610704_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อัมพัฏฐสูตร พิสดาร ตอน 2
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1bIo6C3cVLRXnNu5HvpF40hfKH5nGG2mzhbRgoXAKq3s
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1Z_yQRlPSO6a-Dl3OpVHziv9D3J2R3F8i
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 4 กรกฎาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ภาวะนี้เป็นภาวะมนุษย์ติดถ้ำ คนไทยก็ดีใจที่ได้พบเด็กและโค้ชรวม 13 คนในถ้ำ ช่วยกันทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน
เราได้มาพบสัตบุรุษอย่างพ่อครู ผู้ที่ไม่มีใครทำได้อย่างท่านในยุคสมัยนี้ ให้เราได้ทำใจในใจเป็นในขณะผัสสะเกิดขึ้น
เราได้ฟังอัมพัฏฐสูตรที่พ่อครูได้นำมาอรรถาธิบายในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
พ่อครูว่า…อ่านสิ่งที่คนส่งมาก่อน…
_จากคุณ.บ้านเล็กเมืองน้อย…กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง
หนังสือเก่าของพ่อท่านได้ทำให้เข้าใจถึงความลึกซึ้งของการยอมอย่างที่พ่อท่านยอมแพ้ถึงแม้ไม่ผิดก็ตาม
พ่อครูว่า…มันก็ยากสำหรับคนที่ถือว่าตนเองถูก ก็ไม่ยอม แต่อาตมาไม่ได้ยึดถือศักดิ์ศรี แม้เราแพ้ เท่ากับเราผิดในความเข้าใจของคน เขาจะเอาชนะคะคานเราก็ยอมให้เขาชนะ เราก็ยอมแพ้เสีย คนเขาก็จะถือว่าเราเป็นผู้ผิด แน่นอนว่าคนเข้าใจอย่างนั้นมี เราจะไปทำอย่างไรได้สำหรับคนที่ตื้นๆ หากเราไปดึงดันไปต่อสู้ มันก็ไม่สงบไม่ดี อาตมาก็ไม่ชอบที่จะไปทะเลาะวิวาท แล้วเราก็แพ้ได้จะได้จบ แต่เราก็ยังยืนหยัดยืนยันว่า สิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่ดีสิ่งที่ควรทำ ทำกับประชาชนให้กับประชาชน อาตมามั่นใจตัวเองว่า ชีวิตของอาตมา อาตมาไม่ต้องการอะไรตอบแทน อาตมา ก็ไม่มีอะไรที่จะดีที่สุดที่จะให้แก่สังคมแก่มนุษยชาติ ดีเท่าที่อาตมามีคือความเข้าใจตามพระพุทธเจ้า ที่ตัวเองมั่นใจว่าเป็นสิ่งประเสริฐ มีความประเสริฐยิ่งกว่าเพชรพลอยเงินทอง ก็เอาอันนี้มาแจก ก็ทำมาตลอด ก็แพ้มาตลอด ไม่คิดจะไปชนะใคร จะแพ้หรือชนะมันก็จบลงได้ และสิ่งที่มันจะทำงานเราก็ทำได้ เราจะแสดงสัจธรรมก็แสดงได้ อาตมาก็แสดงอยู่ ก็ไม่เป็นไร
แม้ว่า คนจะไม่รัก คนจะเหลือน้อย เขาเชื่อกระแสหลัก เขาประกาศว่าอาตมาเป็นผู้แพ้และเป็นผู้ผิด คนส่วนใหญ่ก็จะเข้าใจอย่างนั้น อาตมาก็ไม่ได้คิดว่า เสียหน้า คือรู้เหตุว่า เขาไม่รู้ ความถูกต้องดีงาม เขาละเมิดความดีงามความถูกต้อง เขาข่มเบ่งหลงตัวหลงตนว่าผิด เป็นความจริงที่อาตมารู้ เราจะไปบังคับให้เขามาเข้าใจเขารู้ ให้เขาเป็นอย่างที่อาตมาเชื่อ ได้อย่างไร เขาก็ต้องเชื่ออย่างที่เขายึดถือ
ส่วนคนที่อยู่กับสังคมเขาก็ไม่กล้าแสดงตัวออกมา กับส่วนรวมกับสังคม ส่วนใหญ่ของสังคม หรือบางทีก็อยู่ในวงการแต่ก็ไม่แสดงขัดแย้งออกมา จะมาเห็นด้วยกับอาตมาเข้าข้างอาตมามาทำอะไรร่วมด้วยกับทางโน้นเขาก็ทำไม่ได้ ก็มีบางคน เข้าใจว่าอาตมาถูกต้องแต่เขาแสดงออกไม่ได้ก็มีไม่ใช่น้อย จำนนไม่กล้าแสดงความจริงออกมา ก็เป็นความไม่กล้าของเขาก็ทำไงได้ ไม่มีปัญหาอะไร
จึงขออนุญาตเรียบเรียงตามความเข้าใจ ผิดถูกอย่างไร กราบรบกวนชี้แนะด้วยครับ
บุคคลแม้ได้เรียนรู้ทฤษฎีสัมพัทธภาพ แต่ยังยึดโลกธรรม หลงปรมาตมันในตน ก็จะไม่สามารถทำจิตให้มีสันติธรรมได้
ยิ่งเรียนจบสูงปานใด แทนที่จะได้ มหาพลังเย็นโอบอุ้มโลก แต่กลับสร้างไฟโลกันต์เผาผลาญโลก เป็นปรมาณูทำลายล้าง อย่างที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ
การศึกษาควรเป็นหนทางที่นำมนุษย์ไปสู่ความเจริญ แต่ในโลกทุนตีค่าความเจริญเป็นเพียงวัตถุ นักศึกษาจึงมุ่งแสวงหาช่องทาง (connection) มากกว่าคุณธรรมความรู้
สถานศึกษาจึงกลายเป็นสนามแข่งขัน แย่งชิงความเด่นดังเพื่อสร้างเครือข่าย ปูทางไว้สำหรับอนาคต
สถานศึกษาใดมีลูกท่านหลานเธออยู่มาก จึงแย่งกันเข้าไป ถึงแม้ต้องจ่ายค่าเรียนที่แสนแพงเพียงใดก็ยอม
แต่ความรู้แท้จริงที่นักศึกษาได้รับ กลับเป็นความเฉกาในการเอาตัวรอด เรียนรู้วิธีการให้เป็นผู้ชนะ
สถานศึกษาจึงกลายเป็นแหล่งบ่มเพาะ มานะอัตตา เต็มไปด้วยมิจฉาทิฐิ
การประจบประแจง เสแสร้ง ไม่อยากให้คนอื่นได้ดีกว่าตน กลายเป็นเรื่องปกติ สะกดข่มความพยาบาทไว้ ทีใครทีมัน
เมื่อเข้าสู่สังคม จึงสร้างปัญหา แก่งแย่งชิงเด่น ขัดแข้งขัดขา แบ่งฝักแบ่งฝ่าย อวดมานะอัตตาอย่างไม่เห็นหัวใคร
คำขอบคุณ ที่แสดงออกถึงความนอบน้อม กลับถูกมองว่าเป็นความอ่อนแอ
และคำขอโทษ ที่แสดงถึงความถ่อมตน แทบจะไม่มีให้ได้ยิน หากว่าจะมีอยู่บ้างก็จะถูกแปลความว่า เป็นฝ่ายผิด ต่ำต้อยกว่า จะถูกซ้ำเติม ถูกข่มเหงรังแก
หากขาดความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่สำนึกตน ไม่ยอมอนุญาตตัวเองให้ยอมรับผิด มนุษย์จะไม่มีทางพัฒนาตนให้เป็นอาริยะได้เลย
การปิดประตูไม่พิจารณาทบทวนการกระทำของตน คิดว่าตัวเองถูกตลอด ก็คือการหลงปรมาตมันในตน
จะปฏิบัติธรรมมานานแค่ไหน เรียนรู้ธรรมะขั้นสูงเพียงใด ถ้าไม่เห็นใจผู้อื่น ไม่เห็นหัวใคร ไม่รู้จัก การยอม
การบรรลุธรรมก็คงเหมือนกับ ปลูกมะม่วงแล้วหวังจะได้ทุเรียน
การยอม เป็นพื้นฐานของความมีสัมมาทิฏฐิ
ยอม ให้ได้ แบบยินยอมพร้อมใจ ให้สามารถทำใจในใจ โยนิโสได้ถึงแดนเกิด
จึงจะเกิด ตัวรู้ รู้ถึงต้นตอที่ทำให้ตนเองหลงผิด ทำผิดพลาด ทำร้ายจิตใจผู้อื่น เกิดความสำนึกเสียใจ
แล้วให้ ตัวรู้สำนึก ส่งสัญญาณไปสู่ ฉันทะ เกิดเป็นความตั้งใจ ที่จะนำไปสู่การแก้ไข นิสัย-สันดาน ที่ไม่ดี
ด้วยการสร้างพลังงานอุณหธาตุ เป็นบุญ เป็นฌาน ไปประหารกิเลส เผาอนุสัยที่ไม่ดีทิ้ง
แล้วปลูกฝังนิสัยใหม่ที่ดีลงไปแทนที่
แล้วทำซ้ำๆให้ตกผลึก ฝังลงในจิตใต้สำนึก ให้เกิดความเคยชิน ควบแน่นจนกลายเป็นสมาธิ มีสติรู้ตัว เกิดปัญญาแววไว
ทำความยอมให้สำเร็จไปทีละปริเฉท กิเลสก็จะลดลงไปเป็นลำดับ
จนปุถุชนตายจากโลกโลกีย์ไป แล้วเกิดใหม่ในโลกโลกุตระ เป็นอาริยะชนได้สำเร็จ
การแข่งขันก่อให้เกิดคนเด่นและคนด้อย ฉะนั้นการศึกษา ต้องไม่สนับสนุนให้แข่งขันกัน การแย่งชิงก็จะไม่ถูกปลูกฝังลงในจิต
สันติธรรมจะเกิดขึ้นได้ หากผู้เข้มแข็งช่วยเหลือเกื้อกูล ส่วนผู้อ่อนแอก็ตอบแทนด้วยความมีน้ำใจ
ด้วยเหตุนี้ ศีล จึงต้องเด่น ช่วยปลูกฝังจิตให้มีเมตตา ให้อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ชิงเด่นด้วยมานะอัตตา กล้ายอมรับความผิดพลาดของตน
ขอบคุณได้ ขอโทษเป็น
การก้มหัวขอโทษบ่อยๆของชาวญี่ปุ่น ได้ทำให้คนญี่ปุ่นมีวินัยและมีจิตสาธารณะมากว่าคนชาติอื่นๆ
เพราะสัญญาณ ยอม ที่มีการสำนึก ได้ส่งไปถึงฉันทะ
จึงมีการปฏิบัติอย่างตั้งใจ แก้ไขปรับปรุง จนได้พัฒนาเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้นนั่นเอง
พ่อครูว่า…เขียนออกมาก็ดี ถูกต้องทุกอย่างให้คะแนนเต็ม อาตมาทำงานมานั้นเอาชีวิตมาทำงานด้านนี้ย่างเข้า 48 ปีแล้วและก็ทำต่อไปอีกให้นานเท่าที่จะต่อชีวิตของตัวเองออกไปได้ เป็นการพิสูจน์พลังงานทางจิต เป็นความรู้ทางจิต เอามาประกอบ 80 ให้ชีวิตของเราอายุของเรายืนยาวไปได้ จะได้จริงไหม อาตมามีความรู้ของพระพุทธเจ้ามาไม่ได้เรียนมาทางวิทยาศาสตร์แต่ก็เอามา Apply เป็นวิทยาศาสตร์ได้
อาตมาพยายามแสดงความจริงอย่าง concise อย่างสั้นกระชับไม่ยืดยาด ไม่เยิ่นเย้อ อ้อมค้อม บอกว่าตัวเองเป็นใคร จะมาทำอะไร บอกเปรี้ยงๆๆๆไปเลย เป็นสัตบุรุษบรรลุธรรมมาแล้ว มาแสดงธรรมประกาศสัจธรรมมาสืบสานธรรมะพระพุทธเจ้า ประวัติธรรมะพุทธเจ้านั้นได้ฉิบหายวายป่วงไปหมดแล้ว หมดเนื้อเป็นกลองอานกะไปแล้ว พูดทุกอย่าง
คนไทยเมืองพุทธ มีพุทธศาสนิกชน 95% ไม่เห็นจะตื่นเต้นอะไรเลย เฉย เหมือนม้าตด ไม่ตื่นเต้นที่จะมาเอาสิ่งที่ดีนี้เพราะอะไร
สมณะฟ้าไทว่า…1. เขาไม่ได้ฟัง เขาไปฟังสิ่งที่ไม่ดีแล้วก็จะชอบฟังสิ่งนั้น แต่สิ่งนี้มันขัดเกลาเขาก็จะไม่ชอบฟัง พระอรหันต์เป็นอย่างนี้ มันตรงกันข้ามกับที่เขารู้มา เขาก็บอกว่าไม่น่าจะใช่
-
เขาโง่ เขาฟังแล้วไม่รู้เรื่องเอง 3. ธรรมะโลกุตระนี้ คนจะไม่กระดี๊กระด๊า เทียบกับตัวเองเมื่อก่อน ดูหนังฟังเพลงก็กระดี๊กระด๊า แต่ว่ามาฟังธรรมนี้มันไม่เหมือนจะไปดูหนังเลย
พ่อครูเทศน์ พ่อครูเป็นสัตบุรุษ แต่คนมาฟังก็เจริญมาช้าๆไม่เหมือนคนที่จะเดินไปฟังพวกนักร้องนักแสดง
พ่อครูว่า…เรื่องของโลกุตรธรรมให้คนสุขุมคัมภีรภาพ แต่โลกียะนั้นทำให้คนเป็นลิงเป็นค่าง กระดี๊กระด๊า วิ่งเต้นวี๊ดว๊ายกระตู้วู๊ มันเป็นธาตุแท้อย่างนั้นจริงๆ
ประเด็นที่คุณพูดไป ว่าพระอรหันต์เป็นอย่างนี้ๆ ทุกวันนี้คนเราเข้าใจว่า ผู้ที่จะเป็นพระอรหันต์ ที่มีความรู้ธรรมะขั้นอริยขั้นโลกุตระของพระพุทธเจ้า คนที่จะแสดงธรรมเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์สูงสุด เป็นอรหันต์ต้องเป็นอย่างนี้ จะต้องเป็นคนอย่างนี้
คอนเซ็ปอันนี้ เขาได้ฟังเอาไว้ในจิตในความรู้ของพุทธศาสนิกชน เมืองไทย เมืองอื่นไม่รู้ เขาฝังไว้แล้วว่าอรหันต์จะเป็นอย่างไร
-
อรหันต์ที่เขาเห็นนั้นจะต้องเป็นพระป่า เป็นพระปฏิบัติออกป่า นี่เป็นประเด็นหลักประเด็นแรก
-
เขาจะต้องนั่งสมาธิหลับตาเก่งและบรรลุในขณะนั่งสมาธิหลับตา
-
เป็นคนมักน้อยสันโดษเป็นคนไม่แสดงออกที่จะมาแย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุข อันนี้เป็นพื้นฐาน ไม่เป็นเหมือนอย่างคนโลกๆเลย อันนี้ก็ดีก็ถูก
แต่ประเด็นการออกป่ากับนั่งหลับตาสมาธินี้ผิดทั้งสองอันของศาสนาพุทธ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์จะเป็นคนอย่างที่เขาตีราคา เขาบอกว่าพระอรหันต์มี 50 กว่าองค์ในประเทศไทย ก็รวมลงมาบอกว่าส่วนใหญ่เป็นนั่งหลับตาสมาธิทั้งนั้น พระอรหันต์ที่เขายืนยันว่าเป็นอย่างนี้ ซึ่งผิดหมด คนเหล่านั้นเป็นอรหันต์เก๊ พูดชัดๆ
เหตุเพราะว่า คนที่เขาเป็นพระอรหันต์เป็นพระอาริยะ ประกาศตนเองไม่ได้บอกตนเองไม่ได้พูดไม่ได้เลย บอกไม่ได้ เหมือนในโลหิจสูตร
โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่… ฯลฯ ” .
พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง
(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 358)
ในอภิณหปัจเวกขณ์มีข้อหนึ่งว่า หากมีเพื่อนสพรหมจรรย์ ถามเราว่าบรรลุอย่างไรก็จะตอบได้อย่างไม่เก้อเขิน
เมื่อเขาบอกไม่ได้จึงเกิดอรหันต์เดา ที่เขาเดาว่าเป็นอรหันต์คืออรหันต์เก๊ทั้งนั้น
ที่เข้าใจกันว่าอรหันต์มีในประเทศไทยนั้นเป็นอรหันต์เดาที่เป็นอรหันต์เก๊ทั้งนั้น เพราะ
เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาประกาศอย่างผิด จึงได้เข้าใจผิด ว่าพระอรหันต์แบบนั้น เป็นอรหันต์แบบที่เดาเอา
แต่คนจริงที่บอกว่าเป็นอรหันต์ เขาก็จะบอกว่าไม่ใช่ ยิ่งเป็นอรหันต์แล้วยิ่งบอกได้เลย บอกได้ไม่ผิดธรรมวินัย จะผิดปาจิตตีย์คือบอกกับคนไม่รู้เรื่องธรรมะพระพุทธเจ้า เขาฟังแล้วเข้าใจผิด อนุปสัมบัน เขาเข้าใจผิดมันจะเสีย แต่ถ้าถูก แม้ผู้ไม่รู้จักพระอรหันต์ไม่รู้จักศาสนาพุทธเลย ถ้าบอกแล้วเขารู้จักอย่างเป็นจริงก็ไม่เห็นจะเสียหาย ยิ่งผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชนด้วยกันบอกแล้วยิ่งดีใหญ่ จะได้รู้ว่าเป็นอรหันต์จริงไม่ใช่อรหันต์เก๊ เดา
แต่เขาว่าผิดปาจิตตีย์ คือ ประเด็นว่า พูดกับผู้ที่ไม่สมควรจะพูด ศัพท์ว่า อนุปสัมบัน คือผู้ไม่เข้าถึง ฟังแล้วไม่เข้าถึงได้ไม่รู้เรื่องได้ เราจะสอนคน หากสอนคนไม่เข้าถึงให้รู้ให้เข้าถึงได้ใช่ไหม เราก็ต้องสอนคนไม่รู้ไม่เข้าถึงนี่แหละ จะให้เขาเดาเอาต่อไปก็จะยิ่งยาก
สัจจะลึกซึ้งสูงสุดแล้วพระอรหันต์ประกาศกับใครก็ได้ กับอนุปสัมบัน กับ อุปสัมบันก็ได้ เพราะว่าเป็นผู้ไม่มีอาบัติเลย เพราะหมู่สงฆ์จะยกสติวินัยให้ทุกองค์สำหรับพระอรหันต์ ทำอย่างไรก็ไม่เป็นอาบัติ เพราะท่านมีความจริงใจพอ ท่านไม่มีอกุศลจิตอะไรแฝงเลย เพราะฉะนั้นปล่อยท่านเลย ท่านจะรู้ว่าควรพูดหรือไม่ควรพูดเอง เพราะท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านจะมีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4
ใครมาเอาแค่กฏหลักย่อยๆมาตีพระอรหันต์คนนั้นซวย ที่พูดไปนี้ไม่ได้ออกตัวแก้ตัวให้คนเองดูดี เท่เก๋ ไม่ใช่ อยากได้พูดสัจธรรมอธิบายสัจธรรมที่เขาได้หลงผิด ไม่เป็นประโยชน์ ยิ่งค้านแย้งสิ่งที่ถูกต้อง หรือพระอรหันต์จะแสดงอะไรออกมาแล้วไปค้านแย้ง บอกว่าไม่ใช่อรหันต์ไม่ยอมรับนับถือ คนค้านแย้งนี้ดีไหม มันเสียไหม ก็ไม่ดี
สมณะฟ้าไทว่า..คนที่บรรลุธรรมเป็นอรหันต์แล้วใจบริสุทธิ์พระพุทธเจ้าก็ยกเรื่องกฎระเบียบไว้ให้
พ่อครูว่า…การบอกอย่างไม่มี สาเฐยจิต เป็นการอวดอุตริมนุสธรรมซ้อน อาตมาก็ต้องบอกให้หมดเปลือก ยุคนี้อาตมาแสดงธรรมนี้ยากมากเลย น่าสงสารคนที่ถูกครอบงำความคิดไว้มากไปหลงเชื่อความผิดว่าเป็นความถูก อาตมาเอาความถูกมาเปิดเผยอธิบายมาแสดง
-
แสดงมายาวนาน 2. ที่อาตมาแสดงออกมานั้น ตรวจสอบได้ไหม แสดงธรรมลึกซึ้งไหม แสดงธรรมตรงกับของพระพุทธเจ้าที่ไม่มีใครอธิบายได้ง่ายๆไหม