610629_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1564c_SrDb6qjT0_dbXD1SpLrBNeqq01aQZ-xNUgdcd4
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1idvKQF5xwlOJwmUgT9MQwm9mrla4BajX
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน 2561 ที่บ้านราชเมืองเรือ ตอนนี้เรื่องของการช่วยเด็กติดถ้ำกำลังมาแรง ดีเหมือนกันจะได้กลบกระแสฟุตบอลโลก ทำให้นึกถึงภิกษุ 7 รูปที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ กรรมของภิกษุถูกขังในถ้ำ
เรื่องภิกษุติดอยู่ในถ้ำ 7 วันเพราะบาปกรรม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่มที่ ๔๒ หน้า ๕๕
ภิกษุ ๗ รูป ไปจากปัจจันตชนบท เพื่อต้องการจะเฝ้าพระศาสดา เวลาเย็นเข้าไปสู่วัดแห่งหนึ่ง แล้วถามถึงที่พัก. ก็ในถ้ำแห่งหนึ่ง มีเตียงอยู่ ๗ เตียง เมื่อภิกษุเหล่านั้นได้ถ้ำนั้น นอนบนเตียงนั้นแล้ว ตอนกลางคืน แผ่นหินเท่าเรือนยอดกลิ้งลงมาปิดประตูถ้ำไว้ พวกภิกษุเจ้าของถิ่น กล่าวว่า “พวกเราให้ถ้ำนี้ถึงแก่ภิกษุอาคันตุกะ ก็แผ่นหินใหญ่นี้ ได้ตั้งปิดประตูถ้ำเสียแล้ว พวกเราจักนำแผ่นหินนั้นออก”
แล้วสั่งให้ประชุมพวกมนุษย์จากบ้าน ๗ ตำบลโดยรอบ แม้พยายามอยู่ ก็ไม่อาจยังแผ่นหินนั้นให้เขยื้อนจากที่ได้. แม้พวกภิกษุผู้เข้าไปอยู่ในภายใน ก็พยายามเหมือนกัน แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ยังไม่อาจให้เเผ่นหินนั้นเขยื้อนได้ตลอด ๗ วัน, พวกภิกษุอาคันตุกะ อันความหิวแผดเผาแล้วตลอด ๗ วัน ได้เสวยทุกข์ใหญ่แล้ว.
ในวันที่ ๗ แผ่นหินก็ได้กลับกลิ้งออกไปเอง. พวกภิกษุเหล่านั้นออกไปแล้ว คิดว่า “บาปของพวกเรานี้ เว้นพระศาสดาเสียแล้วใครเล่าจักรู้ได้ พวกเราจักทูลถามพระศาสดา” ดังนี้แล้ว ก็พากันหลีกไป. ….
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้พวกเธอก็เสวยกรรมอันตนกระทำแล้วเหมือนกัน ก็ในอดีตกาล เด็กเลี้ยงโค ๗ คนชาวกรุงพาราณสี เที่ยวเลี้ยงโคอยู่คราวละ ๗ วัน ในพื้นที่ใกล้ดงแห่งหนึ่ง วันหนึ่งเที่ยวเลี้ยงโคแล้วกลับมาพบเหี้ยใหญ่ตัวหนึ่ง จึงไล่ตาม เหี้ยหนีเข้าไปสู่จอมปลวกแห่งหนึ่ง ก็ช่องแห่งจอมปลวกนั้นมี ๗ ช่อง
พวกเด็กปรึกษากันว่า บัดนี้ พวกเราจักไม่อาจจับได้ พรุ่งนี้จึงจักมาจับดังนี้แล้ว ต่างคนต่างก็ถือเอากิ่งไม้ที่หักได้คนละกำ ๆ แม้ทั้ง ๗ คนพากันปิดช่องทั้ง ๗ ช่องแล้วหลีกไป. ในวันรุ่งขึ้นเด็กเหล่านั้นมิได้คำนึงถึงเหี้ยนั้น ต้อนโคไปในพื้นที่อื่น ครั้นในวันที่ ๗ พาโคกลับมา พบจอมปลวกนั้น กลับได้สติ(นึกขึ้นได้) คิดกันว่า ‘เหี้ยนั้นเป็นอย่างไรหนอ’ จึงเปิดช่องที่ตน ๆ ปิดไว้เเล้ว. เหี้ยหมดอาลัยในชีวิต เหลือแต่กระดูกและหนัง สั่นคลานออกมา. เด็กเหล่านั้นเห็นดังนั้นแล้ว จึงทำความเอ็นดูพูดกันว่า ‘พวกเราอย่าฆ่ามันเลย มันอดเหยื่อตลอด๗ วัน’ จึงลูบหลังเหี้ยนั้นแล้วปล่อยไป ด้วยกล่าวว่า ‘จงไปตามสบายเถิด’ เด็กเหล่านั้นไม่ต้องไหม้ในนรกก่อน เพราะไม่ได้ฆ่าเหี้ย แต่ชนทั้ง ๗ นั้น ได้เป็นผู้อดข้าวร่วมกันตลอด ๗ วัน ๆ ใน ๑๔ อัตภาพ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กรรมนั้น อันพวกเธอเป็นเด็กเลี้ยงโค ๗ คนทำไว้แล้วในกาลนั้น”
สมณะเดินดินว่า… การติดในถ้ำ การอดอาหารก็เป็นอยู่แล้ว ทำอย่างไรใจจะไม่ฟุ้งซ่านเสียพลังงานอีก ไม่วิตกกังวลหวาดกลัวกัน
พวกเราไม่ได้ติดในถ้ำ แต่เราก็เดินทางกันบ่อยทั้งขึ้นเครื่องบินทั้งไปรถยนต์ ทำอย่างไรเราจะจิตใจไม่วิตกกังวล ทำยังไงเราจะรักษาทำกรรมที่ดีที่สุดไว้ แต่ละวันที่เราได้มาฟังธรรมได้มาเรียนรู้ธรรมะ เราได้ทำกรรมที่ดีที่สุดในชีวิตของเราให้ได้มากเพื่อจะได้เป็นพลวปัจจัยให้เราพ้นทุกข์ได้ เราจะทำกรรมดีสุดเป็นประโยชน์ที่ดีสุดได้อย่างไร ก็ขออาราธนาพ่อครูครับ
พ่อครูว่า…ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้ดีกว่าที่เคยทำมาแล้ว พยายามทำให้เกิดการรู้ความจริง ให้ชัดเจนให้ครบ แต่ว่ามันคงจะ recondite มากไปหน่อย หมายความว่าลึกซึ้งมาก เหมือนลึกลับ ซอกแซก รู้จักกันน้อยมาก ละเอียดลึกซึ้งสุดๆ ไม่เข้าใจกันได้ง่ายๆ recondite ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ต้องพยายาม จริงๆ
เริ่มต้นทุกที พยายามอธิบายศีล สมาธิ ปัญญา อธิบายให้ชัดที่สุด เป็นหัวข้อให้ชัด เป็นลำดับ ของพระพุทธเจ้าเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วก็เกิดวิมุติ ญาณทัสนวิเศษเลย แจ้งชัดเป็นสมาธิ วิมุติครบ เป็น 5 คำ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุตติญาณทัสนะ
ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับข้าวของ ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นคนสะอาดอยู่
ศีลข้อที่ 3 เกี่ยวกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสทางทวารทั้ง 5
ของที่ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่สิทธิของเรา เราไม่ได้มีสิทธิ์ แม้จะถือวิสาสะ เข้าใจถือวิสาสะไหม อย่างของส่วนกลางพวกเรา แต่เสร็จแล้ว เห็นวางอยู่ หรือบางทีมีเจ้าของ เราก็เห็นว่าเป็นของส่วนรวมก็แบ่งกันใช้ได้บ้าง ถือวิสาสะ หยิบไปใช้ได้เลยโดยไม่ต้องบอกเจ้าของได้ อย่างนี้เป็นต้น เราก็ระมัดระวังอย่าทำ มันไม่สมบูรณ์ ด้วยความชัดเจนในความบริสุทธิ์สะอาด ว่าเขาอนุญาต เป็นของที่เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ รับแต่ของที่เขาให้ หากเราไม่บอกกล่าว ไปวิสาสะเลย เขาก็หาว่าเป็นขโมยได้ เจ้าของเขาไม่ได้อนุญาต ถือเป็นขโมยก็ได้อย่างนี้ ซึ่งไม่ชัดเจน ก็ต้องระมัดระวัง
ข้อสำคัญ ต้องเป็นผู้สะอาดอยู่เสมออย่าให้ด่างพร้อย สะอาด บริสุทธิ์บริบูรณ์ให้ดียิ่งขึ้น อาตมาเองอาตมา ตั้งแต่ปฏิบัติธรรมมาจนถึงบัดนี้ โดยเฉพาะเรื่องเงิน ยกตัวอย่าง อสรพิษใหญ่คือเงิน
อาตมามาพยายามพากันปฏิบัติแบบคนจน ซึ่งเป็นเรื่องยาก สุดๆเลย เพราะแบบคนจนนี้ ตัวเราเองจะต้องไม่มีมาก เป็นสูญได้ สูญเสมอ แต่เท่ากับตัวเราเป็นตัวกลางให้ผ่าน อาศัยศรัทธาต้องการมาร่วมกุศล มันเป็นความเข้าใจความรู้ของคน ร่วมกัน ด้วยวัตถุ ด้วยอะไรต่างๆ เป็นสากล บริจาคของมาก็ไม่ยึดเป็นของตัวตน เขาให้มาก็อยากให้ใช้บริหารในหมู่กลุ่มที่สะอาดมีศีล มีความเมตตามีความเกื้อกูลเสียสละ ช่วยผู้อื่น มีมาที่ตนก็ไม่ยึดว่าเป็นของตน แล้วเอามาสร้างสิ่งที่พยายามจะให้มีความรู้ บริหารแบบให้เป็นประโยชน์คุณค่าให้ดีที่สุดเหมาะสมที่สุด เป็นประโยชน์สูงสุดอย่างนี้เป็นต้น เขาเชื่อมั่น เข้าใจว่าเรามีความสามารถบริหารเงินนี้ ให้เป็นประโยชน์สูงประหยัดสุด ถูกสัดส่วนถูกบุคคล ได้คุณค่าดีมาก เขาไว้ใจจึงบริจาคมาให้เราทำ ซึ่งมันก็เป็นสัจธรรม มันก็ถูกและเหมาะควร ผู้มีภูมิธรรมสูง ช่วยเหลือรับใช้ผู้อื่นได้อย่างดี คนนี้ก็ควรจะต้องไปร่วมมือกับเขา หากเขาใช้แรงงานวัตถุข้าวของก็ควรให้ท่านทำ เพราะเราก็ทำไม่ดีเท่าท่าน ท่านทำนี้ได้ประโยชน์มาก เป็นความจริงที่เชื่อมั่นและถูกต้อง คนเข้าใจอย่างนี้ก็เอาก็มา
อาตมาก็อยู่ตรงกลางที่ได้รับความยอมรับ มีคนมาบริจาคมาศรัทธามาให้ เพื่อให้เราทำประโยชน์แก่มนุษยชาติ เป็นเนื้อนาบุญ ที่จะทำออกไป ซ้อนให้ได้บุญซับซ้อน ให้ละกิเลส ไม่ใช่ทำไปแล้ว ทำให้คนมีกิเลสสูงซับซ้อนเล่ห์เหลี่ยมมากขึ้นไม่ใช่ แต่ขัดเกลากันซ้อนไปเรื่อยๆ ละกิเลสซ้อนไปเรื่อยๆ และเห็นแก่ผู้อื่น ซ้อนไปอย่างนี้เลย นี่คือสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่ดีสุดประเสริฐสุด อาตมาทำสำเร็จนะ
แล้วอาตมาพอแล้ว อาตมาชัดเจนในตัวเองและพยายามพัฒนา เงินนี้เราจะไม่ถือว่าเงินนี้เป็นของตน จะมีชีวิตให้ผู้อื่นเลี้ยงไว้ อุปถัมภ์ค้ำชูช่วยเหลือไว้ จะไม่ใช้เงินเพื่อตัวเองเลย เขาจะผ่านมาถึงเราเท่าไหร่ เราจะเอาไปใช้เพื่อผู้อื่น ส่วนผู้อื่นจะช่วยเหลือให้เรากินใช้ทำงานต่างๆก็ใช้ไป ถ้าเป็นส่วนของเงิน สิ่งที่จะไปแลกเปลี่ยนมาเป็น เป็นใบกระดาษรับรอง ใช้ได้ตามกฎหมาย แทนค่าเงิน ราคากำหนดหมาย อาตมาจะไม่ใช้อันนี้เพื่อตัวเอง แม้แต่กระทั่งการเจ็บป่วยเราจะตายเราอดข้าวอดน้ำ อาตมาทำได้สำเร็จ และก็สะพัดออกไม่สะสมไว้มาก คือเป็นคนจนเสมอ มีก็พยายามสะพัดออก ให้มีน้อยไว้เสมอ สูญไว้เสมอ เดี๋ยวก็เวียนมา เดี๋ยวก็สูญ ให้ผู้อื่นรับผิดชอบดูแลบริหารไป มีที่จะสะสมไว้ทำการบางอย่างก็มีบ้างแต่ก็ไม่พยายามให้สะสม มีรูปแบบของกองเงินต่างๆ เป็นต้น มีฝ่ายการเงินฝ่ายการบัญชี รู้ว่าเงินกองนี้ใช้กิจการอะไร มีอยู่ 7 กอง
อาตมาจะใช้ตรงๆเรียกว่ากองสงฆ์ นอกนั้นก็เป็นกองการพาณิชย์ กองสื่อสาร ตามหน้าที่ของแต่ละกอง ส่วนกองที่อาตมาจะใช้ คือกองสงฆ์ กองสงฆ์นี่แหละคือที่อาตมาจะช่วยดูแล และพวกเราก็ดี สมณะ ภิกษุของเรา ทุกองค์ ไม่พยายามยุ่งเกี่ยวกองกลางสงฆ์ ให้อาตมาบริหารเต็มที่ องค์อื่นๆก็เอามาเข้ากองกลางสงฆ์ อาตมาสบายใจที่สงฆ์เราไม่มีบัญชีส่วนตัว สงฆ์ของเราบริสุทธิ์สะอาดเข้ากับยุคสมัย พวกเรานี้ยิ่งพิสูจน์ความบริสุทธิ์สะอาดตรวจสอบได้เปรียบเทียบกันได้กับทางโน้น อาตมาจะข่มทางโน้นเสียไม่มีดี พูดความจริงเปิดเผยออกไป
คนจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ อาตมาเห็นความจริงอย่างนี้ จึงบอกว่าความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่จริงที่สุดรักษาไปเถอะในชีวิตของแต่ละคน
บางคน มีความต้องการสูง วิบากเยอะก็ไม่อยู่ แต่หากวิบากแม้เยอะ แต่ความต้องการไม่สูงพออยู่ได้ก็อยู่ไป
เหตุการณ์ในสังคมประเทศไทยที่เป็นอยู่นี้ สังคมต่างประเทศเขาก็เช่นกัน ทุกคนต้องการความสะอาดบริสุทธิ์ความไม่เห็นแก่ตัว มีความซื่อตรงไม่มีลดเลี้ยวไม่มีแฝงอะไรเลย สิ่งเหล่านี้พอจะรู้กันด้วยปฏิภาณ พวกเราฉลาดเข้าใจกันหมด การประพฤติปฏิบัติพวกนี้
ทีนี้มาเข้าสู่ ศีลข้อที่ 2 ที่ไม่ใช่ของเรา ลักขโมย ไม่เอาแน่นอน ต้องเขามาให้ บางที เราก็ปฏิเสธด้วยซ้ำไป ไม่รับ
จะต้องเป็นผู้พยายามสะอาดให้ได้เรื่อยๆให้เสมอๆ ศีลข้อ 2 ผู้ปฏิบัติกระทบกับของ
เอาง่ายๆ กระทบกับเงิน เราจะไม่ยึดเงินเป็นเราเป็นของเรา จะสัมผัสเงิน เราก็ต้องมีสำนึก สำเหนียกเสมอ ถ้าผ่องถ่ายหรือเปลี่ยนมือไปให้คนอื่นรับผิดชอบ ในกองหรือผู้ที่เราคิดว่าควร ก็ทำ สำหรับเราจะสะอาดอยู่เสมอๆ เราก็ประพฤติปฏิบัติสังวรอย่างนี้ตลอดเวลา
ศีลข้อ 2 สะอาดบริสุทธิ์ทำอย่างนี้ โดยที่เราเองเรามีชีวิตเกี่ยวข้องกับโลก เกี่ยวข้องกับสังคม เกี่ยวข้องกับทุกอย่างที่สัมผัสสัมพันธ์กันอยู่ เราก็จะต้องสำรวมสังวร ด้วยการให้จิตของเราหลุดพ้น เรียกว่าวิมุติ หรือนิโรธ หรือเรียกว่าสมาธิก็ได้ พระพุทธเจ้าก็สอนไว้ 5 ชนิด 5 อย่าง
วิกขัมภน ตทังคะ สมุจเฉทะ ปฏิปัสสัทธิ นิสรณะ จะเรียก ว่า วิกขัมภนวิมุติ ตทังควิมุติ สมุจเฉทวิมุติ ปฏิปัสสัทธิวิมุติ นิสรณวิมุติ จะเรียกว่าสมาธิหรือนิพพานก็ได้
วิขัมภนะคือกดข่ม เป็นสามัญของคน เช่นคนทุกคนมีราคะ มีโทสะ มีเกิดขึ้นในจิต มันก็ต้องระมัดระวังไม่แสดงออก มันเสียหน้าเป็นคนมีกิเลสก็จะไม่แสดงออก พยายามกดข่มไว้ วิกขัมภนะ ต้องระมัดระวังสังวร มันก็วิธีง่ายๆ เป็นธรรมดาธรรมชาติ คนนี่จะมีสำนึกนี้มากกว่าเดรัจฉาน ที่มันอยากได้ก็เอา มันโกรธก็ทำตามที่จะบำบัดความโกรธ ไม่บันยะบันยัง แต่คนจะกดข่มไว้ เป็นวิธีเบื้องต้นวิธีแรกของคนที่จะทำ อย่าให้โกรธออกมา อย่าให้กามออกมา อย่าให้ความโมหะ โง่ๆหลงเลอะ อีเดียดไม่เต็มเต็ง ต้องระมัดระวังให้รู้สึกว่าเป็นคนที่รู้รอบอยู่บ้างก็เป็นธรรมดา วิกขัมภนะก็เป็นเช่นนี้
ต่อมาพระพุทธเจ้าก็สอนวิธีกดข่มไว้ไม่ถาวร ได้เหมือนกัน มีการกดข่มได้นาน ยาวยืน มีประสิทธิภาพสูง เงียบเลย เหมือนอย่างกับมันไม่มี ได้ แต่เวียนกลับได้ เรียกอาคโต ไม่อนาคโต ที่แปลว่าไม่เวียนกลับ ก็จะวนเวียนกลับคืนได้ เร็วบ้าง ช้าบ้าง ที่จะกดข่ม แต่ตทังคปหาน ตทังแปลว่าเป็นได้แต่ละครั้งๆ เรียนรู้แต่ละครั้ง ตามวิธีพระพุทธเจ้า คือรู้ความจริงตามความเป็นจริงว่าราคะโทสะโมหะ มันเป็นอาการที่ไม่ดี ทำให้มันไม่เหลืออาการที่ไม่ดีนี้ได้ มันไม่เที่ยง ดับเสียก็ได้ ไม่มีตัวมีตนของราคะโทสะโมหะได้
เช่นศีลข้อ 2 ไม่ต้องอยากได้มาเป็นเราเป็นของเรา เนียนเป็นตัวเราเลย ที่จริงเป็นของเรา ถ้าเป็นเรานี่มันลึกซึ้ง เนียนเป็นเราเลยคือศีลข้อ 3 เป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ซึ่งมันลึกซึ้งซ้อนลงไปมาก ยากกว่าข้อ 2
ข้อ 2 นี้มาเป็นของเรา เป็นสิทธิเลย เด็ดขาด เราก็ไม่ต้องไปมีของเราหรอก เราสูญ ไม่ต้องมีอะไรเป็นของเรา โดยเฉพาะเงิน เงินคืออะไร เพราะคนอื่นอยู่ได้มีกองกลางไม่ขาดในนี้ก็ไม่ต้องใช้เงิน แต่สำหรับตัวเราทำได้ไหม อย่างอาตมานี้ผ่านอาตมามาก อย่างท่านองค์เล็กองค์น้อยไม่ค่อยผ่านมือท่านเท่าไหร่หรอก คนก็มุ่งมาที่อาตมา อย่างเก่งก็คนศรัทธาเลื่อมใสรองลงไปบ้าง ท่านก็เอามาให้อาตมาหรือไปกองกลาง
เป็นความจริงใจ เป็นความชัดเจน ทำกันได้ พวกเราก็เป็นไปตามฐานะตามลำดับ แม้แต่ฆราวาสก็ทำหลายคน เราไม่ได้คำนึงถึงเรื่องเงินอะไรเลย อยู่ไปทุกวันก็ทำงาน เวลาจะใช้จ่ายก็เบิกกองกลาง ถ้าคนไหนทำงานอย่างดีชัดเจนแล้ว คนก็เข้าใจ ขอก็อนุมัติทั้งนั้น เพราะไม่ได้เอาไปใช้ในสิ่งที่ไม่ดี มันสนิทเนียน สะอาดบริสุทธิ์ ไม่ใช่เพื่อตัวตนไม่เห็นแก่ตัวตน มันก็จบ มันก็ตรงตามพระพุทธเจ้า
ผู้ที่ปฏิบัติธรรมะศีลข้อนี้ ไม่เอาของที่ไม่ใช่ของเรา เมื่อสัมผัสสัมพันธ์ ได้มาแล้วก็สละออก ไม่ยึดถือเป็นตัวเป็นตนเป็นของเรา ผู้ที่มีเงินประจำตัวอยู่ถ้าเป็นภิกษุก็นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ถ้าหากไม่สละออกก็ปลงอาบัติไม่ตก เขาก็พยายามเบี้ยวบาลีกัน ก็บอกว่าเขาไม่ได้ถือเงินไม่มีเซ็นแค่นั้น เซ็นชื่อเท่านั้น
อาตมามีชีวิตตั้งแต่เป็นฆราวาสเคยมีบัญชีเงินในธนาคารออมสิน ได้เป็นลูกค้าเกียรติยศ ส่งเงินให้ครบและทันเวลาทุกงวด ก็เลยได้รางวัลมาบอกว่าจะเป็นลูกค้าต่อไปหรือไม่
ศีล จะเป็นตัวกำหนดสมาธิ ศีลข้อที่ 1 คุณปฏิบัติได้ จิตเป็นอธิจิต จะไม่มีกิเลสเกี่ยวกับสัตว์ คุณจะไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์ แม้ไม่ได้กินเนื้อสัตว์ ไม่เป็นเหตุให้ตัวเองได้เกี่ยวเนื่องด้วยกับการฆ่าสัตว์ให้ตาย จิตใจก็แข็งแรงขึ้น ปัญญาก็รู้ซ้อนลงไปอย่างนี้ ศีลข้อ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับข้าวของ หากวิมุติในจิต จิตหลุดพ้น จิตใจไม่ได้ไปเกี่ยวข้องอย่างนั้นเลย สะอาดบริสุทธิ์ เป็นวิมุติ ตทัง คือ ตามทฤษฎีพระพุทธเจ้าได้แล้วตามลำดับ ต่างจากวิกขัมภน กดข่มนะ แต่ตทังคะทำธรรมะสองให้เป็นหนึ่งได้แต่ละครั้งๆ ตทัง แปลว่าครั้ง
เรื่องเดียวของศีลข้อที่ 1 เรื่องเดียวของศีลข้อที่ 2 ทำแบบวิปัสสนา แบบที่มีทั้งปัญญาและมีทั้งจิตที่ไม่ได้กดข่ม พลังปัญญามันสูง อันนี้คือสัจจะความจริงไม่เอาคดโค้ง ให้ตรง สะอาดบริสุทธิ์ ปัญญาจะเที่ยง ทำให้จิตสะอาดบริสุทธิ์เรื่อยๆ วิมุติก็เป็นวิมุติที่รู้ไม่ใช่กดข่ม แต่เป็นวิมุติของปัญญา จิตก็ทำได้ยิ่งเป็นมุทุภูตธาตุ เป็นธาตุที่ไว ในการปล่อยออก หรือเข้มข้นแข็งแรง อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา แน่วแน่ ควบแน่น ปักมั่น มันจะแน่นแข็งแรงตีไม่แตกไปเรื่อยๆ เป็นสภาพ นิวเคลียร์ฟิวชั่น ไม่ใช่นิวเคลียร์ฟิชชัน เป็นนิวเคลียร์ฟิวชันที่ควบแน่น ตีไม่แตก อย่างนี้เป็นต้น เป็นสัจจะ รู้ความจริงความเป็นไปได้ที่เราทำได้ ทำได้สำเร็จ แน่วแน่ ควบแน่น ปักมั่น ญาณทัสนะก็รู้ในวิมุติที่เป็น วิมุติญาณทัสนะ คือทั้ง ปัญญาวิมุติและ เจโตวิมุติ ทำสำเร็จได้ เจริญๆๆ ประสิทธิภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ
ศีลข้อที่ 1 หรือศีลเข้าที่ 2 ก็ตาม ศีลข้อที่ 3 ก็ตาม มีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส
รสอร่อย อัสสาทะ ในทาง ตาหูจมูกลิ้นกาย ทวารทั้ง 5 เป็นรสเก๊ รสไม่จริง พิสูจนได้ มีแต่ รู้ความจริงตามความเป็นจริง รสเปรี้ยวก็รู้ว่าเปรี้ยว รสหวานก็รู้ว่าหวาน อ่อนก็รู้ว่าอ่อน แข็งก็รู้ว่าแข็ง เย็นก็รู้ว่าเย็น ร้อนก็รู้ว่าร้อน เสียงอย่างนี้ ประสาทหูคนก็รับรู้อย่างนี้ กลิ่นก็เช่นกัน
ศีลแต่ละข้อ กำหนดไว้อย่างนี้ ปฏิบัติแล้วจิตใจของเราได้ปฏิบัติตรงตามกำหนดของศีล จึงเรียกว่าสมาธิ การเป็นสมาธิตรงที่ว่าทำกันได้แล้วสะสมตกผลึกแข็งแรงไม่แตกสลาย ควบแน่นเป็นสมาธิ จิต ก็ไปตามหลักการของศีลจึงเรียกว่าสมาธิ
สมาธิไม่มีศีลเป็นตัวกำกับไม่ได้ จะไปอธิบายอย่างไรก็ไปเป็นการนั่งหลับตา กดข่ม วิขัมภนะ สมถะ กดข่มก็ได้ผล แต่เป็น อาคา หรืออาคามี เวียนกลับ ไม่มีปัญญาและมีจิตที่ทำได้ ปัญญารู้เลยว่าเราเลิกไม่ทำเหตุอย่างนี้ จิตใจเราจะไม่เป็นอย่างนี้อีกเลย อย่างไรก็ไม่เป็นอย่างนี้ ปัญญานั้นชัดเจนทุกอย่างเลย มันชั่วมันทุกข์มันไม่ดีเลย ปัญญามันแจ้งชัด สัจฉิกตวา สัจฉิกรณะ แจ้งจริงจบจริง axiom แล้ว
เพราะฉะนั้นสมาธิ เกิดจาก ศีลแต่ละข้อ สมาธิของศีลแต่ละข้อมีปัญญาเข้าร่วมชัดเจนทุกอย่าง แล้วทำได้สมบูรณ์จะเรียกว่า ดับกิเลสตัวเหตุ จะเรียกว่าหลุดพ้นจากอันนั้น เราก็อยู่เหนือมันนะ สัมผัสกับมันอยู่มันไม่ได้หนีไปไหน มันอยู่ในโลกนี้ แต่เราอุตระหรือเหนือมัน พลังงานเจโตและปัญญาของเรามีประสิทธิภาพ มีความเหนือชั้นกว่านี้ เหมือนเด็กเล็กที่มีแรงเท่านั้น เราก็กดหัวมันไว้ มันก็ตีเราไม่ถึง จะดิ้นอย่างไรก็พ้น มันก็หยุดไป เป็นการชนะ ไม่ได้ข่มใครนะ ไม่ใช่อวดดี แต่เป็นจริงตามสัจจะ
เพราะฉะนั้นความ recondite เป็นความลึกซึ้งละเอียด ที่ยากจะเข้าใจได้ เข้าใจไม่ได้ง่ายๆเลยซับซ้อน ละเอียดจริงๆ เป็นสภาวะของความเป็นสมาธิ
ศีล สมาธิ ปัญญา จึงมีศีลเป็นตัวกำหนดแต่ละเรื่อง คุณจะต้องรู้ให้ละเอียดซับซ้อน มันจะมีวิมุติมีนิโรธในตัวมีปัญญาในตัว ซ้อน
ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุตติญาณทัสนะมันไม่ได้แยกกันเลย มันช่วยกันรู้ ช่วยกันทำช่วยกันเป็นช่วยกันสำเร็จ ช่วยกันรู้ให้ยิ่งรู้ให้จริงรู้ให้จบ วิกขัมภนวิมุติ นิพพาน สมาธิ วิกขัมภนฌาน สมุจเฉทฌาน ฌานจะเป็นพลังงานชำระและพลังงานที่เผากิเลส ฌานไม่ใช่ไปแช่แข็ง ฌานไปสลายสิ่งไม่ดี ฌานกับบุญใกล้กันมาก ฌานคือมรรค บุญคือมรรคและผลสำเร็จผล ฌานก็จบก่อน บุญก็ตรวจสอบ ใช้ฌานเป็นตัวเผา อุณหธาตุ เราสร้างพลังงานนี้ได้ เรียกภาษาไทยว่าไฟ เรียกเตโชธาตุ หรืออุณหธาตุ(รวมร้อนเย็น) แต่ใช้งานทางร้อน สลายความร้อน แต่การจับเป็นก้อนก็เย็น เราก็สลายมัน เราสลายกิเลส ไม่ให้มันจับเป็นก้อน ให้มันสลายละลายไปเลย มันแรงจนกระทั่ง วาบ ยิ่งกว่าปรมาณู ตู้ม วาบ สลายเป็นแก๊สไปเลย แม้แต่แก๊สก็ไม่เหลือ ละเอียดกว่าเป็นแก๊สอีก แหลกละเอียดไปหมดเลยจับตัวกันไม่ติด
พลังงานนี้จึงเป็นพลังงานที่ต้องสร้างต้องฝึกต้องทำให้เป็นจนได้ เป็นจริงได้ ทำให้มีประสิทธิภาพสูง จะเอาไปสลาย จะเอาไปก่อสืบสานต่อก็ได้ จึงเป็นได้ทั้งการเกิดการตาย ผู้ที่ทำได้ทั้งการเกิดการตายนี่แหละจึงเป็นผู้ที่ทำให้เกิด ผู้ที่ทำให้ตาย อะไรมันก็ไม่อยู่รอด มันก็ต้องมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่การทำให้เกิดทำให้ตายเอง ด้วยน้ำมือของเรานี่แหละคือผู้ที่ทำเกิดทำตาย ผู้ที่ทำให้เกิดทำให้ตายได้ โดยที่ทำให้เกิดอย่างมีประสิทธิภาพสูง จึงเรียกว่า สิริมหามายา ผู้ที่ให้การเกิดที่เป็นเรื่องสุดยอด เหมือนคนเล่นกล ให้มาให้ดูแล้วก็ทำหายวับไป เดี๋ยวก็มีมาอีก เดี๋ยวก็หายวับ เหมือนมายากลจะให้เกิดก็ได้ตายก็ได้
ที่นี้จะทำให้อะไรเกิด เหมือนเราอนุโลมอย่างอาตมาอนุโลมต่างๆนานา คนก็หาว่ามีกิเลส อาตมาก็บอกว่าไม่มีกิเลส เหมือนจริงเลย สนุกนะ อย่างนั้นอย่างนี้แต่จิตใจเราไม่ได้สนุก เหมือนแม่ครัวปรุงอาหารให้ถูกรสนิยมคนกิน แต่เราเองกินไม่ลง รสมันจัดไป แต่เราทำเพื่อเขา เราทำได้ก็อนุโลมเขาไปแต่ใจจริงเราไม่ได้เป็นเช่นนั้น เหมือนแม่เล่นหม้อข้าวหม้อแกงกับลูก คนมีปฏิภาณเข้าใจก็จะรู้ว่าจริง แต่คนเรามันก็หลอกกันได้ ใครที่หลอกคนนั้นก็บาป ตัวเองไม่ได้เป็นอย่างที่ว่าแต่ไปหลอก โดยเฉพาะเรื่องอุตตริมนุสสธรรมเป็นเรื่องที่สุดยอดความสามารถ คุณไปหลอกแล้วก็มีวิบาก วิบากจริง ใครไม่เชื่อกรรมวิบากก็แล้วไป อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับนี้ รู้ว่ากรรมเป็นอันทำ พระพุทธเจ้าตรัสว่าโทษอันมีประมาณน้อยเท่าไหร่อย่าทำเสียเลย เราก็ทำอันน้อยเพื่อฐานะเรา มันไม่ไหวหรอก เพื่อรักษาสิ่งที่ใหญ่กว่า เสียสละสิ่งน้อยเพื่อรักษาสิ่งที่ใหญ่กว่า ก็จำเป็นก็แล้วแต่ อาตมาเสียสละจีงมีวิบากอย่างชัดๆก็คือไม่หายไอ แต่รู้สึกว่าตนเองมีกุศลบารมีไม่น้อยที่ไอมากแล้วก็ไม่เจ็บอก แต่เคยไอจนเจ็บหน้าอก แต่ตอนหลังรู้ก็ทำกุศลให้ดี ก็ไม่เป็นมาก ไอไม่เจ็บ มันเหมือนเหนื่อยเราใช้พลังงานมากไป หมอไม่รู้กี่หมอแล้ว พูดไปเดี๋ยวก็จะมีหมอส่งยามาให้อีก จนกระทั่งเดี๋ยวนี้อาตมาอนุโลมให้เขาทำในบางสิ่ง เผื่อฟลุ๊คได้ ไม่แน่ก็ไม่ดูถูก เขาเจตนาดี ลงทุนลงแรงเขาก็เชื่อมั่นว่าได้แน่ๆอาตมาก็เคยทำมา แต่เขาอาจเก่งกว่าอาตมา เราไม่ดูถูกเขา พระพุทธเจ้ามีประสิทธิภาพอีกเยอะแยะที่ทำได้ อาตมาก็ต้องยอม บางคนเขามี talent ของเรามีพรสวรรค์เขาก็เป็นได้
สรุปเข้าเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา สามเส้าแล้วจะเกิดผลวิมุติหรือนิพพาน
สามเส้าเป็นตัวจักร ศีล สมาธิ ปัญญา
ศีลแต่ละข้อทำแล้วจะเกิดปัญญา ปัญญาจะต้องรู้ว่าศีลเจริญขึ้น จิตเจริญขึ้นอธิจิต มันได้ผล มีส่วนแห่งบุญชำระกิเลสได้บ้างหรือได้มาก ได้ตทังควิมุติก็ทำได้อีก ทำอาเสวนาภาวนา พหุลีกัมมังไปได้เรื่อยๆ ก็เห็นชัดเจนสิ่งที่ได้แล้วทำได้ผลแล้ว ตั้งแต่พระโสดาบัน ของหยาบต่ำที่ใครๆก็รู้ว่าต้องเลิกแล้วเราจะทำไปทำไม เช่น โกงเงินทีละหมื่นล้านแสนล้านมันเลวไหม เขาก็ว่าโกงสักทีก็ต้องโกงทีละมากๆ แล้วมันชั่วไหมล่ะ โกงทีละหมื่นล้านแสนล้านล้านล้าน ชั่วชิบหายเลย แล้วเขาก็มองว่าคุ้มน่ะ แต่บาปคุณยิ่งซ้อน คุณฟังเข้าใจไหม เราไม่เอาหรอก อยู่แค่นี้สบายแล้วเรื่องอะไรจะต้องไปทำวิบาก ชาตินี้ชาติหน้าอีก คุณไม่เชื่อวิบากกรรม ก็ศีรษะใคร ศีรษะมัน ก็แล้วแต่ จะเชื่อไม่เชื่อ
ศีลแต่ละข้อกำหนดจิต ให้เป็นจิตที่บรรลุอธิจิต เป็นฌาน เป็นสมาธิ วิมุติ จนเป็นวิมุติญาณทัสนะ ปัญญามันต้องรู้ชัดเจน วิมุติจะมีลักษณะอธิมุติ อธิโมกข์(จิตโน้มไป) จิตมีทิศทางสู่ สัมโพธิปรายนะโน้มไปหาจุดหมายปลายทาง จิตโน้มไปหาจุดจบสูงสุด บริสุทธิ์บริบูรณ์ วิ แปลว่ายิ่ง อธิก็คืออีกขั้นหนึ่งเจริญขึ้น วิ ก็คือจบ อธิคือมาก ไปตามลำดับ
ศีลข้อ 1 เกี่ยวกับสัตว์ บางคนก็สัตว์ตัวนี้บางคนก็สัตว์ตัวนี้ สัตว์แต่ละตัวนั้น ทั้งมีการผูกพันทั้งมีการพยาบาท สัตว์แต่ละตัว โดยเฉพาะ สัตว์คน มีวิบากรักวิบากชังกันมากี่ชาติ
คนก็เกี่ยวข้องกับคน สัมผัสกับคนคุณก็รู้ รักหรือชัง อันนี้กามอันนี้พยาบาท
รักจะเอาเขามาเป็นลูกน้องบริวาร รักจะเอาเขามาเป็นคู่เสพกาม ก็มีข้อย่อย มิติต่างๆเหลี่ยมแง่เชิงที่ต่างกันไป แยก Dimension กันอีก แยกมิติกันเยอะแยะ แยกองศา แยกดีกรี ไปได้อีกมากมาย
สรุปอีกที ก็คือข้อกำหนดของศีลแต่ละข้อให้จิตสะอาด ปัญญาล่วงรู้เป็นยาดำ พิจารณาแยกแยะ เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ กระทำอย่างนี้จึงได้ผลต่างกันไปอย่างนี้ ลดละเสร็จแล้วจิตมันว่างมันเบา จิตมันสบาย จิตมันไม่ต้องเป็นภาระไม่ต้องทุกข์ร้อน ต่างๆ มันเห็นหมดมันชัดมันเป็นของจริง ปัญญาก็ล่วงรู้เป็นญาณทัสนะแต่สัมผัสสัมพันธ์กันเป็นประโยชน์แก่กันและกันได้ โดยเฉพาะ เราเป็นประโยชน์แก่เขา ไม่ใช่เขามาเป็นประโยชน์แก่เรา แต่เรานี้เป็นคนที่จะเป็นประโยชน์แก่เขา ไม่ใช่ให้เขามาเป็นประโยชน์แก่เรา เราเป็นประโยชน์กับเขามันเสียที่ไหน มันเสื่อมกันหรือไง เราเป็นประโยชน์เป็นคุณค่า แต่ไม่ต้องไปจำบุญคุณใคร
เข้าใจสภาวะต่างๆที่อาตมาค่อยๆอธิบายละเอียดไปอยู่อย่างนี้ เราทำได้ ศีลแต่ละข้อละเอียดไปแม้แต่ข้อหนึ่งก็ละเอียดไปเรื่อยๆ ศีลข้อที่ 1บริสุทธิ์ได้คุณก็จะชัดเจนว่า โอ้โห มันมีความลึกซึ้ง นิปปุนา ละเอียดลึกซึ้ง อย่างนี้เองมีความลึกซึ้งซับซ้อนรู้ได้ยากเข้าใจได้ยาก
ในศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะ สมาธิข้อใดที่ไม่มีศีลที่จะมักกำกับเพื่อให้รู้สาระได้ เป็นการสะกดจิตเพื่อให้ดับไปมันไม่ยากมันง่าย แต่มันไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า และมันก็ไม่สมบูรณ์ เวียนกลับเป็นอาคามี หรือเป็นอาคตะ มันไม่อนาคตัง มันไม่เวียนกลับเลย อาคตะยังกลับอยู่ แต่อาคนะไม่กลับ แต่ถ้าไปแปลอนาคตว่าข้างหน้าซึ่งมันหมดแล้วข้างหน้ามันไม่มีมันสูญหมดแล้ว ไม่มีอนาคต
อนาคต ไปหมายความว่าข้างหน้า มันไม่มาเรียกว่า อาคต มันไม่มาเรียกว่า อนาคต อาคตมันมาก็ไม่มี อนาคตมันก็ไม่มา
อาคต หมายความว่ามันจะกลับมานะมันก็ไม่มา มันก็เป็นอนาคต มันก็เป็นอนาคตแล้วมันไม่มาหรอก ใช้พยัญชนะอธิบายสภาวะ ภาษาสองตัวนี้ หากชี้ไม่ชัด หลุดเลยเพี้ยนเลย
ข้างหน้า แล้วข้างหน้าก็ไม่กลับมา คืออนาคต แต่ถ้ากลับมาก็อาคต แล้วข้างหน้าเราไปไม่ถึงสักที หรือข้างหน้ามันไม่มาหาเรา เราก็ไม่ไปหามันก็ไม่มีทั้งอาคตและอนาคต จบ คนไม่มีอนาคตคือคนไม่มีข้างหน้า แต่อาคตคือกลับมาอีก
คือเราสามารถที่จะ รู้ความวนเวียน คือโลก หรืออาคต คือผู้เวียนกลับ อนาคต คือผู้ไม่เวียนกลับ มีแต่ไปเรื่อยๆเป็นนิวเคลียร์ฟิชชัน นั่นคืออนาคต แต่ถ้าไปแล้วย้อนกลับมาเป็น Boomerang จนไม่เห็นส้นเลยนะ มันมีองศาโค้งน้อยมาก รอบโลกไปหาดวงอาทิตย์ วิ่งไปตั้งล้านปีแสง มันก็ยังโค้ง แต่นี่มันไม่มีเส้นแสงอะไรต่อเลย ไม่มีอาการเส้นแสง อาการ
อาการะ ไม่มีเลย อาการ
อา คือ 2 ส่วน การ คือ 3
เข้ามาหา ศีล สมาธิ ปัญญาวิมุต วิมุตติญาณทัสสนะ
ผู้มีแต่สมถะกดข่ม เป็นสากลง่ายๆพื้นๆ ครองโลก ไม่ต้องใช้ความเฉลียวฉลาดปัญญาความรู้พิเศษอะไรมาก คุณก็จะวนอยู่อย่างนั้นทุกอย่างคุณก็จะตั้งตนอยู่นิรันดร์ นี่คือพวกนิรันดร์ แต่ของพุทธไม่วนเวียน เทวนิยมไม่รู้แม้แต่ชาติที่จะต้องเวียนมาเกิดอีกเกิดอีก ส่วนมากของเทวนิยมนี้ อธิบายตายจากชาติเป็นคนแล้วจะไปอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าก็คือสิ่งอันนึง คุณจะอยู่สวรรค์หรือลงนรก จบ คนนี้ลงนรก พระเจ้าก็ให้ลงนรก ให้ไปอยู่สวรรค์ก็ไปอยู่กับพระเจ้า นิรันดร พระเจ้าคือความนิรันดร แต่ของพระพุทธเจ้านั้น หมดเลย ไม่เหลือพระเจ้านิรันดร สูญ จึงมีสูญตาไม่มีภาวะเป็น 2 อเทวะ คือไม่มีสอง มีหนึ่ง
ถ้ามี 1 แล้วไม่มี 2 เลยก็จะมีแต่เสื่อม แต่ถ้า 1 คุณคบกับ 2 มี 2 ก็มีการสัมผัสแตกตัว ต่อเป็น 3 4 5 หาก 1 คุณไม่มี 2 อีกเลยก็จะเสื่อม ชรตา
แต่ถ้า คุณ 1 แต่ทำให้ 0 ได้ ปุงลิงค์ คือ 1 ทำเป็นนปุงสกลิงค์คือ 0 ได้ แต่เรื่องธรรมะไม่ใช่เอาตัวตนบุคคลเราเขา แม้แต่ผู้หญิงก็สามารถทำจิต ทำธรรมะอันนี้ให้เป็น 0 ได้ให้ถึงนิพพานได้ จิตจะเป็นประธานเอง แม้คุณยังไม่จบ คุณทำ 0 ได้ เกิดมาต่อๆไปก็จะเป็นผู้ชาย แต่ถ้าเป็นผู้หญิงมันก็สูงสุดเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ อยากเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องมาเกิดใหม่ มาเป็นผู้ชาย แต่ถ้าคุณเอาแต่อรหันต์ไม่เป็นพระพุทธเจ้า คุณเป็นผู้หญิงก็เป็นอรหันต์ที่สูญสลายไปได้ อันนี้มีสิทธิ์อันนี้เป็นได้ ผู้หญิงก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ แต่ถ้าคุณอยากจะทำต่อแม้จะเป็นผู้หญิงก็จะทำต่อเป็นพระพุทธเจ้า มาเปลี่ยนแปลงจะเป็นผู้ชาย ถึงรอบครบจะต้องเป็นผู้ชายก็ต้องเกิดเป็นผู้ชาย คุณไม่ต้องอยากเกิดไปเป็นกะเทย เป็นชายแล้วอยากจะไปเป็นผู้หญิงทำไม ส่วนผู้หญิงอยากเป็นผู้ชายก็ให้มันเป็นผู้ชายที่เจริญ แต่มันยังเหตุปัจจัยไม่ครบ ก็เป็นกระเทยเท่านั้นเองผู้หญิงไปเป็นผู้ชาย อันนี้ก็เผื่อพูดให้พวกกระเทยได้ฟัง เป็นผู้หญิงอยากจะเป็นผู้ชายไม่ต้องไปอยาก คุณทำไปเถอะถึงเวลาจะเป็นผู้ชายเอง แต่ถ้าคุณอยากเป็นมันก็ต้องมาเกิดเป็นผู้ชายกะเทย แล้วมันจะไปสนุกอะไรเละเทะวนเวียนไปอีกไม่เข้าท่า ไม่ต้องอยากเป็นทำให้เป็นสัจจะเป็นเหตุปัจจัยให้มันเป็นให้มันครบก็แล้วกัน ก็เผื่อแผ่พวกที่ทอม พวกดี้นี้คืออยากเป็นผู้หญิง แต่ทอมอยากเป็นผู้ชายก็ไม่ต้องอยากหรอกทำเหตุปัจจัยให้ครบก็จะได้เป็นผู้ชาย ห้ามไม่ได้หรอก มันมีขีดของมันตามสัจจะที่พุทธเจ้าได้ตรัสรู้
คุณเป็นสองเพศ มาเหลือเพศเดียวแล้ว ไม่เหลือเหตุเลยแล้วคุณจะเป็นบุรุษเพศอีกนานเท่าไหร่ก็ได้ เป็นพระพุทธเจ้า ต้องเกิดเป็นผู้ชายไปอีกนานเท่าไรจนเป็นพระพุทธเจ้า แต่ถ้าเป็นผู้หญิงคุณจะต้องทำถึงขีดเป็นผู้ชายจึงเป็นพระพุทธเจ้า แต่ถ้าไม่ไปถึงอย่างนั้นก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปได้ แต่ระวังอนันตริยกรรมอีก
อนันตริยกรรมจริงๆ คือไม่ใช่หมายความว่าไม่มีโอกาสแต่มันนานเหลือเกิน นานจนไม่มีอะไรจะนับแล้วทำไปทำไม เพราะว่าถ้านานแล้วก็ต้องวนเวียน ทุกข์สุขนรกสวรรค์ก็ทรมานตาย แต่ถ้ารู้นรกสวรรค์ชัดเจนมีความเข็ดในนรกก็จะไม่ทำ แต่ถ้าคุณไม่ชัดเจนคุณไม่เชื่อในนรก ผ่านไปแล้วไม่เคยจำ ได้แล้วไม่เข็ด คุณก็เล่นกับมัน นรกก็นรก แต่ถ้าชัดแล้ว เล่นทำไมนรก มีแต่สวรรค์ต่อๆไปไม่ดีกว่าหรือ ไม่ต้องทุกข์
อาตมาไม่ไปเหลาะแหละกับนรก ชาตินี้ก็ไม่มีทุกข์อะไรแม้แต่ความเครียดก็ไม่มี จะไปมีนรกทำไม อาตมามาสายตรงพระพุทธเจ้าสมณโคดม อาตมาจะไม่เสียเวลาแม้แต่ไปหยุดอยู่ในสุทธาวาส อันนี้ลึกซึ้งนะ ไปเสียเวลาในสุทธาวาสก็จะวนเวียน พระพุทธเจ้าตรัสว่าเราไม่เคยเกิดในสุทธาวาส 5 แต่รู้ ผ่านมาแล้วแต่ไม่ไปเกิดในนั้น
อวิหา อตัปปา สุทธัสสา สุทธัสสี อกนิฏฐา รู้ในภาวะ Phenomenal ของสิ่งเหล่านี้แต่ไม่จอดในสถานีเหล่านี้เลย ผ่านไปเลย แต่รู้ หรือจะขยายเป็น
-
อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ)
-
อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ)
-
สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ)
-
อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก)
-
อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร หรือไม่เป็นน้องใครอีก แล้วปรินิพพานไว)
สุทธาวาส 5 เป็นสภาวะสั้นๆ สะอาด แต่อนาคามี 5 นี้ยาวนาน
อวิหา(พวกเบา) อตัปปา(พวกหนัก) สุทธัสสา(น้อยกว่า) สุทธัสสี(มากกว่า) อกนิฏฐา
สุทธัสสะคือรู้มาก สุทธัสสาคือรู้น้อย
พูดถึงรู้มากรู้ยาว อาตมาไปนึกถึงองค์ใดองค์หนึ่งที่อยู่ในสถาบันศาสนาซึ่งไม่กล่าวนาม ท่านรักความรู้ จมอยู่ในความรู้ คือ สุทธัสสา สุทธัสสี
ส่วน อกนิฏฐคามี คือ ไม่เป็นน้องใครจะเกิดจะดับได้ไวที่สุด
นี่คือสภาวะของสิ่งต่างๆธรรมะต่างๆ ผู้ที่เคยได้ยินได้ฟังคำถามเหล่านี้เพื่อได้ยินกันใหม่
อกนิฏฐคามีคือไม่เป็นน้องใคร ก็เร็วที่สุด
อันตราปรินิพพายี ในระหว่างนี้ยาวนานกำหนดไม่ได้เลยยาวนานมาก
อุปหัจจปรินิพพายี ทำด้วยความสามารถกำหนดรู้ขนาดนี้ขนาดนี้
สุทธัสสาเป็นน้องสุทธัสสี แต่สุทธัสสีเก่งกว่าสุทธัสสา ความรู้มากกว่า เป็นพี่ แต่เปิดพยัญชนะมันยาวออกไป อะ อา อิ อี อานี้สอง พยัญชนะสั้น แต่ความรู้มากกว่าเป็นพี่
(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สสังขาระ หมายความว่าปรุงแต่งมาก ถ้า อสังขารคือไม่ต้องสังขารมาก แต่สสังขารนี้ปรุงแต่งมาก อสังขารปรินิพพายี จะนิพพานโดยไม่ต้องปรุงแต่งมาก ถ้าสสังขาระคือต้องปรุงแต่งมากทำงานมากจัดการมาก
สะ คือ มากกว่า อะ ตัว อะคือสระ แต่สะนี้ คือพยัญชนะ แม้จะเป็นเศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร หรือไม่เป็นน้องใครอีก แล้วปรินิพพานไว) คือสุดยอด เป็นผู้ที่ไม่เรียกพี่ ก็เบ่งข่มคนอื่น คือ อกนิฏฐา เหมือนกับธัมมชโยบอกว่าเป็นครูไม่ใหญ่ ฉลาดเฉโก เหมือนกับธัมมชโย บอกว่าเป็นครูไม่ใหญ่แต่ที่จริงใหญ่เบ้อเร่อเท่อ เอาพยัญชนะมาหลอกคน โรงเรียนอนุบาลฝันในฝัน ก็อยู่ในอนุบาลตลอดกาลไม่เดียงสาไปตลอดกาล แล้วก็ทำเป็นเอาภาษาอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นความซับซ้อน ชาตินี้สวรรค์สูงเท่าไหร่นรกก็จะตามมามากเท่านั้น นี่เป็นสัจจะ แต่เขาไม่รู้ว่ามันวนเวียนไม่จบ หากจบก็มารับโทษหนักเท่าไหร่ก็หนักอย่างดีก็ตาย ประหารชีวิตเท่านั้นเอง และเป็นการประหารชีวิตที่รับผิด แม้แต่ศาสนาเทวนิยมก็ยังยกย่องเลย รับผิดแล้วตาย คุณหายเลย
เข้าสู่ทฤษฎี
วิกขัมภนวิมุติ ตทังควิมุติ สมุจเฉทวิมุติ ปฏิปัสสัทธิวิมุติ นิสรณวิมุติ
วิกขัมภนะกดข่ม ไม่จบ วนเวียน ต้องทำตทังควิมุติให้สัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ ได้ไปแต่ละครั้งก็สั่งสม สะสมจนได้รอบเรียกว่า สมุจเฉท เป็นรอบๆไป ขาดเป็นรอบๆไป เสร็จแล้วก็ทำให้มันก็หาจุดหมาย ปฏิปัสสัทธิ คือสงบ คือ ตัวกิเลสมันสงบมันหยุดมันนิ่งมันตาย ก็ทำจากตทังคนี่แหละ ทำตามสูตรเดิมนี่แหละ ปฏิ คือกลับไปกลับมาแต่มันเหมือนก้นหอยวนเวียนสูงขึ้นเรื่อยๆ มันมีที่จบ เหมือนกับก้นหอยวนเวียนสูงจนจบยอด ปฏินิสัคคะ หรือปฏินิสรณะ
ปฏิปัสสัทธิ สงบดับกิเลสได้ จนสุดท้ายเป็นปฏินิสสัคโคหรือปฏินิสรณะ
ปฏินิสสัคโคแปลว่า ไม่มีสวรรค์ ทำทวน ในความไม่มีสวรรค์จนสมบูรณ์แบบตั้งมั่นแข็งแรงเจริญจนอยู่เหนือมัน อุทธังโสโต อยู่เหนือ สิ่งเหล่านั้นยังไม่ได้ ข่มเบ่ง ลอยตัว ทุกสิ่งสัมผัสมา อะไรสัมผัสกับเราแล้วแพ้ภัยไปเอง มี aura รังสี สลายไปได้ มันเข้ามาใกล้รังสีก็สลายไปเลย ใครเข้ามาใกล้เข้ามาแตะ แพ้ หากบารมีน้อยก็แพ้ได้แต่ถ้าบารมีสูงไม่แพ้ อาตมาชาตินี้ก็ถูกแก๊สน้ำตา แสบตา ก็เป็นไปตามธรรม
อาตมามี 1.ไอ 2.เจ็บปลายประสาท เขาก็อธิบายไม่ได้ เจ็บแปล๊บ เหมือนถูกแทงด้วยเข็ม แต่ก็รู้สึกว่าเพลาๆไป มีอยู่บ้างตามเส้นนิ้วก้อย ทางซ้าย ทางขวาไม่เป็นมากนานๆเป็น เป็นเรื่องอจินไตย อาตมาก็ใช้เป็นเครื่องสังเกตประกอบการเรียน เรื่องวิบาก มันเป็นสัจจะ นอกนั้น ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มันมีเหตุปัจจัย พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานก็ไปฉันเห็ดสุกรมัทวะ ให้มันมีเหตุ ไม่ใช่ดับสูญอย่างไม่มีเหตุ ตายอย่างไม่มีเหตุจะไปได้อย่างไร พระพุทธเจ้าต้องมีเหตุให้ตาย แต่ถ้าจะตายไปอย่างสงบไปเลยก็ได้ แต่ถ้ามีเหตุจะได้ไม่ถกเถียงกัน
1.ให้มีเหตุ 2.เพื่อจะแสดงให้เห็นว่า สิ่งที่จะเป็นพิษในโลกมีวัตถุเป็นพิษ 3.ให้มาเกี่ยวพันกับบุคคลที่จะถวายเห็ดสุกรมัททวะ ท่านก็บอกว่า อภัยเขา อย่าไปถือโทษเขานะ เป็นเรื่องของตถาคตเองอันนี้ แล้วท่านก็บอกแล้วว่า อย่าให้คนอื่นฉัน ตถาคตฉันคนเดียว เอาไปฝังทิ้งที่เหลือ ให้รู้ว่าเป็นสิ่งที่เป็นพิษ ก็เป็นการบอกสัจจะ อย่าไปรับ แม้แต่ตถาคตก็ไม่เว้น เป็นการสอนที่เอาตัวเองมาสอน เป็นสิ่งซับซ้อนลึกซึ้งอธิบายได้ยากมาก เหมือนกับพระเวสสันดรให้ลูกไปกับชูชกเขาก็ตีต่อหน้าต่อตา มันเป็นวิบาก ไม่ใช่ใจร้าย มันจิตของท่าน ซึ่งมันสูงส่ง อธิบายไปคนก็ว่าไม่เชื่อ แก้ตัว สัจจะ มันเป็นอย่างนั้น ท่านก็รักลูกของท่านอย่างกับอะไรดี แล้วสูงกว่านั้น วิบาก แม้กระนั้นก็ตาม กัณหาชาลีก็ไม่ได้ไปอยู่กับชูชก สุดท้ายไปอยู่กับปู่ มันเป็นวิบากเท่านั้นเอง เป็นตัวอย่างของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ตามนิทานต้องมีเหตุ นิทานสมุทัย ปัจจัย ของใครของมัน
สมุจเฉท อุจเฉทะ แปลว่าขาด ทำได้เด็ดขาดต่อเนื่องกัน เป็นปฏิปัสสัทธิคือทวนความสงบแล้วสงบอีก ทวนไปทวนมา สงบแล้วสงบอีก จนสุดท้ายนิสรณะ
สรณะ แปลว่าประกอบการรบ นิสรณะ แปลว่า ไม่มีการรบไม่ประกอบการรบแล้ว นิสรณวิมุติแล้ว จบ ภาษาก็ไปแปลว่า ที่พึ่ง ที่จริงประกอบการรบ คนที่อวิชชาจะต้องประกอบการรบ จนคุณไม่ต้องรบเรียกว่า นิสรณะ ไม่ต้องประกอบการรบไม่ต้องทำการรบแล้ว นิสรณวิมุติ ก็หลุดพ้นด้วยการหยุดรบเด็ดขาด สรณะก็กร่อนไป เหลือไม่ต้องพึ่งการรบ แต่ต้องพูดให้เต็มว่า พึ่ง นิสรณะ
ถ้าไม่มีสภาวะนี้สับสนปนเปกันไปมาแน่ แต่อาตมายืนยันสภาวะกับพยัญชนะอย่างนี้ไม่สับสนนะ สภาวะ เป็นแก่น แต่พยัญชนะจะกลับไปกลับมาเสมอ คนยึดพยัญชนะ ไม่มีสภาวะนี้พูดกันยาก ติดยึดพยัญชนะไม่มีสภาวะ ก็เลยยาก อาตมาก็เอาสภาวะเป็นหลักมาสอน แต่เขาเรียนพยัญชนะมาจากอาจารย์ก็เลยพูดกันยาก พูดเป็นผิดเป็นถูกกลับไปมา ก็ต้องเอาตัวเองเป็นตัวพิสูจน์ อันนี้ต้องเป็นอย่างนี้ คุณจบที่สภาวะแล้วพยัญชนะจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ สภาวะต้องเป็นใหญ่กว่าพยัญชนะ หากยึดพยัญชนะใหญ่กว่าสภาวะก็จะช้า ก็ขอบอก คนที่ยึดถือในพยัญชนะยึดในตำรา เพราะว่าสภาวะจะต้องมาก่อนตำรา ก็ให้ความรู้แก่ผู้ที่ยึดถือในพยัญชนะ
สุดท้าย นิสรณวิมุติก็จบด้วยวิมุติ นี่คือวิมุติ 5 จะเรียก วิมุติ นิพพาน นิโรธ สุญญตาก็ได้
วิธีปฏิบัติ ยืนยันตัวนี้ ว่า การนั่งหลับตามันไม่ได้ปฏิบัติของพุทธ พุทธต้องลืมตา ต้องมีสัมผัส 6 มีทวารทั้ง 6 ข้างนอก ต้องมีปสาทรูป 5 โคจรรูป 5
สัมมัปปธาน 4
สังวรปธาน สังวรในศีล สรุปรวม พยัญชนะว่า สังวรปธาน สังวรศีล จากข้างนอกมาข้างใน แล้วก็มีธรรมะ 2 ให้ประหารกิเลสไปที่ละตัว ปหานกิเลสได้แล้ว เกิดผลเรียกว่าภาวนาปธาน เกิดสภาวะ ปฏิบัติ จนเกิดสภาวะที่ต้องการ เป็นสภาวะนิโรธ เป็นสภาวะวิมุติ สภาวะนิพพาน สภาวะหลุดพ้น สภาวะของกิเลสตาย
เมื่อได้ภาวนาแล้ว ก็รักษาผล อนุรักขนาปธาน เกิดผลแล้ว ภาวนา ทำอย่างไรเกิดผล ปฏิบัติอย่างไรให้เกิดผลอันนี้ ก็ปฏิบัติอย่างนั้นแหละ ทำอีก อาเสวนา ทำซ้ำ ทำอีกๆ ทำซ้ำๆทำ repeat ๆๆ เรียก รีรันก็ตามแต่ ซ้ำอีกๆๆๆ ซ้ำอย่างที่เราทำได้ เพื่อสั่งสม ความเป็นอย่างนี้ทำสู่ความหลุดพ้น ทำให้มาก พหุลีกัมมัง อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง เป็นปัญญาข้อที่ 2 ของโสดาบัน ญาณข้อที่ 2 ของพระโสดาบัน
ข้อที่ 1 รู้แล้วว่ากิเลสนั้นเราผ่าน วิติกมกิเลส กำลังอยู่ในรอบของปริยุฏฐานกิเลส ลึกซึ้งนะอันนี้ ของพระโสดาบัน วิติกมกิเลสแปลว่าล่วงพ้นผ่านไปแล้ว คือ ปฏิบัติผ่านไปแล้วเสร็จไปแล้วอยู่ในระดับที่ 2 เหมือน อธิบายศีลข้อที่ 1 ทำให้ได้แล้วมั่นใจว่าเสร็จไปแล้ว คุณก็จะรู้ว่าเป็นอย่างไรคุณทำได้ กิเลสเป็นอย่างไร การหลุดพ้นจากกิเลสเป็นอย่างไร ถาวรเป็นสมาธิอย่างไร ตั้งมั่นเป็นอย่างไร วิมุตติญาณทัสสนะเป็นอย่างไร มีปัญญารู้ว่า วิมุติแน่แล้ว นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) แต่ว่านิยตะ พระโสดาบันก็แบ่งเป็น 4 ขั้น
-
เข้ากระแส 2. ได้ผลไม่ตกต่ำ อาจยึกยักเวียนไปมาได้ แต่ไม่หลุดวงโคจร อวินิปาตธรรม จนสูงเป็นนิยตะ ไม่ยึกยักแล้ว หลุดออกมาต่ำกว่าครึ่งแล้ว มีแต่สัมโพธิปรายนะ มีแต่ไปสู่ที่สูงที่สุด