ธรรมปัจจเวกขณ์ (41)
4 กรกฎาคม 2519 ณ พุทธสถานแดนอโศก
การสังวร เป็นบทปฏิบัติอันสำคัญของเรา นักปฏิบัติทั้งหลายทั้งมวล ก็ให้มีสังวรา มีทัสสนา มีปฏิเสวนา มีอธิวาสนา ปริวัชชนา วิโนทนา ภาวนา เป็นที่สุด เพราะการสังวร การสำรวม แม้แต่จรณะทั้งหมด ก็ต้องสำรวมสังวรเป็นอันต้น มีหลักปฏิบัติในศีลต่างๆ และก็มีการทำให้สลัดออกให้ได้เสมอ สังวรอยู่เสมอว่า เราได้ปล่อยออกๆ มีการปล่อยออกอยู่เนืองๆ สำหรับเสขะบุคคล ไปตราบจนกระทั่ง แม้แต่เป็นพระอรหันต์แล้ว ก็มีการออก คือ ให้แก่เขา เป็นผู้ที่มีประโยชน์แก่เขาอยู่เนืองๆ สำหรับตนนั้น ตนหมดตนแล้ว มันก็ไม่มีอื่นเลย นอกจากเรานี่แหละ จะเป็นผู้ให้แก่ผู้อื่นเขาเรื่อยๆไป เพราะฉะนั้น ต้องทำไปในจุดเดียวกัน ไม่ขัดกัน ไม่ตีกลับอะไรนักหนา เมื่อมันลงร่องลงช่อง เป็นสัจธรรมแล้ว มันจะกินกันไปด้วยกันได้ เราจะต้องสังวรสำรวมเสมอ ในผู้ที่จะปฏิบัติ ไม่ว่าอะไร
เพราะฉะนั้น ทุกเวลาที่เราจะฉันอาหารก็ดี เรียกว่า เรามีกรรมฐานของเราว่า กิน-อยู่-หลับนอน กินอยู่หลับนอน ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะมีการกิน เราจะมีการอยู่ เราจะมีการหลับนอน เราจะเอาแต่พวกนี้ตะพึด ไม่ใช่ แต่เรามีการสังวรการเป็นอยู่ สังวรในการหลับนอน เราจะมีทัศนะในการกิน และเราก็กินเป็น อย่างมีทัศนะ คือ มีการรู้การเป็น การเข้าใจว่ากินคืออย่างไร เราจะมีการเสพย์คุ้น เราจะต้องพยายามพรากจิต หรือพยายามละออกมา พรากออกมา ให้มันเสพย์คุ้นในทิศทางที่ดี เราจะอยู่ในส่วนที่มันควรอยู่ กระทำในส่วนที่ควรกระทำ ไม่ไปคลุกคลี ไม่ไปเกี่ยวข้อง ในส่วนที่ควรพรากควรห่าง จนเราแน่ใจแล้วว่า เราจะต้องไปคลุกคลีอีก โดยจิตของเราร่อนแล้ว เราจะไปคลุกคลีอีกได้ ก็ต้องรู้ตัวจริงๆ
เราจะต้องมีการเสพย์คุ้นมาก่อน มีการฝืนทน เรียกว่า “อธิวาสนา” ฝืนทนมาก่อนในบางส่วนบางสิ่ง จนมันค่อยตัดรอบออก เรียกว่า “ปริวัชชนา” มีเว้นเข้าไปได้เป็นรอบๆๆๆ รอบสั้น-รอบยาวอะไร ก็ค่อยได้เป็นขั้นๆ ตอนๆ จนทุกข์ หรือว่าสิ่งที่ต้องทนต้องฝืน หรือว่าสิ่งที่มันเคยติดเคยยึด มันบรรเทาลง เรียกว่า “วิโนทนา” มันบรรเทาไปได้ จนที่สุด เราแน่ใจเรามั่นใจ เป็น “ภาวนา” เกิดผลรอบ เกิดผลแทงทะลุ เกิดผลเด็ดขาดเป็นที่สุด และก็สังวรอยู่นั้นแหละ เรื่อยไปในส่วนอื่น ส่วนใดได้เรียบร้อยแล้วก็แล้วไป ส่วนใดที่ยังอยู่ ก็สังวรกันใหม่ กระทำไป แม้แต่การกินการเป็นอยู่ ชีวิตของเราเป็นอยู่ด้วยการกระทบสัมผัส อะไรทั้งหมดมันกว้าง แต่เราก็ต้องรู้ว่า การเป็นอยู่ของเรา จะเป็นอยู่อย่างที่เรียกว่า ละ-หน่าย-คลาย ในส่วนที่ยังติดอีก และเป็นประโยชน์ต่อโลกอย่างแท้จริง แม้แต่การหลับการนอน เราจะต้องมีสังวร มีทัสสนา มีปฏิเสวนา มีอธิวาสนา มีปริวัชชนา วิโนทนา ภาวนา อย่างแท้จริง มันจึงจะเป็นที่สุดได้
ฉะนั้นเราจำเป็นต้องสำรวมทั้งหมด ผู้มาใหม่ก็ให้สังวร สังวรให้มาก แม้การกิน ก็กินเพื่อเลี้ยงชีวิต แม้การเป็นอยู่ การทำงาน การเป็นไปในพวกเรา เป็นที่สุดถึงขั้นนอน จนกระทั่งตื่นมาใหม่ เราก็จะต้องการเป็นอยู่ แม้ว่าเราตื่นมาแล้ว เราจะอยู่อย่างไร เราจะทำอะไร เราจะมีกิริยากาย กิริยาวาจา และก็จะทำงาน หรือมีกรรมนั่นเอง มีการกระทำอยู่ในส่วนอย่างไร ถึงจะเรียกว่า สังวร ถึงจะเรียกว่า ทัสสนา ถึงจะเรียกว่า ปริวัชชนา – อธิวาสนา มันจะเกิดผล ปริวัชชนา วิโนทนา และภาวนา เป็นที่สุดได้ เราจะต้องสังวร ในทุกสภาพทุกเวลา ตลอดเวลาการเป็นอยู่ทั้งหมด เพราะฉะนั้น ก่อนจะกิน เราจึงมีการเตือนสติกันเสมอ เรียกว่า “ปัจจเวกขณ์” พูดไปหลายๆนัยแล้ว ให้สังวร ไม่ใช่สังวรแต่การกิน แต่ในขณะกินนี้ ก็ต้องให้สังวรจริงๆ แล้วเราจะได้ไปสังวรอื่นๆ ด้วยทั้งหมด.
*****