ธรรมปัจจเวกขณ์ (77)
2 ธันวาคม 2519 ณ พุทธสถานสันติอโศก
ผู้ได้พยายามพิสูจน์สัจธรรมตั้งแต่เบื้องต้น พยายามเลิกละ เหมือนอย่างพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยาง ออกมาจากน้ำแล้ว ไกลห่างสิ่งที่เราเคยติด และสิ่งที่เราเคยติดนั้นเป็นสิ่งชั่ว เข้าใจด้วยเหตุผล เข้าใจด้วยปัญญาว่ามันต่ำมันเลว โลกเขาก็รับว่าเลวเราก็รู้ด้วย น่าอายน่าขายหน้า ถ้าไปเกี่ยวไปข้อง เมื่อรู้แล้วสิ่งนั้นส่วนนั้น เราก็ต้องลดละออกมาให้ได้ แม้จะห่างมา เหมือนพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางออกจากน้ำได้ ใจของเรามันยังรอนๆ ยังมีอารมณ์ ยังมีอะไรต้องปราบมัน กำราบมัน รู้จิตของเราที่มันดิ้นรนไป หาให้จริง ตั้งแต่อบายมุข ตั้งแต่สิ่งต่ำๆ เมื่อได้พิสูจน์แล้วว่า ขาดจากอบายมุข ก็ว่างก็ง่าย จะเห็นความสิ้นภาระ หมดกิจแห่งตนอย่างชัดเจน เมื่อหมดกิจแห่งตนพ้นภาระ ในส่วนสัดนั้นเหตุนั้นปัจจัยนั้น เราละเลิกมาได้ ล้างมาได้จริง เราก็จะรู้จักวิมุติ รู้จักความหลุดพ้น รู้จักภาระอันสิ้นความดับสนิทแห่งโลก เรียกว่าโลกอบาย ชัดเด่นเห็นจริง โลกที่หยาบสูงขึ้นมาอีก เป็นโลกกามารมณ์ โลกกามคุณ หรือว่าโลกแห่งลาภ-ยศ-สรรเสริญ ที่เราเหมือนเกี่ยวข้องมันอยู่ ขาดเสียมิได้ แต่เราก็ต้องลองขาดมันดู เช่น ลาภมากก็หัดทาน หวงลาภหัดทาน หวงยศลดตัวลดตน หัดใช้อำนาจการงาน ทำความเข้าใจโดยยศ ด้วยฐานะว่า เราทำการงานให้สมกับฐานะ โดยไม่ถือยศถือศักดิ์ อย่าไปติดในสรรเสริญ เป็นต้น หรือรูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส หัดละหัดลดหัดน้อยลง หัดไม่เกี่ยวข้อง พรากไม้ที่ชุ่มด้วยยาง ออกจากสิ่งเหล่านี้ด้วยอีก เราก็จะได้รู้จักธรรมะโดยนัยเดียวกัน ลักษณะเหมือนโลกอบาย เพราะฉะนั้น โลกกามหรือโลกธรรมแปด ก็โดยนัยคล้ายคลึงกัน แต่อาจจะไม่คล้าย บางอย่างอาจจะตีกลับ บางอย่างอาจจะย้อนแย้ง เป็นฐานที่ลึกซึ้งขึ้นไปอีก ก็ต้องรู้ชั้นเชิงรู้ความจริงของมัน ถ้ามันขาดมันหลุดแล้ว มันก็จะเหมือนกันกับ เราหลุดจากโลกอบาย ใจมันว่างมันวางมันพ้น มันไม่มีภาระ มันหมดกิจ มันมีวิมุติ มันเย็นสนิท มันสุขุมอยู่ ไม่ต้องเกี่ยวข้อง มันก็หมดทุกข์หมดสุข ไม่ต้องโลภะไม่ต้องโทสะ และแม้ที่สุด เรื่องของสภาพจิตหยุดได้หมด ก็มาติดหยุด ขี้เกียจจะเกิดขึ้น กลายเป็นผู้ที่จะรักสงบ รักหยุด รักนิ่ง ไม่อยากทำอะไร ที่สุดอยากฆ่าตัวตายไปเลย ไม่ต้องการ ตายก็ได้ อยู่ในโลกนี้ก็เท่านั้น นั่นเรียกว่า เราไม่รู้ความจริงว่า สิ่งประเสริฐนั้น คือ คน
โลกสร้างคนขึ้นมาได้แล้ว โลกจะรู้จัก “คน” นี่แหละจะช่วยโลก เป็นยอดปัญญา เป็นยอดเครื่องกลเครื่องจักร เป็นของดีที่สุด มีทั้งการประมาณการประเมินค่า การรู้ความจริงชั้นเชิงของโลกได้สูงสุด เมื่อได้รู้แล้ว แล้วเราไม่ช่วยโลก กลับทำลายสิ่งที่เราได้รู้ ทำลายสูญหายไปเสีย ไม่เป็นประโยชน์ย้อนทวนมาให้แก่โลก โลกก็เลยไม่ต้องได้สร้างสิ่งที่ดีที่สุด มาให้แก่โลก เพราะฉะนั้น มนุษย์นั้นยังไม่ใช่มนุษย์ประเสริฐ ยังไม่ใช่มนุษย์ของโลก เป็นมนุษย์ปลอมๆ เป็นมนุษย์เห็นแก่ตัว พอมาได้รู้อะไรนิดหน่อย ก็ฆ่าตัวตายไปเสีย ทิ้งเสีย ไม่เป็นประโยชน์ให้แก่โลกได้ใช้ โลกจึงมีแค่เศษขยะ เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่มนุษย์ที่แท้ ยังไม่ใช่สิ่งประเสริฐของโลกที่แท้ มนุษย์จะเป็นสิ่งประเสริฐของโลกที่แท้ เราได้รับความว่าง ความเบา ความง่าย แล้วเราก็อยู่บนมันเหนือมัน อย่างแท้จริงแล้ว แล้วเราก็อนุโลมกับโลก ย้อนมารู้สมมุติให้กับโลกเขา แล้วก็ดึงเขาขึ้นมาตั้งฐาน ไล่เขาขึ้นมาเป็นชั้นเชิงขั้นตอน ให้เขาพยายามกระเถิบฐานะ ละวางด้วยอุบาย ด้วยปัญญาอันยอด จึงจะเรียกว่า เป็นสมบัติของโลก หรือว่าเป็นสิ่งประเสริฐของโลก ได้ช่วยชนเป็นอันมาก ช่วยสังคม ช่วยมนุษยชาติ ตัวเองนั้นแสนสบายแล้วก็เถอะ แล้วเราจะไม่สบาย มันเป็นเพียงสมมุติ
เมื่อยืนยันรู้สมมุติที่แท้จริงแล้ว ก็ไม่มีอะไรของใคร เราก็เป็นเพียงสมบัติสิ่งประเสริฐขึ้น ประเสริฐของโลกเท่านั้นเอง แล้วจะทำหน้าที่ให้แก่โลกไปถึงที่ตาย หรือถึงที่หมดกำลัง หมดแรงงานหมดพลัง และขาดธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลม จะแยกเป็นชิ้นสุดท้ายก็จะถึงวาระนั้น โลกสิ่งที่มันเป็นจริง นี่เรียกว่าเป็นผู้รู้ตามลำดับ เมื่อไล่เรียงจนถึงโลกอาตมัน โลกแห่งจิตซึ่งลึกซึ้ง มีอุปกิเลส มีสิ่งที่เราเรียกกันอยู่นี่ เราจะรู้ว่า เราลึกซึ้งขึ้น เราได้เข้าใจขึ้น และเราได้ปล่อยวางอัตตา ทำลายอนัตตาไปเรื่อยๆๆๆ ตามลำดับ แล้วเราจะถึงที่สุด จนรู้ที่จบ ว่าอย่างไรคือความปล่อยขาด อย่างไรคือความพอดี ที่เราอยู่กับโลกอย่างปรุง อยู่กับโลก เหมือนกับอยู่กลางเตาหลอมเหล็ก เราก็เป็นน้ำแข็ง เหมือนเราทำงาน เราก็ว่าง เหมือนเรามี แต่เราก็ไม่มี เหมือนเราไม่มีเลย และได้เลย ได้จริงๆ เป็นที่สุด.
*****