ธรรมปัจจเวกขณ์ (10)
27 กุมภาพันธ์ 2519 ณ พุทธสถานแดนอโศก
พิจารณาให้เห็นโลก พิจารณาให้เห็นธรรม คนเราเกิดมาก็เท่ากัน เป็นสิ่งที่ประกอบมาจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ เสร็จแล้วก็ปรุงแต่งพัฒนาๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ จากดินน้ำไฟลม มีพลังงานแทรกซ้อน แทรกซ้อนๆๆๆ มาเป็นธาตุอากาศ มีช่องว่าง แล้วก็มีพลังงานเข้าไปทำงานในช่องว่างเหล่านั้น เรียกว่าวิญญาณ ตัววิญญาณที่ยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ยังไม่เกาะกุมกัน จนกระทั่ง เป็นตัวเป็นตนเด็ดเดี่ยว เราก็ยังไม่นับว่าเป็นวิญญาณที่แท้ จนมันเกาะกุมเป็นตัวตนเด็ดเดี่ยว มีอุปาทานมีตัณหา เราจึงเรียกมันว่าวิญญาณที่แท้ พอเป็นวิญญาณแล้ว มันก็พัฒนามาตั้งแต่ธาตุเล็กๆ มาตั้งแต่วิญญาณเล็กๆ จนกระทั่งสูงขึ้นๆ พัฒนาขึ้นมาเพื่อสั่งสม เพื่อก้าวหน้าขึ้นมาในโลก เป็นสัตว์โลกที่สูงที่สุด สูงในยุคหนึ่ง มันก็พัฒนาบุคคลกันขึ้นมาได้ เป็นคนชั้นสูงยุคหนึ่ง เรียกว่าบุคคลที่แสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ และสิ่งที่สร้างขึ้นมาหลอกกัน คนขั้นนั้นก็เป็นขั้นที่เรียกว่า สูงสุดในเรื่องของคน
ส่วนคนขั้นที่สูงเลยไปกว่านั้นอีก ก็เข้าใจความเวียนกลับ ว่ามันหลงก่อหลงสร้าง เป็นยุคขั้นสูงสุด เป็นมนุษย์ประเสริฐ ที่รู้ความเป็นจริงแห่งมนุษย์ว่ามันเกิดมาแล้ว มันก็มีสุขมีทุกข์ สัตวโลกสั่งสมมาแล้วก็มีสุขมีทุกข์ เราจะห้ามไม่ให้เกิดนั้นน่ะ ห้ามไม่ได้ เพราะฉะนั้น จึงไม่มีประโยชน์อะไรด้วย จะไปห้าม ไม่ให้สัตวโลกเกิดเป็นที่สุด เราจะห้ามได้แต่เฉพาะบุคคล ที่เห็นแล้วรู้แล้วว่าไม่ควรไปต่อ ไม่ควรไปสร้างสมขึ้นมาอีก นอกจากไม่สร้างสมขึ้นมาอีกแล้ว ก็ให้เขารู้สัจธรรมความจริง ว่าเกิดมาเพื่อที่จะมาแย่งชิง สร้างลาภ ยศ สรรเสริญ แล้วก็หลงโลกียสุข ที่มันปั้นมาหลอกกันเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ก็เอาความรู้สูงสุด ตัวเราเองรู้แจ้งรู้จริงแล้ว รู้แล้วว่ามันเหน็ดเหนื่อยอย่างนี้ กับมันตลอดชีวิต มาไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์ แล้วเราก็มาสอนให้คนเขามารู้อีก ให้เห็นอย่างเราเห็น ให้เข้าใจอย่างเราเข้าใจ และโลกจะได้เย็นลง โลกมันเกิดก็อย่าให้โลกมันไหม้ แม้มันจะเกิดก็ให้มันอยู่อย่างเย็น ก็ให้มันอยู่อย่างเรียกว่า มีการช่วยเหลือเฟือฟายเมตตาเกื้อกูล ไม่ใช่กดขี่ขูดรีด เอารัดเอาเปรียบกัน
คนมนุษย์ที่สูงสุดยิ่งกว่ามนุษย์ แข่งลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข จึงคือมนุษย์ผู้ที่รู้ความจริงอันนี้ แล้วก็ไปสอนมนุษย์ที่ยังหลงสิ่งเหล่านั้น เหมือนแย่งกระดูก ให้เขาลดละลงมา ให้เขามาเป็นประโยชน์ต่อคนอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้หรอก ที่จะสอนได้หมด ที่จะกอบกู้เขามาให้เข้าใจอย่างนี้ ไม่ได้หมดหรอก สุดท้ายมันก็จะมีคนนี่แหละ ผลิตขึ้นมามากๆๆ จนมันต้องฆ่ากันเองเหมือนสัตว์ สัตวโลกที่โดยธรรมชาติที่มันฆ่ากันเอง มันกินกันเอง นั่นเพราะมันไม่รู้ คนนี่มันโง่เข้าจนมากๆ มันก็จะกินกันเอง มันก็จะฆ่ากันเองอย่างไม่รู้ เช่นเดียวกันกับสัตว์ ความเป็นคนที่มันนึกว่าฉลาดแล้ว สุดท้าย มันก็จะกลับไปโง่ อย่างสัตว์อีก.
*****