วางแผนได้แต่ต้องรู้จักวางภพ ก็จะจบแบบลงตัว(ปลูกกระเจี๊ยบ)
ทุกวันจันทร์ เป็นวันพิเศษของชาว บวร ราชธานีอโศก ที่เรียกกันว่า “วันบวร” อันหมายถึงว่า ทั้งนักบวช(สมณะ สิกขมาตุ) นิสิต ว.นบ.และชาวชุมชน รวมถึงเด็กนักเรียน ต่างละจากฐานงานประจำของตน มาร่วมแรงกันทำงานของส่วนกลางกันอย่างพร้อมเพรียง
นิสิต ว.นบ. ที่บ้านราชฯมีจำนวนประมาณ100 คน แบ่งออกเป็น 7 กลุ่ม มีสมณะ สิกขมาตุประจำกลุ่ม ส่วนนักเรียนทั้งสมุนพระราม สัมมาสิกขา และอาชีวะ รวมกันประมาณ 80 คน ก็แบ่งออกเป็น 7 กลุ่มเช่นเดียวกัน การทำงานก็จะให้ นิสิต 1 กลุ่ม ต่อเด็ก 1 กลุ่ม ร่วมทำงานไปด้วยกัน เป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่และเด็กใน บวร
กลุ่ม 6 มี อาพูนไท เป็นผู้รับใช้กลุ่ม จัดการวางแผนการทำงาน ตั้งแต่ช่วงเย็นของวันอาทิตย์ โดยพรุ่งนี้วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม 2561 ได้รับมอบภาระกิจให้ไปปลูกกระเจี๊ยบ ที่สวนอุทยานที่อยู่ห่างจากตัวชุมชนออกไปทางบ้านกุดระงุมประมาณ 1 กม. โดยทำงานร่วมกับนิสิต กลุ่ม 7 รวมจำนวนทั้งนิสิตและเด็กสองกลุ่ม เกือบ 40 คน
นิสิต กลุ่ม 6 วางแผนกันเรื่องการจัดรถรับส่ง(อาพูนไท) เรื่องเครื่องมือ คือ จอบที่ต้องใช้(อากนกนาฏ) เรื่องประสานงานกับแม่ฐานคืออาเป็นแก่น เรื่องการปฐมพยาบาล(อาพิมพ์ตะวัน) เรื่องน้ำดื่ม(อาซึ้งบุญ) เรื่องวิชาการเกี่ยวกับกระเจี๊ยบ(อารุ้งแสงศร) เรื่องบูรณาการภาษาอังกฤษ(อาทนายแดง) โดยนัดหมายก่อนลงงาน ก็จะได้พูดคุย ดูความพร้อมของกายและใจ บอกวิธีทำงาน และให้วิชาการกับเด็กนักเรียนกันก่อนสัก 15 นาทีแล้วค่อยลงงานกัน และพาสรุปงานตอนเลิกงาน
พอถึงเช้าวันจันทร์ตามเวลานัดหมาย 06.30 น.ล้อหมุน ไปสู่สวนอุทยาน ปรากฏว่า ไปถึงสวนอุทยาน พ่องานคือพ่อเป็นแก่นบอกว่า งานที่เตรียมไว้คือปลูกกระเจี๊ยบไม่ต้องการคนมากเท่านี้ และประกอบกับ พ่อไม้ผล ที่มีสวนอยู่ใกล้ๆสวนอุทยาน ต้องการคนไปช่วยกรอกปุ๋ย ก็เลยขอแบ่งคนไปทำงานด้วย …เอาล่ะสิ! แล้วใครจะเป็นคนไปสวนตาไม้ผลล่ะ…มองหน้ากันไปมา…แม่เปลี่ยน(แสงสุข) จึงบอกว่าให้ขออาสาสมัครไปกัน ก็เลยได้มีอาสาสมัครคละกลุ่มกัน ไปช่วยกรอกปุ๋ยที่สวนตาไม้ผล ก็จบปัญหาไป แต่ก็จะไม่ได้พูดคุยบูรณาการวิชาการกันก่อนลงงาน เพราะแยกย้ายกันไปแล้วนั่นเอง
การปลูกกระเจี๊ยบเป็นงานที่ไม่ยากเลย จับคู่คนถือจอบขุดดินลงไป 1 หน้าจอบ และมีคนเอาเมล็ดตามไปหยอดแล้วเอาเท้าเขี่ยดินกลบก็แค่นั้น ปลูกไปตามดินที่ยกย่องสลับกับคูน้ำไว้ปลูกมะพร้าวนั่นเอง ทั้งเด็กและนิสิต ว.นบ.ช่วยกันอย่างขมีขมัน ปลูกกระเจี๊ยบง่ายๆ พ่อเป็นแก่นก็เลยแถมปลูกถั่วไปด้วยเลย ทำงานกันตั้งไปสัก 1 ชั่วโมง งานปลูกกระเจี๊ยบก็เสร็จอย่างรวดเร็ว…เอาไงล่ะทีนี้ งานเสร็จ เด็กๆก็ทำท่ารวมตัวกันจะขึ้นรถกลับเลย นี่แค่ 07.20 น.เองน่ะนี่
ทางผู้ใหญ่ก็เลยตกลงกันว่า งานทางสวนอุทยานเสร็จ ก็จะรวมตัวกันไปช่วยงานที่สวนตาไม้ผลกันต่อเลย….เด็กๆก็ว่าง่ายมาก ขึ้นรถโยกไปสวนอุทยานเร็วพลันทันที…
พอไปถึงสวนตาไม้ผล ยายเขียว(ภรรยาตาไม้ผล) ก็มาต้อนรับ และบอกงานให้ไปเก็บผักบุ้งตามดินที่ยกร่องไว้ เก็บผักบุ้งและเหยียบผักบุ้งให้ราบลงไป เพื่อให้แตกกอใหม่นั่นเอง ผักบุ้งก็มีมากมาย เก็บกันไปเก็บกันมา ช่วยกันทั้งนิสิต ว.นบ.และลูกหลาน ทำกันแค่ครึ่งชั่วโมงก็เสร็จงานอีก…ได้เวลาเกือบ 08.00 น.พอดี ในที่สุด
รวมตัวกันสรุปสภาวะและประโยชน์ที่ได้จากการทำงานกันที่โรงกรอกปุ๋ยสวนตาไม้ผลนั่นเอง…ยายเขียวบอกว่า แค่เห็นเด็กๆและผู้ใหญ่มาช่วยกันทำงานที่นี่ ก็ประทับใจมากแล้ว เพราะปกติ ก็มีแค่ตากับยายทำงานกันอยู่แค่สองคน แม้ว่าเด็กจะทำงานบ้างหรือเล่นกันบ้าง แต่ก็อย่างน้อยได้ช่วยเหยียบผักบุ้งให้ราบไปได้มากเลย
งานเสร็จเร็ว มีเวลาสรุปกันนาน อารุ้งแสงศรก็เลยได้มีโอกาสได้นำวิชาการเรื่องกระเจี๊ยบมาพูดให้สมาชิกทั้งสองกลุ่มฟังกันอีกด้วย สรรพคุณดีๆมากมาย ทั้งบำรุงเลือดบำรุงหัวใจเป็นต้น แต่กว่าจะได้เก็บเกี่ยวดอกกระเจี๊ยบก็ต้องใช้เวลาปลูกถึง 5 เดือนทีเดียว นี่ก็คงเป็นเดือนธันวาคม ก็คงได้มาเก็บเกี่ยวกระเจี๊ยบกัน
อาทนายแดงก็ได้ให้ความรู้ภาษาอังกฤษ ว่า กระเจี๊ยบ มีสองอย่าง ๑.กระเจี๊ยบเขียว ที่เป็นฝักๆสีเขียวๆ ต้มกินลื่นๆคอ แบบนั้นภาษาอังกฤษว่า Lady Finger ส่วน กระเจี๊ยบแบบที่ ๒.คือกระเจี๊ยบดอกสีแดงที่เอาไปต้มน้ำกระเจี๊ยบกิน เรียกว่า Red Roselle นั่นเอง
เด็กๆก็ได้ประทับใจเพื่อนๆและอาๆที่เสียสละมาสวนตาไม้ผล ไม่ต้องทำงานตามที่ได้กำหนดหมายมาแต่แรกก็ได้
สุดท้าย ทั้งสองกลุ่มที่ได้แยกกันทำงานโดยไม่ได้นัดหมาย ก็ได้มารวมตัวกันอีกครั้งโดยไม่ได้นัดหมายในที่สุด และที่นิสิต ว.นบ.วางแผนไว้ตั้งแต่แรกว่าจะให้ความรู้วิชาการกันและกัน ก็ได้ผลสำเร็จดังที่ตั้งไว้จนได้ ….
………………
การทำงานหากไม่มีการวางแผนงาน ไม่มีเป้าหมายในการทำงาน การทำงานนั้นก็จะไม่ประสพผลสำเร็จเท่าที่ควร เพราะทำอย่างสะเปะสะปะ ไม่ชัดเจนในเป้าหมายและวิธีการทำงาน
แต่ประสพการณ์การทำงานกับชาวอโศก นั้น แผนที่วางไว้ก่อนงาน มักจะต้องถูกวางไว้เสมอในตอนทำงานจริง เพราะมักมีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน มาทำให้แผนที่วางไว้ไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างที่วางไว้เสมอๆ นักปฏิบัติธรรมชาวอโศกไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ จึงได้ฝึกหัดการวางแผน แต่ต้องรู้จักวางภพ(วางแผน) คือไม่ยึดว่าต้องทำตามแผนที่วางไว้เท่านั้น เพราะสิ่งที่เขาไปยึดถือ ก็คือภพ เมื่อมีภพ ก็มีชาติ มีชรา มรณะ โศกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสเกิดขึ้นเสมอๆ
การวางแผน ก็ต้องประกอบด้วยเจตนาให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ ถ้าเจตนานั้นปนไปด้วย “ความอยาก” อันเป็น “กามตัณหา-ภวตัณหา” ก็จะก่อให้เกิดความยึด “อุปาทาน” อันทำให้เกิด “ภพ-ชาติ” ต่อไปได้ ตามหลักปฏิจจสมุปบาท หากไม่วางแผน งานก็จะไม่ประสพผลสำเร็จ จึงจำเป็นต้องวางแผน แต่พ่อครูก็สอนให้พวกเรา มีเจตนาแต่อย่าอยาก ให้ทำเหตุปัจจัยให้ครบ แล้วผลก็จะได้เองโดยไม่ต้องอยาก
นักปฏิบัติธรรมจึงต้องฝึกสติให้อยู่กับปัจจุบัน ไม่ปล่อยให้จิตใจยึดถือในภพ จนเรียกว่า “ตกภพ” หรือ “ติดภพ” การติดภพนั้นสภาวะก็จะเหมือนกับการติดอยู่ในถ้ำ ไม่ว่าจะเป็น “กามภพ”(กามคุณ 5 ทวารนอก) หรือ “ภวภพ”(ทวารในจิต) หาทางออกไม่ได้ เพราะมีน้ำปิดทางออกไว้ จำเป็นต้องให้คนอื่นช่วยเป็นผัสสะ เจาะเข้าไปในภพ ให้เรารู้ตัวว่าได้เผลอยึดภพเข้าให้แล้ว เป็นภพที่จริงๆแล้วมันน่ากลัว แต่เราเห็นมันเป็นที่ๆน่าอยู่
เมื่อรู้ตัวว่าทุกข์เพราะเผลอไปยึดภพ ตกภพ ก็ต้องรีบทำจิตให้ออกจากภพ อยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด ทำจิตให้ “ไม่ดูด-ไม่ผลัก” ต่อคน-ต่อเหตุการณ์ ไม่เพ่งโทสถือสาคนอื่น แต่หันมาดูอารมณ์ ทำเวทนาสองให้เป็นหนึ่งให้ได้เสมอๆ “ระดมสรรพกำลังสรรพปัญญา”ในการที่จะเอาประโยชน์จากทุกข์ที่ไม่ได้ตามภพนั้นให้ได้ “เห็นโทษเห็นภัยของการไปติดภพ”ให้มาก
คนอื่นที่มาทำให้เราได้ “สลายภพ” ออกจากภพ นั้น ต้องถือว่าเป็นมิตรดีอย่างยิ่ง อย่าได้ถือว่าเขาเป็นศัตรูเป็นอันขาด เพราะเขาทำให้เราได้ออกจากการ “ติดภพ”โดยที่เราเองก็อาจไม่รู้ตัวว่าได้ “ติดภพ”เข้าให้แล้ว การออกจากภพได้ สลายภพได้ แม้จะวางแผนมาก่อน เราก็จะรู้ทันไม่ยึดถือเอาแผนที่วางไว้ให้เป็น “ภพ-ชาติ” ว่าต้องได้ตามนั้น แต่จะสามารถ “วางภพ”(วางแผน) ออกมาร่วมทำงาน มาพบกับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมส่ิงแวดล้อมดี อันพาให้ทั้งหมดทั้งสิ้นของชีวิตเราเป็นได้ดั่งพรหมนั่นเอง
วันนี้ ชาวนิสิต ว.นบ. และเด็กๆ “วางแผน” มาก็จริง แต่ก็รู้จัก “วางภพ” ได้ด้วย ก็เลยทำให้การทำงานวันนี้ จบแบบลงตัวได้ในที่สุด
?ตื่นรู้ตามโพธิ์
?พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ได้ให้คำสอนเรื่องการติดภพนี้ไว้ว่า…
_0893867xxxพระตปฎ. ล.20 ข้อ [204] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมูตร… น้ำลาย… หนอง…เลือดแม้เพียงเล็กน้อย ก็มีกลิ่นเหม็น แม้ฉันใด ภพแม้เพียงเล็กน้อยก็ฉันนั้นเหมือนกัน เราไม่สรรเสริญโดยที่สุดแม้ชั่วกาลเพียงลัดนิ้วมือเดียวเลย ฯ
พ่อครูว่า… “คำว่าภพคือต่อไปจากความคิดนึกเราว่า น่าจะได้อันนั้นอันนี้ อยากได้อันนั้นอันนี้ก็เป็น ภพแล้ว คำว่าอยากคือตัณหา คือกาม คือความใคร่อยาก ก็เกิดกามภพแล้ว คุณคิดดำริเมื่อไหร่ ว่าอยากได้อันนั้นอันนี้ ก็เกิดภพทั้งนั้น ยิ่งอยากได้อย่างทุจริต ถ้าอยากได้อย่างสุจริตก็พอทำเนา สุจริต ถ้าจะให้ลึกที่สุด ก็คือไม่มีกิเลส
อยากได้แต่ไม่มีกิเลส อันนี้ไม่ใช่ง่าย เป็นความต้องการ เรียกว่า ฉันทะ ธรรมดาหรือว่าอากังขาวจร หรือเป็นอิจฉาวร เป็นจิตดำเนินไปกับ ความปรารถนาสามัญ อันไม่มีกิเลสร่วม แล้วก็ทำด้วยสามัญของความประพฤติ ก็จะได้ลาภมาโดยธรรมเรียกว่า ลาภธัมมิกา เกิดได้ลาภ ตามที่เรามีเจตนา อิจฉาวร ต้องการทำสิ่งนี้ขึ้นมาโดยสุจริต โดยธรรมเหตุปัจจัยในการปฏิบัติ กายกรรม วจีกรรม สัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะของเราไป ก็ไม่เกิดทุจริตผล แต่ถ้าอยากได้มาก ก็ดีใจเป็นกามภพ เป็นเทวดา อยากได้มาก ก็แย่งเขาด้วยวิธีการอันเป็นกิเลส ก็เป็นเทวดาจตุมหาราชิกา เป็นเทวดามีง้าวหอกแยกเขี้ยว ไปรุกรานคนอื่น
แต่ถ้าไม่ไปแย่งใคร ไม่ไปรุกรานคนอื่น ทำตามจิตของเรา ที่มีสัมมาธรรมดา มีความปรารถนาธรรมดา อย่างที่ใช้ศัพท์ว่าเป็น อากังขาวจร หรือเป็นอิจฉาวจรธรรมดา เป็นความตั้งใจธรรมดา และปฏิบัติตามเหตุปัจจัยที่สุจริต เป็นสัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ มันก็ไม่เกิดบาปกรรมอะไร แต่ถ้าจิตไม่รู้จักสวรรค์ ไม่รู้จักนรก ไม่รู้จักภพชาติ คุณก็ไปอยากได้ อยากมี อยากเป็น เมื่อได้มา
-
ตั้งความหวัง อยากได้ ถ้าไม่ได้ก็ทุกข์ ถ้าได้ก็สมใจ ก่อเกิดสุข เกิดความสุขทุกข์ ก็เป็นสวรรค์นรก จริงๆแล้ว ทุกคนไม่อยากได้นรก ไม่อยากได้ความทุกข์ แต่เมื่อไปเกิดความปรารถนาแรงมาก ก็เป็นทุกข์ แม้ทำสุจริต แต่อยากได้มากแรง ก็ร้อนใจ ก็ทุกข์ ถ้ายิ่งทุจริตเข้าไปอีก ก็ยิ่งผิดเพี้ยนไปใหญ่ ขนาดอยากได้ ก็เป็นภพชาติ ได้มาก็เป็นสวรรค์ แม้จะเป็นสวรรค์โดยสุจริต ก็เป็นภพชาติ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาดับภพจบชาติ เป็นศาสนาที่ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก ดับสวรรค์ดับนรก จริงๆแล้ว ก็ดับแต่สวรรค์ แล้วมันก็จะไม่มีนรก ลดสวรรค์ให้บางเบาลง จนไม่มีสวรรค์ นรกก็ไม่มี เป็นพระอรหันต์
พระอรหันต์ คือผู้ไม่มีนรกไม่มีสวรรค์ เรียกว่า เป็นผู้ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ หรืออุเบกขา ความที่จิต มีอาการไม่มีสุขไม่มีทุกข์เลย หรืออุเบกขา เรียกว่าอทุกขมสุข อย่างสัมมาทิฏฐิ แล้วทำให้กิเลสเลิก ลดไปได้ ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ได้ คือมีเวทนาเป็นกรรมฐาน แล้วสามารถที่จะทำให้จิตเป็น เนกขัมมะสิตอุเบกขา เป็นอุเบกขา อย่างออกจากโลกีย์ ออกจากกิเลสกาม โทสะ โดยเฉพาะออกจาก กิเลสกามออกมาได้ แม้ที่สุดออกจากอัตตา ออกได้หมด เป็นอุเบกขาที่เจริญ เป็นเนกขัมมะสิตอุเบกขา
คนที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า จะมีสัญญามีปัญญา มีความรู้ความเห็นความเข้าใจ และปฏิบัติจนเกิดปัญญา เกิดความรู้ได้ด้วยของจริง ว่ากิเลสเป็นเช่นนี้ อ่านอาการกิเลสที่จิต แล้วมีวิธีลดกิเลสได้ คือผู้ทำเนกขัมมะเป็น ท่านแปลเนกขัมมะว่า ผู้บวช ผู้บวชก็คือ ผู้นี้เจตนาทำให้กิเลสลดลง ถ้าไม่ใช่เจตนาอย่างนี้ ก็เป็นเพียงแต่ไปแต่งเครื่องแบบศาสนา แล้วไปอธิบายเลอะเทอะ ไปหากินเลี้ยงชีพ ก็ได้แต่บาปเท่านั้นเอง
ผู้ที่บวชเป็นภิกษุ แล้วมีสัญญากับประชาคมว่า เราจะไม่แสวงหาลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข เราจะมาล้างโลกธรรม ที่อยากได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ปฏิญาณ บวชคือปฏิญาณกับสังคม สังคมก็ให้บวชเลย แล้วประชาชนก็จะเลี้ยงไว้ แต่เสร็จแล้วมาขบถ ไม่ได้ปฏิบัติจริง ไม่ได้เรียนรู้ปฏิบัติจริง อย่างสัมมาทิฏฐิ ได้แต่หลอกคน ให้มาเลี้ยงไว้ อุปการะไว้ ผู้ที่มาอุปการะพระไว้ โดยไม่เข้าใจว่า เราจะมาบริจาคมาให้ แล้วเราก็ปฏิบัติการให้ เรียกว่าทาน โดยทำใจในใจยังเป็นโยนิโสมนสิการหรือไม่ ทำใจในใจอย่างถ่องแท้ ไม่ให้จิตมีจิตสร้างขึ้นเป็น สาเปกโข ไม่ให้มีความหวังในจิต ไม่ให้ต่อเนื่องแต่ ปฏิภัทจิตโต สัมพันธ์กับความหวัง มีมากขึ้น จนสั่งสมลงเป็น สันนิธิเปกโข เป็นการสั่งสม การอยากได้ผล จนกระทั่งกลายเป็น ผลนี้แหละ เราจะได้เอาไว้กินต่อไป เมื่อเราตายไปแล้วเป็นภพชาติหน้า
ซึ่งเป็นคำสั่งสอนของศาสนาอื่น เป็นการตั้งจิตไว้ผิด ผู้ที่ตั้งจิตไว้ผิด แล้วก็สอนกัน จึงกลายเป็นโจรหัวโจก เข่นฆ่าโจรหัวโจกกัน คือสอนให้ตั้งจิตไว้ผิด
ทิโส ทิสํ ยนฺตํ กยิรา เวรี วา ปน เวรินํ
มิจฺฉาปณิหิตํ จิตฺตํ ปาปิโย นํ ตโต กเร.
โจรกับโจร หรือไพรีกับไพรี พึงทำความพินาศให้แก่กัน
ส่วนจิตที่ตั้งไว้ผิด พึงทำเขาให้เสียหายยิ่งกว่านั้น.
(พุทฺธ) ขุ. ธ. ๒๕/๒๐.
ยกตัวอย่างธัมมชโย ก็หลอกกัน อยู่ในธรรมกาย ต่างเป็นโจรทั้งนั้น ก็ทำความฉิบหาย ทำความทุกข์แก่กันและกันตลอดเวลา ความฉิบหายนั้น พระพุทธเจ้า บอกว่าคือจิตที่ตั้งไว้ผิด พึงทำให้เกิดความพินาศให้แก่กัน ส่วนจิตที่ตั้งไว้ผิด พึงทำเขาให้เสียหายยิ่งกว่านั้น. ได้วิมานเฟสสองเฟสสามนั้น คือโจรหลอกโจร
จริงๆแล้วเขาเป็นคู่เวรกรรม ที่สร้างความฉิบหายแก่กันและกัน คนตั้งจิตไว้ผิด อย่างนี้เลวกว่าโจรหัวโจก ร่วมกันทำความฉิบหายแก่กันอีก อันนี้เลวกว่า
สำนักใดๆที่ไม่สัมมาทิฏฐิ ก็จะสอนกันผิด สอนการทำทานก็สอนผิด ว่ามาทำทาน แล้วจะได้สวรรค์อย่างนั้น ได้บุญอย่างนี้ ทำทานที่ตั้งจิตไว้ผิดคือ ทำทานแล้วเกิดจิตมีภพชาติ ไม่มีบุญใดเกิด ไม่ได้ชำระกิเลส มีแต่สร้างกิเลส สร้างภพชาติใส่จิต แต่บุญคือการชำระกิเลสในจิต ชำระภพชาติ แต่ทำทานแล้วได้กุศล ได้กุศลผสมไปกับกิเลส ได้กุศลที่เป็นกิเลส เรียกว่า ได้ลาภที่เป็นทุกข์ เรียกว่า ทุกขลาภ คุณทำทานด้วยวิบาก คุณให้ก็เป็นเจ้าหนี้เป็นกุศล ไม่ใช่ทำทานแล้วไม่มีกุศลใด ก็มีกุศลวิบาก แต่คนทำทานแล้วไม่มีปัญญา ทำจิตในจิตไม่เป็น ทำทานแล้วก่อกิเลสเพิ่มขึ้นๆ จึงเป็นคนสร้างภพใหญ่มาก กิเลสเพิ่มขึ้น
ภพสวรรค์ใหญ่เท่าไหร่ ภพนรกก็ใหญ่เท่านั้น
นรกกับสวรรค์มันอันเดียวกัน
สอนให้คนติดสวรรค์ = สอนให้ได้นรก
สอนให้ยึดสวรรค์ = สอนให้ยึดนรก
สวรรค์คือคู่นรก แยกกันไม่ออก
ถ้าคุณดับสวรรค์ ลดสวรรค์เมื่อไหร่ เรียกว่าอสังสัคคะ คือไม่ประกอบสวรรค์ แต่เขาไปแปลว่า ไม่เกี่ยวข้องกับหมู่คณะ ไปแปลเป็นบุคคลอีก แต่ทั้งที่ คณะคือกองกิเลส ต่างหาก”