ธรรมปัจจเวกขณ์ (29)
1 พฤษภาคม 2519 ณ พุทธสถานแดนอโศก
ผู้เป็นพระโยคาวจร เป็นผู้ที่เพียรปฏิบัติประพฤติ เราต้องสอดส่องตน เรายังมีทุกข์อยู่ด้วยอะไร ทุกข์อยู่ด้วยการสัมผัส ทุกข์อยู่ด้วยอิริยาบถ ทุกข์อยู่ด้วยการหยุดนิ่งไม่ได้ หรือทุกข์เพราะเราเองไม่อยากหยุดนิ่ง อยากจะออกไป หรือทุกข์เพราะว่าหยุดนิ่ง และก็ยังติดนิ่งเกินไปใครมากวนก็ไม่ได้ หรือแม้แต่หยาบๆ เราเดินก็ทุกข์ เรานั่งก็ทุกข์ เราจะไปจะมาจะทำงานอะไรก็ทุกข์ กินก็ทุกข์ นอนก็ทุกข์ หรือมันทุกข์อะไร มันทุกข์อยู่ในสภาพไหน เรารู้ละเอียดว่าเราเป็นอยู่สบาย เราเดินเรายืนเรานั่งเรานอนเราทำงาน หรือแม้แต่สัมผัสอยู่กับอะไรก็ตาม เราสบายแล้ว นอกจากสบายแล้วก็ยังไม่โลภด้วย ยังไม่ติดยึด ไม่ใช่สั่งสมความชอบใส่ใจ มากเกินไปจนเป็นเชื้อ แล้วมันจะสั่งสมเป็น ตัวผีร้ายในอนาคต อย่างนั้นก็ไม่ใช่ !
เป็นการสบายอย่างเบาง่าย..ง่าย..โปร่ง..เรื่อยๆอยู่ แล้วก็มีตัวรู้ มีสติรู้ว่านี่เป็นไปโดยธรรม และมีสติ มีใจพิจารณา มีความรู้พิจารณาเห็นพร้อมอยู่ว่าสิ่งเหล่านี้เราไม่ได้ประมาท เพื่อที่จะปล่อยให้มันสั่งสมเป็นความชอบใส่จิต เราสบายอยู่อย่างนั้น เราไม่อึดอัดไม่ขัดเคือง
เพราะฉะนั้น อันใดที่เรายังรู้เศษรู้ส่วนที่ว่ามันยังทุกข์ มันยังไม่สบาย เพราะแม้เดินอย่างนี้ เพราะแม้นั่งอย่างนี้ หรือเพราะแม้กิน เพราะแม้นอน มันไม่สบายเพราะเหตุอะไร ถ้าเหตุนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัยธรรมดาของโลก หรือเป็นเหตุของปัจจัยที่เราตั้งใจแล้วว่า เราทำอย่างนี้ มันก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าเหตุนั้นมันประสมสัมผัสอยู่ แล้วเราก็ยังทุกข์เพราะเราไปยึดถือ ต้องการตามที่เราต้องการมากไป ต้องการผลักก็ตาม ต้องการดูดเข้ามา หรือว่าต้องการจะโลภมาให้ตนมากก็ตาม ถ้าอย่างนั้นมีฤทธิ์ เป็นแรงที่ทำให้เราเกิดทุกข์อยู่ในจิต เราจะต้องพิจารณา แล้วเลิกละให้ได้อย่างเด็ดขาด อะไรเป็นปัจจัย อะไรเป็นสิ่งที่กระทบสัมผัสอยู่ แล้วเราทุกข์อยู่ในอากัปกิริยาอย่างไร บรรยากาศที่เป็นในกรุง บรรยากาศที่คนจอแจ บรรยากาศที่มีเสียงมีรูป มีการเพ่นพ่านจอแจอะไร ก็ตามแต่ หรือแม้แต่กับบุคคลที่เราสัมผัสกับเขาว่า เราสัมผัสกับผู้นี้เราทุกข์ ถ้าใกล้ผู้นี้แล้วชอบมากไปก็ให้รู้ใจ ชอบมากไปเพราะอะไร เพราะเหตุอะไร แล้วอย่าติดอย่ายึดกัน สัมผัสกับผู้นี้แล้วชังมากไป ก็ให้รู้ว่าเพราะเหตุอะไร เราจะต้องไม่ผลักและเราจะต้องไม่ดูด เราจะต้องไม่ชังกัน และเราจะต้องไม่ติดไม่ยึดไม่ผลักไส ใจของเราเป็นกลาง เพราะเรารู้เหตุที่ไม่ชอบ เพราะเหตุนั้นๆ แล้วก็รู้ความจริง
พิจารณาบุคคลให้เกิดปุคคลปโรปรัญญุตา ให้เกิดรู้ในบุคคล รู้ฐานะของเขา รู้จิตของเขา รู้ความเป็นของเขาว่าเขาเป็นอย่างนี้ ฐานะอย่างนี้ มีความยึดถือของเขาอย่างนี้ หรือไม่ยึดถือ แต่เป็นวาสนาของเขาอย่างนี้ เราก็ให้รู้บุคคลนั้นๆ ให้ชัดเจนแล้วเราก็คบหากัน แม้เขาจะยังมีกิเลสของเขาว่าเขาชังเรา เขาอยากแกล้งเรา เขาอะไรก็อย่าถือสา เราต้องรู้ว่าเขายังมีกิเลส ยังมีความยึดถืออยู่อย่างนั้น ถ้าเราจะช่วยกันได้ก็ช่วย จะคบหากันก็คบหากัน จะอยู่ด้วยกันก็อยู่ด้วยกัน ใกล้กันบ้างไม่ใกล้กันบ้าง ตามกาลเทศะที่จะเป็นไปได้
นี้ต้องพิจารณาทั้งบุคคล ต้องพิจารณาทุกอย่างทุกส่วน ที่เราจะอยู่ จะสัมผัส แล้วเราจะได้รู้ว่า ทุกข์เหล่านั้นหายไป เพราะเราได้คลำหาเหตุแห่งทุกข์ แล้วก็บำบัดบัดเป่าเลิกสมุทัยของมัน จนใจสบายใจวางใจเบาใจพ้นทุกข์ มีแต่ความสบาย มีแต่ความเป็นอยู่โดยสุข สุขที่ไม่ใช่สุขอย่างโลกียรส เป็นสุขอย่างวิมุติรส สบาย นี่ก็เป็นที่สุด ที่เราจะต้องพยายามกระทำ พยายามพิจารณาให้เห็นอยู่ ถึงพร้อมทุกเรื่องทุกราวให้ได้.
*****