ธรรมปัจจเวกขณ์ (3)
20 กุมภาพันธ์ 2519 ณ พุทธสถานแดนอโศก
ตั้งใจ ความคิดอันดีแล้ว ที่เราได้ตั้งใจมาก็พยายาม อย่าทิ้งคำสอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ให้เราพิจารณาเนืองๆ พิจารณาเสมอว่า เราเองเป็นผู้ตั้งใจดี เป็นผู้ที่เปลี่ยนเพศ จะเปลี่ยนเพศชาวโลกมาเป็นชาวโลกกุตตระ มาเป็นชาวนักบวช เราได้เปลี่ยนจริงแล้ว โดยบางคนว่า การแต่งตัวเราก็ไม่ใช่ หลักพฤติข้อปฏิบัติสัจธรรมต่างๆ ที่เรายึดถือ แม้แต่เป็นปริยัติก็ไม่ใช่ ผู้ที่ยังไม่ได้เปลี่ยนทั้งหมดก็ตาม มีเจตนาอันจริงอยู่ในจิตของเราแล้ว ที่เราจะพึงพิจารณาเนืองๆ พิจารณาเสมอ แล้วก็ทำให้จริง ศีลของเราที่เราใช้ปฏิบัติ หรือหลักเกณฑ์ของเรา ถึงเราจะใช้ปฏิบัติประพฤติ เราต้องพิจารณาขึ้นมา และควบคุมด้วยสติเสมอ ทำให้ได้เสมออยู่เนืองๆจริงๆ ถ้าไม่งั้นแล้ว ศีลก็เป็นศีลพรตปรามาส เป็นศีลเปล่า เราบอกว่าเรามีศีล เราบอกว่าเรามีหลักประพฤติปฏิบัติ แต่เสร็จแล้วเราก็ไม่ได้ทำให้จริง ไม่พิจารณาจริง ไม่ให้มันลงเนื้อลงกาย ไม่ให้มันเป็นการกระทำที่มันถูกต้องตรงไป จนกระทั่งหยั่งลงถึงจิตจริง มันก็ไม่เกิดผลปฏิบัติที่แท้ ปฏิเวธธรรมก็เกิดไม่ได้ เราต้องพิจารณาทั้งหมด แม้ที่สุด ผู้ใดจะเปล่งแล้วว่า เราถือศีลเท่านั้นๆๆ มีศีลอยู่อย่างนั้นๆ ก็ตาม และขอบเขตของผู้เป็นพระ ผู้เป็นนักปฏิบัติ ศีลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เรียกว่าโอวาทปาติโมกข์ทั้งหมด คำสอนที่จะให้ละชั่ว ประพฤติดีทั้งหลาย ผู้ที่เป็นภิกษุต้องเข้าใจให้ได้มากให้ได้หมด เพราะฉะนั้น แม้ที่สุดใครจะมาทวงติงเราด้วยศีล เอาศีลแม้ข้อใดๆ มาท้วงติงเราได้อยู่หรือไม่ เราก็จะต้องพิจารณาเสมอว่า ศีลข้อนี้เรายังทำไม่ได้ เรายังบรรลุไม่ได้ ล่วงส่วนยังไม่ได้ บริบูรณ์ยังไม่ได้ วิสุทธิ์ยังไม่ได้ มันยังวิสุทธิ์ไม่ได้ เราก็จะต้องน่าอายเก้อเขินอยู่
เราจะต้องพิจารณาจริงๆ ยกขึ้นมาให้รู้สึกให้ละเอียดไปเป็นระดับๆ และแม้แต่ศีลใดข้อธรรมใด ของพระพุทธเจ้าตรัสไว้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เป็นโอวาทปาติโมกข์ศีล เขาจะยกขึ้นมา บอกว่า อย่างนี้ท่านทำได้หรือไม่ อย่างนี้พระพุทธเจ้าสอนเป็นบัญญัติอยู่ ควรละชั่วอย่างนี้ เรายังทำไม่ได้แม้แต่ศีลข้อใด หรือแม้แต่หลักข้อใดๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ เขาเอามาท้วงติงเราด้วยศีลอย่างนี้ ภิกษุทุกรูปย่อมจะเถียงเขาไม่ได้ ถ้ามีอยู่ในบัญญัติอยู่ในธรรม มีอยู่ในวินัยทั้งหมด ดังนี้เป็นต้นไป เราจะต้องพิจารณาเนืองๆ ทำให้สูงขึ้น ทำให้ยิ่งๆขึ้น อย่าให้เป็นเพียงแต่เราเรียนรู้ เราเรียนแต่เพียงบัญญัติ และก็ต้องรู้ความจริงว่า เราทำได้เป็นลำดับๆๆ ขึ้นมา โดยตามลำดับโดยแท้จริง
ให้ปฏิบัติจนหลุดพ้นเป็นระดับ อย่าเพิ่งตะกละเกินไป แม้เรารู้อยู่ว่า เขาท้วงติงเราด้วยศีลอย่างนี้ แต่เรายังบริสุทธิ์ไม่ได้ ก็ต้องให้รู้ตัว เรายังไม่ได้ก็ยอมรับเสียโดยดี โดยดุษณี โดยปริยาย ส่วนเราได้คุณวิเศษใด ที่เราได้อยู่ เรามีอยู่ เราก็ยกได้อ้างได้ ส่วนอันใดยังบริสุทธิ์ยังไม่ได้ อันลึกซึ้งด้วยคำสอนอันสูง เรายังไม่ถึง เราก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องกินแหนงแคลงใจ เรายอมรับโดยดุษณีย์ว่าถูกแล้ว อันนั้นเรายังไปไม่ถึง อันนี้เรายังไม่ได้ มันก็ไม่เป็นอะไร เราจะต้องพยายาม อันใดที่ยังเป็นคุณวิเศษ ที่เรายังไม่ถึงเรายังไม่ได้ เราต้องพึงได้พึงถึงให้ได้ เพื่อที่จะเป็นผู้ไม่เก้อเขิน ถ้าผู้ใดเขาถามแล้ว เราก็จะได้ตอบได้ว่า เราได้แล้วหนอ เราเป็นแล้วหนอ เป็นเอหิปัสสิโก เป็นสิ่งที่ท้าทายให้เขาพิสูจน์ได้ หรือเป็นสันทิฏิฐิโก เป็นปัจจัตตังแล้วนั้นเอง แล้วเราก็พึงเปล่งเอหิปัสสิโกได้ เป็นการพิสูจน์ที่แท้จริง ถึงธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
*****