ธรรมปัจจเวกขณ์ (37)
2 มิถุนายน 2519 ณ พุทธสถานแดนอโศก
จงเป็นผู้สำเร็จ เป็นผู้เสร็จให้ได้ เสร็จอยู่ในตัว เสร็จในการเป็นอยู่ เสร็จในการนอนหลับ เสร็จในการกิน เสร็จในการไป เสร็จในการมา เสร็จก็โดยใช้ปัญญารู้ว่า เราควรหาขนาดไหน แล้วก็ตัดสินให้ลงตัวว่า เอออันนี้ดีแล้ว ตัดสินแล้ว ก็พยายามพิจารณา ธัมมวิจยะ หรือ ธัมมวิจัย พรั่งพร้อมมีสติให้เต็มอยู่เสมอ รู้ให้จริง อ่านให้จริง ตัดสินให้จริง สบายให้จริง จบอยู่ให้จริง เสร็จอยู่ให้จริง เราจะเป็นผู้ที่สบาย เป็นผู้ที่บริบูรณ์ แล้วก็ทำงานทำการ เป็นอยู่ เป็นไป มีชีวิตที่เจริญ มีชีวิตที่เป็นประโยชน์ตน และมีชีวิตที่เป็นประโยชน์ท่าน อยู่ในตัวเดียวกัน พรั่งพร้อมไปหมด เพราะฉะนั้น แม้แต่เราจะมาพิจารณาตั้งแต่ขั้นตื้นๆ มีบทบาทมีอุบายโกศล มีกรรมฐาน ที่เราจะประพฤติตามไปตั้งแต่เราวาง
ให้มีศีลนะ ให้สังวรในศีล มีหลักเกณฑ์หยาบๆ อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อย่าลักทรัพย์ อย่าอยากได้ อย่าทำร้าย อย่าผิดในกาม อย่ามุสา อย่าเสพย์ติดหยาบๆ ปฏิบัติให้เป็นจริง ตามที่รู้หยาบ ละเอียดขึ้นไป เราก็พยายามให้เป็นผู้ที่เว้นหน่ายคลายออกมา ไม่เบียดเบียน ไม่โลภไม่โกรธมาเรื่อยๆๆๆ แม้ทางปากแม้ทางใจ จับเข้าไปได้ถึงใจมีอาการ และก็มีการพิจารณา ลด ละ ปล่อย คลาย วาง ปรับเปลี่ยนเข้าไปสู่จุดดีเสมอๆๆ เข้าไปจริงๆ เพราะฉะนั้น ต้องพิจารณา ตามบทปฏิบัติเข้าไปเรื่อยๆ เรารู้ได้ลัด เรารู้ได้เร็วๆ เรารู้ได้ถึงขนาดเรารู้จิตของเราว่าสะอาดใน แต่ละตอนแต่ละอันแล้วก็ดี ก็เสร็จไปในตัว
เพราะฉะนั้น ต้องพิจารณาให้หมดทุกกรรมฐาน ทุกขั้นตอน ซับซ้อนไปมา เรียกว่า ปฏิ – ทวนไปทวนมา ปฏิ เราต้องมีทั้งปฏิบัติ แล้วก็ให้มันแทงทะลุ แทงทะลุแล้วแทงทะลุอีก จนสะอาดไม่สงสัย เรียกว่า ปฏิเวธะหรือปฏิเวธ ที่ฟังไปนี่เป็นปริยัติทั้งนั้น เป็นการรู้รอบ รู้ให้เข้าใจรู้ให้รอบให้ถ้วน เป็นสัมมาทิฏฐิ ให้ชัดแจ้ง แล้วก็ปฏิบัติจริงๆ พอทดสอบแล้วรู้ว่าจริงแล้วทีเดียว ว่าทำได้ทีเดียว แล้วก็รู้แล้ว พอแล้ว รู้แล้ว มันก็คือตัวเสร็จ ตัวจบ แล้วรู้แล้ว แล้วทำได้แล้ว มีกตะ กะตัง ทำได้แล้วด้วย ไม่ใช่เราจะไปเอาแต่แค่รู้ มีสัจจะ มีสัจจะต่างๆนี่ มีกตะด้วย มีการกระทำได้แล้วด้วยให้บริบูรณ์ รู้แล้ว ทำได้แล้ว แล้วก็เสร็จ รู้เสร็จแล้วก็เบาวางง่าย จิตใจเราก็เบา จิตใจเราก็ง่ายแล้ว นอกนั้นก็มีแต่กรรมเป็นที่สุด มีการงานเป็นที่สุด
แล้วมันก็จะสืบสานไป จนกว่าเราจะตาย มันยังไม่ตายมันยังไม่หมดงานหรอก มันตายเมื่อไหร่ก็หมดงาน เรามีกรรมการงานที่เป็นอโหสิกรรม มีกรรมสักแต่ว่าแล้ว สักแต่ว่าเสร็จ กรรมไม่ได้คิดเป็นบุญ ไม่ได้คิดเป็นบาปของเรา แต่เป็นบุญในโลก เราจะไม่ก่อบาป เราจะยังกุศลเท่านั้นให้เป็นไป เราจะเป็นผู้ที่ปรุงแต่บุญ ปรุงแต่ทางด้านดี โน้มไปในทางด้านดี จึงมีแต่กุศลกรรม และเราไม่ยึดไม่ติด เป็นอโหสิกรรม เป็นที่สุด.
*****