ธรรมปัจจเวกขณ์ (51)
5 กันยายน 2519 ณ พุทธสถานแดนอโศก
พยายามตรึกตรอง ไตร่ตรอง พิจารณาปัจจุบันธรรมให้ชัด เราเกิดมาก็เท่านั้น มีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเป็นรากเหง้า มีวิญญาณอันสืบต่อไปถึงจิตหรือตัวจิตนั่นแหละ เป็นตัววิญญาณ เพราะฉะนั้น ถ้าวิญญาณใด มันสืบเนื่องมาถึงตา มาถึงหู มาถึงจมูก มาถึงลิ้น มาถึงกาย สัมผัสจากตา สัมผัสจากจมูก หู ลิ้น กาย แล้วก็ไหลเลื่อนเข้าไปนั้น เป็นสภาพปั้นเป็นรูปภาพ ปั้นเป็นแบบนั้นอย่างนั้น ถ้าสัมผัสทางจมูก เราเรียกมันว่ากลิ่น มันเป็นอย่างนั้นแหละ แล้วเข้าไปที่จิต สัมผัสที่หู มันก็เข้าไปสู่จิต เราเรียกมันว่าเสียง สัมผัสที่ลิ้น เราเรียกมันว่ารส แล้วมันก็เข้าไปที่ใจ มันเข้าไปสู่วิญญาณ วิญญาณเป็นสิ่งที่สืบทอดไปจากทวารข้างนอก แล้วเราก็ไปนั่งสมมุติ นั่งปั้นนั่งยึดเอาที่จิต ที่วิญญาณทั้งสิ้น
เราต้องพยายามไตร่ตรองพิจารณา เห็นความจริงให้ได้ว่า เป็นสภาพที่เราเองไปหลงมัน เราเองเราไปปั้นรูปปั้นรอย ปั้นแบบปั้นอย่าง เป็นอย่างนั้นอยู่อย่างนี้ จะต้องมีอย่างนั้น จะต้องเป็นอย่างนี้ ไปยึดอย่างนั้นไปยึดอย่างนี้ จิตของเราแท้ๆ ตัวจิตมันไปกำหนดไว้ จะต้องเป็นอย่างนั้น จะต้องเป็นอย่างนี้ รูปจะต้องเป็นอย่างนี้ และจะต้องได้อย่างนี้ กลิ่นจะต้องได้อย่างนี้ เสียงจะต้องเป็นอย่างนี้ สัมผัสจะต้องเป็นอย่างนี้ แล้วก็ยักย้ายไป และก็จิตนี้แหละช่างคิดอีก หรือตัววิญญาณช่างปั้นอีกเอาเอง อย่างนี้แล้ว เบื่อแล้ว นานเหลือเกินซ้ำซากแล้ว จะต้องเปลี่ยนเป็นอย่างนี้บ้าง หรืออย่างนี้เคย อย่างนี้จำได้ อย่างนี้เห็นว่ามีว่าเป็นอย่างนี้มา จะต้องเอาอย่างนี้ ถ้าไม่อย่างนี้แล้วไม่เอา อะไรก็ตามแต่ ไอ้อย่างที่ซ้ำซาก เบื่อแล้ว อยากได้แบบใหม่ คิดแบบใหม่ ไปจะเอาแบบใหม่ก็มี มันล้วนแล้วแต่เรื่อง สุดท้ายแล้ว ตัวจิตตัวร้ายกาจตัวเดียว หรือตัววิญญาณตัวเดียว เพราะฉะนั้น วิญญาณอย่างนี้ๆ เป็นวิญญาณโง่ จิตอย่างนี้เป็นจิตโง่ เรียกว่าอวิชชาทั้งสิ้น เราจะต้องไถ่ถอน เราจะต้องทำลายความโง่ความหลงผิด ว่าจิตมันไปกำหนด มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน รูปมันจะได้รูปอย่างนั้น รสมันจะได้รสอย่างนั้น กลิ่นจะได้กลิ่นอย่างนั้น เสียงจะได้เสียงอย่างนั้น สัมผัสจะได้สัมผัสอย่างนั้น ช่างมัน รู้มันตามความเป็นจริงของมันว่า อ้อไอ้อย่างนี้มาอีก วันนี้อีกอย่างนี้ คราวนี้ ปัจจุบันธรรมนี้ยังมีอย่างนี้ มาก็เอาอย่างนี้ แล้วก็เฉย เล่นกับจิตปรับกับจิต ให้จิตมันเฉย จิตวาง อย่าไปยึดถือ อย่าไปถือสา อย่าไปหมายกำหนด เพราะมันหมายกำหนดมาเก่ามากแล้ว มันกำหนดมุ่งมั่นไปอย่างนั้น มันมากมานานแล้ว เปลี่ยนมัน ลดถดถอยมา ไม่เอาให้มันได้ตามอย่างนั้นแหละ ไม่เอา อย่างนั้นไม่เอา จะต้องปล่อย มันได้อะไร มันพบอะไร รู้อย่างไร รสอย่างไร กลิ่นอย่างไร เสียงอย่างไร สัมผัสอย่างไร ตามที่หมู่พาเป็นพาไป ก็ว่าไปเรื่อยๆ หรือตามมีตามได้ ตามที่ตามได้ง่ายที่สุด เราเห็นแล้วว่ามันเหมาะมันควร มันพอเหมาะพอสม มันพอเป็นพอไป เข้าไปหาทางไม่เอิกเกริก ไม่หรูหรา ไม่ฟุ้งเฟ้อ เป็นส่วนที่น้อย น้อยไปด้วยรูป ไม่ต้องไปยึดมั่นรูป น้อยไปด้วยรส ไม่ต้องไปยึดมั่นรส น้อยไปด้วยกลิ่น ไม่ต้องไปยึดมั่นกลิ่น น้อยไปด้วยเสียง น้อยไปด้วยสัมผัส ไม่ต้องไปยึดมั่นเสียง ไม่ต้องไปยึดมั่นสัมผัส เอาแต่ว่ามันหมายใจว่า จะให้มันโน้มน้าวไปสู่จุดใดที่เป็นสาระ ที่เป็นเนื้อแท้ ที่เป็นความสำคัญ รูปอย่างนี้หมายให้เรารู้ ในสิ่งที่เป็นอย่างนั้นให้ชัดเจน เพื่อจะใช้ประโยชน์อย่างนั้น ก็แล้วไป กลิ่นอย่างนี้ มันก็บอกอย่างนี้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง มันยึดของมัน รูปอย่างนั้นมันคือตัวนั้น ที่เกิดมาของมัน เป็นรูปร่างอย่างนั้น สีอย่างนั้น รสก็เหมือนกัน มันเกิดมาแล้ว มันก็มีอย่างนั้น แล้วคนก็ช่างมาปรุงเพิ่มเข้าไปอีก
นอกจากธรรมชาติ มันตกแต่งขึ้นมาแล้ว คนก็ช่างมาตกแต่งมันขึ้นมา อีกมากมาย แล้วก็หลอก ไอ้คนที่พยายามตกแต่งนี่แหละมากแล้ว บ้างทีคนไปชี้โน้นเอาไว้ แม้แต่ของธรรมชาติก็ต้องเลือกนะ ต้องชอบอย่างโน้น ไอ้รสอย่างโน้น ไอ้กลิ่นอย่างโน้น ไอ้รูปอย่างโน้นของธรรมชาติ ถ้าอย่างนี้แล้ว อย่าไปชอบนะ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ล้วนแล้วแต่ยุแหย่กัน แล้วเราเองเราก็ไปติดไปยึด ตามที่เขายุแหย่ พยายามไตร่ตรองทบทวน และก็ละหน่ายเล่นกับจิต เล่นกับใจให้ชัดเจน ปล่อยวางดู ถ้าใจที่ปล่อยวาง ก็สังเกต เห็นใจที่ปล่อยวางให้ได้ ว่าใจเราไม่ถือสาเสียแล้ว ใจที่เราปล่อยเสียแล้วนี่ แม้รูปขณะนี้ จะเป็นรูปที่ไม่ต้องใจเลย แม้รสขณะนี้ ก็เป็นรสที่ไม่ต้องใจเลย เป็นรสที่รู้สึกว่า มันฝืนใจก็ตาม เราก็รู้ว่ารสนี้ มันจัดไปหน่อยหนึ่ง มันไม่ถูกกับอารมณ์เดิมๆ อารมณ์ที่เคยยึดเก่า เราก็พยายามปล่อยใจ วาง ไม่ต้องถือสา ไม่ต้องเอาเรื่อง ไม่ต้องเอาภาระกับมัน สัมผัสสัมพันธ์ด้วย โดยไม่จำเป็นและก็ไม่เกินไป ไม่ถึงฆ่าตัวตาย กินไปแล้วไม่ฆ่าตัวตาย กินไปแล้วไม่ทำลาย กินไปแล้วไม่เป็นพิษ กินไปแล้วไม่เมา ทำให้สติเสื่อม เราก็เอา หรือว่ามารับ แล้วไม่ให้เมา ไม่ให้สติเสื่อม เราก็ร่วมด้วย เป็นไปด้วยตามกาลเทศะ เป็นประโยชน์อยู่ ยังขันธ์นี้ไปได้ และหรือจะช่วยผู้อื่นได้ เราร่วมด้วย เราร่วมคลุกคลีด้วย เพราะเพื่อเป็นประโยชน์ผู้อื่นด้วย สำหรับเรานั้น แค่ให้ร่างกายมันตั้งอยู่ได้ก็พอแล้ว
ขอให้พยายามไตร่ตรองให้มาก และรู้จิตตัวที่วางได้ให้ชัดเจน จะเห็นว่ามันสบาย พอวางได้แล้ว มันเบามันง่าย เพราะถือสานั่นเองมันต้องถึงผืน เพราะฉะนั้น ตัวไหน ที่มันเห็นว่าตัววางได้แล้ว ตัวฝืนจะลดลงไปทีเดียว พอวางได้แล้ว ตัวฝืนจะหายไป ตัวฝืนจะลดลงบรรเทาลงไป จนกระทั่งสุดท้าย มันจะหายไป พอวางปุ๊ป ไอ้จิตตัววางแล้วหาย ไม่มีฝืนไม่มีทน ปล่อยไปได้ง่ายๆ นั่นแหละ ตัวนั้นสำคัญมาก เห็นให้ถึงให้เกิดที่เราให้ได้ พอเกิดได้แล้ว โอ ตัวนี้เอง จิตอย่างนี้ที่สำคัญ เพราะฉะนั้น เราก็ไปหาตัวนี้เสมอ ไปหาตัววางตัวปล่อยได้นี่ ถ้าไม่ต้องถือ ไม่ต้องสาอะไรนี่ ได้อย่างนี้เสมอ นั่นแหละคือความสำเร็จ ที่เราจะทำให้ได้อยู่เสมอ ไม่ว่ารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอะไร เมื่อเราไตร่ตรอง เมื่อเราพิจารณาแล้วว่า เราควรจะสัมพันธ์ด้วย สัมผัสด้วยแล้ว เราก็สัมพันธ์สัมผัส ไปตามที่เราควร แล้ววางปล่อย อย่าถือสา เป็นไปโดยสบายให้ได้.
*****