610624_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก เศรษฐศาสตร์ 5 ชนิด
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1TVpgA1zDfZF6aOfgU406c6jmg-XCdjHZFSC-1RUdV54
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=11ThcuVkiA5ishzZBayPPoKSrwy0e-sw1
ดูยูทิวป์ได้ที่…
สมณะเพาะพุทธว่า…วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน 2561 ที่บวรสันติอโศก โปรดสังเกตตัวเลข 2 + 5 = 7 และ 6 + 1 = 7 ตัวเลข 77 เป็นตัวเลขที่พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ได้คุ้นชิน วันนี้เราได้มีผลไม้ ขนุน กล้วย สับปะรด มะม่วง และมะละกอ ตลอดจนกระทั่งผลไม้ประเภทอื่นๆ หน้าบริเวณบนโต๊ะที่แสดงธรรมของพ่อท่าน อยู่ไม่ใช่น้อยทีเดียว เป็นการแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของกสิกรรมธรรมชาติซึ่งเป็นหนึ่งในบุญญาวุธ
พูดถึงเรื่องบุญ เมื่อวานได้ฟังว่ามีศาลาแห่งหนึ่ง ที่ศีรษะอโศก ชื่อศาลาบุญถ่วม ต่อมาพ่อครูได้ตั้งชื่อใหม่เป็น ศาลาบุญเหมิด คือ ศาลาบุญหมด
อรหันต์คือผู้หมดบุญ ถ้ายังมีบุญอยู่คือมีกิเลสที่ต้องชำระสะสางอยู่ แต่ถ้าบุญหมดก็ไม่ต้องชำระกิเลสอีกต่อไป ในอภิสังขาร 3 มีปุญญาภิสังขารปุญญาภิสังขารและอเนญชาภิสังขาร
ปุญญาภิสังขารคือเสขบุคคล อปุญญาภิสังขารคือของอเสขบุคคล ส่วนอเนญชาภิสังขารคือสังขารของพระโพธิสัตว์
อะไรๆที่เราเคยรู้ เมื่อเรารู้อะไรมากขึ้น เราก็จะพบว่าเรายังโง่อยู่ คนเราฉลาดเท่าที่เราโง่ เพราะเรารู้ความโง่ของตัวเองจึงเริ่มฉลาดขึ้น
มีท่านผู้หนึ่งส่งประเด็นมาบนโต๊ะ
ลูกชายดิฉันแต่งงานครั้งแรกมีลูก 1 คนหลังจากรู้ว่าภรรยาของเขาไปชอบผู้หญิงด้วยกันจึงเลิกรากันไปจากนั้นภรรยาจึงไปอยู่กับทอม ส่วนดิฉันก็ช่วยลูกชายเลี้ยงหลาน ต่อมาลูกชายแต่งงานใหม่มีลูก 1 คนแต่ไม่ใส่ใจในตัวภรรยาและลูกใหม่เท่าที่ควร ลูกชายตั้งบริษัทอยู่ที่บ้าน ต่อมาภรรยาคนแรกรับลูกไปเลี้ยง หลังจากลูกชายมีลูกกับภรรยาใหม่ ภรรยาก็ส่งหลานมาให้ดิฉันเลี้ยง ลูกชายสนใจแต่หลานคนแรกมากไม่ได้สนใจลูกคนใหม่เลย ดิฉันสงสารสะใภ้กับหลานตลอดจนสะใภ้ที่ต้องมาทุกข์ทรมานกับเหตุการณ์นี้ ดิฉันกลัวบาปเพราะไปสู่ขอด้วยตัวเอง ดิฉันจะแก้ไขความทุกข์นี้ได้อย่างไร
ความทุกข์ทั้งหลายเป็นอริยสัจ พ่อท่านอธิบายว่าความสุขเป็นของเท็จ
พ่อครูว่า…ตอบของคุณคนนี้นิดนึง อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อันใดที่ไม่รู้เหตุปัจจัย เพราะเราไม่รู้เหตุปัจจัยของเขาหมด ที่สุดเราไม่รู้จิตของเขา จิตของเจ้าตัวเขาเองผู้เป็นพ่อ ทำไมเขาไม่สนใจลูกของภรรยาอีกคน ทำไมสนใจอีกคนนึง มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติของกิเลสคนที่ลำเอียง มันเป็นไปตามจริง เป็นขนมจีนผสมน้ำยาพอกัน สรุปแล้วอาตมาไม่โทษอะไรก็โทษวิบากโทษสิ่งที่มันมีมา วิบากที่แก้ได้ยากคือเราโง่เพราะอวิชชา แต่ละคนรับผิดชอบตัวโง่ของเราเองเถอะ ถ้าหากฉลาดจริงๆ คุณก็ไม่ต้องไปแต่งงานไม่ต้องไปมีลูกไม่ต้องไปมีสามีภรรยาอะไร มันก็ไม่เกิดปัญหาพวกนี้เลยใช่ไหม แต่นี่เขาไปทำแล้วมันก็มีขึ้นมาแล้วมันมี 2 ขึ้นมามันก็เกิดความแตกต่าง เอาไปเอามามันไม่ใช่แค่ 2 มันมี 4 แล้วตอนนี้ ภรรยาคนหนึ่งก็มีลูกภรรยาอีกคนหนึ่งก็มีลูกเป็น 4 แล้ว ก็หนักขึ้น เป็นภาระเป็นเรื่องความแตกต่าง ความแตกต่างนี้แตกต่างอย่างไม่มีปัญญาก็จะทุกข์ หากแตกต่างอย่างมีปัญญาก็จบ
ถ้าเขาทำอย่างไร ในสิ่งที่ไม่สมควรเราก็ต้องดูแลทั้งสองฝ่าย แต่เขาดูแลฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็เป็นวิบากของเขา ถามว่าทำไมก็ตอบไม่ได้ เขาเป็นคนธรรมดา อาตมาไม่ได้เป็นคนทำ ก็เลยไม่รู้ว่าทำไม แต่ทำไมไม่ทำของตัวเองตั้งแต่ต้น พอรู้ว่าทำแล้วเกิดเรื่องยุ่ง อย่างน้อยไม่ใช่แค่ตัวคุณยุ่งเอง 4 คนนั้นเขายุ่ง แต่คุณก็ไปยุ่งกับเขาอีก มันก็ยุ่งกันไปใหญ่
สมณะเพาะพุทธว่า…เลี้ยงลูกให้รู้จักโตเลี้ยงพ่อแม่ให้ลูกจักตาย
พ่อครูว่า…เป็นสภาพเครื่องวิบาก ไม่นิ่ง หากไม่เร่งและควบคุมได้ก็เป็นประโยชน์ แต่วิบากที่ไม่นิ่งและควบคุมไม่ได้ก็ถูกอย่างนี้แหละ สรุปง่ายๆอย่างนี้ก่อน จนกว่าเขาจะรู้ตัวแล้วเขาก็จะไม่วุ่นวาย จนกว่าคู่กรณีจะหยุดมาแต่มันก็จบไป
คำตอบของพระพุทธเจ้าคือหยุดเหตุปัจจัยหยุดความก่อเกิดหยุดความเคลื่อนไหว เมื่อมันก็เกิดแล้วก็อย่าให้เคลื่อนไหว โดยเฉพาะเคลื่อนไหวที่จะมากระทบกระแทกกระเทือนเราอยู่ มันก็ได้เหมือนกัน แต่ก็พูดที่ยังเคลื่อนไหวยังถือสาตัวตนอยู่ เรารู้สึกทีนึงก็กระทบทีนึง ถ้าหากกระทบชอบใจก็ผูกพัน ถ้าหากเรากระทบไม่ชอบใจก็พยาบาท มันก็อยู่แค่นั้น เพราะฉะ นั้นก็อย่าให้เกิดมากระทบกันเลย หรือว่ากระทบกันแล้วก็อย่าให้ทำรุนแรงกัน พูดด้วยพยัญชนะภาษาก็แค่นี้ ติดตามฟังธรรมมะไปเถอะ อาตมาก็สอนตามที่พระพุทธเจ้าสอนมา รู้จักเหตุแล้วลดตัวเหตุมันก็จะลดที่ผล หากไม่ลดที่เหตุมันก็จะเห็นผลเหมือนกันแต่ร้อนแรงขึ้น
ขอโอภาปราศรัยกับ SMS
SMS วันที่ 22-23 มิย. 2561 (สวนบุญผักพืช)
_อ๋อย เดนมาร์ค อิงดินฟ้า • กราบพ่อครูด้วยความเคารพรักค่ะ ดูพ่อครูสดใสกว่าวันอื่นๆ คงเป็นเพราะได้เห็นลูกๆ หลานๆ ล้อมทั้งหน้าและหลัง ขอให้พ่อครูอยู่กับพวกเราเกิน ๑๕๑ปีค่ะ ..
_ผ่องใส ฮิลล์ • กราบพ่อครู ค่ะ รับชมจาก. ออสเตรเลีย ขอบพระคุณมากค่ะ. สำหรับคำสอนที่ไม่เคยเหน็ดเหนื่อย. ลูกจะฟังให้มากและจะต้องปฏิบัติตามให้ได้มากที่สุด.
_ลัดดา จันทร์ศรี • ศรัทธา สันติอโศก
_นุกนิก บ้านดินภูเขาไฟ • เอิบอิ่มในใจไปด้วยครับ
_อ.นริศ แสงปัญญา นิมนต์พ่อครูอธิบาย 1. อารัมมณูปนิชฌาน 2. ลักขณูปนิชฌาน ว่าคืออะไร …
ฌาน ตามพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
ฌาน 2 (การเพ่ง, การเพ่งพินิจด้วยจิตที่เป็นสมาธิแน่วแน่ – meditation; scrutiny; examination)
-
อารัมมณูปนิชฌาน (การเพ่งอารมณ์ ได้แก่ สมาบัติ 8 คือ รูปฌาน 4 และ อรูปฌาน 4 – object-scrutinizing Jhana)
-
ลักขณูปนิชฌาน (การเพ่งลักษณะ ได้แก่ วิปัสสนา มรรค และผล – characteristic-examining Jhana)
วิปัสสนา ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะพินิจสังขารโดยไตรลักษณ์
มรรค ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะยังกิจแห่งวิปัสสนานั้นให้สำเร็จ
ผล ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะเพ่งนิพพานอันมีลักษณะเป็นสุญญตะ อนิมิตตะ และอัปปณิหิตะ อย่างหนึ่ง และเพราะเห็นลักษณะอันเป็นสัจจภาวะของนิพพาน อย่างหนึ่ง
พ่อครูว่า…สมาธินั้นที่ท่านว่าแน่วแน่ เป็นเชิงสมถะ แต่สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นมีทั้งนิ่งและเคลื่อน
มีสองเสมอ มีทั้งแก่นนิ่งและแกนวิ่ง แกนวิ่งยิ่งวิ่งได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งจะมีแกนนิ่งที่แข็งแรงมากขึ้นเท่านั้น ผู้ที่เข้าใจแต่ทางนิ่ง ก็อธิบายทางวิ่งไม่เก่ง ผู้ที่เอาแต่นิ่งอธิบายไม่ออก
คำว่า อารัมมณะ คือ Dynamic ตัววิ่ง คือ ตัวเคลื่อนไหว
ลักษณะคือตัว static ตัวนิ่ง รูปธรรม อารัมมณะคือตัววิ่ง
เราเองอย่าปฏิเสธตัวไหน คนที่มีลักษณะตัวนิ่งแล้วก็อย่าไปปฏิเสธตัวเคลื่อนไหว คนที่ได้ความเคลื่อนไหวแล้วแต่ตัวนิ่งไม่ได้ก็อย่าไปปฏิเสธตัวนิ่ง ต้องทำตัววิ่งของเราให้นิ่งให้ได้แล้วจะใช้ทั้งนิ่งทั้งวิ่ง ธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงเป็นธรรมะ 2 เสมอในลักษณะที่เรียกว่า ยังมี เรียกว่าเกิดชีวะ ถ้าไม่เกิดชีวะตายสนิทไปแล้วก็แล้วไปเถอะ อย่างนั้นมันเป็นศูนย์ไปเลย ถ้ามี 2 มันต้องขยับเขยื้อนต้องเดินทางต้องมีบทบาท
ต้องรู้จักตัวอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในตัววิ่ง ถ้าพิจารณาแล้วจบท่านก็จบ แต่ท่านอธิบายอยู่ในภาวะมรรคยังไม่จบ
มรรค คือลักษณะ วิปัสสนาคือลักษณะ คือทำกิจแห่งวิปัสสนานั้นให้สำเร็จ
ผล ท่านก็เรียกตัวนิ่งหมด วิปัสสนาก็ลักษณะ มรรค ก็ลักษณะ ผลก็ลักษณะ ก็เลยแยก ความต่างกันไม่ได้ เพราะไปเรียกเป็นลักษณะนิ่งไปหมด
มรรค คือทางปฏิบัติ วิปัสสนาคือตัวปฏิบัติตนคือตัวสำเร็จ
อาตมานับถือท่านพุทธโฆษาจารย์อย่างหนึ่งคือท่านซื่อสัตย์ต่อความรู้ ท่านดูอย่างไรท่านก็ซื่อสัตย์ต่อความรู้ท่านตรงจริง ท่านไม่คลี่คลายออกไป สู่อันอื่นที่ไม่ใช่อย่างนี้ ที่มันแตกต่างออกไป มันขยายมันโตมันพัฒนา ท่านตัดทิ้งเลย เอาแต่ตัวที่ท่านรู้อันเดียว แต่อาตมาเอาทั้งตัวที่ได้แล้วและตัวที่กำลังพัฒนาอธิบายทั้งตัว static และ Dynamic
แล้วท่านขยายความว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะเพ่งนิพพานอันมีลักษณะเป็นสุญญตะ อนิมิตตะ และอัปปณิหิตะ อย่างหนึ่ง และเพราะเห็นลักษณะอันเป็นสัจจภาวะของนิพพาน อย่างหนึ่ง
อธิบายตามพยัญชนะหมดเลย สุญญตะคือผลสำเร็จแล้ว อนิมิต มันไม่มีเครื่องหมาย อัปปณิหิตะ คือไม่ตั้งมั่น
อีกอย่างหนึ่งคือลักษณะจริง เป็นสภาวะของนิพพาน เป็นสัจจภาวะ สิ่งที่ปรากฏจริง สัจจะที่เป็นจริงของนิพพาน แล้วมันเป็นอย่างไร แล้วผลเป็นอย่างไร ก็บอกฐานะของท่านบอกภูมิของท่าน ท่านกำลังอยู่ในระยะนี้ ท่านกำลังอยู่ในภาคปฏิบัติ ท่านพุทธโฆษาจารย์ ยังไม่ถึงขั้นเป็นผลแล้วเอาผลนั้นมาพูดสำเร็จได้ ก็ยังดีที่มีสภาพปฏิบัติอยู่ ขออภัยพูดที่เป็น เชิงข่มท่าน ท่านเป็นภันเต บวชก่อนอาตมา แต่อายุน้อยกว่า แล้วท่านเป็นผู้ทรงความรู้มีหลักฐานรับรองทางโลก อาตมาอายุยาวกว่าท่านนิดหน่อย แต่ท่านบวชก่อน แม้อาตมาจะเป็นอรหันต์ก็ต้องไหว้ท่าน ตามหลักธรรมพระพุทธเจ้านั้นไม่สับสน
สมณะเพาะพุทธว่า.. ท่านปยุตตฺเกิดปี 2481 พ่อท่านเกิดปี 2477
พ่อครูว่า…ขออธิบายความรู้แค่นี้ก็แล้วกัน
มาเข้าสู่สภาวะที่จะพูดกัน อาตมาเตรียมไว้ จะอธิบายเรื่องเศรษฐกิจ 5 ประการ อาตมามั่นใจว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้และเอามาปฏิบัติจริงได้ ชาวอโศกปฏิบัติจริงแล้วปฏิบัติเศรษฐกิจ 5 เช่นนี้ ชนิดที่เรียกว่าเศรษฐกิจก็คือหมายความว่า องค์ประกอบของพฤติกรรมและวัตถุ ที่อาศัยใช้สอยอยู่ในมนุษย์ เพราะฉะนั้นจัดสรรให้วัตถุและพฤติกรรม ของมันสังเคราะห์สังขารรวมกันแล้วแบ่งกันใช้สอย อย่างไม่ทะเลาะกัน แบ่งกันอย่างสงบเรียบร้อยอบอุ่นอย่างพี่อย่างน้อง เหมือนชาวอโศกเราทำได้แล้วสุดยอดแล้ว พูดทีไรก็เหมือนกับยกย่องตัวเอง ขออภัยอาตมาเจตนาอธิบายยืนยันความจริง ไม่ได้เจตนาจะคุยทับถมข่มใครเลย แปลภาษามันก็พูดตรง เปรี้ยงๆอย่างนั้นมันเลี่ยงไม่ได้ พยายามทำความเข้าใจเจตนาของอาตมาบ้าง อาตมาไม่เจตนาไปยกตนข่มใคร เอาความจริง 2 มันก็มากกว่า 1 ตัว 3 มันมากกว่า 1 และ 2 นะ มันสูงกว่านะ ก็พูดความจริง หากมี 4 ตัว 4 ก็สูงกว่า 3 อีก อโศกมีเท่าไหร่ก็พูดเท่านั้น
ปรากฏการณ์จริงที่สูงกว่าอยู่ไหน ที่จะมาเรียกและดูกันได้ว่าใคร ขณะนี้อยู่ในตำนานอยู่ในประวัติศาสตร์อยู่ในบัญญัติ อยู่ในชื่อที่เรียกกันด้วยหลักการ หลักฐานเอามายืนยัน มันไม่มี โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจุบันนี้ พูดแล้วก็ระลึกได้ มันไม่มีว่าใคร อาตมาก็จำนนตรงนี้
เศรษฐกิจที่ดีคือเศรษฐกิจที่กินใช้ร่วมกันแบ่งกันให้อย่างพอเพียง คนที่อ่อนแอคนที่เจ็บป่วยก็ให้และรับจากคนที่แข็งแรง คนที่ทำได้มาก แต่คนที่แข็งแรงในสังคมนี้กลับเอาเปรียบจากคนอื่นอีก มันก็เป็นความทุกข์ร้อนไม่มีน้ำใจ ทำให้สังคมเดือดร้อน
อาตมาแบ่งลักษณะเศรษฐกิจไว้ 5 ประการ
-
เผด็จการ 2. ประชาธิปไตยทุนนิยมสามานย์ 3. คอมมิวนิสต์ 4. สาธารณโภคี ขั้นต้นและขั้นกลาง 5. สาธารณโภคีขั้นสุด ขั้นปลาย
เผด็จการเป็นตัวกูของกูยิ่งใหญ่เอาอำนาจเบ่งใหญ่ทั้งวัตถุก็เป็นของกูหมดนี่คือเผด็จการใหญ่
รองลงมาก็แบ่งประชาชนบ้างแต่ยังมีกิเลสหนาเป็นทุนนิยมสามานย์ เรียกว่าประชาธิปไตยเหมือนกัน หรือบางทีเรียกว่าคอมมิวนิสต์ แต่เขาจะเรียกประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นก็พยายามที่จะทำทีว่าให้ประชาชน แต่แท้จริงมันยิ่งซ้อน ยิ่งอาศัยประชาชนนั่นแหละทำทีเป็นให้ แต่เอาจากประชาชนมากกว่าที่ให้ นี่แหละคือเหลี่ยมคูของธัมมชโยและทักษิณ หากใครรู้ทันก็อย่าไปส่งเสริมและอย่าไปต่อเชื้อ
ต่อมาอันที่ 3 ก็เป็นคอมมิวนิสต์ คอมมิวนิสต์จะซื่อสัตย์ต่อประชาชน จะเป็นคณะไม่ใช่คนเดียวไม่ใช่เผด็จการคนเดียว ถ้าเป็นคณะใหญ่เท่าไหร่ก็ยิ่งดี แล้วก็อย่าทะเลาะกันแล้วอย่าโกงประชาชน แบ่งแจกประชาชนให้ได้สัดส่วน และตัวผู้บริหารจริง ตัวกรรมการคอมมิวนิสต์ ต้องได้น้อยกว่าประชาชน ต้องเอาให้น้อยกว่าหรือไม่มี ของพระพุทธเจ้าคือสาธารณโภคีสูงสุดเลยผู้บริหารไม่ต้องมี มาถึงขั้นคอมมิวนิสต์จึงดีขึ้นกว่าประชาธิปไตยทุนนิยมสามานย์ที่มันเป็นอยู่ทุกวันนี้ คอมมิวนิสต์จึงมีลักษณะเหนือกว่าประชาธิปไตยทุนนิยมสามานย์
พวกคอมมิวนิสต์ที่ขี้เก๊ บางทีเลวร้ายกว่าประชาธิปไตยทุนนิยมสามานย์ พอรวมหัวกันเอาเปรียบเพราะรวมหัวดูดกันมาให้มากๆได้ คอมมิวนิสต์ที่ดีก็คือเสียสละให้กับประชาชนก็คือเอาพลังงานของประชาธิปไตยนั่นแหละ เอาพลังงานประชาชนเป็นตัวตั้งไม่ใช่เอาพลังงานตัวตนเป็นตัวตั้ง ผู้ใดเข้าใจ 3 อย่างนี้
เผด็จการประชาธิปไตยทุนนิยมสามานย์และคอมมิวนิสต์ ก็อย่าให้เป็นแบบนั้น ให้สูงกว่านั้นเป็นสาธารณโภคี
ระดับที่ 4 สาธารณโภคีหมายความว่ามีส่วนกลางเป็นสาธารณะ แล้วร่วมบริโภคส่วนกลางกันตามสัดส่วนควรได้ ผู้ที่แข็งแรงผู้ที่มีแรงมีสมรรถนะมีความรู้ก็ทำ สร้างสรรให้ได้มากๆแล้วเกื้อกูลผู้อื่น ไม่ใช่ว่าได้มากๆแล้วเอาไปต่อรองไปขึ้นราคาไปเอาเปรียบเอารัดมากขึ้น ผู้ฉลาดควรจะรู้ได้แล้วว่าไม่ควรทำ มันชั่วมันไม่ดี มันบาป อย่าทำ มันเป็นกรรม ที่บาปและเป็นคนชั่วด้วยอย่าทำ เพราะฉะนั้นผู้รู้ความจริงนี้เขาก็ไม่ทำเขาก็ทำสิ่งที่ดี ทำสิ่งที่ถูกต้องขึ้นมา
เมื่อถึงสาธารณโภคี ที่ไม่ใช่แค่จุดเดียว สาธารณโภคีที่มีเครือแหประสานกันเป็นรูปหลายระดับ มี level มีชั้นตอนมีสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน ผู้ที่สูงช่วยผู้ที่ต่ำกว่า ผู้ที่ทำได้มากกว่าช่วยผู้ทำได้น้อยกว่า ไม่มีการซ่อนเชิงแฝงอ่อยเหยื่อ ประชานิยมเสร็จแล้วตัวเองก็กอบโกยให้ตัวเองได้มากกว่าเดิม ที่รู้ไม่ทันก็หลงกินเหยื่อแล้วกลายเป็นเหยื่อ หลงกินเหยื่อแล้วกลายเป็นเหยื่อ ก็ซวยอยู่ เพราะคนฉลาดแกมโกง เป็นอย่างนี้
สาธารณโภคีเกณฑ์ส่วนตัวก็คือเป็นผู้ที่ลดลงมาตามลำดับ ยังไม่หมดตัวตน เรียกว่าเสขบุคคลของสาธารณโภคี บุคคลต้องฝึกฝนตนเองจนหมดเกลี้ยง จนเป็นอเสขบุคคล ซึ่งเป็นสาธารณโภคีเต็ม เป็นอันดับที่ 5
เพราะฉะนั้นในระดับที่ 4 เอาให้เต็ม 4 แล้วเลื่อนเป็นระดับที่ 5 ก็คือบรรลุอรหันต์เป็นอนุโพธิสัตว์ไป
ผู้ที่มีสภาวะแล้วฟังภาษาบัญญัติที่อาตมาอธิบายจะเข้าใจว่าชีวิตอยู่ในระดับไหน เป็นผู้ที่ช่วยตนเองและช่วยผู้อื่นได้มากกว่า ช่วยตนเองอย่างสมบูรณ์ได้แล้ว แล้วก็ไปช่วยเหลือ มีส่วนเหลือไปช่วยผู้อื่นให้ได้มากขึ้นๆ ให้ทับทวี เป็นปฏิภาคทวีขึ้นเรื่อยๆ เป็นสัจจะของคนที่ประพฤติได้ทำได้ พวกเราชาวอโศกทำได้ มีลดหลั่นกันให้เห็นได้ เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติอย่างแท้จริงตามลำดับนี้
เพราะฉะนั้นจึงมีปรากฏการณ์จริง ลงมือลงไม้ทำ คนที่ถนัดทำก็ทำ คนที่ถนัดอธิบายก็อธิบาย อาตมาอยู่ในฐานะคนที่อธิบาย ไม่ได้อยู่ในฐานะคนทำ แต่ที่จริงแล้วคนเราต้องทำเป็นก่อนแล้วค่อยพูด ทำเป็นก่อนแล้วค่อยพูดคนท้วงไม่ได้ แต่ถ้าได้แต่พูดทำไม่เป็นคนท้วงได้ พูดได้ๆ แต่ไหน ทำมันหน่อยสิ ก็ทำไม่ได้มันท้วงได้
แต่ผู้ที่ทำได้ทำได้ดีเลย แต่อธิบายไม่เป็น อธิบายไม่ถูก ทำเมื่อไรก็ทำได้ผลอย่างนี้เลย แต่ไม่ถนัดอธิบายสื่อรายละเอียด บอกพยัญชนะกับสาระไม่เก่ง สายเจโตจะเป็นอย่างนั้นสายศรัทธาจะเป็นอย่างนั้น ส่วนสายปัญญาอธิบายได้เก่งแต่ทำไม่เป็น ก็ไม่ดี
แต่ถ้าทำเป็นแล้วอธิบายได้ด้วยก็จบ แม้แต่อาตมาทุกวันนี้ ที่จริงอาตมารื้อฟื้นไปก็ทำเป็น แต่ว่าอาตมาก็เรื้อ ทำน้อย ถนัดพูดมาก เขาก็ท้วงว่าทำหน่อยสิ อาตมาก็ว่าให้คนอื่นทำแทนคนอื่นรับผิดชอบ เขาช่วยได้อยู่เขาไม่เกี่ยงให้อาตมาทำ เถอะ ให้อาตมามาเน้นหนักทางนี้
สังคมแค่รู้ลึกซึ้งมากขึ้นสูงมากขึ้นมันก็ไม่เหลือแล้ว อาตมาจึงจำเป็นต้องรับผิดชอบหน้าที่นี้ อาตมาก็ขอรับหน้าที่ที่จะพูดอธิบายพิสูจน์ให้สูงขึ้น สิ่งที่ทำนั้นจริงๆแล้วอาตมา ก็มีปัญญาไม่มีความระลึกได้ว่า อาตมาเคยผ่านที่ทำได้มาแล้ว ทำอะไรอย่าง…ยกตัวอย่างง่ายๆ อาตมาเคยฆ่าคนมาแหลกราญ เคยทำมาแล้ว แล้วอาตมาจำได้ว่าเคยเป็นใครในชาตินั้นชาตินี้ นึกว่าอาตมาทำไม่เป็นเหรอเรื่องชั่วๆอย่างนั้น
อาตมาพูดในสิ่งที่เคยทำได้มาแล้ว สิ่งที่ยังไม่เคยทำมา อาตมาไม่เอามาพูดหรอก หากยังไม่เคยทำและทำไม่ได้ ถ้าเขาซักถามมาก็จะตอบได้อย่างไรไม่ได้เรื่องอะไรมันขายหน้าตัวเอง หน้าแตกหมอไม่รับเย็บก็ซวยไปอีก เน่าตาย
สรุปแล้วเศรษฐศาสตร์สาธารณโภคีเป็นของจริง พวกเราชาวอโศกทำได้ ทุกคนทำงานฟรี บางคนอาจรับส่วนแลกเปลี่ยนบ้างตามฐานะที่พอมีให้กันได้ ก็ให้ได้ ถ้าหากให้ไม่ได้แล้วมันเกินกว่านี้ อัตรานี้เราจ้างไม่ได้ คุณก็ไปรับจ้างที่อื่น แม้จะเก่งเท่าไหร่เราก็จ้างไม่ได้ไม่มีให้จ้าง มันจำนน แต่ก็จ้างไม่ได้สู้ไม่ไหว เราเอาแค่นี้ก็พอ มันไม่ดีกว่านี้ก็ช่างมันเถอะ เราก็เอาแค่นี้
เศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจในระดับที่ 5 เรามีกองกลาง ทุกคนอยู่ร่วมกันในสังคมนี้ คนที่เป็นสมาชิกในสังคมนี้เสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้แก่กองกลางร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วตัวเองก็เป็นคนที่ศึกษาฝึกฝนเป็นคนกินน้อยใช้น้อย ไม่เปลืองไม่สุรุ่ยสุร่ายไม่ผลาญพร่า ใช้สิ่งที่เป็นสาระแล้วให้เป็นประโยชน์สูงประหยัดสุดจริงๆ จึงเป็นผู้ที่เป็นเหมือนรถยนต์กินน้ำมันน้อยแต่ประสิทธิภาพสุดยอดเลย กินน้ำมันกินไฟฟ้าน้อยแต่ประสิทธิภาพเต็มที่ เราทำตนให้เป็นคนอย่างนั้นได้ซึ่งเป็นคนที่มีประโยชน์เหลือเฟือ ไปเบียดเบียนผู้อื่นน้อย ไม่เบียดเบียนใคร พูดให้จริงแล้วไม่เบียดเบียนใครด้วย มีส่วนเหลือส่วนเกินให้คนอื่นได้ด้วย ส่วนเหลือส่วนเกินเหล่านั้นเป็นของมีประโยชน์ของมีคุณค่าด้วย ของไม่มีคุณค่าไม่มีประโยชน์เราไม่สร้างเราไม่ทำ แต่ทำแต่ของมีคุณค่าประโยชน์จำเป็นสำหรับขณะนี้คนในยุคนี้ ในยุคอื่นที่ใช้ได้แต่ในยุคนี้ใช้ไม่ได้แล้วเราก็ไม่สร้าง เป็นความรู้รอบอย่างนั้น
สรุปแล้วกลุ่มนี้จึงอุดมสมบูรณ์ ทำให้เหลือเกินกินเกินใช้ในแต่ละคน รวมกันแล้วหนึ่งคนร้อยคนพันคนมันก็มีเหลือเยอะ เอาไปเกื้อกูลคนที่ขาดแคลนคนที่ไม่รู้คนที่ไม่เดียงสา คนแก่คนเฒ่าเราก็ช่วยได้ จึงเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อคนอื่น แม้แต่คนตะกละ ไม่ให้มัน มันก็ยังโลภเอาจากเราเลย มันเก่งด้วยนะพวกนี้ แย่งพวกที่ควรจะได้ พวกนั้นไม่รู้บาปรู้บุญรู้กุศลอกุศลอีก มันมีแต่ตะกละ แย่งเอามา ก็ตายไปกับสมบัติวัตถุ เขาไม่เชื่อข้ามชาติ ไม่เชื่อวิบากว่ากรรมวิบากมีจริง เป็นของของตนมีจริง 4 อย่าง
-
กรรม
2.ผลของกรรม
-
ผลนั้นเป็นของของตนเป็นวิบากติดตัวไปจนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นความตรัสรู้ของพุทธเจ้าอธิบาย
-
ผู้ที่ตรัสรู้เรื่องกรรมมาสอนคนได้คือพระพุทธเจ้า