ธรรมปัจจเวกขณ์ (17)
13 มีนาคม 2519 ณ พุทธสถานแดนอโศก
คนหรือสรรพสิ่งทุกสรรพสิ่ง จนกระทั่งได้พยายามผสมผเส ปรุงกันมาเป็นคน เป็นสิ่งที่ก่อสร้างขึ้นได้ละเอียดสูงสุด เป็นสมบัติของโลกทุกๆโลก โลกทุกๆลูก จะมีการปรุงแต่งและสร้างสมกันขึ้นมา จนกระทั่ง มีคนนี่แหละเป็นโลก หรือเป็นสมบัติของโลกที่สูงสุด และมันสูงสุดในการสร้างโลก แล้ว เราก็จะต้องรู้ สัตวโลกจะเป็นผู้รู้ หรือคนจะเป็นผู้รู้ รู้ว่าจุดที่จะประสาน ที่จะกระทำสืบต่อ หรือว่าโยงใยให้มีการทดแทน หมุนเวียนกันไปหมุนเวียนกันมา ให้อยู่อย่างดีได้ มนุษย์จะเป็นผู้กระทำ มนุษย์ผู้ที่จะสืบต่อ หรือผู้ที่จะกระทำการหมุนเวียน ได้ดีที่สุดนั้นก็คือ มนุษย์ที่เรียกว่า “อริยะ” หรือ มนุษย์อารยะ หรืออารยะชน ใช้สมองไม่มีความโลภ รู้ความจริงตามความจริง เห็นสิ่งที่ประกอบที่มีสาระ สิ่งประกอบที่มากไป กับสิ่งประกอบที่น้อยไป แล้วก็พยายามที่จะให้มนุษย์ด้วยกันทุกคน รู้สิ่งที่มากไปกับสิ่งที่น้อยไป นั้นๆ เรื่อยๆ
ผู้ที่อริยะหรืออารยะ จึงเป็นยอดแห่งมันสมองของโลก เป็นตัวจิตวิญญาณของโลก หรือเป็นผู้ที่จะทำให้โลกนี้ มีชีวิตอยู่ได้ยืนนาน ช่วยโลกแล้วก็ทำให้โลกนี้ ไม่ร้อนแรง อยู่อย่างบริบูรณ์ทีเดียว เป็นไปด้วยความเย็นลงๆเป็นผู้ช่วยโลกอย่างแท้จริง มนุษย์ที่เรียกว่าอารยะ หรืออริยะสูงสุด ขั้นไม่มีความโลภเป็นขั้นสูงสุด จึงเป็นมนุษย์ที่จะต้องยกเว้นไว้เป็นยอด เป็นผู้ที่เกื้อกูลโลกช่วยโลก เมื่อเราอยู่เหนือโลกก็เพราะว่า โลกมีหน้าที่สร้าง มีหน้าที่ที่ทำให้เกิดธรรมชาติ ให้เกิดการบังคับ ให้เกิดร่องให้เกิดทาง ให้เกิดการที่จะผลักดัน ไปในทิศทางที่โลกพยายามสร้าง แต่อารยะหรืออริยะนั้น ถูกบีบมานานแล้ว จนกระทั่งรู้ว่าบีบมาแรงเกินไป จนกระทั่งรู้ทางเวียนกลับ รู้ทางย้อนกลับ รู้ทางสูง รู้ทางปล่อยตัวปล่อยตน อารยะหรืออริยะ จึงเป็นผู้ช่วยโลกที่แรง สิ่งที่โลกได้บีบออกมา จนแรงเกินไปอีกทีหนึ่ง จึงเป็นการช่วยกันอยู่ในโลก พวกเรามาเรียนรู้ สิ่งที่โลกมันสร้างขึ้นมาแรงเกินไป แล้วเราจะลดสิ่งใดที่เขาไม่พอ เราพอรู้ง่าย แต่สิ่งที่แรงเกินไปนั้นรู้ได้ยาก เราจะต้องลดสิ่งที่แรงเกินไป ลดลงไปลดลงไป สุดท้ายที่สุดให้รู้ในปัจจัย ตามเวลาหรือกาละ แล้วเราก็อยู่กับปัจจัยได้ง่ายที่สุด นอกนั้นมีแต่ผลประโยชน์ ที่เราจะร่วมให้อนุโลม ทำเพื่ออนุโลมแก่ผู้อื่น ได้มีชีวิตอยู่เพื่อเรียนรู้ เพื่อเข้าใจอย่างที่เราเข้าใจได้บ้าง แล้วเราจะช่วยโลกต่อไปอีกๆ เพราะฉะนั้น แม้การใช้การกิน การอยู่การเป็น เราก็ต้องรู้สิ่งที่มันเกิน หรือมันแรงหรือมันเฟ้อ หรือมันมาก ให้มันลดลงมาจริงๆ รู้จริงๆ
เรียนรู้แล้วลดละปล่อยวางลงมา ให้รู้ความจริงว่า เราเองไม่เปลือง เราเองไม่ใหญ่ เราเองไม่ต้องไปโลภโมโทสันอะไรมากมาย เรามีชีวิตอยู่ได้ด้วยปัจจัย แล้วก็คุณธรรมของเรานี่แหละ จะทำให้เราอยู่ได้ ทำให้เราอยู่กับโลกของเขา โดยมาช่วยเหลือเฟือฟายเรา แล้วเราก็ทำงานเพื่อช่วยโลก ย้อนแย้งไปอีกทีหนึ่ง ให้เขาเห็นความสำเร็จ และให้เห็นความสุดยอด ให้เขาเห็นในสิ่งเป็นสัจจะธรรม รู้ความจริงที่มันไม่มาก เราก็จะได้ชื่อว่า เป็นผู้เกื้อกูลโดยอย่างบริบูรณ์.
*****