พ่อครูให้สัมภาษณ์ นสพ.ไทยโพสต์ แทบลอยด์ เรื่องการศึกษา และเรื่องวงการสงฆ์ …27 มิถุนายน 2561
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูรว่า…การศึกษาของที่นี่กับของที่อื่นเป็นอย่างไรครับ
พ่อครูว่า…การศึกษาที่เรียนกันในระบบทั้งโลก ประถม มัธยม มหาวิทยาลัย การศึกษาควรจะต้องอยู่ร่วมกันกับสังคม ที่เราอยู่ร่วมกันเป็นจริงไม่ควรจะแยก ว่าโรงเรียนก็อยู่ในกล่อง สังคมก็อยู่กันอีกคนละที่ มันก็แยกกันไปการเรียนการศึกษาก็ไปเปิดจากตำรา ดีไม่ดีเป็นตำราที่ เขียนจากสังคมอื่น สังคมเอสกิโม สังคมที่ไหนก็ไม่รู้ เราก็เอามาใช้มาศึกษากัน ซึ่งมันไม่เข้ากับเรื่อง มันไม่ควรจะแยกโรงเรียน เราก็มีสังคมหมู่บ้าน แล้วก็มีธรรมะ อย่างน้อยเป็นสามเส้า บวร มันแยกกันไม่ได้
การศึกษาถ้าจะแยกกัน มันก็เสียแล้วบอกพร่องแล้ว 2 ไม่อยู่กันอย่างธรรมชาติ แม่เราจะแบ่งเป็น 3 เส้านี้ก็ตาม ก็ต้องควรอยู่อย่างธรรมชาติไม่ใช่ว่าต่างคนต่างอยู่ แต่คนจะต้องกลมกลืนกันเกี่ยวข้องกันเป็นชีวิตจริงร่วมกัน ทั้งการศึกษาทั้งสังคม ทั้งวัด แล้วมันก็จะเกิดการซึมซับการผสมผสาน เกิดการสังเคราะห์สังขารกันในตัว จะเป็นผลเต็ม อาตมาเห็นว่าการศึกษาที่เป็นอยู่อย่างนี้ อาตมาจึงมาจัดให้พวกเรา ในกลุ่มชาวอโศกตั้งแต่เริ่มต้น อาตมาก็แยกเลย มีหมู่กลุ่มขึ้นมาก็สำคัญชัดเจน ใช้คำเป็นพยัญชนะว่า
ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา ศีลเด่นคือวัด เป็นงานคือสังคม โรงเรียนก็คือการศึกษา บ้านวัดโรงเรียนบวร สามเส้า เราทำมาตั้งแต่ต้นเพราะเห็นว่าการแยกทำอย่างนั้นมันบกพร่อง
การศึกษาให้เจริญทั้งทางโลกที่เขาเรียนทั้งการศึกษาชีวิตจิตใจและสังคม ทั้งเรื่องธรรมะ คุณธรรม เรียกว่าวัด ก็ให้ครบสาม หากไม่ครบสามก็เป็น มนุษย์เป็นสังคมที่พิการ
ป่าร่ม… มีคนบอกว่าโลกนี้ล้มเหลวการศึกษาทั้งเรื่องทางโลกและทางธรรมใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า…ใช่แล้ว แต่เดิมนั้น สังคมไทย เป็นของพุทธ เป็นบวร แต่เดิม แต่ตอนหลังไปเอาตัวอย่างแบบเขาที่เขาเจริญ เอาทางโน้นมาเป็นแปลงสังคมไทย ไทยเลยเสื่อมต่ำ
ป่าร่ม…เป็นการศึกษาในระบบทุนนิยม
พ่อครูว่า…ใช่เป็นแบบทุนนิยมใช้อำนาจ ของเราใช้อยู่กันอย่างพี่น้องแบบญาติเมตตาเกื้อกูลสร้างสรรค์ ไม่ได้เป็นการค้า ไม่ได้เป็นการสร้างคนเพื่อไปให้เป็นยศชั้น เป็นศักดินา
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…….โรงเรียนตั้งมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็มีระบบอย่างนี้
พ่อครูว่า…ตั้งแต่อาตมาออกมาบวชก็มีชุมชน บวช พ. ศ. 2513 อาตมาก็พยายามรวมสร้างชุมชนขึ้นมา พยายามรวมตัวกันตั้งแต่เริ่มมี ศีรษะอโศก ศาลีอโศก พ.ศ.2516-17 ก็รวมการเป็นสังคมชุมชน มี บ้านวัดโรงเรียนมา ตอนแรกเราก็ตั้งแบบที่สอนกับแบบ home school กศน.
สอนวิชาการ สอนธรรมะ สอนสังคม บ้าน วัด โรงเรียน ตั้งแต่ต้นมาจนถึงบัดนี้ไม่มีการแยกส่วนแต่เขาแยกส่วนกัน ศาสนาพุทธทุกวันนี้ใครก็รู้ว่า พอมีลูกที่ดูเดียงสาพอสมควร ก็จับยัดเข้ารร. ตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม ตื่นเช้าขึ้นมาก็ไปโรงเรียน ตอนเย็นก็กลับบ้าน อาบน้ำกินข้าวทำการบ้านหน่อย เช้าก็ไปเรียน ไม่มีความเป็นอยู่ร่วมกับสังคมของตนเองเลย ยิ่งโรงเรียนอยู่ไปไกลห่างไปอีกหลายกิโลเมตรก็ห่างจากสังคมตัวเองจริงๆ ดีไม่ดีส่งไปเรียนต่างประเทศ ได้ความรู้ต่างประเทศมาแล้วก็ไปอยู่สังคมบ้านตัวเอง ก็เอาที่อยู่ในหัวเป็นของต่างประเทศมาแล้วก็เอามาใช้กับประเทศตนเอง มันก็เลยไม่ใช่สังคม ไม่ใช่ชีวิตของชาวเรา คนละวัฒนธรรม คนละสมมุติคนละกำหนดหมาย มันก็เลย เป็นเช่นนี้เสื่อมไปเรื่อย หัวมังกุท้ายมังกร
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…….การแข่งขันในระบบการศึกษาปกติเป็นอย่างไร
พ่อครูว่า…อาตมาวัดเกณฑ์อยู่ อาตมาเห็นว่าเป็นความเจริญเป็นความครบพร้อมของชีวิต เพราะฉะนั้นเด็กของเรา ที่จบมอหกไป เด็กของเราพึ่งพาตัวเองได้ทั้งนั้น ไม่ต้องไปอยู่กับพ่อแม่เลย ไม่ต้องไปงอแงหาเอาเงินจากพ่อแม่ แม้แต่บางคนจบปริญญาตรีโทเอกพวกเราก็ไม่ต้องขอเงินพ่อแม่ หรือไม่เรียนก็ทำมาหากินได้ หรืออยากจะเรียนกับเรียนไซด์ไลน์ อันนี้มีเรียนนอกเวลากันเยอะ จบปริญญาตรีโทเอกตั้งเยอะ แล้วก็ไม่ได้ติดใจในปริญญาตรี โท เอก เขาก็ทำงานกิจการของเขาเอง ที่นี่มีดอกเตอร์เดินหัวจะชนกันแตก
ที่นี่จบแล้วไม่มีตกงาน ยิ่งไปเรียนปริญญาตรีโทเอก ก็เป็นเครื่องประเทืองเท่านั้นเอง เอาความรู้มาใช้ได้ ก็มี หรือเราก็ทำงานเป็นอยู่แล้วก็มี
เด็กที่นี่เราพาทำตั้งแต่งานที่ควรจะเป็น งานที่เป็นสัมมาชีพต่างๆ สังคมเราเป็นสังคมกสิกรรมมีอุตสาหกรรมเล็กๆน้อยๆบ้าง ทำหยูกยา ทำปุ๋ย ทำอาชีวะอะไร ก็มีทั้งนั้น
เด็กจบจากที่นี่จะอยู่ที่นี่ก็ได้ หรือไปๆมาๆ ที่นี่ไม่ได้เอาเงินเป็นตัวจ้างใครจะมาช่วยก็ช่วยแบบทำงานฟรีไม่ต้องช่างสักบาท เด็กที่ทำงานโทรทัศน์ที่นี่ไม่ได้จ้างสักคน ทั้งฝ่ายบรรณาธิการทั้งฝ่ายเทคนิคเชี่ยนไม่ได้จ้างใครเลย เปิดมา 10 กว่าปีไม่ได้จ้างเลย ก็ออกอากาศกันอยู่ได้ ไม่เห็นจะตกต่ำ ไปกับเขา
ป่าร่ม..ปัญหาของการศึกษาคือพ่อแม่ต้องลงทุนได้เงินมากทำอย่างไรจะไม่ต้องลงทุนมาก
พ่อครูว่า…ต้องแก้ที่ต้นทางเพราะว่าคนมีจิตเป็นทุนนิยมเห็นแก่เงิน จะไปแก้นั้นยากมากเลย ต้องมาทำอย่างที่เราทำ ถ้าเราทำนี้เราเห็นว่าเด็กควรมีการศึกษา เด็กควรเป็นผู้ที่จะรับการเรียนรู้ที่เจริญขึ้นไปอย่างแท้จริง เราก็ช่วยสังคมประเทศชาติ เพราะเราก็เป็นคนที่เห็นว่าอันนี้เป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่สำคัญ เราก็จึงทำ เพราะฉะนั้นเด็กที่มาเรียนที่นี่ไม่ได้เจตนาว่าจะต้องมาค้าขาย มาเรียนฟรี สอนให้ มาเรียนกินอยู่หลับนอนเลี้ยงให้เป็นลูกหลานเลย พ่อแม่ส่งให้มาอยู่ที่นี่แล้วหายห่วงเลยพ่อแม่ ไม่ต้องกังวล เด็กกินอยู่ที่นี่ไม่ต้องไปไหนจนเรียนจบ ที่นี่ได้แล้ว 6 ปี อยู่ที่นี่สบายเลย จบแล้วอยากจะให้อยู่ต่อด้วยซ้ำไปแต่เขาก็ไปบ้างช่วยงานบ้าง เราก็ไม่ได้ไปกำหนดอะไรไม่ได้มีสัญญาอะไรว่าจะต้องมาใช้หนี้ ไม่มี เราก็ช่วยคนช่วยสร้างสรรค์ให้แก่สังคมประเทศชาติ ช่วยประเทศชาติช่วยรัฐบาลช่วยการบริหารช่วยในสังคมประเทศ
ป่าร่มว่า..หากจะเอาลูกมาเข้าเรียนที่นี่มีกฎระเบียบอะไรบ้าง
พ่อครูว่า…หากแย่เกินไปเราก็รับไม่ไหว หากนิสัยพอไปได้ ผ่านการเข้าค่าย 2 ค่าย 3 ค่าย เข้าค่ายเหมือนนักเรียนจปร. เข้าค่ายทนได้ก็อยู่ไหวก็ได้ หากอยู่ไม่ได้มีซ่อมก็มี ใครไม่ได้ก็ไม่ได้ แล้วก็เข้ามาอยู่เรื่องเดียวกันจนจบ เราก็ได้ช่วยเหลืออนุชนให้เจริญไปเป็นคนดีของประเทศเป็นทรัพยากรของประเทศ
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร… ว่า…เด็กๆมีความตื่นตัวทางการเมืองสูงแล้วนะเดี๋ยวนี้ครับ
ป่าร่มว่า…ที่นี่มีคนบอกว่าที่นี่ใช้แรงงานเด็ก
พ่อครูว่า…. ต้องฉลาด คนโง่ก็บอกว่าใช้แรงงาน คนฉลาดก็บอกว่าเด็กมาฝึกก็ต้องทำงานไม่ใช่นั่งงอมืองอเท้า เด็กกว่าเด็กฝึกงาน คนฉลาดก็จะเข้าใจคนโง่ก็จะถามแบบนี้
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า..ถือว่าเป็นโรงเรียนในอุดมคติ
พ่อครูว่า..เราทำอย่างอิสระเสรีภาพคุณต้องเข้าใจนะว่าที่นี่เรียนอย่างศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา ศีลเด่น 40% เป็นงาน 35% ชาญวิชา 25% ไม่ใช่ว่าเรียนวิชาการน้อยนะแต่เรียนให้เหมือนกับข้างนอกนั่นแหละ แต่ว่าเรามีเรียนศีลเด่นเป็นงานไปด้วย
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า..การศึกษาที่ล้มเหลวที่เป็นกันเพราะอะไร
พ่อครูว่า…ขาดคุณธรรม ขาดศีลเด่น เด็กไม่เป็นงาน เรียนมาแล้วไม่เป็นงานเรียนมาแล้วตกงาน เด็กของเราเรียนจบแล้วคนรับไปทั้งนั้นเลย แย่งกันด้วย ไม่ต้องกลัวตกงาน มันต่างกัน แม้แต่เด็กช่าง เด็กของเราไม่ถึงวิศวะ ระดับอุดมศึกษาแต่ก็ช่างยนต์ ทางบริษัทก็จองเลยนะ พ่อเด็กของเราเป็นงานจริงๆไม่ได้เรียนแต่ในตำราลงมือทำทั้งนั้นเลย เครื่องมือเครื่องกลราคากี่ล้านเราก็ให้เด็กเราทำ เสียเราก็ซ่อม เสียซ่อมไม่ได้ก็ซื้อใหม่ ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้แต่ต้องเครื่องมืออะไรนะ ให้เด็กมีความรู้ติดตัวไปเลย
ป่าร่มว่า…สำคัญคือเด็กมีศีลเด็กมีความซื่อสัตย์
พ่อครูว่า…เราดูแลเรื่องคุณธรรมไม่ให้เละเทะ แต่แน่นอนก็ต้องมีสูญเสียบ้าง แต่ถ้าขี้เหนียวจนไม่ให้สูญเสียเลยมันก็ต้องเสียอยู่อย่างนี้ มันก็ไม่ได้ทำอะไรเลยทิ้งไว้เฉยๆมันก็เสียมันก็เสื่อม เสียของด้วย
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า…มีข้อเสนอแนวทางปฏิรูปการศึกษาใหม่ครับ
พ่อครูว่า…อาตมาไม่บังอาจไปนำเสนอหรอกไม่มีเครดิตขนาดนั้นแต่ทำตามที่เข้าใจตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน เราก็ทำการศึกษา สอนเด็ก ก็พยายามให้เป็นไปตามกระทรวงเขา เด็กที่นี่จบไปก็มีใบรับรองเท่าเทียมกับข้างนอก แต่เขาก็จะได้เท่าที่เราได้ มีทั้งคุณธรรมทั้งความเป็นงานทั้งความรู้ตามหลักสูตรของกระทรวง เอาทำอย่างนั้นมาตลอด ก็เห็นว่าการศึกษาเป็นความขาดพร่องคุณธรรม ขาดช่วงความเป็นมา มีแต่เด็กเข้ากล่อง ตั้งแต่อนุบาลตื่นเช้ามาพ่อแม่ก็พาเข้ากล่อง กลับมาก็อาบน้ำอาบท่าเข้านอน เช้าก็ไปเข้ากล่อง ตั้งแต่อนุบาลจนปริญญาเอก
เด็กจะไปรู้ความเป็นอยู่ของสังคมมนุษยชาติตรงไหนเอาแต่เรียน และคิดว่าจะไม่ทันโลกเขา ก็ไปเอาของโลกที่เขาคิดมา ให้เด็กได้เรียนจนกระทั่งมันแบกตำราจนหัวจะพัง แล้วก็สอนอย่างนั้นว่าคือความเจริญ ตอบให้ตรงตามที่อัดเข้าหัวไปนี่แหละ เรียนมาจบปริญญาตรีความรู้เต็มหัวเอาไปปฏิบัติได้ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ไหม นอกนั้นทิ้งเอาไปเปล่า 80 90 เปอร์เซ็นต์เอาไปใช้จริงๆถึง 10 เปอร์เซ็นต์ไหม ก็ไม่ได้รู้ความสูญเสียของมนุษย์ การศึกษาก็ได้แค่เอาไปใช้จริงได้แค่ 10% คิดถึงไม่ถึง เพราะว่ามันเดินมากไปเสร็จแล้วมันก็สูญเสีย แทนที่จะได้อันที่เข้มข้นเข้าไปใช้ โฟกัสเข้ามาหาสิ่งที่ตัวเองจำเป็นควรจะทำ คนจะถนัดเป็นชิ้นเป็นอัน เรียนไปหมดมันก็เลยเสียเวลาทุนรอนแรงงาน
ป่าร่มว่า..…ความเจริญที่พ่อครูหมาย หมายถึงอย่างไร
พ่อครูว่า…ความเจริญที่จะเอายอดที่สุดคือคุณธรรม วิชาการหรือการงานนั้นแม้จะไม่ดี แต่ถ้าความเจริญทางคุณธรรมแล้วอย่างอื่นก็จะดี ทำให้สังคมไม่เดือดร้อน สังคมมีคุณธรรม กับสังคมที่ไม่มีคุณธรรม การศึกษาเก่งฉลาดเฉลียวเอารัดเอาเปรียบ เฉโกเก่ง ที่ไม่ใช่ความฉลาดแบบปัญญา งานก็ไม่ค่อยเป็น มันก็เลยเอาแต่ฉลาด เฉโก คือรู้มาก แล้วเอาความรู้มาใช้หากินเอาเปรียบคนอื่น นี่คือความเสื่อมของสังคมตลอดมา
ถ้าเผื่อว่า อิสลาม ไม่ทิ้งปอเนาะ เขาต้องเรียนศาสนา ทางคริสต์ศาสนาเขาก็ยังเอาเรื่องของเขาเข้ามาบ้าง ส่วนชาวพุทธนี้ไม่เลย เพราะฉะนั้นชาวพุทธจึงเสื่อมได้ดีกว่าเขามาก เป็นคำชมหรือคำติก็ได้ อาตมามากอบกู้ขึ้นมาบ้าง เป็นศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา ทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลงและก็ยิ่งเห็นว่าพวกเราทำมาถูกต้องแล้ว
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า…พ่อท่าน มองปัญหาวงการพุทธศาสนาในวงการสงฆ์เป็นอย่างไร ปัญหาเงินทอนวัดเกิดปัญหาต่างๆ
พ่อครูว่า…อาตมาวิจารณ์ไปมันจะแรง ไม่อยู่ในร่องในรอยกันเลย ที่นี่นักบวชของชาวอโศกเป็นภิกษุ เราเรียกว่าสมณะ เขาไม่ให้เราเรียกว่าพระก็ไม่มีปัญหาอะไร เราก็เรียกว่าเป็นสมณะเป็นนักบวชในศาสนาพุทธ ที่ถูกต้องตามศัพท์ของพระพุทธเจ้าด้วย ตั้งแต่อาตมาบวชมาจนถึง 47 พรรษา นักบวชของเราก็ไม่มีเงินทอง แม้แต่สิกขมาตุ ถือศีล 10 ก็ไม่มีเงินทองแล้ว
เขาตะโกนถามกันว่ามีพระที่ไหนไม่มีเงินทองนักบวชที่ไหนไม่มีเงิน เราก็อยากตะโกนบอกว่าที่นี่ โว้ย ตั้งแต่ตั้งพวกเรามาก็เป็นไปตามทำนายพระพุทธเจ้าไม่ต้องมีเรื่องเดือดร้อน ที่นี้ถ้าหากชำระสะสางจริงๆแทบไม่เหลือเหลือ สมณะพระภิกษุในเถรสมาคม ตัวใหญ่ๆนั่นแหละตัวดี ซักให้ละเอียดปาราชิกกันทั่วหน้าเลย ใช้เงินผิดประเภทก็ปาราชิกแล้วนะ รับเงินมา สำหรับวัดคุณก็ไปใช้ส่วนตัวอีก ก็ปาราชิกแล้ว
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า..ปัญหาเกิดจากความโลภคืออะไร
พ่อครูว่า…มันผิดเพี้ยนมานานไม่รู้ว่าตั้งแต่เริ่มตรงไหน หมักหมมมานาน มันเป็นศาสนาผีไปแล้ว เลยจากศาสนาเพี้ยนไปเป็นศาสนาผีแล้ว ไม่อยู่ในร่องรอยของศาสนาพุทธแล้ว ขออภัยที่พูดชัดเต็มที่
ป่าร่มว่า..มีพระบอกว่ายุคนี้สมัยใหม่แล้วต้องใช้เงินทอง
พ่อครูว่า…พวกเราก็อยู่ในยุคเดียวกับพวกคุณ บวชมา 30 ถึง 40 ปีแล้วไม่เห็นมีเงินทองก็ไม่เดือดร้อนสบายสบายทั้งนั้นเลย ไม่เห็นเดือดร้อนอะไรก็เป็นพระยุคเดียวกันนี้ คุณไม่เหมาะสมที่จะมาบวชเพราะคุณประพฤติไม่ได้คุณก็อย่ามาบวชสิ ทำให้ศาสนาเขาเสีย ถ้าหากคุณไม่ได้ตามธรรมวินัยพระพุทธเจ้าก็ทำให้ศาสนาเสีย คุณก็เป็นบาป คุณมาบวชก็เป็นบาป
การบวชตามประเพณีบวชเณรพันรูป 100 รูป ล้านรูป มันเป็นการทำลายศาสนาให้ฉิบหายวายป่วง เอาคนมาใส่ธงชัยพระอรหันต์ ไตรจีวรนี้ ผู้ที่จะได้นุ่งห่มเท่ากับได้มุรธาภิเษก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ไม่ใช่อาตมาพูดเอง เสร็จแล้วนุ่งห่มมาแล้วพ่อแม่ก็ต้องกราบนะ ชุดนี้ พ่อแม่ก็ต้องกราบแล้วคุณมีคุณธรรมอะไรให้พ่อแม่กราบ บาปจะกินหัว คุณธรรมพอเพียงที่จะมีอุตริมนุสธรรมที่พ่อแม่จะต้องกราบเคารพมีหรือ
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า..พ่อท่านบอกว่าปัญหาเงินทอนวัดนี้เป็นอย่างไร
พ่อครูว่า…อาตมาไม่อยากจะวิจัยมันเหลวไหล วัดจริงๆแล้วไม่มีเงินทองส่วนตัวของพระภิกษุต้องมีไวยาวัจกรดูแล ที่นี่ก็มีเงินเข้าวัดเข้าวาเข้าส่วนกลาง ก็ให้ฆราวาสเขาดูแล เขาจัดการไป ไม่มีแม้แต่สมณะหรือนักบวชหญิงเราเข้าไปมีส่วนตัว
ป่าร่มว่า…ที่นี่เขาหาว่าสร้างภาพแห่งเช่นท่านจันทร์เวลารับเงินก็คืนเขาไปอย่างนี้เป็นอย่างไร
พ่อครูว่า…ถ้าหากเป็นภาพที่ดีก็ควรจะสร้างไป สร้างให้ได้ตลอดชีวิตสิ คุณไปรู้ใจเขาได้อย่างไร การสร้างภาพเพื่อคือเต๊ะท่า แต่ใจจริงไม่เป็น แต่ถ้าใจจริงเขาเป็นเช่นนั้นเขาก็คือจริง เขาไม่ได้สร้างภาพแต่ทำอย่างจริงใจประพฤติจริงทั้ง กายวาจาใจ คนก็ไปใส่ความว่าเขาสร้างภาพคุณก็บาปไปขี้ตู่เขา
ไวยาวัจกรก็ดูแลไม่มีปัญหาจะไปเกี่ยวข้องอะไร สมณะหรือนักบวชที่นี่ไม่ได้เดือดร้อนใจ ฆราวาสมีหน้าที่บริหารเงินทอง ก็บริหารไปสิ เราก็ดูแลความเป็นอยู่ของวัดวาอาราม ซึ่งพูดกันนักหนาว่า ศาสนวัตถุ ศาสนาบุคคล ศาสนพิธี เขาก็ทำกันได้อยู่แล้ว ที่นี่เราภาคภูมิใจว่าวัดวาเราไม่ได้จัดงานวัดเพื่อหาเงินเลย คนจะเอาเงินบริจาคก็มีหลักเกณฑ์ด้วย คุณยังไม่เคยมาที่นี่ถึง 7 ครั้ง มารู้ที่นี่ให้ดีว่า คุณจะบริจาคให้ที่นี่ ที่นี่เป็นอย่างไรน่าศรัทธาเลื่อมใสที่คุณจะเอาเงินบริจาคจริงหรือ มาสำทับตัวเองให้ชัดเจน7 ครั้งขึ้นไป หรือหนังสือให้ครบ 70 เล่ม ถึงจะมีสิทธิ์บริจาคได้
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า..ศาสนากำลังเสื่อมถอยเป็นอย่างไรครับ
พ่อครูว่า…มันได้เสื่อมมานานแล้ว ตอนนี้ก็ขันชะเนาะขึ้น ปัดกวาดสิ่งที่สกปรกออกไปทำให้ดีขึ้นก็อนุโมทนา เอาให้จริงเถอะ
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า..ควรจะต้องฟื้นฟูชำระสะสาง
พ่อครูว่า..ให้มันดีขึ้นเท่าที่มันควรจะเป็นไปได้
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า…ตอนนี้รัฐบาลกำลังจะปรับโครงสร้างของมหาเถรสมาคม พ่อท่านได้อ่านข่าวหรือไม่ครับ ที่ว่าจะถวายคืนพระราชอำนาจ คิดว่าการแก้ปัญหาเช่นนี้เป็นเช่นไร
พ่อครูว่า..ก็คณะเขาเห็นว่าควรจะปรับปรุงทำให้ดีขึ้น ก็เอาตามเจตนา ตามที่มีความรู้กัน จริงๆแล้วอาตมาเอง ไม่ได้เดือดร้อนวุ่นวายในเรื่องธรรมวินัยของชาวอโศก เพราะเราเดินตามหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า ได้ดีอยู่แล้ว ไม่ได้พูดคุยตัว แต่ทางโน้นเสื่อมมากก็ปรับปรุงกันก็อนุโมทนาสาธุ
ศาสนาพุทธมีศีลสมาธิปัญญา แต่เขาทำกันไม่มีสักอย่าง
ทุกวันนี้ เรียกว่าพระไพศาโล เป็นพระผู้เจริญ สมัยพระพุทธเจ้าเรียกว่า พราหมณ์มหาศาโล คือพระผู้เจริญผู้ยิ่งใหญ่ ในสำนวนคือ สมณะผู้เจริญบางจำพวกที่เขาเลี้ยงไว้ด้วยศรัทธา แต่ก็เต็มไปด้วยเดรัจฉานวิชาไม่เหลือเลย เพราะไม่มีมหาศีล พระเขาว่าเขามีศีล 227 อันนั้นมันวินัย ศีลเขาไม่มี ถามเมื่อไหร่ก็บอกว่ามีศีล 227 แต่จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ของศาสนาพุทธคืออะไร
จุลศีลคือศีลแท้ๆ ของพระพุทธเจ้าที่เป็นตัวปฏิบัติเพื่อลดละกิเลสให้เป็นอรหันต์ มัชฌิมศีลคือศีลอีก 10 ข้อที่เป็นอธิศีลเจริญขึ้น เข้มงวดกว่าจุลศีล ส่วนมหาศีลคือห้ามเดรัจฉานวิชชา เดรัจฉานกถา แต่เมื่อวงการพูดไม่มีศีลเหล่านี้แล้วจึงเป็นเดรัจฉานวิชาไปหมด รดน้ำมนต์จุดธูปเทียน สิญจนยัญ อัคคียัญ เป็นของศาสนาอื่นหมด การสวดมนต์ก็เป็นอาบัติตลอดเวลา
การสวดมนต์นี้คือ เอาบทมนต์หรือธรรมบทของพระพุทธเจ้ามาสวดพร้อมกัน 2 คนขึ้นไป ตั้งแต่ 2 คน 3 คน 4 คนร้อยคนพันคนหมื่นคนแสนคนล้านคนก็อาบัติปาจิตตีย์ทั้งนั้น แต่เขาไม่รู้วินัยข้อนี้แล้ว สวดกันจะสวดพร้อมกันล้านรูปก็อาบัติกันล้านรูป
เรื่องเงิน พระมีเงินไม่ได้ ถ้ามีเงินก็ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ปลงไม่ตกหรอก จนกว่าจะต้องสละเงินนี้ออกไปก่อนจึงจะปลงอาบัติลงได้ และพระมีเงิน เลี่ยงไม่ออกเลย แล้วปลงอาบัติอีกเท่าไหร่มันจะตกล่ะ แล้วจะปลงอาบัติสำเร็จอย่างไร ตามหลักจะต้องเอาเงินให้คนอื่นไป ถ้าหากคุณยังมีเงินเป็นส่วนตัวก็นิสสัคคิยปาจิตตีย์ตลอดเวลา ในสังคมสงฆ์ก็เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์กันเสมอ เมื่อทำสังฆกรรม ร่วมกันทุกอย่างก็มองข้ามไปหมด
การมาบวชจะต้องโภคขันธาปหายะ คือสละ ทรัพย์สินเงินทองเข้าของทุกอย่างออกหมดก่อน เขาก็บอกว่าในยุคนี้ไม่ได้หรอก แต่เราก็อยู่ในยุคเดียวกันก็ยังทำได้ ของเรามาบวชนี้จะต้องเซ็นออกทั้งทางนิตินัยทั้งทางพฤตินัย ทั้งสมณะสิกขมาตุ ไม่ให้มีสมบัติส่วนตัว แล้วดูแลช่วยเหลือเลี้ยงดูกันในสังคมของเราเอง เราก็อยู่กันมาอย่างอยู่เย็นเป็นสุข 48 ปีแล้ว
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า…หากท่านจะมีข้อเสนอเกี่ยวกับศาสนาจะต้องมีการตรวจสอบอะไรบ้าง เช่น การแสดงบัญชีพระ
พ่อครูว่า..สมณะที่นี่ไม่มีเงินสักบาทจะต้องไปทำบัญชีทำไม แต่พวกคุณอนุโลมกันแล้วจะเข้มงวดกวดขันกันอย่างไรก็เชิญ ขอโทษเราไม่มีเหตุจำเป็นอะไรจะต้องไปแก้พวกนั้น ไม่ต้องแก้หลักพวกนั้นให้เสียเวลา เราไม่ต้องอยู่แล้ว แต่คุณเองคุณก็ต้องหาทางที่จะเข้มงวดกวดขันของคุณเองขึ้นไปสิ ไม่เช่นนั้นคุณก็จมหมักหมมเน่าในกันอยู่อย่างนั้น
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า..ฝ่ายบ้านเมืองควรจะช่วยมากอบกู้วิกฤตศรัทธากันอย่างไร
พ่อครูว่า…ฆราวาสต้องมาช่วยดูแล ฆราวาสมีสิทธิ์ที่จะบอยคอตศาสนา มันเป็นการถ่วงดุลกันอยู่แล้วแต่ฆราวาสก็ไม่รู้เรื่อง เพราะพระก็ไม่ค่อยสอนศาสนาสอนธรรมะ สอนแต่จารีตประเพณีนอกรีต ศาสนาทุกวันนี้มีแต่จารีตประเพณี กับการสวดมนต์ ไม่มีธรรมะที่เป็นสัจจะธรรมโลกุตระของพระพุทธเจ้า มีแต่อาศัยจารีตประเพณี เท่ากับสมัยโบราณที่ยังไม่มีศาสนาพุทธก็มีหมอผีเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณเป็นจารีตประเพณีทำตามประสา เท่ากันเลยเท่ากับหัวหน้าเผ่า ที่ทำกัน พระก็เท่ากับเป็นหมอผี รักษาจารีตประเพณีพระนั้น ขออภัยที่อาตมาพูดชัดๆพูดง่ายๆ ลัดๆ ให้มันชัดเจนไม่ต้องขยายความมากมันเป็นเช่นนั้นจริงๆที่อาตมาใช้ภาษาระบุลงไปในพฤติกรรมว่ามันเป็นอย่างนั้น ไม่ได้ไปใส่ความอะไร
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า…ที่ผ่านมารัฐบาลบ้านเมืองพยายามแก้ไขปัญหาศาสนาพยายามฟื้นฟู พยายามเข้ามาจัดการปัญหาธรรมกาย เรื่องธัมมชโย ดำเนินคดีทุจริตเงินทอนวัด คิดว่าเพียงพอหรือไม่
พ่อครูว่า ก็ทำดีขึ้นแต่ยังน้อยไป ถ้าหากปล่อยปละละเลยก็ยิ่งไปกันใหญ่ แต่จะบอกว่าพอเพียงก็ยังไม่พอหรอกแต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำ
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า..พ่อท่านบอกว่าปัญหายังมีอีกมากลงลึกอย่างไร
พ่อครูว่า…อาตมาถึงได้แยกออกมาจากเถรสมาคมทำการนานาสังวาส ตั้งแต่ประกาศแยกตัวกับคณะสงฆ์ใหญ่ อาตมาบอกว่า อาตมาเห็นแล้วว่ามันยาก ท่านเหมือนบริษัทใหญ่ เราทอดปาท่องโก๋กัน ท่านเป็นบริษัทใหญ่ อาตมาว่าท่านทำสูตรปาท่องโก๋ผิดจากพระพุทธเจ้าทำให้คนกินท้องอืดท้องเฟ้อ อาตมาก็ขอแยกตัวมาตั้งร้านเล็กๆขอทำตามสูตรที่อาตมามั่นใจว่าเป็นสูตรของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องกว่า ถ้าเผื่อว่าร้านที่อาตมาพาทำเป็นสูตรที่ดี คนอาศัยใช้กินแล้ว ไม่ท้องขึ้นท้องเฟ้อ ไม่เป็นโรคเป็นภัยตาย เขาเจริญงอกงามก็อุดหนุนร้านอาตมาให้เจริญต่อไปได้ แต่ถ้าหากสูตรของอาตมาไม่ดีสูตรของท่านถูกต้อง ปะเดี๋ยวเดียวเราก็ตายไปไม่รอดหรอก อาตมาก็ทำอย่างนี้
อาตมาประกาศนานาสังวาสเสร็จตั้งแต่ 6 สิงหาคม 2518 เริ่มตั้งแต่ 7 สิงหาคม 2518 เราก็เป็น “นานาสังวาส” อย่างสมบูรณ์
วันร้ายคืนร้ายพ.ศ 2532 ที่เถรสมาคมรวมตัวทั้งคณะธรรมยุตและมหานิกายเอาเรื่องอาตมา เข้าสู่อธิกรณ์ ซึ่งมันทำไม่ได้หรอก ภิกษุที่เป็นนานาสังวาสกันจะมาอธิกรณ์กันไม่ได้ การกระทำของเขาเป็นโมฆะ แต่เขาก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่ปิดหูปิดตาประชาชน
อาตมาก็เขียนหนังสือชื่อว่าประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาสพิมพ์กันเป็นแสนเล่มแจก ก็ไม่กระดิกหูกัน อาตมาถูกย่ำยีกัน เอาอำนาจบาตรใหญ่มากระทำอาตมาก็อดทนไป แก้ไขไปตามเรื่องราว จนสุดท้ายเขาก็เชื่อตามเถรสมาคม ปรับอาตมาผิด อาตมาก็ว่าอาตมาไม่ผิด อาตมาแพ้อำนาจบาตรใหญ่แต่ไม่ได้ผิดจากธรรมวินัย อาตมาแพ้ก็แพ้ แพ้กฎหมาย แพ้ต่ออำนาจบาตรใหญ่ เขาเป็นผู้รักษากฎเกณฑ์เราเอาธรรมวินัยไปกางพูดอย่างไรก็ไม่ฟัง ถูกตัดสินให้แพ้ถูกตัดสินให้ติดคุกตาม กฎหมายคณะสงฆ์ 2505 เป็นบัญญัติขึ้นมาใหม่ ไม่ตรงตามที่พระเจ้าตรัสเช่นให้สั่งให้สึกได้ เป็นต้น อาตมาก็จึงกลายเป็นผู้แพ้ แต่อาตมาอยู่กับความจริงความถูกต้อง
เราก็อยู่ได้ ประชาชนมาอุดหนุนแค่นี้เราก็อยู่ได้แล้ว ประชาชนกินแล้วเจริญหายโรคภัยหายทุกข์โศก
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า…ที่รัฐบาล จะแก้ พรบ.คณะสงฆ์ที่มาของคณะสงฆ์ จะเป็นการปรับปรุงพุทธศาสนาไหมครับ
พ่อครูว่า…เขาจะทำก็ดีแล้วล่ะ แต่จะทำให้สมบูรณ์นั้น อาตมาว่ามันเกินมือ เกินที่จะทำได้สำเร็จ พูดให้ชัดๆๆ ให้มันมาสะอาดเหมือนชาวอโศกนี้ แก้ธรรมวินัยมาได้อย่างชาวอโศกไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้ รัฐบาลจะไปทำอย่างนั้นมันเป็นไปไม่ได้ คณะสงฆ์เอง ไม่มีปัญญาจะแก้ รัฐบาลจะออกกฎหมายบังคับบ้างก็จะดีขึ้น
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า…พ่อท่าน ให้สัมภาษณ์คุณสุทธิชัย หยุ่น มีเรื่องประเด็นการเมือง กับสันติอโศก
พ่อครูว่า…สันติอโศกกับการเมือง สันติอโศกไม่เคยพูดว่าการเมืองกับธรรมะแยกกัน บอกว่าธรรมะกับการเมืองอันเดียวกัน เพราะธรรมะก็กระทำกับมนุษย์กับสังคม การเมืองก็กระทำกับมนุษย์กับสังคม จุดมุ่งหมายเดียวกัน ให้เป็นคนดี ให้เป็นคนที่ไม่มีความผิด ตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย ตามหลักเกณฑ์พระธรรมวินัยก็ตาม ก็เป็นจุดหมายเดียวกัน เพราะฉะนั้นจะไปแยกกันตรงไหน
ถ้าคนจะดีตามหลักเกณฑ์ ของบ้านเมืองประเทศชาติก็มีกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นหลัก ก็ทำให้ถูกตามนั้น ทางธรรมะก็มีหลักธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ก็ทำให้ถูกตามนั้น มันก็เจริญทั้งคู่นั่นแหละ เป็นสิ่งเดียวกัน
1 เอากฎเกณฑ์ กฎเกณฑ์ของทางโลกเขาก็มีทางประเทศเขาก็ ก็ให้มันถูกต้องตามกฎเกณฑ์ที่ว่าให้เป็นอย่างนี้ ทางธรรมะก็มี มันก็ไปสู่จุดเดียวกัน จะดีขึ้นทั้งคู่ ถ้าจะเน้นว่าธรรมะคือทางด้านจิตวิญญาณ ซึ่งลึกซึ้งไปถึงขั้นโลกุตระด้วย ของศาสนาพุทธ ก็เจริญเหนือโลกเลย อุตระ หรือโลกุตระ คือเหนือโลกีย์เลย ความเหนือโลกีย์นี่แหละคือสุดยอดความเจริญของมนุษยชาติ เมืองไทยเป็นเมืองพุทธมาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน พระเจ้าอยู่หัวก็เป็นพุทธมามกะ มาถึงวันนี้ ณ ปัจจุบันนี้ รัชกาลที่ 9 ก็ทรงประกาศ เนื้อหาธรรมะโลกุตรธรรม
เช่นโลกุตรธรรมที่ประกาศว่า สังคมเศรษฐกิจที่เจริญต้องมาเอาแบบคนจน มีประเทศไหนที่ประกาศอย่างนี้ ที่ท่านตรัสอันนี้ หากไม่มีใครมาสะกิดท่านก็คงไม่ได้ตรัส มีรัฐมนตรีเกาหลีมาเข้าเฝ้า แล้ว รัฐมนตรีเกาหลีฝากมาถามว่าบริหารประเทศอย่างไรถึงจะดี
ท่านก็ตรัสว่าบริหารประเทศแบบคนจน เขาฟังก็แล้วนั่งเฉย ก็พูดให้ฟังอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมากเป็นโลกุตรธรรม
ของชาวอโศกอยู่กันอย่างมีศีลเป็นปกติ มี อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา จนเป็นผลจริงในพวกเรา
ป่าร่มว่า..ดูในคลิปมีศาสนาพุทธเจริญในต่างประเทศเช่นอิตาลี ผมเห็นปฏิบัตินั่งสมาธิกัน
พ่อครูว่า…ก็เรียนไปจากประเทศไทย ก็เลยได้บาปตรงที่ว่าพาผิด ไปจากศาสนาพุทธที่ไปนั่งสมาธิหลับตา ประเทศอื่นก็เอาตาม ถือว่าไทยเป็นต้นแบบ เขาก็เอาตามอย่างที่ผิดไป ประเทศไทยก็เลยแพร่เชื้อพุทธผิด ประเทศไทยก็ ซ้อนบาปไปอีก ไม่ได้ใส่ความนะ ซวย
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า…ทำไมพ่อท่าน เห็นว่าพลเอกประยุทธ์มีความเหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรี
พ่อครูว่า…อธิบายไปก็ยาก เพราะความรู้ของคนยังไม่รู้ในเรื่องของเศรษฐศาสตร์รัฐศาสตร์หรือธรรมะที่เจริญเขาไม่มีความรู้เพราะ พูดไปก็เลยยาก ขออภัยพูดไปเหมือนไม่มีใครรู้เท่า มันเป็นอย่างนั้นจริงๆก็ไม่รู้จะเลี่ยงคำอย่างไรเป็นสัจจะ
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงตรัส ท่านมีพระปัญญาธิคุณของท่าน เป็นสุดยอด ของความรู้พุทธศาสตร์ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่แท้จริง ท่านเป็นรัฏฐาธิปัตย์ของประเทศ ต่างประเทศที่มีประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่รู้จักประชาธิปไตย เศรษฐศาสตร์ที่เป็นประชาธิปไตยของพุทธถูกต้อง อย่างที่ยกตัวอย่างยืนยัน ในคำตรัสของท่าน ว่าเราต้องเอาแบบคนจน เศรษฐกิจมาเป็นคนจนเป็นเศรษฐกิจที่เจริญวิเศษสมบูรณ์แบบ เศรษฐกิจที่ไปแย่งกันรวยนั้นเป็นคนโง่
คุณจะให้คนรวยมีมากที่สุดในประเทศ ทุกประเทศมี Concept อย่างนี้และประพฤติกันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นก็จะแย่งกัน แต่ประเทศนี้ไม่แย่งกันเลยคุณอยากแย่งก็แย่งไป เรามีให้แย่งเท่าไหร่ก็แย่งไป เรามีแต่จะสร้างให้พออยู่พอกิน เสร็จแล้วมีเหลือก็เผื่อแผ่แบ่งกัน เราไม่ไปเบียดเบียนใครเราสร้างของเราเองให้พออยู่พอกิน ให้เหลือก็แจกจ่าย แต่ละประเทศเขาจะมองอย่างไร หากเขามาปล้นเรา แต่ละประเทศก็จะหาว่าทำไมมาเบียดเบียนคนที่มีแต่จะสร้างสรรค์และแจกจ่ายคนอื่น
เรามีหลักการที่ว่า
1 อย่าให้เป็นหนี้ เรื่องของหนี้สินเรื่องของสินเชื่อเป็นเรื่องที่ทำให้คนเดือดร้อนกันทุกวันนี้ ตั้งแต่เล่นหุ้นเล่นประกันชีวิต Apply ไปไม่รู้กี่อย่าง เรื่องของการเงินพวกนี้
2 สร้างสรรค์ทำงานเลี้ยงตัวเองและสังคมให้รอด
3 ทำให้เกินกินเกินใช้
4 เอาส่วนเหลือส่วนเกินนั้นสะพัดแบ่งแจกคนอื่นที่เขาเดือดร้อนไป
นี่คือเศรษฐกิจที่สมบูรณ์ที่สุด นี่คือความจบของเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ของมนุษยชาติ หากสังคมไทยเดินทางอย่างนี้ตามในหลวงรัชกาลที่ 9 ไม่ใช่เดินตามอาตมาหรอก แต่ตามในหลวงรัชกาลที่ 9 ตามพระพุทธเจ้า เป็นเศรษฐศาสตร์บทใหญ่ แล้วประเทศไทยจะกลายเป็นมหาอำนาจ ที่ไม่ต้องไปเบ่งข่มด้วยอาวุธ มาจากอเมริกาและเกาหลีเหนือ แต่เราจะเป็นมหาอำนาจทางคุณธรรม
ป่าร่มว่า…วิชาเศรษฐศาสตร์ที่เขาเรียนกันเดี๋ยวนี้ก็ไม่ถูกต้องสิครับ
พ่อครูว่า…เป็นเศรษฐกิจแบบโลกีย์เป็นเศรษฐกิจอวิชชา เขาไม่เข้าใจ โลกุตระนั้นหมายความว่าเหนือชั้นกว่ามนุษย์สามัญ เป็นประโยชน์คุณค่าต่อผู้อื่น ต่อตนต่อผู้อื่น เป็นผู้รับใช้โลก โลกานุกัมปา ทำให้มวลมนุษยชาติเป็นความสุข นี่เป็นเนื้อแท้ของศาสนาพุทธ
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า..ทำไมกองทัพธรรมสันติโศกจึงออกไปประท้วงอย่างเช่นในปี 2549 หรือปี 56-57 เป็นเพราะอะไร
พ่อครูว่า…เป็นเพราะเราเป็นประชาชนมีปัญญามีสติสัมปชัญญะ เมื่อรัฐบาลที่บริหารปกครอง เลว แล้ว ประชาชนเขาก็ออกไปประท้วงกัน ไล่รัฐบาลนี้ เราก็เห็นด้วยเราก็ออกไปไล่ด้วย ผิดตรงไหน แล้วเราก็ได้ช่วยไล่ จนสำเร็จด้วย ไล่แล้วก็ดีขึ้นไหม แม้เขาจะไม่ยอม สร้างนอมินีมาเป็นรัฐบาลอีก 2-3 รัฐบาล เราก็ออกไปละอีกจนสำเร็จ
ป่าร่มว่า…มีคนบอกว่าไม่ใช่วัตรปฏิบัติของสงฆ์
นั่นคือคนโง่พูดกัน สงฆ์คือมนุษย์ที่อยู่ในสังคม สังคมนี้เดือดร้อนก็ต้องช่วยสังคม มันผิดตรงไหน คุณไปติดยึดบัญญัติ และแบ่งแยกว่าเรื่องของธรรมะไม่ใช่เรื่องของการเมืองไม่ใช่เรื่องของสังคมมนุษย์ ธรรมะเป็นเรื่องของอะไรวะ ธรรมะไม่ใช่เรื่องของสังคมมนุษย์ไม่ใช่เรื่องของการเมือง
การเมืองคืองานของพลเมือง เราอยู่ในประเทศนี้แล้วจะไม่ทำงานให้ประเทศนี้หรือ เราก็ไปร่วมกับพลเมืองที่เขาทำ
ป่าร่มว่า..เขาว่าสงฆ์บอกต้องการนิพพาน
พ่อครูว่า…นี่แหละนิพพาน สงฆ์ที่ไปนั่งหลับหูหลับตาออกป่า อันนั้นเป็น “นิพพาล” ไม่ใช่นิพพาน นิพพานไม่ใช่การปลีกเดี่ยวหลับหูหลับตาออกป่า อย่างนั้นไม่ใช่ของพุทธ อย่างนั้นเป็นของเดียรถีร์ ของพุทธนั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ศาสนาพุทธ มี พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า…หมายความว่าหากบ้านเมืองมีปัญหาทุจริตคอรัปชั่นผู้ปฏิบัติธรรมก็สามารถมาช่วยได้
พ่อครูว่า…ทุจริตจริงไหม ทุจริตจริงก็ต้องไปช่วย ถ้าหากเราจะไปช่วยเราก็ต้องสุจริตก่อน อย่างที่เราเอาไปทำ อะไรผิดอะไรไม่ถูกต้องทุจริต เราก็ประท้วงก็อย่าทำนะ ด้วยความสงบไม่มีอาวุธ กฎหมายโลก สากลเขาก็ไม่ผิด ทำหน้าที่อย่างถูกต้องแล้วทำอย่างนั้นมันดีที่สุดไม่ได้ปล่อยปละละเลยหน้าที่ หากไม่ทำก็ผิดมาตรา 157 อีก เราเป็นพลเมืองมีหน้าที่ทำตามรัฐธรรมนูญออกไปประท้วง เราก็ทำถูกต้องทุกอย่างตามหลักเกณฑ์ของประเทศ คนโง่เท่านั้นที่พูดว่าธรรมะอย่าไปยุ่งกับการเมือง
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า..ทำให้คนที่ไม่เข้าใจพ่อท่าน คนภายนอกมองเข้าใจผิดไป
พ่อครูว่า…จะไปถือสาคนโง่คนบ้าคนไม่เดียงสาได้อย่างไร มันเป็นเรื่องที่เขาก็เป็นอย่างที่เขาเป็น ไปถือสาแล้วก็ตายสิ เราก็ทำอย่างที่เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว กับเด็กที่ไม่รู้เดียงสา กับคนเมาเราก็ชัดเจนเราทำสิ่งที่ถูกต้อง
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า..ทั้ง 2 ครั้ง ฝ่ายที่ออกมาคือฝ่ายทักษิณยิ่งลักษณ์
พ่อครูว่า…เราก็ไปประท้วงไล่จนบัดนี้เข้าประเทศไม่ได้ ก็ถูกแล้ว เราไม่ได้ไล่อย่างป่าเถื่อนเราไปไล่อย่างมีหลักเกณฑ์ด้วยความสงบไม่ได้ใช้อาวุธ 1 มีความสงบ 2 เรามีความจริง คนผิดอย่างนี้นะ อยากผิดไม่แก้ไขก็ออกไป
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า..การออกไปทั้ง 2 ครั้งตัดสินใจนานไหมครับ
พ่อครูว่า…ไม่นานเลย
ป่าร่มว่า หากมีรัฐบาลที่ทำผิดแบบ 2 รัฐบาลที่นั่นอีกก็จะออกไปไหนครับ
พ่อครูว่า…ออกไปอีก อย่างพลเอกประยุทธ์เขาดูดีเขาไม่ทำหรอก แต่ถ้าใครมาทำ มาปฏิวัติ พลเอกประยุทธ์แล้วทำอย่างทักษิณยิ่งลักษณ์อีก เราก็ออกไปอีกคุณจะไปร่วมกับอาตมาไหม
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า…อย่างที่ว่ารัฐบาลคสช.นี้ทำผิดต่างๆ
พ่อครูว่า…เป็น fake news เป็นการดิสเครดิตกัน เป็นการหาเรื่องมันก็พูดไป พูดผิดไม่ได้พูดถูกต้องเลย นายกประยุทธ์บอกว่า
1 รัฐประหาร 2 เผด็จการ นี่คือ fake คือใส่ความ แล้วไปตีความ fake news ทำให้เกิดความเสียหาย
เพราะฉะนั้น 1 พลเอกประยุทธ์ไม่ใช่รัฐประหาร แต่เป็นประชาชนประหารมาแล้ว ไม่ใช่รัฐประหาร ประชาชนประหาร รัฐบาลทักษิณ รัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชาย รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ประหารสำเร็จแล้ว ที่นี้ต้องมีผู้ดูแล สถานะผู้รักษาความมั่นคงของชาติ พลเอกประยุทธ์ ก็เข้ามาบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ขอยึดอำนาจ เพราะเขาหมดอำนาจแล้ว ก็ต้องมีผู้ดูแลบริหารใช้อำนาจรัฐบาล อภิบาลประเทศชาติ มันต้องมีเขาทำถูกต้องแล้ว ไม่ต้องประหารอะไร ไม่ใช้อาวุธใช้รถถังใช้ปืนอะไรออกมาเลย ไม่ดูสาระความจริงไม่ดูปรากฏการณ์จริงเขาไม่ได้ทำ ประชาชนไปปฏิวัติ ประชาชนไปประหาร รัฐบาลนั้นจบมาแล้ว หมดอำนาจหมดสิทธิหมดแล้ว นี่ก็ขอมาทำงาน เชื่อมต่อจากที่ประชาชนทำเสร็จ ก็ต้องมีคณะ ก็ต้องมีหัวหน้าคณะ พลเอกประยุทธ์ก็เข้ามารับตำแหน่งนี้ เมื่อมารับตำแหน่งประชาชนก็เห็นดีด้วยไม่มีการขัดแย้งต่อต้าน มีพวกที่เสียอำนาจออกมาเป็นปากหอยปากปู นอกนั้นโพลกี่อันโอเคให้นายกฯประยุทธ์ บริหารมา 4 ปีแล้วทั้งเศรษฐกิจการเมืองสังคมก็ดีขึ้นทั้งนั้น
อาตมาไม่ได้พูดเล่น อาตมาผ่านนายกฯมา อาตมาเกิดปี 2477 รัฐธรรมนูญเกิดปี 2475 ก็มีรัฐบาลมาตั้งแต่จอมพลแปลก มาจนถึงทุกวันนี้อาตมาก็อยู่เห็นรู้มาจนถึงทุกวันนี้ นายก 29 คนอาตมาก็พูดตรงๆ นายกประยุทธ์นี้เป็นนายกของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้ดีที่สุดใน 29 คน เชื่อว่าเป็นความจริง
อาตมาเชื่อตามพระพุทธเจ้าที่ท่านประกาศประชาธิปไตยท่ามกลาง ยุคไร้สิทธิมนุษยชน ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระพุทธเจ้าล้มล้างลัทธิวรรณะศักดินา ลัทธิทาสท่านล้มหมด เป็นประชาธิปไตยที่ชัดเจนประชาธิปไตยคือ
1 มีอิสระเสรี 2 มีความ 3 มีเนื้อแท้ประชาธิปไตย
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า..เรื่องที่มวลมหาประชาชน เรียกร้องคือการปฏิรูปแต่4 ปีที่ผ่านมาไม่ได้ทำ
พ่อครูว่า…มันหมักหมมมามาก ด้านที่เขาทำเจริญขึ้นก็มีมาก แต่ด้านที่เขาจะมองว่าไม่ดีก็เอามาเล่นแง่ เอาอย่างนี้ไหม ให้พล.อ.ประยุทธ์ บริหารไปสัก 10 ปีแล้วจะเห็นผลว่าดีขึ้นไม่เชื่ออาตมาเอาหัวเป็นประกันเลย
ป่าร่มว่า…ขณะนี้หุ้นตก
พ่อครูว่า….หุ้นตกเป็นเรื่องขี้หมา อำนาจทุนนิยม ค่ายกลของนายทุน อย่าเอาสิ่งนั้นมาวัด เศรษฐกิจที่เข้าใจกันว่า ประชาชนทุกคนจะต้องรวย เป็นความรู้ตื้นเขินและผิดด้วย จริงๆแล้วต้องเป็นประเทศที่จน ไปเทียบกับประเทศอื่น เฉลี่ยแล้วจะมีคนจนมากกว่าคนรวย มีทรัพย์สินรวมก็น้อยกว่าประเทศอื่นแต่ถ้าประเทศนี้เอาทรัพย์สินเงินทองมารวมกันมีน้อยกว่าคุณแต่มีปัจจัย 4 ของชีวิตครบอุดมสมบูรณ์นี่คือสิ่งที่บ่งบอกความเจริญของชีวิต เป็นของดีต่อชีวิตไม่มอมเมาและเป็นของดีราคาถูกซื่อสัตย์มีน้ำใจ ขายสดงดเชื่อ แจกฟรี
ในหลวงตรัสให้บริหารประเทศแบบคนจนเป็นคำตรัสที่ชัดและประเสริฐที่สุด Doctor ทางเศรษฐศาสตร์เข้าใจในหลวงท่านไม่ได้หรอก ในหลวงท่านตรัสว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเรา นักเศรษฐศาสตร์ฟังแล้วก็บอกว่าไม่ใช่ พูดอย่างนั้นได้ยังไง เอาคำตรัสของท่านมาฟังสิ ท่านก็รู้ว่านักเศรษฐศาสตร์เข้าใจไม่ได้
คนที่มีชีวิตขาดทุนให้แก่ผู้อื่นได้ เป็นผู้เสียสละ เป็นคนดีเป็นคนประเสริฐ เป็นความหมายสากลของมนุษย์ มนุษย์ที่เสียสละ ในโลกไหนก็เป็นคนดีทั้งนั้น มนุษย์ที่เอาเปรียบเป็นคนไม่ดี เป็นคนได้เปรียบเป็นคนชั่ว คนเสียเปรียบด้วยความรู้ ไม่ได้เสียรู้อะไรแล้วมีใจให้เสียเปรียบ เราไม่ได้เบียดเบียนใครเราสร้างสรรค์และพึ่งตัวเองรอด เราก็มีมากเกินกินเกินใช้เราก็เสียสละส่วนเกินกินเกินใช้ให้แก่คนอื่น เอาไปแจก อย่างนี้ต่างหากเป็นคนประเสริฐเป็นคนมีคุณค่าต่อสังคมไม่ใช่คนถ่วงสังคม พูดชัดๆง่ายๆ
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า..มุมมองทัศนะการเมืองของพ่อท่าน
พ่อครูว่า…จะทำการเมืองต้องรับใช้ประชาชน ตัวเองจะต้องไม่เป็นหนี้ใคร สองทำงานพึ่งพาตัวเองให้รอด ทำคุ้มกินใช้ ไม่มีสิ่งที่เป็นพิษมาเมา แล้วสร้างให้เกินแล้วเอาไปแจกจ่ายผู้อื่น จึงเป็นคนมีคุณค่าเป็นคนประเสริฐแล้ว ขอให้เป็นคนอย่างนี้ให้ได้มากๆ ในพลเมือง เป็นคนชนิดนี้ให้ได้มากๆ แม้เราเป็นคนจน แต่พอกินพอใช้ไม่เป็นหนี้เลย หากประเทศไทยไม่เป็นหนี้เลย ทำคุ้มกินใช้แล้วทำให้เหลือ ก็ให้ฑูต เอาไปสะพัดแจกจ่ายหรือขายถูกให้แก่ประเทศอื่นที่ควร ไม่ต้องไปเอากำไรประเทศอื่น ส่งฑูตไปไม่ใช่ไปเอาเปรียบเอาได้จากต่างประเทศ อย่างนั้นไม่ใช่คนประเสริฐคนอาริยะ แต่เราไปเพื่อดูว่าประเทศไหน มีความขาดแคลน เรามีมากก็เอาไปให้เขานี่คือประเทศเจริญประเทศอริยะศิวิไลซ์ ฟังให้ชัดง่ายๆเข้าใจไหม ทำให้เป็นอย่างนี้สิ
ยกตัวอย่างชาวอโศกทำสำเร็จ ทำกินทำใช้อยู่สบายมีกินมีใช้อุดมสมบูรณ์ ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาดฯ
อาตมาพูดหลายทีแล้วทำงานสำเร็จแล้วตายไปก็ทำงานสำเร็จแล้ว
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า…คณสุเทพไปที่ราชธานีอโศกจังหวัดอุบลราชธานีไปทางไหนครับ
พ่อครูว่า…คุณก็ต้องไปถามคุณสุเทพสิ มาหาอาตมา คุณสุเทพ ต้องมีเป้าหมายที่จะมา ก็ต้องไปถามคุณสุเทพ อาตมาไม่ได้เป็นคนไปหาคุณสุเทพ ไม่มีอะไร เขาไปหาก็คงเคารพนับถือกัน
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า..ไม่เกี่ยวกับการตั้งพรรค
พ่อครูว่า…ไม่เกี่ยว
ป่าร่มว่า…มีคนว่ารัฐบาล คสช.ทำงานให้แก่ทุนนิยมเป็นส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่นายทุนได้ประโยชน์
พ่อครูว่า..คนมองไปแง่นั้น ก็เป็นประเด็นที่หมายอย่างที่ว่า น่าจะช่วยคนจนไม่ต้องไปช่วยคนรวยก็ถูกต้อง นายกประยุทธ์ก็ไม่ได้หมายความว่าไปช่วยคนรวย แต่โครงสร้างของคนรวยมันเป็นค่ายกล มันรื้อง่ายที่ไหน มันก็ดำเนินบทบาทไป คนรวยก็จะมีส่วนได้มีอัตราการก้าวหน้าเขาอยู่ นายกประยุทธ์จะไป หักด้ามพร้าด้วยเข่า ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ที่จะไปยึดอำนาจ แล้วไปจับนายทุนมา เปลี่ยนแปลงเลย
ป่าร่มว่า…มีส่วนน้อย
พ่อครูว่า…ใส่ความ ที่หนังสือพิมพ์ Time ใส่ความ นึกว่าตัวเองเป็นเจ้าประชาธิปไตยและมองคนอื่นว่าเป็นเผด็จการ อาตมาพูดได้เลยว่า โดนัลด์ทรัมป์กับพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา ประยุทธ์จันทร์โอชาเป็นนักประชาธิปไตยมากกว่าโดนัลด์ทรัมป์
โดนัล ทรัมป์ เป็นนักเผด็จการกว่าพลเอกประยุทธ์ ไปให้หนังสือพิมพ์ Time แก้ข่าวเสีย ผู้บริหารประเทศของตัวเองเป็นเผด็จการยิ่งกว่า
พูดความจริงตามเนื้อผ้าไม่ได้ใส่ความ
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า..นายกประยุทธ์จะกลับมารอบ 2 หรือไม่ครับ
พ่อครูว่า..อาตมาว่าคนไทยเข้าใจอะไรดี จะกลับมาหรือไม่ก็เพราะคนไทย แต่คนพยายามหาแง่ดิสเครดิตพลเอกประยุทธ์
ความจริงก็เป็นการบริหารประเทศตามหน้าที่ เขาลงไปหาประชาชนก็หาว่าไปหาเสียงประชานิยม มันหาเรื่องได้ทุกมุมถ้าคนเราจะว่าประชดประชันกันไป พฤติกรรมมันซ้ำซ้อนกันอยู่ เขาไปทำงานก็ไปทำตามหน้าที่ ตามเวลาที่เหมาะควรทำกาละที่เหมาะควร
ไม่ดูในความหมายองค์รวม จริงๆแล้วการใส่ความต่างๆที่ว่าไปช่วยคนรวย อาตมาไม่ได้เห็นว่า นายกประยุทธ์ไปช่วยคนรวยอะไร ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ที่จะไปตัดแขนตัดขาคนรวยไปช่วยคนจน ทำอย่างนั้น แต่จุดหมายในการบริหารก็อันเดียวกันเป็นเศรษฐศาสตร์รัฐศาสตร์ต้องพยายามให้คนรวย ทำเผื่อแผ่คนจน มีสมรรถภาพสูงกว่ามีความรู้สร้างสรรค์ได้มากกว่า ก็สะพัดแจกจ่ายให้แก่คนอื่น ที่มีความรู้น้อยกว่าสมรรถภาพน้อยกว่า เกื้อกูลกันไป จะมีปัญญามีความรู้โดยไม่ต้องบังคับกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็เป็นสังคมเจริญ
ผู้ที่สมรรถนะน้อยเป็นคนจนมีฐานะต่ำ ก็สามารถอยู่ได้ เพราะผู้ที่มีสมรรถนะสูงมีความสามารถสูงมีความรู้มากกว่าทำได้มากกว่า ก็แบ่งก็แชร์กัน สบายแล้วสังคมเป็นอย่างนั้น ยิ่งไม่เห็นแก่ตัว แต่เป็นคนขยันมีความรู้ความสามารถ สร้างสรรค์ได้มาก เสร็จแล้วก็ไม่เอามาเป็นของตัว เอาไปแจกเองก็ได้แต่มันยากกว่าเอาเข้ากองกลางและแจกกันเป็นกองกลาง เป็นวิธีการเอาเข้าสู่ส่วนกลางเหมือนอย่างชาวอโศกเราทำ ทำงานแล้วก็เอาเข้าส่วนกลางหมดเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนกลางก็เอาไปสะพัดบริหาร
สังคมชาวอโศกเป็นสุดยอดของคอมมิวนิสต์สุดยอดของประชาธิปไตยสุดยอดของเผด็จการ อาตมาพูดอย่างนี้แหละใครจะว่าอย่างไรก็แล้วแต่นักรัฐศาสตร์นักเศรษฐศาสตร์ เชิญมาศึกษา ขอยืนยัน เอาความรู้ที่คุณเรียนมา รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ เอามาศึกษาของอโศก อโศกได้บริหารสังคมมนุษยชาติจบแล้วสบาย เศรษฐกิจก็สมบูรณ์ เพราะอะไร
จะเรียกในระบบประชาธิปไตยก็เสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ จะเรียกในระบอบคอมมิวนิสต์ก็ให้ส่วนกลางร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกัน จะเป็นเผด็จการก็ให้ผู้ที่เอาไปเผด็จการเป็นคณะ ในกลุ่มชาวอโศก อาตมาใหญ่ที่สุด เป็นจอมเผด็จการของชาวอโศก แต่ว่าอาตมาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวเลย ให้คณะกรรมการช่วยกันดูแล ของสันติอโศกของราชธานีอโศก ของศีรษะอโศกของปฐมอโศก เขาก็บริหารกันไป แบ่งกันทำ อะไรขาดแคลนก็เกื้อกูล ปฐมอโศกมีฐานะทางเศรษฐกิจเจริญกว่าราชธานีอโศก ทุกวันนี้ปฐมอโศกแต่ละเดือนก็ ผ่องถ่ายมาให้ราชธานีอโศกเดือนละเป็นล้าน เป็นเผด็จการโดยธรรม เผด็จการโดยไม่ต้องเผด็จการ คณะประชาชนช่วยกันทำเผด็จการนี่คือเผด็จการสมบูรณ์แบบ เรียกพยัญชนะว่าเผด็จการแต่พฤติกรรมคือประชาธิปไตย
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า..สังคมชาวพุทธได้เห็นปัญหาของธรรมกายแล้วได้ตีแผ่ หรือปัญหาของเถรสมาคม ทำให้ชาวพุทธศึกษาศาสนาพุทธเกิดการตื่นรู้อะไรมากที่สุด
พ่อครูว่า..แน่นอน ตื่นตัวขึ้นบ้างก็ดี ให้ชัดเจนตามธรรมวินัย พระอย่าให้มีเงินมีทอง รัฐบาลก็ไม่ทำตามพระวินัยไปตั้งนิตยภัตให้แก่พระ ตกลงเลยกลายเป็นว่า พระนี่เป็นข้าราชการของประเทศ เพราะมีเงินเดือน เพราะฉะนั้นพระมีเงินเดือนทำงานระวังผิดมาตรา 157 นะ ทำผิดหน้าที่เกินหน้าที่นะ มันเข้าไปอย่างนั้น
ความจริงแล้วเขามีธรรมะอยู่ในพระพุทธเจ้าที่สมบูรณ์แล้ว แต่นี่พระเองไม่ไหว ต้องหากฎหมายอื่นมาบังคับเพราะมันแย่
คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร…ว่า…มีข่าวพระนอกรีตพระประพฤติผิดอีกเยอะ
พ่อครูว่า…มันเกินกว่าจะวิจารณ์วิจัย อาตมามาบวช แล้วตอนนั้นเป็นพระใหม่ยิ่งจะไม่มีทางไปแก้ไขอะไรเขาได้เลย อาตมาจึงได้ประกาศนานาสังวาสตามทางออกของพระพุทธเจ้า เป็นพุทธเหมือนกัน แต่มีกฎเกณฑ์ต่างๆ ท่านอนุญาตให้ทำได้แต่พวกโน้นยึดอำนาจบาตรใหญ่ไม่ให้อาตมาออกมาแต่ทุกวันนี้อาตมาทำสำเร็จแล้ว
ป่าร่มว่า…ถ้าพระสงฆ์จะนิมนต์พ่อท่านให้สมณศักดิ์ไปอยู่ในมหาเถรสมาคมพ่อท่านจะไปไหม
พ่อครูว่า..ไม่เข้าหรอก ยิ่งไอ้สมณศักดิ์ยิ่งไม่เข้าใหญ่ เพราะอาตมาไม่แบกครอบหัวโขนอะไร อาตมาหนีจากสิ่งเหล่านั้นมาหมดแล้วจะไปส่งให้ตามมาอีกนะอาตมาไม่บ้าหรอก ไปพูดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เขาทำไม่ได้หรอกไม่ต้องไปสมมุติให้เสียเวลาสมมุติในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ป่าร่มว่า…จะสรุปว่า การศึกษาทั่วไป กับการศึกษาแบบของสันติอโศกสัมมาสิกขาเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า…จะหาเมือนไม่มี ต่างกัน ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา ของคุณจะมีเราก็ทำตามได้แต่เขาไม่ได้ทำแบบเรา เราทำไม่ได้เสียหาย เราสร้างเยาวชนแบบนี้ตรงตามหลักสูตรของกระทรวง แถมให้ด้วย แล้วไม่ได้มาหากินมาค้ามาขาย ทำสร้างเยาวชนให้แก่ประเทศชาติ เพราะฉะนั้นเขาปฏิเสธไม่ได้
ป่าร่มว่า…เรื่องสงฆ์คณะใหญ่ กลับสงฆ์ชาวอโศกมีส่วนเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า…อาตมาว่ามันคนละขั้ว สงฆ์ส่วนใหญ่กับสงฆ์อโศก อาจมีเถรสมาคมส่วนน้อย ที่เห็นดีอย่างชาวอโศกและประพฤติปฏิบัติตามชาวอโศกก็มี แต่อำนาจเถรสมาคม ครอบงำ เป็นกระแสหลักของพุทธในเมืองไทย เป็นเรื่องที่ไม่มีศีลสมาธิปัญญา ก็ยังเหลือผ้าน้อยห้อยหูที่พระวินัย 227 แล้วก็ดูสิ ปรับปาราชิกข้อหยาบ เอากันจริงๆปาราชิกเรื่องเงินและเรื่องสตรีจะไปเหลือหรือ? การฆ่าคนอาจน้อยที่สุด อวดอุตริมนุสธรรมก็มี
ป่าร่มว่า…มีคนบอกว่าพ่อท่านยกตัวและข่มคนอื่น
พ่อครูว่า…ความจริงแล้วอาตมายกตัวเองน้อยไป อาตมาพยายามเกรงใจเพราะความจริงไม่ต้องยกก็สูงอยู่แล้ว แต่จะมาต้องพูดความจริง ก็ต้องยก ถ้ายกสูงหมดแล้ว อาตมาว่า คงอาเจียนเป็นโลหิตร้อนพุ่งออกจากปากแล้ว เพราะว่าอาตมาเองอาตมา บอกตัวเองไป แค่ที่พูดไปตามภาษาบัญญัติ แต่โดยจริงแล้วอาตมามีจริงหรือไม่จริงก็คือ
1 อาตมาประพฤติปฏิบัติไหม 2 อาตมาพูดอธิบายอย่างนี้คือทำอย่างนี้คือวินัยอย่างนี้ อาตมาก็สาธยายวินัยอย่างนี้ธรรมะอย่างนี้ จะมาอ้างอิงพระไตรปิฎก แม้แต่ของอรรถกถาจารย์ก็ไม่ค่อยได้อ้างอิง อ้างอิงตามพยัญชนะในพระไตรปิฎก แต่เขาฟังไม่ขึ้น เขาฟังไม่เข้าใจ อาตมาพูดถึงพระสูตรอันไหน สัมมาทิฏฐิ 10 โลกุตระ 37 ศีลสมาธิปัญญา
หากไม่มีศีลเป็นตัวตั้ง เช่น ศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ แล้วคุณก็ประพฤติปฏิบัติจนจิตของคุณเป็นสมาธิ สมาธิเพราะจิตของคุณเกี่ยวกับสัตว์ สัมผัสกับสัตว์ สัตว์ใดก็แล้วแต่เป็นสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ คนสัมผัสกับสัตว์ก็มีความเอ็นดูปรารถนาดีหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวง ไม่ฆ่าแกงไม่เบียดเบียนทุกอย่าง คุณปฏิบัติอย่างนี้เป็นปกติ จริง มีจิตใจเมตตาต่อสัตว์ทั้งปวงจิตใจของคุณก็เป็นจิตที่มีศีลมีวิมุติมีปัญญารู้ความจริงอย่างนี้ สมาธิตั้งมั่นอย่างนี้จริง ปัญญาก็หลุดพ้น ไม่ไปเบียดเบียนสัตว์ ของเราไม่บิดเบียนสัตว์แม้แต่เนื้อสัตว์เราก็ไม่กินใครจะฆ่ามาเราก็ไม่เป็นเหตุให้เขาฆ่ามาให้เรากิน เนื้อสัตว์มาไม่กิน จะเป็นปวัตตมังสะเราก็ไม่กิน ปวัตตมังสะคือ เนื้อสัตว์ที่มันตายเองหรือเป็นเดนสัตว์กิน เนื้อบังสุกุล เพราะเรารู้ว่าวิบากต่อเนื่องติดมากับเนื้อสัตว์แม้สัตว์มันตาย มันก็ยึดว่า นี่ตัวมันนะ ไม่ได้ตายเองทิ้งร่างไป แต่นี่มันยึดอยู่ว่า นี่ตัวกู ใครฆ่ามาวะ แล้วเราไปกินมันก็จะจองเวร มันกินเนื้อกูกูจองเวร
อย่านึกว่าวิบากของสัตว์โลกมันตื้นนะ มันลึกซึ้ง ยึดตัวตนของกู สัตว์มันไม่ได้ศึกษามันก็ยึดถือตัวตนของมันห้ามมันไม่ได้มันก็จองเวรของมัน อย่างนี้เป็นต้นเขาไม่เข้าใจ
ป่าร่มว่า…ตอนนี้มีวิวาทะ ในช่องโทรทัศน์หลายช่องเลยเพราะช่อง 34 เกี่ยวกับเรื่องของ การเข้าทรง ถกกันระหว่างพระวิทยาศาสตร์กับคนทรง ถึงขั้นจะลงมือกันในระหว่างสัมภาษณ์ เครื่องเข้าทรงนี้เป็นจริงไหม
พ่อครูว่า…เข้าทรงนั้นเป็นจริง แต่การเข้าทรงนั้นมันไม่จริงทั้งยวง การเข้าทรงนั้นไม่จริง คนทรงนั้นเป็นจริง เพราะโง่จึงไปเข้าทรง อาตมาเล่นมาหมดแล้วเคยเล่นมาทั้งวิทยาศาสตร์ และไสยศาสตร์ อาตมาอยู่ทางสมาคมค้นคว้าทางจิตวิทยาศาสตร์ อาตมาไปเป็นคนทรงเจ้าเองเลย การทรงคือการสะกดจิตตัวเอง ไม่มีวิญญาณไหนมาเข้าหรอก วิญญาณตัวเอง เวลาเข้าทรงแล้วจะมีสมาธิของตนไม่รับรู้ทวารนอก ตัดทวารนอก เป็นสมถะจิตเป็นหนึ่งของตน จึงมีสมรรถภาพ คนมีความรู้ความสามารถพิเศษของตัวคุณเองเท่าไหร่ ก็คือตัวคุณไม่ใช่เจ้าองค์ไหนมาลง ไม่มี เพราะฉะนั้น คุณก็ทำอะไรออกไป ที่คุณมีความสามารถพิเศษ
เช่น เข้าทรงแล้วคุณก็ดื่มเหล้าได้ยังกับน้ำเลย อิทธิวิธี อิทธิปาฏิหาริย์เป็นพลังงานที่มีความสามารถพิเศษ หรืออาเทสนาปาฏิหาริย์ก็ได้ พวกนี้ในสมัยพระพุทธเจ้ามีฤาษีคันธารีฤาษีมาณิกา พระพุทธเจ้าท่านไม่สอนแบบนั้น เรื่องเข้าทรง ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาใช้เลย
การเข้าทรงนั้นคือ การสะกดจิตตัวเอง การนั่งสมาธิหลับตานี่แหละคือการเข้าทรง พอเข้าทรงแล้วจิตก็เป็นหนึ่งมีสัญญาที่เป็นคลังความรู้ออกมาใช้ไม่ใช่ปัญญาเลย พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องปัญญาไว้ในมหาจัตตารีสกอสูตรข้อ 227 ปัญญาต้องมีองค์ 6 ปัญญา ปัญญินทรีย์ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ องค์แห่งมรรค สัมมาทิฏฐิ แต่ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาปิดทวาร เขาก็ไม่เข้าใจกัน
สรุปแล้ว การนั่งหลับตาสมาธิไม่ใช่ของศาสนาพุทธเลย เปลี่ยนศาสนานอกรีต สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นอย่างลืมตา ในขณะปฏิบัติสมาธิเรียกว่าสัมมาสมาธิ คุณทำอาชีพอยู่เป็นสัมมาอาชีวะ คุณก็ทำจิตเป็นสมาธิได้ คุณจะทำงานอยู่เป็นสัมมากัมมันตะก็ทำจิตให้เป็น คอนเซนเตรชั่น ได้ ไม่ใช่ทำจิต Meditation ที่ทำแบบหลับตา แต่เป็น concentration ที่เป็นสมาธิแบบลืมตา เป็นสมาธิที่ปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม 37 ลืมตามีสัมผัสรู้เป็นองค์ประกอบที่มัน เป็นโลกุตระ 37 ไม่ใช่เปลี่ยนเป็นสมาธิ Meditation ที่เป็นนั่งหลับตาสะกดจิต แต่เป็นสมาธิแบบ Supra คอนเซนเตรชั่น ซึ่งเข้าใจไม่ง่ายเลย
สรุปแล้วทุกวันนี้มันเพี้ยนและเสื่อมจนยึดถือเอาสิ่งที่ผิดอาตมาก็แก้ได้แต่ในชาวอโศก ที่พูดนี้ไม่ได้ท้อแท้นะ
จบการสัมภาษณ์
หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ แทปลอยด์ ได้เผยแพร่ การสัมภาษณ์นี้ ที่นี่