้าหน้าที่ กอ.รมน. มาศึกษาเรื่องบวร เจ้าหน้าที่ กระทรวงการคลังอยากให้อบรม มีชาวต่างประเทศ ๑๐ กว่าประเทศ มาพูดคุย สอบถามปัญหา ฝรั่งกล้าถาม ผิดกับคนไทยมักเงียบ ท่านเล่าถึง กอ.รมน. มาถามว่า ทำอย่างไรจึงจะให้สังคม เป็นอย่างพวกคุณ ก็ตอบไปว่า ให้มาช่วยกันทำ
ช่วงทำงานกับคน บางครั้งคุมอารมณ์ไม่อยู่ ได้พัฒนาเนินพอกิน จนเป็นเนิน เหลือกิน ต่อมาสุขภาพแย่แล้ว หมู่จึงให้หยุดทำ มาทบทวนธรรมดีกว่า อดีตท่านเป็นปัจฉาฯ พ่อครูรูปแรกเลย พ่อครูตื่นตี ๒ มาเขียนหนังสือ พ่อครูพากเพียรมาก
ช่วงนี้ตัวท่านเองได้ทบทวนเหมือนเกิดใหม่
๑๓.๐๐น. – ๑๕.๐๐น. รายการภาคบ่ายโดยสมณะเสียงศีล ชาตวโร พูดถึงธรรมะ ทั่วๆไปต่อจากช่วงก่อนฉัน
รายการภาคค่ำ ฉายภาพยนตร์ “พระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลก”
วันจันทร์ที่ ๒๘ พ.ค. ๖๑
๐๙.๐๐น. อ.๒ (สมณะผืนฟ้า อนุตตโร) สมณะพอแล้ว สมาหิโต แสดงธรรม ที่วิหารรอยฟ้า หรือ อาคารสัมมาสมาธิ
๑๐.๐๐น. โรงเรียนผู้สูงวัย ๘๐ คน จากบ้านแม่คะ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ มาฟังธรรม จากสมณะดวงดี ฐิตปุญโญ สมณะลานศิลป์ วชิโร ที่วิหารรอยฟ้า
รายการภาคบ่าย มีคุณเกร็ดดิน อ.๒(สมณะผืนฟ้า) สม.สัจฉิกตา
รายการภาคค่ำ ฉายภาพยนตร์ “พระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลก”
ค่ำนี้พ่อครูเดินทางมาถึงสนามบินเชียงใหม่ แล้วไปพักค้างที่บ้านคุณป้อม(อนุบาลโพธิรักษ์)
วันอังคารที่ ๒๙ พ.ค. ๖๑
พ่อครูและคณะปัจฉาฯ เดินทางมาจาก บ้านคุณป้อม มาถึงภูฟ้าผาธรรม พ่อท่านมีอาการไอ
๐๙.๐๙ น. พ่อครูแสดงธรรม…
พ่อครูว่า… วิหารเล็กๆแต่คนเต็มแน่นดี ถ้าหากวิหารใหญ่ใหญ่คงจะดูโล่งๆ วิหารเล็กๆคนเข้ามาน้อยๆก็เต็ม
ขณะนี้อาตมาก็ได้นำพระบรมมาสารีริกธาตุมาจะประจุลงไปใน พระพุทธรูปที่เราได้มีขึ้นมาช่วยกันสร้างขึ้นมา ณ ที่นี้ พระพุทธรูปพระพุทธาภิธรรมนิมิต เป็นหินแกรนิตจากแม่น้ำโขง
จริงๆแล้วแม้แต่จะสมมติลงไปเพียงรูปพระพุทธรูป สมมุติว่าเป็นรูปเหมือนพระพุทธเจ้าก็เป็นที่เคารพเป็นที่ยอมรับที่ใช้ได้แล้ว แต่เรา ยิ่งมีพระบรมมาสารีริกธาตุด้วยเราก็เอาพระบรมมาสารีริกธาตุมาร่วมด้วยช่วยกันไปเพื่อจะบรรจุลงไปในนลาดที่หน้าผากด้วย ก็ยิ่งจะยืนยันชัดเจนยิ่งขึ้นว่าเป็นพระพุทธเจ้าถือว่าเป็นเครื่องหมายที่เราจะได้ระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันเพื่อจะได้เป็นที่เกาะที่หยุดเป็นที่พึ่งของคนคนต้องมีที่ยึดถือที่พึ่งที่นับถือถ้าไม่เช่นนั้นก็ไม่มีเครื่องยึดถือนับถือก็ใช้กันไ ก็ยิ่งจะยืนยันชัดเจนยิ่งขึ้นว่าเป็นพระพุทธเจ้าถือว่าเป็นเครื่องหมายที่เราจะได้ระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันเพื่อจะได้เป็นที่เกาะที่หยุดเป็นที่พึ่งของคนคนต้องมีที่ยึดถือที่พึ่งที่นับถือถ้าไม่เช่นนั้นก็ไม่มีเครื่องยึดถือนับถือก็ใช้กันไป
การยึดถือมันเป็นเรื่องดีและเป็นเรื่องไม่ดี ถ้ายึดมั่นถือมั่นแล้วก็ติดยึดด้วยความไม่รู้หรือความไม่มีปัญญาก็เป็นการยึดที่เสียหายเลวร้าย ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ต่างกันกับศาสนาเทวนิยมเทวนิยมจะยึดถือพระเจ้าซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้ใครเห็น พระเจ้าเป็นสิ่งสมมุติอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้เค้าจะรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของพระเจ้าหมด เค้าก็สมมติไป
แต่ของพระพุทธเจ้านั้นศาสนาพุทธมีที่สมมุติมีที่สัมผัสได้เป็นที่ยึดที่เกาะก็ไม่ใช่เวิ้งว้างว่างไม่มีอะไรเลย
สุญญตาคือสภาพของจิตวิญญาณที่ไม่มีอะไรเหมือนกัน สุญญตา อนัตตานั้นไม่มีอะไร เพราะฉะนั้นผู้ใดที่ถึงขั้นสร้างจิตให้เกิดปัญญาให้เกิดความรู้ให้เกิดสภาพของความไม่ยึดมั่นถือมั่นซึ่งสูงกว่าเทวนิยม ที่เขายึดมั่นถือมั่น พระเจ้าต้องไม่ไปไหน ต้องอยู่ตลอดไปนิรันดร ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งอุจเฉทิฏฐิ ไม่ยึดเลยไม่มีอะไรเลย พระเจ้าก็ไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไรเลยสูญว่างหมดเลย ส่วนศาสนาพุทธนั้นมีทั้ง 2 อย่างมีทั้งมีและมีทั้งไม่มี และก็เข้าใจว่าอ๋อ ความมีคือสิ่งที่มี ความไม่มีคือสิ่งที่ไม่มี แล้วเอาสิ่งที่จริง จริงๆจากส่ิงที่มีกับไม่มี มาใช้อาศัย ทั้งสอง ทั้งสุญญตา ในสุญญตสูตร จูฬสุญญตสูตร ท่านก็อธิบายว่า ความไม่มีหมายความว่าสิ่งนั้นคือกิเลส กิเลสมันมีเราก็ต้องรู้ว่ากิเลสมันมีแล้วเอากิเลสออกไป เอาออกไปแล้วก็คือไม่มี หากมันมีอีก เอากิเลสหยาบออกไปก่อน กิเลสหยาบออกไปแล้ว ก็ไม่มีอีก เหลือกิเลสรองกิเลสกลาง ก็รู้จักกิเลสกลางให้จริง แล้วก็เอาออก ล้างออก กำจัดออกชำระออก จริงๆเลย อย่างที่พระพุทธเจ้าว่า มันลดลงไป มันค่อยๆน้อยจนมันหมด หมดชั่วคราว จนหมดถาวร หมดตลอดกาล เหลืออีกนิดหนึ่ง อรูป จนรู้ว่าเหลือนึดหนึ่งก็ล้างให้หมดเกลี้ยงเลย เป็นความจริงที่มีสิ่งรองรับมีภาวะรองรับ ไม่ใช่ว่า เวิ้งว้างไม่รู้อะไร เพ้อๆ ฝันๆ ลมๆแล้งๆจินตนาการไม่ใช่ของพุทธมีสัมผัสจริง เข้าใจจริงรู้จริงว่าอะไรมีอยู่อะไรไม่มีชัดๆจริงๆ ศาสนาพุทธเป็นอย่างนั้นไม่ใช่ศาสนาเวิ้งๆว้างๆ ไม่รู้ไม่เห็นไม่มีสภาพจริง แต่อันนี้มีสภาพจริงนี่คือศาสนาพุทธ ความลดลงไปหรือความว่างไม่มีเลย หรือว่ามันมีเหลือ รู้ด้วยนามธรรม ด้วยอาการที่เป็นจิตวิญญาณรู้ว่า อกุศลจิตมีไหม กิเลสไม่มีจริงๆ นี่ของศาสนาพุทธเราชัดเจนอย่างนั้น
ที่นี้สมมุติต่างๆเราก็รู้สมมุติ มีคนท้วงคนทัก ว่า ก็พระบรมสารีริกธาตุนี่ แน่ใจหรือว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุของจริง เราก็บอกว่าจริงหรือไม่จริงก็ตาม ก็อยู่ที่เราเองถือว่าจริงก็จริง ถือว่าไม่จริงก็ไม่จริง เพราะฉะนั้น คนที่เขาจะไม่จริงไม่เอาจริงไม่เชื่อจริง ก็เรื่องของเขา ใจคนที่เชื่อจริง มีจริงเขาก็เชื่อ อยู่ที่คนจะยึดถือจะเชื่อหรือไม่เชื่อจะจริงหรือไม่จริง ก็เท่านั้นเองบังคับกันไม่ได้
อย่างอาตมานี่อาตมาบอกว่า มาเป็นผู้สืบทอดศาสนาพุทธเป็นโพธิสัตว์มายืนยัน มาบรรยายอธิบายความจริง เข้าใจความจริง รู้จักความจริง แล้วก็เป็นพระโพธิสัตว์จริงๆ คนที่ฟังรู้ว่าน่าจะใช่นะ เพราะใช้ปัญญารับฟังรับเอาเองว่าน่าจะใช่ เพราะอาตมาก็พูดก็บอกก็พิสูจน์ยืนยันสิว่าอาตมาอธิบายธรรมะ ธรรมะที่ฟังแล้วมันมี ธาตุของความจริง ธาตุแท้ของความจริงมันฟังได้ว่าเป็นความจริง จริงๆพิสูจน์ได้ตั้งแต่หยาบ สัมผัสได้เลย คือหยาบ อะไรหยาบก็แล้วแต่ตั้งแต่โลกธรรม หยาบที่สุด สิ่งที่คนถือว่าเป็นหนึ่งก็คือ ลาภ
ทรัพย์สินเงินทองข้าวของต่างๆ …นายพุทธแท้ จะเทศน์แข่งกับหลวงปู่หรือไง?
อาตมาเอามาพูดเอามาประกาศคนที่เชื่อเขาก็เชื่อ เขาเชื่อเพราะเขาใช้สัญญาของเขาตัดสินความรู้ว่าฟังได้ ใช่ๆ อย่างนี้ใช่แน่ๆ ใช่ที่ว่านี้อะไรก็แล้วแต่ อาตมาหมายถึงปรมัตถธรรม หมายถึงความรู้ที่เป็นธรรมดาลึกซึ้ง ว่าอย่างนี้ตรงกับคำสอนพระพุทธเจ้าแน่เลย อธิบายกิเลส ก็ใช่แล้วอย่างนี้กิเลส เอากิเลสออก อย่างนี้เป็นอย่างนี้
อาการเป็นนามธรรม อาการ ลิงค นิมิต อุเทส เราจะรู้รูปนามของ นามธรรมนี้ได้ สัมผัสของเราเอง ว่าอาการนี้มันใช่มันมี กิเลสอยากได้ กิเลสอยากเป็นอยากมี อาการอย่างนี้เราจำได้ นิมิต รู้เอง เสร็จแล้วเราก็ พอสัมผันอันนี้พอมันอยากได้ อาการเกิดเมื่อไหร่เราก็เห็นอาการเกิด จนเราเรียนรู้ได้ว่าจะไปยึดมันทำไม ไม่ต้องมีก็ได้ไม่ต้องเป็นก็ได้ ถึงมีก็ได้ ไม่มีก็ไม่เป็นไร ชีวิตขาดอันนี้ได้ ชีวิตไม่ต้องมีสิ่งนี้ได้ จนเรา ไม่จำเป็นจะต้องมี หรือมันมี แต่เราก็สัมผันก็รู้ว่ามันมี เราต้องอาศัยมันไหม ถ้าเราไม่ต้องอาศัยมัน มันก็มีไปมันก็อยู่ในโลก ก็มีไป
เราไม่ดูดไม่ผลัก อาการสูงสุดก็คืออาการไม่ดูด ไม่ผลัก กลางๆ รู้ความจริงตามความเป็นจริง ถ้าเราจะต้องอาศัยใช้สอยเราก็เอาได้โดยสุจริต ไม่เอาของใครไม่แย่งใครไม่โกงใคร ถ้าไม่ใช่ของเรา อย่าเอา สร้างเอง สร้างให้ได้ ส่ิงนี้สร้างขึ้นมา เราจะใช้ก็สร้าง ไม่ได้เราก็ไม่เอา สร้างไม่ได้เราก็ไม่มี ไม่ต้อง เอาอันอื่นแทนหาอันอื่นแทน
เราจะค่อยๆเข้าใจสิ่งลึกซึ้งที่อาศัยกันและกัน ว่าในโลกนี้เราได้อาศัยก็ดีไม่ได้อาศัยก็ไม่เป็นไร หาอันอื่นแทน ไม่มีอันอื่นแทนก็ไม่เป็นไร เอาจิต จิตเป็นของเรา เราไม่มีอะไรเลยจะกราบเคารพพระพุทธเจ้า เราก็เอาจิตของเรานี่แหละกราบเคารพทั้งหมดเลย จิตของเรามีให้ แหละให้พร้อมทั้งกายกรรม วจีกรรม ให้มโนกรรม ไม่มีอะไรเลยก็ให้มโนกรรม
เราก็รู้ว่าเราจะให้ ในศาสนาพุทธนั้นสูงสุดคือการให้ ผู้ใดจบด้วยการให้ ไม่เอา ไม่มีไม่เป็น มีแต่ให้ ไม่เอา ผู้นี้มีจิตแบบนี้แหละ เป็นอรหันต์เลย จบ อรหันต์เป็นง่ายจะตาย ไม่ต้องเป็นไม่ต้องมีไม่ต้องเอา ให้อย่างเดียว จบ จิตที่ให้ใครจะเอาอะไร เราเห็นควรก็ให้ ไม่เป็นควรก็ไม่ให้ ให้ไปแล้ว หนึ่งให้ไปแล้วก็เอาไปทำร้าย สองให้ไปแล้วก็เอาไปติดยึด สามให้ไปแล้วเสริมกิเลสเขาให้ยิ่งโตขึ้นๆ ไม่ต้องให้ อย่าให้ อย่างนี้เป็นต้น จบแล้ว เทศน์…อ้าว บรรจุฯ …สาธุ
พ่อครูบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่พระพุทธาภิธรรมนิมิต จากนั้นครอบครัวคุณนิวัช (จุ้ย) ตันติวัฒนไพศาล กล่าวถวายธรรมสถานภูฟ้าผาธรรม จากนั้น นร.สส.ภ. ตีกลองสะบัดชัย
๑๓.๑๓ น. รายการภาคบ่าย เสวนาโครงการ การขับเคลื่อนการตรวจสอบ ภูมิโสดาบันในตน มีสมณะ ๙ รูป พระอาคันตุกะ ๑ รูป สิกขมาตุ ๔ รูป คุณไชยวัฒน์ สินสุวงษ์ ดร.วิชัย รูปขำดี หลังรายการนี้ มีการประชุม นักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรมและกลุ่มรามบูชาธรรม
ช่วงบ่ายวันนี้ มีการสอยดาว ต้นกัลปพฤกษ์
รายการภาคค่ำ สมณะ สิกขมาตุ เวียนธรรม โดยสมณะเดินดิน ติขวีโร นำสวดมนต์ และดำเนินรายการ ที่พระวิหารรอยฟ้าหรืออาคารสัมมาสมาธิ
๑๙.๐๐น. พ่อครูเทศน์เวียนธรรม วิสาขบูชา
พ่อครูว่า…วันนี้วันอังคารที่ 29 ตุลาคม 2561 ที่ ธรรมสถาน ภูฟ้าผาธรรม จ.เชียงใหม่ ฝนไม่ค่อยจะลาเลยนะ วันนี้วันวิสาขบูชา ก็ต้องพูดกันเกี่ยวข้องกับวิสาขบูชา ตามประสาอาตมา ตามความรู้ของอาตมา
วิสาขบูชามีทั้งวันเกิด วันตรัสรู้ วันตาย พูดภาษาไทยง่ายๆ
เกิด คำนี้ก็ลึกซึ้ง เป็นธรรมะที่ลึกซึ้ง ตรัสรู้นั้น แน่นอนยิ่งลึกซึ้ง และตายก็ลึกซึ้ง การเกิดการตายนี้อาตมาก็เคยอธิบาย ตรัสรู้เคยอธิบายมาเยอะแล้ว ในปรมัตถธรรม
การเกิดนี้ไม่ได้หมายถึงการเกิดของ อัณฑชโยนิ สังเสทชโยนิ ชราภุชโยนิ ไม่ได้เป็นการเกิดตัวตนบุคคลเราเขา เกิดออกมาจากมดลูก แล้วมาเป็นคนหรือเป็นสัตว์ที่เป็นไข่ก่อน แล้วค่อยไปฟักตัวออกมา เป็นการเกิดที่ชนิดหนึ่งในการเกิด 4 ชนิด ที่พระพุทธเจ้าตรัส หรือไม่ก็สัตว์เล็กพวกแบคทีเรีย เชื้อตัวเล็ก เซลล์เล็ก เกิดอย่างแตกตัว สังเสทชโยนิ
ส่วนการเกิดของธรรมะคือโอปปาติกโยนิ คือการเกิดของจิตวิญญาณ ที่รู้จัก อาการ ลิงค นิมิต อุเทส
รูป คือสิ่งที่ถูกรู้ เป็นนาม รูป ไม่ใช่วัตถุดินน้ำไฟลม ไม่มีสีสันตัวตนรูปร่างเส้นเสียงอะไร แต่รู้ได้ด้วยการเคลื่อนไหว
เราดูทางภายนอกง่ายๆ ลมพัด ลมพัด ก็ไม่เห็นลมพัด แต่เราเห็นอะไรที่ลมพัดก็เลยรู้ว่ามีลมพัด ขนาดลมอากาศยังไม่เห็นแสงสีเสียง แต่ก็รับรู้ได้จากสิ่งแสดง อย่างน้อยฝุ่น ควันหรืออะไรซ้อนในลมแทรกในลม เราก็พอจะรู้ได้ แต่ถ้าให้ลมพัดถูกเรา เราก็จะรู้ความแรง เย็นร้อน รู้ได้ด้วยอาการ ลิงค นิมิต ยังไม่ต้องถึงจิต แต่จิตละเอียดกว่านั้นพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 19 ข้อ 60
เราจะรู้รูป สัมผัสได้ รูปที่รู้ได้ เป็นปสาทรูป เป็นนามรูป นามคือธาตุรู้ รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ แม้เป็นนามธรรม มันเป็นนามนาม แต่มันถูกรู้ได้ก็เรียกนามรูป มันถูกรู้โดยเรา เป็นธรรมะสอง ธรรมะคู่ อันหนึ่งเป็น object อันหนึ่งเป็น Subject เมื่อกระทบก็รู้ สิ่งที่ถูกรู้เรียกว่า object หรือรูป แม้จะเป็นนามธรรมเราก็รู้ได้ อย่างที่ท่านบินบนพูดเมื่อกี้เราต้องรู้กิเลส กิเลสเป็นนามธรรมที่เป็นอกุศลจิต เราต้องรู้อ่านอาการกิเลสออก อาการ ราคะ โทสะ โมหะ
อาการมันเกิดในปัจจุบันธรรม พุทธเจ้าสอนปัจจุบัน เป็นสัจจะเป็นความจริง อดีตกับอนาคตไม่ตรงสภาวะไม่ครบ ต้องเอาปัจจุบัน ภาษาบาลีเรียกว่า ทิฏฐะ ปัจจุบัน ขณะนี้หลัดๆ มีสิ่งที่ถูกรู้แล้วเราก็รู้ รู้ได้ขณะหนึ่ง ขณะกิเลสเกิดต้องมีเหตุวัตถุภายนอกเรากระทบ
เช่น นี่เรากระทบ หยกอย่างงามหยกเขียวชมพูม่วง ไปกระทบแล้เวกิดกิเลส ตากระทบภายนอกพร้อมทั้งจิตเรารับรู้ มันก็เกิดเรียกว่าโอปปาติกโยนิ มันเกิดแล้วปรุงแต่งกันเร็วๆนะเกิดความชอบด้วยอยากได้ มันเร็วถึงขนาด หนึ่งชอบ สองอยากได้ นี่เป็นภาษาไทย เร็ว สาม คว้าเลย คนเจ้าของเห็นก็ว่า ตบมือเลย ไม่ทันคว้า หากจะเอาอีก ก็ตอนนี้ก็ต้องแย่งกันล่ะ
เราอ่านจิตนี่เป็นหลัก ต้องอ่านออก มันเป็นสัจจะ พระพุทธเจ้า ถ้าเรียนให้ดีให้ถูกต้องเห็นการเกิดในปัจจุบันตอนสัมผัส นั่นคือของจริงยิ่งกว่าอดีต จริงกว่าอนาคต มันคือของจริงเป็นสัจจะภาวะปัจจุบัน เรียกว่าสัมปัตติ บัดเดี๋ยวนี้ บัดดลนี้เลย
นี่เป็นส่ิงที่พระพุทธเจ้าท่านชัดเจน สอนวิธี เมื่อเราอ่านรู้อาการแล้ว เราก็เรียนรู้วิธีที่จะลดกิเลส ต้องใช้ ศีล-สมาธิ-ปัญญาหรือเต็มรูปก็ใช้ สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ มีศรัทธาหิริโอตัปปะสติสมาธิปัญญา ฌาน 1 2 3 4 ในจรณะ 15 แล้วมี วิชชาอีก 8 มีวิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ อิทธิวิธญาณ จนมีอาสวักขยญาณ
ศีลก็คือนามธรรม จริงมันมีหลักเกณฑ์พยัญชนะมาก่อน เช่น 1 กระทบกับสัตว์ 2 อย่าเอาของที่ไม่ใช่ของของเรามา 3 เรื่องของรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เรื่องกามคุณ 5 ในศีลข้อ 1 2 3
ศีลข้อ 1 อธิบายบ่อยแล้ว ยกข้อ 2 บ้าง ของ ตั้งแต่เป็นวัตถุเป็นอุตุนิยามหรือ พีชะก็เรียกว่า ของ ถ้าสัตว์ขึ้นไปอยู่ศีลข้อ 1 ถ้าไปเกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์กับสัตว์แล้วเกิดกิเลสกับสัตว์ ก็เป็นศีลที่ 1 ส่วนข้อที่สองก็เป็นเกี่ยวกับข้าวของเล่นดินน้ำไฟลม ทรัพย์สินเงินทองแก้วแหวนเงินทอง เสื้อผ้าหน้าแพร เป็นของทั้งนั้น ไปชอบไปหลง แย่งชิงฆ่าแกงกัน กับของกับพืช ไม่ใช่ของเราแล้วไปแย่งมาอย่างนี้เป็นต้น
เราสัมผัสกับสิ่งใด เกิดกิเลสไปแย่งของเขามาโดยไม่สุจริต เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง อยากไปเอามาเป็นของ ก็อ่านจิตของเรา ว่าสัมผัสแล้วเกิดกิเลส อย่างต้นนี้ตรงหน้า ต้นหัวใจ จะเอา เราก็อ่านอาการใจของเรา ว่านี่เป็นของคนอื่นนะไม่ใช่ของของเรา หรือเราไม่มีสิทธิ์ เราก็อย่าไปละลาบละล้วง อ่านอาการอยากได้ ตัณหา อยากได้จะเอา เลิกอาการนี้จากจิตให้ได้ เราเรียนไปจะรู้ว่า มันไม่ใช่ของเรา หากเรามีปฏิภาณดีรู้พลังของความรู้ อินทรีย์พละมีธาตุรู้ ธาตุรู้ชนิดนี้เป็นธาตุรู้โลกุตรธรรม เป็นของพระพุทธเจ้า การรู้เช่นนี้เป็นพลังงาน
อธิบายคือ รู้ธาตุรู้ แล้วมันก็มีฤทธิ์ทำให้กิเลสจ๋อยลงจางลง หมดฤทธิ์แรงน้ำหนักเลย อธิบายอย่งแรงคือ คุณต้องฝึกฝนพลังงานปัญญา พลังงานความรู้ ปัญญาคือ ความรู้ของพระพุทธเจ้า ความรู้จักเฉลียวฉลาดอัจฉริยะอย่างไรก็ไม่ใช่ปัญญาเป็นแค่ เฉกาหรือเฉโก แต่เขาก็เรียกปนจะไปหมดอะไรก็เป็นความฉลาดปัญญาไปหมดมันผิด ปัญญาเป็นของพระพุทธเจ้ามาจากอัญญา + ป มันเป็นของเฉพาะศาสนาพุทธ
สรุปแล้ว คุณสร้างพลังงานปัญญาเกิดให้ได้ พลังงานปัญญาเกิดได้จริงถูกต้องชัดเจนและมีฤทธิ์มีอำนาจมีพลัง ทำให้กิเลสลดได้เร็วขึ้นๆๆๆ ทันทีอาจจะนิดหนึ่งหรือไม่ทันที ซ้ำซากกับอดีต จนเร็วมากขึ้นมีพลังสะสมทับถมควบแน่นสูงขึ้นทั้งเร็ว ทั้งแรง ทั้งมีประสิทธิผลสมบูรณ์ขึ้นด้วยเรื่อยๆ ใช้พยัญชนะอธิบายนามธรรม ที่ต้องสร้างต้องฝึกเอา ไม่ต้องท้อ
ทีนี้การเกิด ในเกิดนี่ มันจะมีตาย พอเราตรัสรู้ มีความรู้ตามพระพุทธเจ้าว่าเป็นความรู้พิเศษในการรู้กิเลสนะ มีแต่ลัทธิพระพุทธเจ้าเห็นรู้สัมผัสรู้ ในปัจจุบันเลย การรู้นี่เร่ิมมีสัจจะภาวะของจริงแล้ว เกิดความจริง รู้ตัวนี้ เป็นตัวรู้ตัวแรกของพระโสดาบันเรียกว่า รู้สักกายะ รู้ตัวตนกิเลส สักกะคือตัวเรา กายคือธรรมะสอง กายก็คือจิต กายไม่ใช่ดินน้ำไฟลม ขอพูดผ่านๆไปก่อน
พอรู้อันนี้แล้วเสร็จ นี่เกิดนะ ยังไม่มีตายรู้อะไรรู้กิเลส ก็ปฏิบัติตามทฤษฎีที่สมาธิที่สามารถสร้างพลังงานปัญญาให้มีพลังงานที่เรียกว่าไฟฌาน ฌานนี้ร้อนไม่ใช่เย็นนะ ไม่ใช่นั่งสะกดจิต meditation เป็นแบบฤาษี
สรุปว่าสามารถรู้กิเลสได้และลดกิเลสได้เป็นพลังงานบุญ พลังงานนี้จึงสลายกิเลส เป็นพลังงาน ฌาน คือดาบอาญาสิทธิ์ ฌานคือดาบ ที่ฟันเข้าก็แล้วกันจะเก่งก็ฟันเข้ามาก ไม่เก่งก็ฟันไม่เขา ดาบอาญาสิทธิ์ของจอมยุทธฟันแบบไม่เห็นเลยแต่มันเข้าไปแล้ว นั่นเก่งที่สุด
กิเลสไม่มีกิเลสถูกประหารนั่นคือตาย กิเลสตาย ตายไม่ตายทันที ต้องพิสูจน์ ตายแล้วตายอีกต้องฆ่าแล้วฆ่าอีกให้ซ้ำ
ทฤษฎีที่สำคัญคือต้องรู้เวทนาในเวทนาวันนี้จะไม่ลงรายละเอียดในเวทนาร้อยแปด กรรมฐานของวิปัสสนาคือเวทนา เวทนาในเวทนา ซึ่งต้องเรียนด้วยกาย เรียนด้วยจิต จึงเป็นโลกุตรธรรม คือ กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นโลกุตรสมบูรณ์ก็จบ กายจึงต้องมีธรรมะสองเสมอ ทเวธัมมา คือธรรมสอง ธรรมะคู่ แล้วก็เรียน ทำให้เทนาเป็นหนึ่ง เอกสโมสรณาภวันตะ คือหัวใจของศาสนาพุทธ คือในเล่ม 10 ข้อ 60
เราสามารถรู้จักเวทนา ฐานสำคัญคือมโนปวิจาร 18 คร่าวๆ
18 คือ ทวาร 6 ตาหูจมูกลิ้นกายใจมันกระทบสัมผัสภายนอกแล้วเกิดสภาวะ รู้ เวทนา เกิดเวทนา 3 ปรุงเป็นสุขเป็นทุกข์หรือปรุงเป็นไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นอาการ 3 คืออุเบกขา ถ้าธรรมะพระพุทธเจ้าคือเนกขัมสิตอุเบกขา ถ้าโลกีย์ก็พักยก อุเบกขา อยู่เฉยๆเหมือนกัน แต่เคหสิตอุเบกขา แต่ของพระพุทธเจ้าทำสำเร็จเป็นอุเบกขาเวทนา ทำได้ตัวแรกก็เป็นผลสำเร็จ ไม่ผลักไม่ดูดไม่ทุกข์ไม่สุขไม่ดำไม่ขาวไม่ไปไม่มา ไม่ขึ้นไม่ลง กลางๆ จะเป็นอย่างไรต้องรู้ด้วยปัจจัตตังต้องรู้ด้วยตนเอง ให้ออกคนอื่นมารู้แทนไม่ได้ ต้องสร้างเองเกิดเองเห็นเอง
เห็นได้ เริ่มตั้งแต่ศีลข้อที่ 1 หรือศีลข้อที่ 2 ก็ได้ ข้อ 3 จะยากขึ้น สัตว์หรือของก็มีเยอะ สัตว์คนนี่เพศผู้เพศเมีย กิเลสซ้อนไปหาข้อ 3 เลย หรือแม้แต่ของกินของใช้ โภชเนมัตตัญญุตา ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส
สรุปแล้วอาตมาแยก เกิด คืออะไร ตรัสรู้คืออะไร ตายคืออะไร ตายคือกิเลส รู้คือธาตุจิตวิญญาณ เป็นปัญญา เกิดคือตัวร้าย ตัวกิเลส ตัวอาการของจิต เป็นอกุศลจิต
เรียกเป็นบาป อกุล ทุจริต มีไวยพจน์ synomyme อีกเยอะ อ่านอาการให้รู้ก็แล้วกัน แม้ใช้คำคล้ายกันคือตัวร้ายที่เราต้องกำจัด กำจัดโดยไม่ต้องวิธีรุนแรงอะไร สร้างปัญญาให้มากแล้วจะมีแรง ฌานเป็นรากฐานของปัญญา เกิดฌานเขาไปอธิบาย ไปนั่งสมาธิแล้วปัญญาจะเกิดขึ้นมามันก็ถูก แต่ฌานจะได้ต้องมีผัสสะแล้วสร้างพลังงาน เป็นไฟ ไปสลายไฟราคะ โทสะโมหะ เห็นหลัดๆเลย มีปฏิกิริยาฆ่ากันนะ แต่ไม่มีดาบมีดเขี้ยวหรอก กิเลสกับไฟฌานทำลายกัน พระพุทธเจ้าตรัส 4 คำ อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ปฏินิสัคคานุปัสสี
เราทำได้ตอนแรก กิเลส สมมุติว่าตัวเท่านี้ โลกียะจางคลายเอง มันไม่เที่ยงพักยกได้ เปลี่ยนไปไม่เที่ยงพักยก แต่ความไม่เที่ยงของศาสนาพุทธ สร้างพลังงานธาตุปัญญาให้กิเลสจางคลาย อนิจจานุปัสสีไม่เที่ยง โลกียะก็พักยกให้กิเลสหยุดทำงานได้เป็นครั้งคราวก็ไม่เที่ยงแต่มันก็ไม่ลดลงมีแต่เพิ่มขึ้น แต่เราต้องทำให้มันลดลงด้วยประสิทธิภาพของจิตเราได้ จนเราเห็นความจางคลาย ลดลงกว่าเก่า จนดับ ดับไปเป็นครั้งคราว นิโรธานุปัสสี ทำอีก ถูกแล้วอย่างนี้เรียกว่าอาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง ทำซ้ำๆ repeatๆ ซ้ำ แบบนี้แหละ เราต้องรู้ว่าเราทำอย่างไร อย่างนี้เรียกว่า ภาวนา
ภาวนาคือการเกิดผล ทำอย่างนี้แหละมัเนกิดผล อ๋อ อย่างนี้แหละทำอีก อาเสวนา ภาวนาเกิดผล เอาอีก เกิดอีก ทำอีก เกิดอีก พหุลีกัมมังทำให้มากๆๆๆ จนกระทั่งมันสำเร็จผลไม่เปลี่ยนแปลงกิเลสมันตายจนไม่เหลืออะไรจะเกิดอีกเลย อย่างรู้ๆเห็นๆของจริงเลย
อาเสวนา ภาวนา ต้องทำ ในโสดาบัน 7 ข้อต้องมีอาเสวนาภาวนพหุลีกัมมังนะ ญาณข้อ 2ของโสดาบัน ญาณข้อแรกรู้ วีติกมกิเลส ทำกิเลสแรกลดลงได้สำเร็จ แล้วต้องทำได้สำเร็จตามสูตรของพระพุทธเจ้าจึงเป็นพระโสดาบัน ทำลายกิเลสปริยุฏฐานได้ จึงเรียกคนนี้ว่าเป็นโสดาบัน แล้วก็ทำใหม่อีก เป็นอาเสวนาภาวนา พหุลกัมมังทำได้อย่างนี้เรียกว่า ภาวนา ทำให้เกิดผล กิเลสตายด้วยวิธีนี้แหละ เราก็ทำซ้ำ อาเสวนา จนพหุลีกัมมังจนจบ
อาตมาพูดเป็นตุเป็นตะ ฟังแล้วเข้าใจไหม? เข้าใจ พอมีภาษาตอบรับมากหน่อย พอบอกง่ายไหม? เบาลง แสดงว่าพอเข้าใจ แต่บอกว่าง่ายไม่กล้า บอกว่าง่ายแต่เราทำไม่ค่อยเก่งก็เลยไม่ง่าย ก็เลยตอบคำว่าง่ายได้ยากกว่าแต่เร่ิมเข้าใจก็ดีแล้ว อาตมาลัดข้าม responding ของคุณได้ คาดจากการตอบรับขอบคุณได้
วันพุธที่ ๓๐ พ.ค. ๖๑
๐๙.๐๐น. สมณะเดินดิน ติกขวีโร สมณะแสนดิน ภูมิพุทโธ แสดงธรรม เรื่อง “โชคดีที่ได้พบพ่อครู (ที่แท้จริง)” การได้มาพบพ่อครูได้เห็นกิเลสที่แท้จริง ได้เห็นกิเลส โชคดีแล้วนะ หากทุกคนตั้งใจมาเพื่อเห็นกิเลส ลดกิเลส และอธิบายเรื่องของการเกิด(ประสูติ) ตรัสรู้ ปรินิพพาน
๑๗.๓๐ น. พ่อครูบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่พระนลาฏ ของพระพุทธาภิธรรมนิมิตที่เป็นหินสีเขียว ที่ห้องประชุมตึกสัมมาสมาธิ
๑๘.๐๐ น.รายการภาคค่ำ พ่อครูอธิบาย เจโตสมถะ เตวิชโช สัมมาทิฏฐิ ๑๐ จากนั้นเอื้อไออุ่น และพานั่งเจโต…สู่แดนธรรมว่า…ผมเองกำลังประมวลธรรมะ คาดว่าแค่ละคนคงไม่เคยได้ยิน ในเรื่องของสังโยชน์ ทำให้ผมได้เกิดการวินิจฉัยว่า หากเป็นอนาคามีในโสดาบัน หากพ้นจากอนาคามีในโสดาบัน เป็นอรหันต์ในโสดาบัน ตัดกันตรงไหน
ผมเห็นว่าสูงสุดคืนสู่สามัญของโสดาบันนั้น อยู่ที่ทิฏฐิ เพราะถ้าหากทิฏฐิ เป็นสังโยชน์ข้อแรก พัฒนามาพ้นสงสัย ทำศีลได้ผล แล้วผมถือว่า ทุกคนที่มีปัญหาอยู่ทุกวันนี้ อโศกที่ไม่สมานกันเพราะว่าไม่กลับมาชำระทิฐิในสักกายะทิฏฐินั้น เพราะมันเป็นฐานของสกิทาฯอนาคาฯ ต้องชำระทิฏฐินั้นจนถึงระดับอาสวะอนุสัย หากไม่มีพื้นฐานตรงนี้ไปแล้วพวกเราจะเอาอะไรไปเป็นเครื่องทำให้ทิฏฐิของตัวเอง เป็นที่เบาบางลง หากเราไม่ฝึกตั้งแต่โสดาบัน
พ่อครูสอน ทิฏฐิที่ว่า รูปไม่ใช่เรา เราไม่ใช่รูป
พ่อครูว่า..คำว่ารูปไม่ใช่เรา เราไม่ใช่รูป คือผู้ที่สามารถเข้าใจธรรมะ 2 เข้าใจทำธรรมะ 2 แล้วทำให้ธรรมะหรือ 1 ได้ เมื่อเหลือ 1 ได้ก็ไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา รูปไม่ใช่เรา เราไม่ใช่รูป เป็นขั้นปลายขั้นจบ ขั้นที่ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดแล้ว
ผู้ที่ปฏิบัติธรรมถึงขั้นไม่มีตัวไม่มีตน โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา บทสุดท้าย อรูปอัตตา หากเป็นอนาคามีระดับสูง เพราะฉะนั้น เมื่อเราสอนอย่างนี้แล้ว เราสอนขั้นโสดาบัน ขั้นสกิทาคามีในโสดาบัน อนาคามีในโสดาบัน อรหันต์ในโสดาบัน
ถ้าเข้าใจอันนี้แล้วคุณสอนรูปไม่ใช่เรา รูปมันคืออัตตา รูปข้างนอกคือกาม ตากระทบรูปภายนอก แล้วเราก็ปฏิบัติธรรมชั้นรู้กิเลสที่มันเป็นกิเลสกาม ล้างกิเลสกามได้ จนกระทั่งกระทบแล้วตาหูจมูกลิ้นกายของเราในทวาร 5 กระทบแล้วไม่มีกิเลสภายนอก อยากได้ เช่น อยากได้ทรัพย์สินเงินทองข้าวของ ก็เฉยเฉยแล้ว ไม่อยากได้มาเป็นเราเป็นของเรา
รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็เรียนรู้ ข้างนอก รูปนี้เราต้องได้อย่างนี้ เสียงต้องได้อย่างนี้ กลิ่นต้องได้อย่างนี้ ไม่แล้ว กระทบภายนอก แสดงออกไม่เอา เรารู้สึกอายว่าเราไปติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แต่ยังมีภายใน รูปราคะ อรูปราคะ เป็นอนาคามี เหลือเราก็รู้
ในขณะที่เราอยู่ในโลก มีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสมีข้าวของ ก็ไม่ต้องการเป็นเราเป็นของเรา จนกระทั่งเป็นรูปที่คุณสัมผัสแล้วลดได้ ก็ยังอยู่สัมผัสเกี่ยวข้องกับวัตถุสมบัติ ข้าวของอันน่าได้น่ามีน่าเป็น ลาภยศสรรเสริญทุกอย่างในโลก เราก็อยู่สัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับมันเป็นธรรมดา แต่เราเองไม่ได้อยากได้อยากมีอยากเป็น รู้ว่าได้อาศัยแต่พอสมควรก็พอแล้ว ชีวิตนี้ไม่ต้องการไปแย่ง ลาภ แย่งยศ สรรเสริญใคร
แต่มันจะต้องได้เป็นบารมี ไม่อยากได้แต่มันก็จะได้ตามบารมี ยศก็ตาม ไม่อยากได้ยศ เขาก็จะตั้งยศให้แม้ไม่อยากได้หรอก ไม่อยากได้ลาภยศสรรเสริญ มันก็ได้ไปตามธรรมแต่จิตมันอยู่เหนือ มันจะได้มาตามธรรม เข้าไปถึงอนาคามี ไม่มีแสดงออกเลยภายนอก น่าอายแต่ภายในเหลือ เป็นรูปราคะ อรูปราคะ จนอนาคามีลด รูปราคะ อรูปราคะ เหลือมานะ ลดอีกจนกระทั่งเหลือเศษเป็นอุทธัจจะรู้เข้าใจหมดทุกอย่างทบทวน หมดอวิชชาก็หมดสิ้นสังโยชน์
หากเข้าใจสภาวะแล้วปฏิบัติจริง เป็นผู้ใกล้นิพพานแน่นอน ฟังดีๆ เข้าใจดีๆ แล้วตั้งใจดีๆกับปฏิบัติแล้วเป็นอรหันต์กันทุกคน จริงๆแล้วชาวอโศกเป็นอรหันต์ แต่มันไม่รู้บัญญัติไม่รู้สูตรอะไรของเรามันมีอรหันต์ แต่มันก็ไม่ชัดเจนมันไม่มีพยัญชนะ ไม่มีญาณทัศนะรู้ว่าเราหลุดพ้นแล้ว ไม่รู้ว่าหมดก็กลับไปมีใหม่ มันไม่เข้าใจไม่ชัดเจน ไม่รู้มโนปวิจาร 18 มันไม่เข้าใจชัดว่ามันมีฐานอุเบกขามันกลางรู้จุดสิ้นสุด รู้จักฐานอุเบกขาไม่ต้องผลักต้องดูด อะไรก็แล้วแต่ที่เราสัมผัสเกี่ยวข้อง ตั้งแต่วัตถุ ลาภ จนกระทั่งรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แล้วรู้อัตตาของเรา ก็เป็นของเรามีของเราหรือไม่ ตอนนี้แหละมันก็จบ เรียนรู้แล้วเราก็อยู่กับมันโดยที่มันก็มีเป็นธรรมดา ลาภยศสรรเสริญ ดีไม่ดีมันก็มีมากมายมา เราก็ไม่ได้ติดยึดเป็นเราเป็นของเรา เราก็เอามาใช้อาศัย
ยิ่งจะต้องมารับผิดชอบแบกหามอะไร เขาบอกว่ามีทองเท่าหนวดกุ้งนอนสะดุ้งจนเรือนไหว ถ้ามีทองท่วมหัวจะไปนอนอย่างไร สะดุ้งกระโดด กลัวคนจะมาแย่งชิงที่ปล้น ต้องสะสมไว้ทำไม แบ่งใครไปรักษาดูแลไว้ยิ่งดี มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆในจิต
เราอยู่กับสาธารณโภคี เราก็สร้างสรรไปให้กองกลาง ส่วนกลางก็ไม่ได้กักตุนให้มีมากมาย เราก็สะพัดออกไปให้แก่ภายนอกให้เกิดประโยชน์ ดีไม่ดีก็ทำตลาดอาริยะซื้อของมาขาย ผลิตของออกมาได้ก็เอามาขายให้ถูก เอามาแจกให้ได้ยิ่งดี เป็นคนที่สมบูรณ์สูงสุดในเศรษฐกิจ พวกชาวอโศกทุกวันนี้อาตมาพาทำ พวกเราเป็นนักเศรษฐกิจที่สบาย ไม่ได้มาถ่วงเศรษฐกิจ มีแต่ช่วยเศรษฐกิจประเทศ แด่ท่านสมคิดไม่รู้จักว่าพวกนี้เป็นสังคมหมู่กลุ่มที่ปฏิบัติเศรษฐศาสตร์ได้สมบูรณ์แบบแล้ว ตามในหลวงตรัสไว้ มาเป็นคนในฐานคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา จบ finish
_บุญยิ่งแก้ว นาวาบุญนิยม…ฟังอาแปลงแล้วก็รู้สึกว่าท่านมีความรู้มากมาย แต่ในตัวเราแล้ว เป็นเด็กใหม่ที่เวลาพูดธรรมะแล้วไม่ค่อยเก่งไม่ค่อยรู้ นับไปนับมาก็มาอยู่กับอโศกมา 7-8 ปีแล้ว ฟังธรรมะแทบทุกวัน ปริยัติพอเข้าใจ เรียนรู้พอได้ แต่เวลาปฏิบัติมันยังปฏิบัติได้ไม่เหมือนกับที่เรารู้
พ่อครูว่า…อันนี้ดี ตั้งใจว่าจะอธิบายตั้งแต่เริ่มต้น ปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคืออะไร
อธิบายในศีลข้อที่ 1. ศีลไม่ฆ่าสัตว์ เราก็จะต้องรู้ว่าชีวิตเราสัมพันธ์กับสัตว์สัมผัสกับสัตว์ ศีลข้อที่ 2. สัมผัสกับข้าวของ ศีลข้อที่ 3. สัมผัสกับตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราก็เรียนรู้พวกนี้ แค่นี้แหละพระพุทธเจ้าย่นย่อมา หากเราปฏิบัติศีลข้อ 1 2 3 เป็น
ปฏิบัติศีลธรรมะพระพุทธเจ้าได้หมดทุกอย่าง เกี่ยวกับสัตว์มันมีชีวิตมีวิบากมีบาปเวร มีการจองเวร ตัวเรากับสัตว์มันมีจิตวิญญาณสัมพันธ์กัน เกี่ยวเกาะกัน แต่ละคนมีวิบากมากมายสัมพันธ์กันและกันต้องเรียนรู้ ตัดวิบากที่ต้องมีวิบากกับสัตว์ต่างๆ ต้องไม่พยายามจะไปเกี่ยวข้องวุ่นวาย สัตว์ทุกตัวเกิดมาตามวิบากของเขา เขาก็ดำเนินไปตามวิบากของเขา บางตัวสัตว์บางตัวมันมีวิบากน่าสงสาร แต่เราไม่มีสิทธิ์เข้าไปเกี่ยวข้อง เช่นว่า ไปช่วยสัตว์ตัวนี้เจองูกำลังกินเขียด ก็เป็นอาหารของมันแล้วไปแย่งมัน คุณเองก็ปล่อยไป มันเป็นวิบากของมัน งูมันจะกินเขียดเป็นวิบากของมัน เราไปสอนงูมันว่าจงเลิกกินสัตว์ให้มันกินพืช คุณจะทำได้ไหม มันเป็นวิบากของสัตว์ คุณเอ๋ย มันเกิดมาเสือมันก็ต้องกินเนื้อ ให้มันกินผักกินหญ้าก็ไม่ได้ คนเลี้ยงหมา ให้กินมังสวิรัติก็ยังอยู่รอดได้บ้าง แต่เสือนี่ไม่ได้
เพราะฉะนั้นสัตว์มันเกิดมาก็มีวิบาก เราเอง เรามาพยายามเรียนรู้ หรือช่วยก็ช่วยกัน ขนาดอเวไนยสัตว์ก็ยังสอนไม่ได้ ขนาดอาตมาเอง มาก็มากันได้แค่นี้ ศาลาวิหารมีเท่านี้ยังไม่เต็ม เมื่อวานล้นเลย งานวิสาขบูชา
จริงๆแล้วเกิดมาเป็นสัตว์โลกโดยเฉพาะเป็นคน แล้วเป็นเวไนยสัตว์ เพื่อแสวงหาสิ่งที่ควรแสวงหาสำคัญกว่าเงินทองลาภยศสรรเสริญสุข เรามีชีวิตมาเอาธรรมะนี้สำคัญกว่าลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เรามีพอ สันโดษ มักน้อย อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ แค่นี้แล้วอสังสัคคะ วิริยารัมภะก็พากเพียรช่วยกัน อาตมาว่าอาตมาทำงานศาสนามาทุกวันนี้ประสบความสำเร็จทุกอย่างแล้ว มันเป็นสังคมที่สมบูรณ์ แม้แต่อาตมาไม่อยู่ พวกเราก็พากเพียรช่วยกันปฏิบัติเป็นหมู่กลุ่มเป็นสถานที่ เพราะฉะนั้น ภูฟ้าผาธรรม ต้องการให้เป็นอารามเป็นสถานที่ให้คนมาร่วมกัน ไม่ต้องเป็นเหมือนแบบสมัยพระพุทธเจ้าที่วัดก็ให้พระอยู่เท่านั้น อาตมาให้พวกเราสูงสุดขนาดอยู่ร่วมกันในวัดทั้งนักบวชและฆราวาสได้ แต่แรกๆเขาก็บอก เดี๋ยวเถอะ ที่นี่ มันมีทั้งนักบวชชายนักบวชหญิงเดี๋ยวมันก็มีลูกเณรออกมา เขาว่าอย่างนั้นแหละ แล้วยังไม่พอเอาฆราวาสมารวมกันหมดทั้งฆราวาสหญิงชาย ไอ๊หยา เขาก็หวั่นไหวกันว่าจะเละเทะ เรื่องราวคดีพวกนี้ มันจะมีคดี ผู้หญิงผู้ชายอะไรเยอะแยะดังสนั่น อาตมาทำมาสี่สิบกว่าปี พวกเราก็อยู่ได้อย่างสหศึกษา เป็นโรงเรียนที่มีทั้งผู้หญิงผู้ชายเรียนร่วมกันอยู่ได้ โดยไม่เกิดเรื่องเกิดราว เหมือนกับวัดวาอื่นๆ วัดอื่นๆเขาป้องกันมากกว่านี้ แต่พวกเรานี้ทำได้ แสดงว่าฐานจิตของพวกเรารู้เรื่องชั่วเลว ไม่ทำ มีพลังจิต ควบคุมไม่ให้ผิดศีลธรรมวินัยไปได้ขนาดนี้ก็ดี แต่ก็ต้องรู้จักขนาด ถ้าแกนแข็งแล้วก็ไม่ต้องห่าง แต่ถ้าแกนแข็งแรงขนาดนี้ก็ขยายได้ เป็นชุมชนสังคมก็ไม่เกิดเรื่องราวอย่างที่เขาเป็นกัน ที่เขาคาดว่า เดี๋ยวเถอะอโศกก็จะเละ แต่มันก็ไม่มี ของพวกเราไม่มีข่าวคราวเรื่องพวกนี้เลยนะ
-
พระของเราก็ไม่ไปวุ่นวายเกี่ยวกับเงินทอง
-
แม้แต่ฆราวาสเกี่ยวกับผู้หญิง ก็มาอยู่ในวัดก็ไม่มีเรื่องกับพวกนี้ เพราะฉะนั้นโดยกระแสของสังคม เขาจึงยอมรับตรงนี้สูงมาก เพราะว่าเรารักษาความไม่บกพร่องผิดพลาด ที่วัดวาอารามของเขาบกพร่อง รักษาไม่ได้ แต่ว่าอโศก เรารักษาได้ ขอให้รักษาความดีไว้ เหมือนขี้รักษาความเหม็น