ธรรมปัจจเวกขณ์ (52)
13 กันยายน 2519 ณ พุทธสถานสันติอโศก
เราต้องพยายามพิจารณา รับรู้สึกจิต ผลที่เราจะได้นั้น มีอยู่ที่จิต จิตที่สบาย จิตที่ปล่อยวาง จิตที่คงเป็นไปโดยสบาย ตามธรรมชาติ เมื่อเรามีจิตที่สบาย ไม่ได้เดือดร้อนอะไรแล้ว เราก็รู้อยู่ในผัสสะทั้งหลายที่เป็นไปแล้ว เราก็ไม่ได้หลงเป็นทาสสิ่งใดๆ อันใดมีประมาณน้อย เศษก็รู้อยู่ มันก็มีฤทธิ์ไม่แรงร้ายอะไร แต่ว่าเราก็จะต้องไม่ประมาทเป็นที่สุด ส่วนสิ่งใดที่ขาดหายไปหมดแล้ว อย่างหยาบอย่างกลางอย่างร้ายแรง ที่เราไว้ใจได้ เราก็จะพึงรู้ เมื่อเราได้ปลดปล่อย เราได้สบาย กิเลสหยาบกิเลสกลาง และแม้อนุสัยก็ดี กิเลสอนุสัยที่เหลือ เราก็ประมาทไม่ได้ แต่เราก็จะต้องปลดปล่อยไป ตามหลักของวิปัสสนาของเรา จะต้องพยายามสลัดปล่อย สลัดปล่อยตามอยู่เสมอๆ เมื่อผู้ใดได้สภาพของจิตที่สบาย ก็จะต้องรู้จิตที่เราสบายของเรา แล้วเราพึงอาศัยเป็นวิหาร เป็นทิฏฐธรรมสุขวิหาร ไม่ใช่ว่าเรามีจิตที่สบายแล้ว แต่เราก็กลับไปทำทุกข์ให้ทับถมตนเข้าไปอีก ซึ่งเป็นความขาดทุนของเราโดยใช่เหตุ นอกจาก เราได้สบาย จิตของเราอยู่วางว่างปล่อย เป็นไปโดยปกติ แล้วเราก็จะเหลือแต่… เพราะเรามีชีวิตอยู่เป็นปัจจุบัน ที่เราจะมีกัมมันโต มีการมีงาน อันพึงไปพอเหมาะพอควร ไม่ใช่เป็นคนดูดาย ไม่ใช่เป็นคนที่จะเคร่งเครียด ถึงขนาดจะต้องทำอะไรอยู่ตลอดเวลา ทำงานเสียจนไม่มีเวลาพักผ่อน ก็ไม่ใช่
เรามีอยู่ในสามระดับ ๑. พักสนิท เวลาเรานอนพัก หรือหยุดพักอย่างแน่ ๒. พักอย่างลำลอง กับการทำอย่างลำลอง มีพักบ้างและทำบ้างไปในตัว บางทีก็พักมากกว่าทำ บางทีก็ทำมากกว่าพักไปหน่อยหนึ่ง อีกระดับหนึ่งก็คือ ระดับงานที่แท้จริง ทำงานโดยตั้งใจ มีการตั้งใจทำงานอยู่เต็มที่ ปรุงอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เรียกได้ว่างานแท้ นั้นก็คือลักษณะหนึ่ง แบ่งคร่าวๆ แบ่งหยาบๆ ออกเป็นสามตอน เหมือนกับชีวิตที่เป็นอยู่ และเราก็อยู่ไปตามธรรมดา เมื่อรู้หน้าที่ เวลาการงานที่เต็มที่ เราก็ทำเต็มที่ เมื่อมีการงานเต็มที่ ก็มีเวลาอยู่กับการงานลำลอง กับการพักลำลอง และแม้เมื่อเวลาพักอย่างเต็มที่ หรือพักอย่างเจตนาเต็มที่ เราก็รู้อยู่ ชีวิตก็หมุนเวียนอยู่ด้วยลักษณะคร่าวๆ อย่างเป็นสุขโดยสบาย โดยรู้จิตของเรา และรู้การงาน รู้ความไม่ประมาท รู้กุศลธรรม อันที่จะเป็นไปให้เจริญยิ่ง อยู่ตลอดเวลา เราก็ทำกุศลกรรมนั้น หรือกุศลธรรมนั้น ให้เจริญยิ่งอยู่ได้ แม้บางครั้ง ที่ตั้งตนอยู่บนความลำบาก เราก็รู้ แม้บางครั้ง ที่ได้รับทิฏฐธรรมสุขวิหารอยู่ เราก็รู้อยู่เป็นปกติธรรมดา ผู้นั้นก็มีชีวิตเดินทางไปสู่สันติสุข หรือว่ามีสันติสุขอยู่แล้ว แล้วก็เดินทางไปสู่หลุมผังศพ เป็นที่สุดอยู่เท่านั้นเอง.
*****