ธรรมปัจจเวกขณ์ (71)
13 พฤศจิกายน 2519 ณ พุทธสถานสันติอโศก
เราจะต้องพยายามระลึกถึงประโยชน์ ประโยชน์ที่เราจะต้องพึงได้ เป็นครูก็ดี เป็นตัวอย่างก็ดี ด้วยกายกรรมก็ดี ด้วยวจีกรรมก็ดี เราจะต้องพยายามใช้จิต หรือใช้มโนของเราให้เป็นที่สุด ให้ใช้ปัญญารู้ว่า อย่างนี้กายกรรมที่ดี อย่างนี้วจีกรรมที่ดี จิตของเราเองก็ต้องรู้อารมณ์ของจิต และลดอารมณ์ของจิตไปด้วย ประโยชน์เราก็ได้ไปพร้อมกัน
เมื่อเราได้ลดละจิตของเรา ที่มันเข้มข้นรุนแรงไป มันไม่ได้ประสิทธิภาพที่เต็ม มันไม่ได้ผลที่ดี มันโลภจัดไป มันอภิชัปปา หรือว่ามันเบามันอ่อนแรง มันไม่เป็นไปโดยที่เรียกว่า ได้พอเหมาะพอสม ค่าไม่ได้เต็มค่า ทำอะไรไม่ได้เต็มสมรรถนะ ไม่ได้ตามสมรรถภาพของมัน เราก็เพิ่มขึ้นมาพอสมควร และเราทำอะไร ก็เป็นไปเพียงเพื่อสิ่งนั้น ไม่ใช่ทำเพื่อที่จะเสพย์เสวยเผาผลาญ เราทำเพื่อให้สิ่งนั้น มันดีมันเจริญ ตัวเราเองนั้น ต้องรู้ปัจจัยแห่งชีวิต รู้ค่ารู้ราคาถูกตัวแล้ว อย่าหลงเลอะไปเลย อ่านให้ถูกอ่านให้ตรง เป็นปัจจัยข้อสำคัญ นอกนั้นก็เป็นสิ่งประกอบ ที่เราจะพึงได้ ที่เราจะพึงเอามาทำงาน ให้มันสูงขึ้นเท่านั้นเอง เป็นองค์ประกอบ หรือเป็นเครื่องประกอบเท่านั้นเอง โลภมามากแล้วเราก็รักษามาก และจะต้องทำมาก การทำมาก รับมาแล้วมาทำมากดี ไม่เป็นไร รับมาแล้ว รับมาสะสม รับมากักตุน โลภไว้เปล่า อย่างนี้เสียเศรษฐกิจ หรือเสียชื่อเราด้วย เสียตรงที่เป็นสะสมโดยที่ไม่ก่อประโยชน์ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ถึงคราวที่เราจะต้องรับมา เพื่อเป็นประโยชน์ ก็อย่ารับมา ถ้าเราได้มาแล้ว ถ้าเรายังทำประโยชน์อะไรไม่ได้ ควรจ่ายควรกระจายออก ควรเอาไปให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์ ให้เขาได้ทำ ให้เขาก่อประโยชน์ไป เราอย่าเก็บอย่ากักไว้ มันเสื่อม มันสลาย มันไม่มีประโยชน์ มันไม่มีบุญ เพราะฉะนั้น เราจะต้องรู้จุดที่เรียกว่า ประโยชน์ ให้สำคัญ
ประโยชน์ตน ได้จากการลด-ละ-หน่าย-คลาย และเกิดปัญญาอันสูงสุด และเราก็พยายามรู้ตัวว่า เป็นไปด้วยความสงบ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เรียบ-ง่าย-งาม มันยากเพราะว่าเราต้องฝืน มันยากเพราะเราไม่วางใจ การไม่วางใจอะไร ก็ยากทั้งสิ้น สอง เราไม่เป็นเราไม่ชำนาญ เราไม่เชี่ยวชาญต่องานนั้น ก็ยาก เมื่อเราเข้าใจในการงานนั้น ทำบ่อยมันก็ชิน มันก็เก่งมันก็ง่าย และโดยเฉพาะ ตัวจิตที่เราไม่ยอมวางนั่นแหละ ไม่ยอมปล่อยนั่นแหละ ยังฝืนยังขัดแย้ง ยังลำบากอยู่ อันนั้นก็เป็นตัวยาก ไม่ง่าย ถ้าเผื่อปล่อยตัวจิตได้ ไม่ฝืนไม่ยาก บางทีเป็นสิ่งที่เคยทำเคยเป็น เคยเชี่ยวชาญด้วยซ้ำไป แต่จะทำแค่นั้นแหละยาก เพราะเราฝืน เพราะฉะนั้น อันใดที่สมควรอยู่ ที่จะพอเป็นไป ก็พอเป็นไป อันใดไม่สมควรแล้วลดละลงมา ก็ลดละลงมา แล้วเรามาทำงานที่ชัดเจน ก็คืองานที่จะส่งเสริมสั่งสอน มีกายกรรมที่เป็นตัวอย่าง มีวจีกรรมที่เป็นตัวอย่าง โดยเฉพาะมีจิตอันบริสุทธิ์ จิตอันไม่โลภแล้ว เป็นตัวอย่างแก่โลกเขาอย่างดี มีปัญญาชัดเจน เรียกว่าหมดโมหะ และมีปัญญาชัด แทงทะลุไปถึงขั้นอนุสัยอาสวะ เรียกว่า หมดอวิชชา เราก็เป็นผู้ที่ทำประโยชน์แก่ตนก็ได้ และประโยชน์แก่ผู้อื่น ก็ได้ไปพร้อมกันด้วย.
*****