ฟ้าบ่กั้น ร่วมสร้างสรรคนประเสริฐ
พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
(แสดงพิเศษให้แก่นักเรียนสัมมาสิกขา ที่จบมัธยมศึกษาปีที่ ๖
๑๕ มีนาคม ๒๕๔๘ ที่พุทธสถานปฐมอโศก)
พวกเรานี่พึ่งจะอายุ กันแค่ ๑๐ ๒๐ ปี ถ้านักเรียนรุ่นน้องๆ ก็พึ่งจะไล่ๆกันมา อายุสิบกว่าปี ยังไม่ถึง ๒๐ ปีก็เยอะ ก็ล้วนแต่เป็นนักเรียนกันทั้งนั้น อาตมาผ่านอายุ วัยเหล่านี้มาแล้ว ก็เห็นคนที่อายุวัยเท่าพวกเรานี่ มามากแล้ว เพราะว่าอาตมาก็อายุ ๗๐ กว่าแล้ว เพราะงั้น ก็ได้พบได้เห็น โดยเฉพาะได้ศึกษา ไม่ใช่พบเห็นเฉยๆ พบเห็นแล้วก็ปล่อยชีวิต ไปตามโลกๆเขาก็ไม่ใช่ พบเห็นแล้วอาตมาก็ได้ศึกษา ได้วิจัย ได้พิจารณาตรวจสอบ เทียบเคียง หยั่งเข้าไปถึงสัจธรรม หรือว่าความจริง ที่เป็น ความจริงแท้ๆ อาตมามาทำงานทางด้านศาสนานี่ ก็ด้วยความเห็นจริง ความเห็น ความเข้าใจ ความรู้สึกซาบซึ้งในความจริงนั้น จริงๆว่า คนเรานี่เกิดมานี่ จะเอาอะไรนั่นน่ะ เกิดมาแล้วจะศึกษาอย่างไร ก่อนอื่น เราจะต้องพยายาม ตรวจสอบตัวเองเสียก่อนว่า เราจะเอาอะไร จะเอาไหม สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ แล้วก็เอามาประกาศต่อโลก ว่าเกิดมาเป็นคนนี่ ได้อะไร ก็ไม่ดีเท่าได้นิพพาน สุดยอดของมนุษย์นี่ ได้นิพพานเป็นสุดยอดแท้ๆ คำว่านิพพานนี่ จะสูงส่ง จะทำให้ชีวิตเรา พูดถึงนิพพานแล้วนี่ เป็นอย่างไร ก็ละไว้ก่อน ตอนนี้ก็คงไม่มีเวลา จะได้อธิบายความหมาย อะไรไปตอนนี้ แต่เราก็คงรู้กันแหละว่า นิพพานคือสิ่งอย่างไร ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ แล้วก็เอามาประกาศ ให้มนุษย์ฟัง ถ้าศรัทธา ศึกษาปฏิบัติตาม ได้รับเอานิพพานไปด้วย คนนั้นก็เดินทาง ตามที่พระบรมศาสดาเรา ผู้ตรัสรู้ สิ่งที่เกิดมาเป็นคนแล้ว ควรได้ดีที่สุด ในสิ่งสุดยอดของความเป็นมนุษย์ ที่ควรจะได้
พระพุทธเจ้าเรานี่ กว่าจะได้ประกาศสิ่งนี้ ไม่ได้ใช้เวลาชาติเดียว ศึกษาคนคว้า ไม่ได้ใช้เวลาสอง ชาติ ไม่ได้ใช้เวลาแค่สามชาติ ห้าชาติ ใช้เวลาหลายล้านชาติ แค่ที่พระองค์ ได้เกิดพบพระพุทธเจ้า ก็ตั้ง ๕ แสนกว่าพระองค์ ในช่วงที่ชีวิตของท่าน ที่ค้นคว้าศึกษา ที่พระองค์ได้ค้นคว้า ศึกษาความเป็นมนุษย์นี่ ว่ามันควรจะได้อะไรสูงสุด เป็นมนุษย์อย่างไร ที่เป็นมนุษย์ ที่ประเสริฐที่สุด ดีที่สุด ท่านก็ศึกษาสิ่งนี้มาตลอด ไม่ใช่น้อยๆชาติ อย่างที่กล่าวแล้ว เป็นล้านชาติ อย่างที่มีหลักฐานว่า ท่านเกิดมา ที่ได้พบพระพุทธเจ้า แต่ละองค์ๆนี่ตั้ง ๕ แสนกว่าพระองค์ และคิดดูซิว่า โลกเรานี่ กว่าจะเกิดพระพุทธเจ้า แต่ละองค์นี่ กินเวลากี่พันกี่หมื่นปี กว่าจะเกิดองค์หนึ่ง ไม่ใช่ธรรมดา ไม่ใช่พันปีเกิดองค์หนึ่ง ไม่ใช่หมื่นปีเท่านั้นเกิดองค์หนึ่ง พระพุทธเจ้าองค์นี้ อุบัติขึ้นมา ศาสนาจะยืนยาวไป ประมาณห้าพันปี แน่นอน
ห้าพันปีนี้ ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒ เกิด และกว่าจะว่างจากศาสนาพุทธ มีพุทธันดร ไปอีกนานหลายหมื่นปี อาตมาไม่รู้ตัวเลขจริง แต่นานหลายหมื่นปี เป็นแสน หลายแสนปี จะเป็นล้านปีก็ไม่รู้ได้ กว่าจะมีพระพุทธเจ้า เกิดมาอีกพระองค์หนึ่ง ที่บอกว่า พระศรีอาริยะเมตไตรย ที่จะมาเกิดต่อไปอีกนาน พระพุทธเจ้าถึงเกิด แต่ละองค์ๆ ไม่ใช่น้อยปี และพระพุทธเจ้า เกิดมาพบกับพระพุทธเจ้า ถึงห้าแสนพระองค์ และก็ศึกษาเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ศึกษาเรื่องความเป็นคน ทุกพระองค์ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ศึกษาเรื่องว่าเป็นคน เกิดมาแล้ว จะเป็นคนอย่างไร ที่จะบรรลุสุดยอด ลับที่สุดก็คือ บรรลุอรหันต์ ไม่ลับเต็มที่ที่สุดก็คือ บรรลุเป็น พระอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอย่างพระพุทธเจ้า ทุกพระองค์ นั่นหละ เป็นคนที่สุดยอดแห่งคน ได้รับความรู้ ได้รับความยิ่งใหญ่ ได้รับความไม่รู้ ในโลกนี้ จะมีความรู้ ความประเสริฐ ความดีที่สุด อะไรก็แล้วแต่ ในการที่จะเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา ในร่างมนุษย์นี่ ที่จะเป็นได้นี่ สุดยอดแห่งสุดยอดก็คือ พระพุทธเจ้า ซึ่งอาตมา ก็บำเพ็ญเพียรอยู่นี่ เป็นโพธิสัตว์บำเพ็ญเพียร เพื่อจะได้เป็นคนชนิดนั้น ที่อาตมาพูดนี่ เพราะอาตมาบำเพ็ญเพียร แล้วก็ผ่านสิ่งต่างๆนั้น มาชาติแล้วชาติเล่า ก็ไม่น้อย ก็ยังไม่เป็นพระโพธิสัตว์ ที่มาทำงานในปางนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องสั้นๆ มันยาว
อาตมามาทำงานศาสนานี้ เป็นการสืบทอด เป็นการมาทำงานโดยหน้าที่ ไม่มีเค้า อาตมาเกิดมา อายุ ๓๕ ๓๖ จึงออกมาทำงานศาสนา ไม่ได้มีเค้าว่า อาตมาจะมาทำงานศาสนา อายุเกิดมาเท่าๆ พวกเรานี่ เรียนจบอายุ ๒๐ กว่า ก็ไปทำงานทางโลกๆ แย่งลาภยศ สรรเสริญโลกียสุขอยู่ อย่างโลกๆ พยายามแสวงหา อย่างโลกเขาพาเป็น จีบผู้หญิง จะมีฟงมีแฟน ก็พาว่า จะต้องให้ไปกินเหล้า ก็ไปหัดกินเหล้า หัดจะเป็นจะตาย หัดกินเหล้า อาตมาหัดกินเบียร์ กินเบียร์ไม่เป็น ก็ไปหัดกินเบียร์ ซื้อเบียร์มาหัดกิน กว่าจะกินเป็น หัดสูบบุหรี่ หัดแทงบิลเลียด หัดเล่นไพ่ หัดโยนโบว์ลิ่ง ไปโยนได้สักห้าครั้งมั้ง อย่างมากไม่ไหว เจ็บหัวแม่โป้ง โยนโบว์ลิ่ง ไม่เอา ไม่ชอบ หัดเตะฟุตบอล หัดเต้นหัดรำ หัดร้อง หัดอย่างที่โลกๆเขาพาเป็นอะไร จะหาเงินได้มาก ก็ไปหา โลกเขาพยายาม เขาบอกอย่างงั้นแหละ อาตมาก็ไปตามเขาไม่เก่ง หัดอย่างโลกไม่เก่ง แทงบิลเลียดไม่เก่ง เล่นไพ่ก็เป็นหมูสนาม ไม่เก่ง จีบผู้หญิง ก็จีบไม่เก่ง จีบไม่เป็น จีบทำเป็นไก่แจ้ จีบดะ จีบก็ไม่เก่ง เพราะอะไร เพราะมันได้ลดละมานานแล้ว ชาตินี้เลยไม่เก่ง มันเลิกมาแล้วน่ะ มันเป็นบารมี แต่ก่อนนี้อาตมาไม่คิดอย่างนี้ อาตมาคิดแต่ว่า ทำไมเราถึงไม่เก่งนะ แหมมันฮึดต้องฝึก ต้องทำพยายามพากเพียร หัดให้มันเป็น จะเล่นไพ่ จะแทงบิลเลียด จะจีบผู้หญิงอะไร ต้องหัดฮึด เราเป็นผู้ชายนี่หว่า ทำไมมันไม่เหมือนเขา นี่คือความโง่ ความอวิชชาของโลก มันหลอกเรา เราก็หลงไปตามเขา อาตมาไม่รู้ตัวหรอกว่า อาตมาจะต้องมาทำงาน มาสืบทอดงานศาสนา ไม่รู้ตัว โลกมันมอมเมา มันครอบงำ อาตมาเรียกว่า เป็นลิงลมอมข้าวพอง อยู่ในขณะที่เมา โลกโลกีย์ มัน เหมือนเขาเล่นลิงลม
นี่เขาเอาคนมานอนมัดตา แล้วก็เขย่าๆให้เมา ใครเคยเล่นบ้างเคยไหม เด็กๆ สมัยนี้ ไม่เคยเล่น นี่นั่งเอาผ้าผูกตา แล้วก็นอนหลับ นอนหมอบลงไป แล้วก็ให้เขาเขย่าๆ แล้วก็ร้องเพลงอะไร จำไม่ได้แล้ว เขามีเขย่า คนเก่าๆ ใครเคยเล่นบ้าง โบราณๆ ลิงลมอมข้าวพอง ภาษาอีสานเขาเรียกอะไรไม่รู้ แต่ภาคกลางเขาเรียก ลิงลม อมข้าวพอง เขย่าให้เมา เมาแล้วก็ลุกขึ้นมาแล้วก็โงนเงนๆ แล้วก็ไล่จับคน เขาจับได้ก็ชนะ คนที่ถูกจับได้ก็ตาย ก็มาเป็นลิงลมอีกทีหนึ่ง แล้วก็ให้เขาเขย่าใหม่ แล้วก็ลุกขึ้นไปไล่จับเขา แล้วก็เมางัวเงียๆ ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไร ยังงั้นแหละ อาตมาไม่รู้จะใช้ภาษาอะไร ก็เรียกว่า อาตมาเกิดมาในโลกนี้ เหมือนมาเล่นเป็น ลิงลมอมข้าวพอง มาถูกโลกีย์เขามอมเมา เขย่าให้เราเมาไปตามโลก เออต้องล่าลาภ ล่ายศ ล่าสรรเสริญ เสพกาม เสพอัตตาอะไร ตามที่โลกเขามอมเมา เขาเป็นกัน เขาแย่งชิงกันอยู่ทั้งโลกน่ะ เป็นโลกีย์ เราก็งมงายไปกับเขา ชั่วระยะหนึ่ง จนถึงเวลาวาระ
อาตมาก็ค่อยๆหายเมา รู้สึกตัวว่า เอ๊ะ เราไม่ใช่นี่ เราไม่ใช่คนที่จะมาอยู่กับ โลกีย์เขาอย่างนี้ ที่จะต้องไปเที่ยวได้แย่ง ลาภยศเขาอย่างนั้น แล้วก็ไปหลงงมงายอย่างนั้น เราไม่ใช่ เมื่อค่อยมารู้ตัว แล้วค่อยมีเหตูการณ์ มีองค์ประกอบอะไร ก็ค่อยมาฝึกฟื้นตัวเองขึ้นมา ค่อยๆเรียนรู้ขึ้นมา อ๋อเราอยู่ในโลก ก็เรียนเอง ค้นคว้าเอง รู้เอง เห็นเอง อ๋อ..เราจะต้องมายังงี้ จนกระทั่ง อาตมาก็ค่อยๆ มาตาม คือมันเป็นวิบาก มันเป็นบารมี มันจะต้องเกิดมาเป็นยังงี้ มันจะต้องมีเหตุการณ์ ทำให้อาตมา ต้องมาตามเรื่องทางธรรม มาจับธรรมะ มาดูธรรมะ มาอะไรต่ออะไร มันก็ง่าย เพราะอาตมามีของเก่ามา ตั้งแต่โบราณ ชาตินี้ไม่ได้เรียน อาตมาไม่ได้เข้าไปศึกษา เล่าเรียนวิชาธรรมะ ของเก่าทั้งสิ้น พอรู้ตัว ค่อยๆจับไอ้นี่ คลำไอ้นี่ ดูจากว่า เออ ศาสนาเป็นยังไง เรามันคนพุทธ ศาสนาพุทธเป็นยังไง ก็จับก็คลำก็ดูมันก็ง่าย มันก็รู้ เอ๊ะ เราก็เลิกก็ละ มันก็ง่าย เพราะมันเคยเลิกมาแล้ว บารมี มันมีบารมีเก่า เป็นสิ่งที่อาตมาได้ทำมาแล้ว เป็นวิบากเก่า เป็นกุศลวิบากเดิม แห่งความเป็นโพธิสัตว์ ที่ได้เรียนรู้ ลดละมา ตั้งแต่ปางก่อนๆๆแล้ว ชาติก่อนๆ ได้มาแล้ว ชาตินี้ไม่ได้มาฝึกเอาชาตินี้ไม่ได้มาเรียนมารู้อะไร เป็นแต่เพียง มาต่อภพต่อภูมิ โพธิสัตวภูมิ ของอาตมาเองเท่านั้น
จนกระทั่งออกมา ก็รู้แล้วก็ไม่ยาก ปฏิบัติแล้วก็เลิกจากโลก มาเสียเวลาอยู่กับโลก ที่เป็นลิงลมอมข้าวพอง อยู่ถึงสามสิบห้า สามสิบหกปี แล้วก็ออกมารับหน้าที่ ถึงค่อยมารู้ตัว อย่างชัดเจน มาเข้าใจว่าโอ๋ ..เราคือ โพธิสัตว์รูปหนึ่ง ที่พากเพียรบำเพ็ญอยู่ จะต้องมาทำงาน ปางนี้ จะต้องมารับผิดชอบ จะต้องมาทำงานอันนี้ จึงได้รู้ตัว แล้วก็ตั้งใจทำงาน ตั้งแต่บัดที่รู้ตัวโน้น จนกระทั่งถึงวันนี้ ไม่เคยได้ท้อแท้ ไม่เคยได้ท้อถอย เหน็ดเหนื่อยสาหัส ขอบอกอีกครั้งหนึ่งว่า มาทำงานศาสนา ในยุคนี้นี่ เหน็ดเหนื่อยสาหัส ใครไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ถ้าอาตมาไปหาเงิน แข่งกันกับโลกๆเขา ทำมาหากินอย่างโลกๆเขา อาตมาไม่เหนื่อยขนาดนี้หรอก ไม่ต้องอดทน ขนาดนี้หรอก ไม่ลำบากลำบนขนาดนี้ อาตมาเชื่อแน่ว่า ไม่ลำบากขนาดนี้ นี่ลำบากลำบน ต้องใช้ความสามารถ ต้องใช้ความรู้ เพื่อที่จะประคับประคอง และนอกจาก ประคับประคองพวกเราแล้ว ยังจะต้องพยายามเอาตัวรอด รอดพ้นจากพวกที่ต่อต้าน พวกที่เขาไม่เห็นด้วย พวกโลกีย์น่ะ พวกคนโลกๆ ปุถุชนคนโลกๆน่ะ ซึ่งมีอยู่จำนวนมากคน ที่เป็นโลกีย์ เป็นปุถุชนมาก
โลกุตระมาอีกทางหนึ่ง มันเหมือนกับทวนสวนกระแสกัน ที่จริงไม่เหมือนหรอก มันสวนกระแสกัน แต่ว่าโลกุตระนี่ มันไม่ได้ไปทำร้าย โลกียะเขา คนโลกียะนี่เขาเอา ใช่ไหม เราโลกุตระนี่เราให้ มันไม่ได้ทะเลาะกัน โลกียะเองน่ะเขาทะเลาะกัน โลกียะเองน่ะ ต่างคนก็ต่างจะเอา เขาถึงแย่งกัน แล้วเขาก็ใช้เล่ห์ใช้เหลี่ยม ตีรันฟันแทง ฆ่าแกงกัน อย่างโลกุตระนี่ เราไม่ได้ไปแย่งเขา เขาจะเอาก็เอา เราก็มีเท่าไหร่ก็ให้ เท่าที่เราอยู่รอด เราไม่ได้มาเอา เราไม่ได้มาสะสม เพราะฉะนั้น เราไม่ได้เป็นศัตรูกับทางโลกียะ แต่แนวคิดมันต่างกัน เราพูดไป เขาจะไม่เอาอย่างนี้ เราจะต้องมาจน จะต้องมาลดมาละ เขาจะต้องโลภ เขาจะต้องเอาสิ่งเหล่านี้ นี่เป็นภาวะต้านหนัก ไอ้หนักต้านธรรมดา ไม่เท่าไหร่ หนักต้าน ผู้ที่มีความคิดทางศาสนาเหมือนกัน แต่เพี้ยนไปแล้ว และเขาก็คุมความรู้ที่ว่านี่แหละ ถูกต้อง แต่แท้จริงมันไม่ถูก อาตมาว่าอันนี้ถูก พออาตมาเอาอันนี้มาประกาศ เขาก็หาว่า อาตมานี่ผิด อาตมาจะมาทำลายศาสนา อันนี้แหละหนักยิ่งกว่า อันนี้แหละ หนักหนักมาก จนทุกวันนี้ ก็ยังอยู่อย่างอีแร้ง ไม่ได้ผงาด ไม่ได้ต้องมาเที่ยวได้แหม ต้องมาอยู่ในเมืองในกรุง คนเอามาเลี้ยงดูชูช่อ เหมือนกับหงส์ เหมือนกับนกตัวสวย ไม่เลย อีแร้งไม่มีใครเขาเอาเข้ามาเลี้ยง มีแต่เจอที่ไหน เขาก็วิ่งหนีที่นั่น หรือไม่ก็ เอาก้อนหินไล่ขว้างเอา นั่งอยู่นี่คงไม่เคยเจออีแร้ง ไหนใครเคยเจอบ้าง เด็กๆ นี่ถามเด็กๆ ใครเคยเจออีแร้งบ้าง มีไหม ไม่มี แล้วอีแร้งนี่ เป็นสัตว์ที่กินสัตว์ตาย กินสัตว์เน่า เป็นสัตว์ที่เก็บซากศพให้แก่โลก จะซากศพสัตว์ ซากศพคนอะไร ก็แล้วแต่ เขากินจะไม่ไปฆ่าสัตว์ใด อีแร้งจะกินสัตว์ตายแล้วเท่านั้น และก็ไม่แย่งสัตว์อื่นด้วย อย่างเสือมันไปฆ่าสัตว์มา แล้วมันก็กิน อีแร้งก็ไม่แย่ง คอยจนกว่า เสือมันจะไม่กิน มันหนีไปแล้วทิ้ง อีแร้งถึงจะมาลงกิน จะไม่แย่งสัตว์อื่นใด เป็นสัตว์ที่สงบ เป็นสัตว์ที่สมถะ ไม่รุกรานใคร ไม่ทำร้ายใคร แข็งแรง ปีกกว้าง ยาวหลายเมตร ไม่ใช่เมตรเดียว เมตรกว่า เขาเคยมีตัวที่ยาวใหญ่มาก กางปีก ๒ ปีกนี่ ร่วมจะสองเมตร บินสูงที่สุด ในจำนวนนกทั้งหลาย อาตมาตอนนี้ เลยเอาอีแร้ง มาเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวไป เกิดมาชาตินี้ เป็นอีแร้งอย่างนั้นหละ แล้วก็ทำงานศาสนาสืบทอดมา ด้วยหนัก ด้วยเหน็ด ด้วยเหนื่อย สาหัส ไม่ใช่เบา พวกเราก็รู้ แล้วอาตมาก็ตั้งใจทำ
จนกระทั่งทุกวันนี้ ก็ถือว่า เป็นความสำเร็จพอสมควร เพราะว่าได้ตั้ง ทั้งโรงเรียน คือเป็นแหล่งที่จะต้องรวบรวม เพราะว่าศาสนาพุทธนั้น ไม่ส่งเสริมการสร้างคน คือไม่ส่งเสริม การแต่งงาน นั่นเอง แต่พวกเรานี่ เป็นลูก ที่เกิดมาจาก ทางโลกนอกๆ เขา ที่จะต้องเป็นธรรมชาติ ต้องมีคนเกิดเป็นธรรมชาติ พวกเรานี่ ทางโน้น แต่ทางศาสนาแล้ว พยายามลดน้อย ไม่ให้เกิดมาก เพราะฉะนั้น พลเมืองของ ทางผู้ที่มาปฏิบัติธรรม ของพุทธแล้วนี่ พลเมืองเอง ของชาวพุทธแท้ๆ ที่อยู่ในระดับอาริยะจะน้อย เพราะมาลด กิเลสกาม จนสุดท้าย ลดกิเลสได้ ก็ไม่ต้องแต่งงาน เมื่อไม่ต้องแต่งงาน ก็ไม่ต้องมีลูกมีเต้า เพราะฉะนั้น การเกิดเอง ก็จะน้อย ก็เลยต้องไปคัดมาจาก ลูกของคนข้างนอก เอามาศึกษา มาให้เรียนรู้ สืบทอดศาสนาที่สุดวิเศษ ศาสนาพุทธนี้ อย่างที่ได้ทำมาตอนนี้ ก็แม้แต่ปฐมอโศกนี่ ก็จะค่อยๆมีระดับ ชั้นประถมต่อไป แต่ตอนนี้ ก็ยังไม่พร้อมเท่าไหร่ ก็ค่อยๆไปตามธรรมชาตินะ เราก็ไม่รีบร้อนอะไร มันจะเป็นไปตามลำดับ ก็มีชั้นประถม เติมมาเรื่อยๆ จนกว่ามันจะเป็นรูปร่าง ประถมที่ศีรษะอโศก ที่ราชธานีอโศกนั้น เขาก็ได้เป็นรูปเป็นร่าง แล้วเป็นโรงเรียนระดับประถม จดทะเบียนครบครัน แต่ที่นี่ยังไม่พร้อม ก็ไม่เป็นไร แต่มันจะต้องมี เพราะว่า มันจะต้องค่อยๆเขยิบ ขยับขยายคณะ ขยายกลุ่มหมู่ ไปเรื่อยๆ
การทำงานนี้ ทำงานอย่างตั้งใจ อย่างเต็มใจ ไม่ได้ทำงานเพื่อที่จะมาเป็นอาชีพหาเงิน หาลาภยศสรรเสริญ เอามาไว้เสพสุข เสพโลกีย์ เสพอัตตา เสพกามอะไร ต่ออะไรไป อย่างโลกเขาทำ ไม่ใช่ ทำงานเพื่อสร้างคน ทำงานเพื่อให้คนนี่ ได้รับความดีงาม ได้รับความประเสริฐ เอามาสอนนี่ เอามาอบรม อาศัยระบบของโลกเขา มาเป็นนักเรียน ตามระบบของโลกอาศัย และเราก็ให้การศึกษาแบบโลกเขาด้วย คือ ชาญวิชา ส่วนนอกนั้น คือเรื่องที่อาตมาเติมมา ศีลเด่น เป็นงาน นี่เติมมา เพื่อที่จะให้เรามีศีลเด่น หรือ มีวิชาของพระพุทธเจ้า เป็นงานก็คือ สิ่งที่อาตมาเห็นว่า การศึกษาของโลก ขณะนี่มันขาด เรียนมาแล้ว จบประถม จบม.๖ ทำงานอะไรไม่ได้เลย ช่วยอะไรก็ไม่ได้ จบปริญญาตรี ยังช่วยอะไร ไม่ค่อยได้เลยเดี๋ยวนี้ ถ้าจะว่าไปแล้ว แม้แต่จบดอกเตอร์ ปริญญาเอกมา ก็เท่านั้นแหละ ทำงานก็อย่างที่มันเป็นน่ะ ซึ่งช่วยตัวเอง หรือว่าทำให้เกิดกลุ่มหมู่ ที่พึ่งตัวเองรอด ไม่ค่อยได้ ได้อย่างดีก็รักษาตัวรอด เอาตัวให้รอดอย่างเดียว ตัวเองรวยอย่างเดียว ตัวเองได้มากอย่างเดียว มันเลยกลายเป็น การศึกษาที่เห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง สังคมต้องล้มเหลว ด้วยการศึกษาแบบนั้น ล้มเหลวแน่ๆ ด้วยสัจจะความจริง ใครจะมีปัญญาเข้าใจ ไม่เข้าใจอย่างไร ก็ฟังไปก็แล้วกัน
เพราะงั้น อาตมาเห็นว่า ความล้มเหลวของการศึกษานั้น มันล้มเหลวอย่างจริง ก็เลยต้องตั้งใจทำมา จนถึงทุกวันนี้ ๑๐ กว่าปี เราก็ผลิตคนออกไป แต่ผลิตออกไปแล้วทุกปี ก็ได้พูดถึงประเด็นว่า เอ้อจบแล้ว ก็ควรจะอยู่ที่นี่นะ ไม่ควรจะออกไปข้างนอก ก็พูดกันแล้วพูดกันเล่า อาตมาก็จะไม่พูดวันนี้ เพราะพวกเรารู้กันดีแล้ว ใครจะอยู่ก็อยู่ ใครจะไม่อยู่ก็แล้วแต่เถอะ จะไปพูดโดยภาษาอย่างไร ก็แล้วแต่ พูดภาษาเชิง ประชดประชัน พูดโดยภาษา อ้อนวอน ร้องขอ หรือว่าเป็นภาษา กระแทกแดกดันอะไร ก็ตามใจ มันก็เท่านั้นแหละ
แต่โดยสัจจะความจริงแล้วนี่ อาตมาขอบอกให้พวกเรารู้ ในฐานะที่อาตมาเป็นโพธิสัตว์ เป็นผู้ที่รู้ว่า คนคืออะไร เกิดมาทำไม จะเอาอะไร สิ่งประเสริฐสุดยอด คืออะไร สิ่งเหล่านี้ อาตมาว่า อาตมาชัดเจน แน่ใจที่สุดว่า คนควรจะได้สิ่งนี้แหละ ตามพระพุทธเจ้านี่แหละ และวิธีปฏิบัติ วิธีจะศึกษา วิธีที่จะอบรมตน ให้ได้สมบัติอันนี้ก็พร้อม อาตมาก็ว่า อาตมารู้ และก็เอามาเปิดเผย เอามาสั่งสอน เอามาให้พวกเราปฏิบัติพิสูจน์กันอยู่นี่ และก็มีผลได้ มีคนได้ มีคนที่ได้แล้ว คนที่อายุมากกว่าเรา ก็เข้ามาอยู่ที่นี่ ถอนรากถอนโคน ถอนบ้านเรือนจากข้างนอก เข้ามาอยู่ในนี้เพิ่มขึ้นๆ อยู่แล้วตอนนี้ และอาตมามั่นใจ ว่าจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะคนที่มาเป็นคนชาวอโศกนี้ เป็นคนที่ไม่ได้เบียดเบียนโลก ขอยืนยันว่าเป็นคนดี เป็นคนประเสริฐ เป็นคนไม่ได้เบียดเบียนอะไรใครเลย คำว่าเบียดเบียนนี่ ลึกซึ้งมาก พรุ่งนี้อาตมาจะเทศน์ เรื่องการเบียดเบียน เบียดเบียนตน เบียดเบียนผู้อื่น พรุ่งนี้เช้าทำวัตรเช้า ใครอยากจะฟังก็มาฟัง เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก อาตมาจะเอาเหตุการณ์จริง ของปฐมอโศกนี่แหละ เกิดกรณีที่อยู่ร่วมกัน แล้วก็เบียดเบียนตน เบียดเบียนท่าน ก็เลยเกิดเรื่องราวขึ้นมา แม้แต่เด็กนักเรียน ต้องลาออกไปมาก ก็เพราะพวกเรา เบียดเบียนตน เบียดเบียนผู้อื่น ก็เกิดการไม่สงบ เกิดการไม่สบายใจ เกิดการรวมกันไม่ได้ แม้แต่พวกเราทำงานกัน ก็จะไม่เอาแล้ว จะล้าแล้ว จะเลิกแล้ว จะไม่อะไรแล้ว ก็เพราะเราไม่รู้ตัว เราเบียดเบียนตน เบียดเบียนผู้อื่น เบียดเบียนตน ก็คือ มันไม่รู้ แล้วมันก็ทำลายตัวเอง สร้างอัตตาให้แก่ตัวเอง เบียดเบียนตนนี่คือ การสร้างอัตตาให้แก่ตัวเอง เบียดเบียนผู้อื่นก็คือ ทำให้ผู้อื่นเขาเดือดร้อน และเกิดความไม่สงบ ไม่อบอุ่น นั่นคือการเบียดเบียนผู้อื่น
ถ้าไม่เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ มันก็จะเกิดปัญหา แล้วก็จะเกิดกรณีอย่างนี้เรื่อยไป ทำงานอย่างนี้ยาก เพราะว่า เราไม่ได้ทำอย่างใช้อามิสล่อ เอาลาภมาให้ คนในโลกนี้ มาทำงาน แล้วก็ได้ลาภมา เขาก็พอใจชื่นใจ ได้ลาภมา แล้วก็เอาไปซื้ออยู่ซื้อกิน ได้ยศได้ชั้น ได้สรรเสริญเยินยอ เสพกาม เสพอัตตาไป แล้วก็ตายจากไป อายุ ๕๐ ๖๐ ๗๐ ๘๐ ต่อให้ ๑๐๐ปีก็ตาม ตายไปก็เท่านั้น วนเวียนอยู่อย่างนี้ นี่คือคนโลกีย์ธรรมดาสามัญ แต่พระพุทธเจ้านั้น ตรัสรู้มาว่า โอ๊ะ มันสุดยอดกว่านี้ คนดีกว่าโลกียะสามัญ เป็นโลกุตระนั้น มีจริงๆ พระพุทธเจ้าได้ศึกษาค้นคว้าจนพบ อย่างที่กล่าวแล้วแต่ต้น ว่าท่านใช้เวลาศึกษา ไม่ใช่น้อยๆปี ไม่ใช่น้อยๆชาติ จนได้สิ่งนี้ แล้วเอามาประกาศ เพราะงั้น เมื่อเอามาให้แล้ว พวกเราได้รับแล้ว อย่างน้อย ผู้ที่เรียนอยู่ที่นี่ถึง ๖ ปี อาตมาว่าเป็นผู้ที่มีกำไร มีบุญพอสมควร เพราะงั้น ผู้ที่มีบุญจริงๆ บุญแปลว่าการชำระกิเลส ผู้ที่มีบุญจริงๆก็คือ ได้ชำระกิเลสของตัวเอง ใครที่ชำระกิเลสของตัวเอง ก็จะเกิดปัญญา ปัญญาคือ ฉลาดรู้ความจริงที่ลึกซึ้ง รู้ว่า อ๋อชีวิตคน ควรจะอยู่อย่างไร ควรจะอยู่กับกลุ่มไหน มิตรดีสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี มันคนกลุ่มไหน พอเข้าใจไหม คนกลุ่มไหน พอเข้าใจไหม คน (เข้าใจ) กลุ่มไหน ตอบว่า ชาวอโศกก็ได้ พวกที่มีธรรมะที่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้นี่แหละ ผู้ที่มีธรรมะ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นี่มีธรรมะ ไม่ใช่มีตำราท่องเฉยๆนะ ไม่ใช่มีแค่ไปท่องตำรา มาได้แล้วก็รู้ แต่มีโดยเอามาปฏิบัติ ลดละกิเลส ลดละพฤติกรรมของตน เป็นคนมักน้อยสันโดษ เป็นคนวรรณะ ๙ เป็นคนเลี้ยงง่าย บำรุงง่าย ไม่เรื่องมาก ไม่เรื่องยาก กินง่ายอยู่ง่าย จิตใจไม่ติดไม่ยึดไม่มีอุปาทาน ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ไม่มีความเห็นแก่ตัว ไม่ถือตัวถือตนอะไร ก็อยู่กับหมู่กันได้ อย่างเข้าใจ แล้วก็พยายามปรับตัว อยู่กับหมู่ให้ได้ ประสมประสาน ไม่เป็นตัวปัญหา อยู่กันอย่างช่วยกันรังสรรค์ อยู่กันอย่างอบอุ่นสงบ
พวกเรานี่ ไม่มีเงินทอง เอามาบำเรอ เอามาล่อ เอามาให้เป็นรางวัล หรือว่าเป็นรายได้ เป็นสิ่งล่อให้เรา ไม่ได้เอายศศักดิ์มาล่อ ไม่ได้เอาสรรเสริญ เยินยอมาล่อ ไม่ได้เอากาม รูปรส กลิ่น เสียง สัมผัส รูปสวย กลิ่นหอม เสียงเพราะ อะไรต่างๆนานา ไม่ได้เอามาเป็นเครื่องล่อ บำบัดกิเลส บำบัดใจ ไม่ได้เอาสิ่งนี้มาบำบัด เพราะฉะนั้น พวกเราจะมีภาวะ เพราะเราเป็นปุถุชน เพราะเราเป็นคนโลกๆ เพราะฉะนั้น เรามีกิเลสอยู่ในตัว เมื่อไม่ได้บำบัดกิเลสพวกนี้ มันก็ฝืนกดดัน ขนาดมีการฝืนการกดดันนี่แหละ แล้วก็อยู่กับพวกเรา ศึกษาฝึกฝนไป เป็นเวลาถึง ๖ ปี พวกเรา ก็ได้รับการกดดัน แน่นอน ๖ปี แต่แม้จะกดดัน ๖ ปี พวกเราก็ทนได้ อยู่รอดมาได้จนจบ ไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆหรอก คนที่อยู่ได้นี่ ไม่ใช่ธรรมดา รอดมาได้ถึง ๖ ปีนี่ เรื่องพิสูจน์ อย่างสำคัญทีเดียว ในโลกข้างนอกไม่มีอะไรมากหรอก อาตมาผ่านชีวิตมา จนอายุ ๗๐ ปีแล้ว ทั้งที่ตัวเองผ่าน ทั้งที่เห็นอยู่ตลอดเวลา เขาก็ทำกันอยู่ๆ ตลอดเวลา เห็น ไม่ได้หลับหูหลับตาอะไร ไม่ได้หูบอดตาหนวก ถ้าหูหนวกตาบอดนี่ มันก็ยังพอแก้นะ ยังรักษาพอได้ ถ้าหูนี่มันบอด ตามันหนวก แล้วนี่นะ แก้ไม่ได้ ไม่มีทางแก้ เหมือนยังกับเรา เข็นครกขึ้นเขานี่ มันยังพออาศัย อย่างอาจจะเข็นกลิ้งขึ้นไปได้ซักหน่อย ถ้าเข็นเขา ขึ้นครกนี่ แล้วก็เลิกเลย เหมือนกันแหละ ใช่ไหม มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย ถ้าหูบอดตาหนวกด้วย มันไม่ได้แก้ไขอะไรกันแล้ว อาตมา เป็นคน ไม่ใช่หูบอดตาหนวก ไม่ใช่หูหนวกตาบอด ก็หูเปิดตาเปิดรู้กับเขาทั้งหมด อะไรคืออะไรก็เข้าใจ และอาตมามั่นใจด้วยว่า อาตมาเข้าใจดี เข้าใจด้วยโลกๆ เขาน่ะ หลอกล่อกันยังไง ใช้กลเม็ดกลยุทธ์กัน อะไรต่ออะไรกัน มากมายอย่างไร รู้ ก็เอามาเปิดเผย เพื่อให้พวกเราฟังบ้าง แต่พวกเรา ก็ฟังไปก็ฟัง เออ อยากไปเป็นอย่างเขา นั่นก็คือ เรายังไม่ได้ล้างกิเลส จากจิตของเรา คนเรามีกิเลสในจิตทั้งนั้น เพราะฉะนั้น
เราจะเกิดไปอีก กี่ชาติๆๆ ก็ตาม เป็นคนนี่ ถ้าไม่ได้รับการเรียนรู้ ฝึกฝนตน จนมาเป็นอาริยะบุคคล มาเป็นโลกุตระบุคคล ตามที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ ว่าคนควรจะมาได้วิชชานี้ ควรจะมาเป็นโลกุตระบุคคลนี้ ถ้าเราตราบที่เรายังไม่มีปัญญาพอ ยังไม่ศรัทธาพอ คนนั้นก็จะต้องไปเป็นเหยื่อของโลกเขา อยู่ตลอดเวลา ไปเป็นเหยื่อ ยืนยันว่าเป็นเหยื่อ ต่างคนต่างเป็นเหยื่อกันและกัน อยู่ในโลก สมบัติผลัดกันชม ของชาวโลก ของชาวโลก ชาติแล้วชาติเล่า หมุนเวียน เป็นหนี้เป็นสิน ทรมาทรกรรม กันอยู่อย่างนั้นแหละ แบบโลกๆ ไม่รู้จบหรอก หมุนเวียนไป คนนั้นก็ทีคนนั้น คนนี้ก็ถึงทีคนนี้ พอทีคนนี้ถึงคนนี้ใช้หนี้ อีกคนหนึ่งก็ได้เปรียบ คนได้เปรียบถึงวาระที่จะใช้หนี้ ก็ต้องกลับไปถูกเขาข่มเหง รังแกเอาเปรียบเอารัด หมุนเวียนกันอยู่แค่นั้นแหละ เพราะงั้น ถ้าเผื่อว่า ไม่เรียนรู้ กิเลสเป็นตัว บังคับให้เขาเป็น แล้วก็มาเรียนรู้วิธีลดละกิเลส คนก็จะไม่หมดกิเลส ก็จะเป็นอยู่อย่างนั้น ตลอดกาลนาน หมุนเวียน อยู่ในวัฏฏะสงสาร เป็นอย่างนั้น ผู้ใดที่มาเรียนอย่างนี้ แล้วลดละกิเลส แล้วไม่ต้องไปหมุนเวียน เป็นผู้ต้องใช้หนี้ ใช้เวรอะไรเขาแล้ว เราก็หมดวิบาก หมดวิบาก ที่จะต้อง อยู่ในวงจร ที่เขาจะต้องไปเป็นหนี้กัน หมุนเวียน แก้แค้นกันไป แก้แค้นกันมา อยู่ตลอดเวลา เลิกมัน ตัดวงจรของโลกีย์เขา เพราะว่า อยู่ในกุตระ มีแต่มาช่วยมนุษยโลก คนที่หลุดพ้นมาได้เรื่อยๆ เป็นคนที่ไม่เบียดเบียนโลก แล้วก็เป็นคนที่จะช่วยโลก เรียกว่า โลกานุกัมปายะ หรือ โลกานุกัมปา เป็นผู้อนุเคราะห์โลก เป็นผู้ช่วยโลกเท่านั้น หรือ พหุชนหิตายะ เป็นผู้ที่มาทำประโยชน์ ให้แก่โลกเขาไป ไม่ได้เบียดเบียนระบบทุนนิยม ระบบโลกีย์นี่ เป็นระบบที่เบียดเบียนโลกทั้งนั้น เอาเปรียบเอารัดโลก ทั้งนั้นแหละ เป็นบาปโดยสัจธรรม โดยจริงมันเป็นบาป มันไม่ได้เป็นบุญเลย ได้เงินได้ทองมามากๆ โอ้โฮ…บุญมีบุญจริงๆ ไม่ใช่ไปคิดหาวิธีเอาเปรียบเอารัดเขา แล้วก็ได้มาเป็นล้าน หลายล้าน สิบล้าน หลายร้อยล้าน กอบโกยมหาศาล โอ้โฮ คนนี้มีบุญจัง ไม่ใช่ คนนี้หอบบาป เข้าใจไหม ที่อาตมาพูดให้ฟังนี่ เข้าใจไหม
เรียนมา ๖ ปี ฟังกำไรขาดทุน อย่างอารยชน หรือว่าเข้าใจว่าบุญนิยม มันคืออะไรไม่ได้ โดยความหมายแค่นี้นี่ อาตมาถามเมื่อกี๊นี่ ตอบไม่ได้นี่ ไม่น่าจะให้ ม.๖ เดี๋ยวเอากลดคืนเลย ถ้าตอบแค่นี้ไม่ได้ ๖ ปีนี่ มันควรจะเข้าใจได้แล้ว มันเป็นบาป ไม่ใช่บุญหรอก แต่โลกเขาไม่รู้ เขาหลงใหลได้ปลื้มกัน เขาบอก โอ้โฮ…คนนี้รวย หมื่นล้าน ๕ หมื่นล้าน โอ้โฮ คนนี้มีบุญจริงเลย ดูซินี่หรูหราฟู่ฟ่า มีทรัพย์สินเงินทอง บ้านหลายหลัง เป็นคฤหาสน์ มากมาย มีเพชร มีทอง มีอะไรต่ออะไรมาก ไปไหนคนก็เคารพยำเกรง ชี้ใช้อะไรต่ออะไร ต่างๆนานานี่ โลกีย์เขาต้องเป็นอย่างนั้น เขาไม่รู้หรอกว่า เขาเอง เขาสั่งสม หนี้บาปไว้เท่าไหร่ และจะต้องไปเวียนวนอยู่ใน วัฏฏะสงสาร ใช้หนี้บาป อีกเท่าไหร่ เขาไม่รู้สัจธรรม พระพุทธเจ้าท่านค้นพบนี่ มันไม่ใช่เรื่องตื้นเขิน เรื่องลึกซึ้ง สุดยอด เพราะงั้น
อาตมาพามาทำนี่ มาทำอย่างเดินทางเข้าไปสู่ ทางตรงของพระพุทธเจ้าเลย เพราะฉะนั้น มันจะเข้ม มาอยู่ในท่ามกลางสนามของโลกีย์ สนามของกิเลสโลกีย์นี่ มากมายเหลือเกิน อาตมาพามาทำกันนี่ มาอยู่ในท่ามกลาง ไม่ได้ออกไปอยู่ในป่าเขาถ้ำ หลบหลีกลี้ที่ไหน นี่มันยัง กระทบไหล่กันอยู่ กับโลกีย์เขา ใช่ไหม ทางโลกเขานั่น พวกเราบางที ก็ยังไปสังสรรค์ ร่วมงานกับเขา นักเรียนเรานี่ ยังไปนุ่งกางเกงขาก๊วย นุ่งผ้าซิ่น ยังงี้แหละ ยังงี้แหละ ยังไปเดินชนกับเขา ไม่ใส่รองเท้า ไปชนกับนักเรียนข้างนอกเขา ตั้งเป็นกลุ่มเป็นอะไรต่ออะไร มีแต่โรงเรียน สัมมาสิกขา เท่านั้นแหละ มียูนิฟอร์ม เครื่องแบบนักเรียนแบบนี้ ก็ไปชนไหล่กับเขา รู้กับเขา เขาจะมีอะไร เป็นอะไร เราก็ไม่ได้หมายความว่า เราเป็นคนปิดหูปิดตา เป็นคนป่าเถื่อน ไม่ใช่ เราเป็นคนทันสมัย เป็นคนอยู่กับโลกสมัยเขานี่ รู้ทุกอย่าง แต่เราก็ไม่ได้ไปด้อยอะไรกับเขา ในฐานะอย่างเขา จริง เราไม่มีเพชรมีพลอยอะไร มากมายเหมือนเขา ไม่หรูหราฟู่ฟ่า เหมือนอย่างเขา ไอ้แบบโลกๆน่ะ เราก็ไม่ได้ริษยา อะไรเขา เขามีเขาก็มีไป เรามันไร้ค่าด้วยซ้ำไป
ถ้าจะว่า จริงๆ อาตมาก็เคยอธิบายมา ไม่รู้กี่ครั้ง เพชรนี่เราไม่มีเลย เราไม่ได้เพชรเลย ซักเม็ดนี่ ตลอดชีวิตจนตาย เราก็ประเสริฐได้ เราก็เป็นคนมีคุณค่า มีคุณงามความดี เป็นคนมีประโยชน์ ต่อโลกต่อสังคมเขาได้ ไม่ต้องมีเพชร ซักเม็ดเลย ตลอดทั้งชาตินี่ก็ได้ เพราะมันไม่ใช่สาระอะไร คนมาโฆษณา ป่าวประกาศ จริง มันเป็นวัตถุ ที่น้อยในโลก หายาก คนเขาก็จับประเด็นนี้แหละมา มันหายากนะนี่ เพชรเม็ดสวยขนาดนี้นี่ ในโลก ทั้งโลกนี่ ขุดมาแล้วนี่ เป็นหินเป็นอะไร มันจับตัวมัน มันสังเคราะห์ตัวมัน เป็นเม็ดเพชรนี่หายาก และก็มันไม่มีประโยชน์อะไร มันก็ไอ้แค่หายาก เท่านั้นเอง เราก็เอามาทำเป็น ตีราคาแพงๆ ใครได้ไป โอ้โฮ โก้ นี่ฉันมีของหายากนะ ในโลกนี้มีเม็ดเดียวในโลก ราคาหมื่นล้าน และจะเอาไปทำไม ต้องไปหาเงินมา ตั้งหมื่นล้าน มาซื้อเพชรเม็ดหนึ่ง และเอามาทำไม ข้ามีคำเดียว แล้วจะตายจากมันไหม (ตาย) แล้วเอาเพชรเม็ดนั้นไปด้วยได้ไหม (ไม่) เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า อยู่อย่างนั้นแหละ นี่ก็หลงอยู่แค่นั้น ไม่มีค่าอะไรเลย มีแต่มอมเมาโลก เพราะงั้น คนรู้ทันแล้ว ไม่ต้องไปเที่ยวได้หลงใหล เสียเวลา เสียแรงงาน ไม่ต้องไปเสียเงินทอง ทุนรอนอะไร กับมันเลย เพราะงั้น ชาวอโศกเรานี่ ไม่ต้องไปมีหรอก จะเอามาใช้สำหรับ มาสะท้อนแสง มาทำประโยชน์บ้าง เล็กๆน้อยๆ ก็ทำไป ไม่มีเลยก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร ทำงานได้ ทำความประเสริฐได้ อย่างนี้เป็นต้น ยกตัวอย่างง่ายๆ อันอื่น ก็ทั้งนั้นๆ แม้แต่ธนบัตร เงินนี่ก็เหมือนกัน เราก็ใช้เป็นวัตถุที่แลกเปลี่ยนวัตถุที่เหมือนกับบัญชี จดน่ะ เหมือนกับการ์ดจด เอ้อนี่คุณ ยังเป็นหนี้เราอยู่เท่านี้ เราเป็นอยู่เท่านี้ มันพัฒนามาจากตั๋วแลกเงิน ธนบัตรนี่ เอาละ อาตมาไม่พูดถึง ประวัติอันนี้ ยาวยืดไป ค้นคว้าเอง มันพัฒนามาจากตั๋วแลกเงิน แล้วก็จนกระทั่ง มาทำเป็นธนบัตรเลย ไม่ต้องไปเป็นตั๋ว เป็นสากลเลย เปลี่ยนมือไป ใครๆมีทดแทนตัวเลข เปลี่ยนมือกันไป ทดแทนกันไป ใช้แทนก้อนเงินเท่านั้นเอง ก้อนเงินคืออะไร คือสิ่งที่ตีราคาของ ตีราคา แรงงาน แต่ใครไม่งกค่าแรงงาน อย่างพวกเราชาวอโศก ไม่งกค่าแรงงาน ทำงานฟรี ทำงานเสียสละก็ได้ ก็ไม่เห็นจะต้อง ไปวุ่นวาย อะไรมากมาย เรื่องเงิน เราเสียสละสร้างสรร เป็นคุณค่า ประโยชน์ต่อสังคม ไม่ใช่ไปแลกเปลี่ยนเอามา เหมือนอย่างระบบทุนนิยมนี่ ทำงานก็ต้องเอาค่าแรงคืนมาให้หมด แล้วคุณมีประโยชน์อะไร คุณเอาค่าแรง คืนมาหมดแล้ว ความสามารถของคุณมีมากเท่าไหร่ ตีราคาเป็นเงิน แล้วคุณก็ขอรับค่าแรง ตอบแทนคืนมาหมด แล้วคุณได้ให้อะไรแก่โลก ทำเสร็จ คุณก็เอาคืนมาหมด สร้างอะไรขึ้นมา วัตถุขึ้นมา ทุนมันเท่านี้ ขายไปเอาเงินแลกค่าทุน เกินทุนด้วย เอาคืนมาหมดแล้ว คุณมีประโยชน์อะไรในโลก วิธีคิดของบุญนิยมนี่ เขาเห็นความจริงกันอย่างนี้ พวกเรียนมา ๖ ปีก็น่าจะเข้าใจได้ดี ใช่ไหม เพราะงั้น
วิธีคิดของทุนนิยมนี่ เป็นวิธีคิดที่เลวร้ายเหลวไหล ไม่มีคุณค่าต่อโลกเลย เกิดเป็นมนุษย์ ที่ดำเนินชีวิตอยู่แบบทุนนิยม เป็นมนุษย์ ที่ไร้ค่า ทำลายโลก ฟังให้ดี ไม่ใช่อาตมาไปใส่ความเขานะ ฟังเข้าใจไหม เอ๊ะเงียบๆ (เข้าใจครับ) เข้าใจนี่ตอบเล่นๆ หรือว่าเข้าใจจริงๆ (เข้าใจจริงๆครับ) เอ้อนี่ วิธีคิดของเขา มันเป็นอย่างนั้น แล้วเขาก็เป็นกันทั้งโลกนะ ไม่ใช่มันเป็น ในเมืองไทยเท่านั้นนะ ทั้งโลกเขาก็คิด วิธีทุนนิยมนี่แหละ เหลวไหลสิ้นดีเลย แต่เขาไม่เข้าใจกันไม่รู้กัน คิดดูซิ นี่เป็นความรู้ พระพุทธเจ้านะ ตรัสรู้ ไม่ใช่อาตมารู้เองมาก่อนนะ วิธีคิดอย่างนี้ ความไม่เห็นแก่ตัว ความที่รู้วิธีคิด ของทุนนิยม อ๋อ.. พระพุทธเจ้าไม่พูดมาก สมัยโบราณ สมัยพระพุทธเจ้า ๒,๐๐๐ กว่าปี มันไม่มีธุรกิจทุนนิยม แลกเปลี่ยนกันขนาดนี้ มันไม่หนักขนาดนี้ มันเผด็จการ สมัยพระพุทธเจ้า สมบูรณาญาสิทธิราช สมัยทาส สมัยนายทุน ทาสซึ่งมันไม่ได้แลกเปลี่ยน อะไรกันมาก มันข่มเบ่งกันมาก มันใช้อำนาจ ข่มเบ่งกัน ไม่ใช่ซื้อขาย สมัยโน้นน่ะ ใครมีอำนาจมากๆ ข่มเบ่งกัน ใครมีอำนาจ คนที่อยู่ใต้อำนาจ จะต้องส่งส่วยให้แก่คนมีอำนาจ มันเป็นยังงั้น ยุคโน้นน่ะ ต้องเป็นเจ้าจักรวรรดิ ใช้อำนาจเบ่ง แล้วก็ไม่เอามาให้ ฆ่า ยุคทาส คนไม่มีสิทธิแห่งสิทธิมนุษยชน ถูกฆ่าได้ง่ายๆ สมัยโบราณ เป็นยังงั้น เพราะงั้น ธุรกิจ การหมุนเวียน การกระทำการแลกเปลี่ยน ไม่เหมือนกันกับยุคนี้ คนละยุค ยุคนี้ยุคทุนนิยม ทุนนิยม ก็วิธีคิดแบบนี้ ซึ่งเหลวไหลสิ้นดีเหมือนกัน เพราะงั้น พระพุทธเจ้า ท่านเกิดมาทุกยุค เกิดมาทุกยุคทุกข์อย่างไร เกิดมาผ่านทั้งนั้นแหละ อย่างวิธีคิด แบบคอมมิวนิสต์ก็ตาม สังคมนิยมก็ตาม ไม่ใช่ว่าไม่เคยผ่าน ในโลกนี้ไม่เคยมีมนุษย์คิดแบบนี้ ไม่เคยมี ไม่ใช่ มันมีมา หมุนเวียนมา ไม่รู้กี่รอบ ต่อกี่รอบแล้ว ในโลกอันไม่รู้กี่ล้านๆๆปี ที่มันหมุนอยู่ ยังไม่แตกลูกนี้ มนุษย์เกิดมา ไม่รู้กี่ยุค กี่สมัย ไอ้แนวคิดพวกนี้ มันหมุนเวียนเปลี่ยนไป แล้วก็ดับไป แล้วก็หมุนเวียน ก็มาคิดกันขึ้นใหม่ แล้วก็หมุนเวียนมาใหม่ มันมีอยู่ แล้วๆเล่าๆ วนอยู่อย่างนั้น เป็นภาวะที่น่าเบื่อที่สุด เพราะงั้น ถ้าเราไม่ได้เรียนรู้สัจธรรมนี่ เราก็จะเป็นคน หลงวนเวียนอยู่ในกระแส วงจรโลกีย์เขา อยู่อย่างนั้นแหละ แล้วๆเล่าๆ
ถ้าพวกเรามาเรียนรู้โลกุตระ ปฏิบัติตนให้หลุดพ้นออกมาจริงๆ แล้วเราอยากจะไปอยู่กับ วงโลกีย์เขาก็ได้ และได้อย่าง ไม่ไปทำบาปด้วย จริงๆแล้ว ก็จะไม่ไปทำหรอก มันไม่รู้จะไปทำ ไปทำไม ความฉลาดขนาดอาตมา สมรรถนะ ความรู้ระดับอาตมา เอาละ แม้จะอายุ ๗๐ กว่าแล้วนี่ เรี่ยวแรงขนาดนี้ อาตมาออกไปหาเงิน เลี้ยงตัวเอง แข่งขันกับทางโลกเขาได้ไหม เชื่อว่าอาตมาจะอยู่รอดไหม (รอดครับ) จะรวยไหม (รวยครับ) ทำไมคิดยังงั้นน่ะ คิดว่าเอาความฉลาดประมาณนี้ ความสามารถ ความรอบรู้ประมาณนี้ มาเป็นตัวข้อมูลในการตัดสินว่า อาตมาจะทำได้ หรือไม่ได้ ใช่ไหม อาตมาว่าพวกคุณ ก็คงพอประมาณ จะเดาก็พอเดาได้ว่า มันไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอก ความรู้ความสามารถเรี่ยวแรง แม้จะแก่ขนาดนี้ ก็ยังมีเรี่ยวแรงขนาดนี้ ยังทำได้ แต่อาตมาไม่ไปทำหรอก เพราะอาตมามีเท่านี้ อาตมาก็เป็นสุขแล้ว สันโดษแล้ว กินวันละมื้อ ทุกวันนี้ก็แสนสบาย ทำงานวันละ ๑๐ กว่าชั่วโมง ดูแลร่างกาย รักษาร่างกาย ตอนนี้ต้องมาออกกำลังกาย เพราะว่า สัญญาณเตือนมันมา ใครไปเห็น อาตมาถูกหิ้วปีก ที่ภูผาฟ้าน้ำบ้าง ก็จะเห็นว่า โอ้โฮ..สัญญาณความแก่มันมา อาตมาว่า อาตมาไม่มีลักษณะแก่ เอ้า หน้าอาจจะเหี่ยวๆ ย่นๆบ้าง แต่ลีลา การเคลื่อนไหวไปมา อาตมาว่า อาตมาไม่มีลีลา ยังไม่มีลีลาแก่นะ จะต้องลุกโอย นั่งโอย เดินก็ยกๆอะไรต่ออะไร เหมือนคนแก่ ใช่ไหม อาตมาว่า อาตมายังไม่มีลีลาแก่นะ ใช่ไหม ยังคล่องแคล่วปราดเปรียวอยู่แต่ แหม ตอนนั้นน่ะมัน สัญญาณแก่ มันมาให้อาตมาขายขี้หน้ามาก เพราะอะไร เพราะไม่ออกกำลังกาย อาหารการกิน อาตมาไม่มีปัญหาหรอก อาตมาว่าอาหารการกิน อาตมาสะอาดสะอ้าน ไร้พิษ สมบูรณ์ด้วยธาตุพร้อม แล้วไม่ไปเอาพิษจากข้างนอก มาใส่ตัวเองด้วย ไม่ไปแส่หาโรค อะไรต่ออะไรมา ไปหาเอาโรคไข้หวัดนก ไปหาอะไรต่ออะไร ข้างนอกเขามีเยอะนะ ออกไปนี่ เดี๋ยวเถอะ ไม่ใช่อาตมาแช่งนะ ระวังให้ดีเถอะ ดีไม่ดี ได้เอดส์บ้างล่ะ มันมีอยู่ข้างนอก มีให้นะข้างนอก มีให้นะ จะเอาหรือไม่เอาน่ะ ถ้าจะเอาแล้ว ไม่นานได้เลย เอาไหม ข้างนอกน่ะ โรคสารพัด ซึ่งน่าเกลียดน่าชัง มีมากมาย แต่อยู่ในนี้ เรานี่มีสิ่งแวดล้อมดี มีอะไรต่ออะไร เป็นองค์ประกอบ ที่พยายามขจัด ไม่ให้มันเกิดโรคภัยอะไร ต่างๆ ไม่ให้เกิดความเลว ความร้ายอะไร ต่างๆนานา พยายามที่จะให้เป็น ปฏิรูปเทสวาสะ เป็นสถานที่ ที่อันควรอยู่ ปฏิรูปเทสวาสะ นี่มาอยู่กัน มารวมกัน เป็นสถานที่ ที่ควรอยู่มากเลย แต่คนโง่ ก็ไม่ค่อยอยากจะอยู่ ใครโง่ก็ไม่รู้ล่ะ นั่งอยู่ที่นี่ ก็จะมีอยู่กี่คน ไม่รู้ ไม่อยากจะอยู่ อยากจะหนีออกจากที่นี่ ออกไปในสิ่งที่เป็น ปฏิรูปเทสวาสะ เรียกว่าสถานที่ซึ่ง พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้หมดแหละ ทุกอย่าง เป็นเสนาสนะ อันสัปปายะ ซึ่งมีสัปปายะ ๔ เป็นสถานที่ เป็นสิ่งแวดล้อม ที่ไม่เป็นพิษเป็นภัย ไม่เป็นโทษ ไม่เป็นอะไรต่ออะไร แม้อยู่ที่ในนี้นี่นะ คนออกมาปล้นมาจี้ คนมาข่มเหงรังแก คนมาทำร้าย คนมาอะไรก็น้อย ทั้งๆที่เราไม่มีรั้วไม่มีกุญแจ ไม่มีรปภ.เฝ้า ไม่มีอะไร เหมือนโลกเขาเท่าไหร่หรอก แต่มันมีบารมี อันนี้คิดให้ดี มีบารมี คุณมองไม่เห็นหรอก ใช่ไหม มันเป็นนามธรรมที่นี่ ก็รู้อยู่แล้ว เราไม่มีเหมือนกับ ชาวบ้านข้างนอกเขา สถานที่อะไรนี่ ก็ต้องใส่กุญแจ ๓ ชั้น ๗ ชั้น มีรปภ. เดินตรวจตราถือกระบอง ถือปืนไม่ได้ กฎหมายเขาไม่ให้รปภ. ถือปืน ก็ถือไม้กระบอง ถือเครื่องมืออะไรก็แล้วแต่ ระมัดระวังคอย เราไม่ต้อง แต่เรามีบารมีสถานที่ สรุปแล้วก็คือ สถานที่นี้ปลอดภัย ไม่อยากจะใช้คำว่า ไร้ภัย มันมีบ้าง เคยโดนงัดตู้โทรทัศน์อะไรนี่ แต่ก่อนมันมีเคยบ้าง ดูเหมือนเคยอยู่ครั้งเดียว ในปฐมอโศกเรานี่
สรุปแล้วนี่ เป็นเสนาสนะสัปปายะ มีบุคคลสัปปายะ มีคนที่เป็นมิตรดีสหายดี เป็นพี่เป็นน้อง เป็นพี่ป้าน้าอา เป็นญาติธรรม เป็นญาติจริงๆนะ ญาติที่พึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้ ไม่ใช่ญาติสายเลือด คลานตามกันออกมาเฉยๆ แต่เป็นญาติ ที่พึ่งเกิด พึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันได้จริงๆ ไม่สอนให้ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย สอนให้พยายามประณีต ประหยัด ให้มีปัญญา อาหารสัปปายะ มีอาหารก็คือ สิ่งอาศัยตั้งแต่ของกิน อาหารการกิน เครื่องใช้เครื่องสอย เครื่องอุปโภคบริโภคอะไรก็แล้วแต่ อาหารเครื่องยังอยู่ในชีวิต แม้แต่เครื่องใช้ไม้สอย อุปกรณ์นี่ แม้แต่โทรทัศน์มีทั้งวีดีโอ มีทั้งอุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือ คอมพิวเตอร์ มีทั้งจอบเสียมอะไรก็แล้วแต่ ก็มีครบครัน พอใช้ ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเกินการ สุรุ่ยสุร่ายด้วยซ้ำไป ว่าไหม ใช้ไปก็ทิ้งขว้างไป เอาอันนั้นไปใช้ อันนี้ไปใช้ ก็ทิ้งขว้าง ไม่เอาคืน อะไรอย่างนี้ ไม่รู้จักส่งกลับเข้าที่ อะไรต่างๆพวกนี้ อันนี้ก็นิสัยเสีย เราก็ควรจะฝึกฝน สรุปแล้ว ก็มีอาหารสัปปายะ มีสิ่งที่อาศัยเครื่องใช้ อาศัยของมนุษยชาติ ไม่ได้ขาดแคลน ไม่ได้กระเบียดกระเสียร จนเกินการณ์ เครื่องใช้ อะไรต่ออะไรที่โลกเขาพึงมี รถรา ยังไม่มีเครื่องบิน เท่านั้นน่ะ ตอนนี้ รถราอะไรต่ออะไร ต่างๆนานา ก็พอใช้พอสอย อย่างนี้เป็นต้น มีธรรมะสัปปายะ อันนี้แหละ ที่อื่นหายาก หลายบริษัท หลายสังคม เขาอาจจะมีอาหารสัปปายะ มีอาหารแบบโลกๆนะ โอ้โฮ ฟู่ฟ่าหรูหรา ครบพร้อม เขาอาจจะมีบุคคล มีสวัสดิการ ดูแล เลี้ยงดูกัน พึ่งกันแบบสวัสดิการ บุคคลสัปปายะ ของก็แบบพึ่งกันแบบนั้นแหละ แบบโลกโลกีย์ อาจจะเป็นสถานที่ ที่โอโฮ.. สวยงามยิ่งกว่า รีสอร์ต ก็ตามใจ เขาอาจจะมีได้ เสนาสนะสัปปายะ บุคคลสัปปายะ อาหารสัปปายะ แต่ธรรมะสัปปายะ เชื่อไหมว่า ที่อื่นมีไม่เท่าอโศก เชื่อไหม อธรรมะสัปปายะของเขา อันนี้แหละ เราชนะ เรียกว่าชนะขาดลอย ที่อื่นทำตามยาก ที่อาตมาใช้คำว่าขาดลอย ใช้ว่าธรรมะ เป็นสิ่งที่ มีมากที่สุด คืออะไร
เพราะที่นี่เป็นธรรมะ ที่อาตมาแน่ใจว่า เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่มีประสิทธิภาพ สันทิฎฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนยิโก หมายความว่า สันทิฏฐิโก พวกเรา เอาตัวเรานี้ เข้ามาปฏิบัติพิสูจน์ ได้มรรคได้ผล น้อยมากแล้วแต่ ได้ละได้ขัดได้เกลา อกาลิโก แม้ยุคนี้ก็สามารถ ที่จะไม่เป็นทาสโลกีย์ แม้แต่พวกเรา นักเรียนนี่ คิดดูซิ เราก็ไม่ได้ไปหลงลาภยศ สรรเสริญโลกียสุข ไม่ต้องเอาสิ่งเหล่านั้น มาล่อ อะไรมากมาย เราก็อยู่กันรอด แม้ใจเราอยากจะไปเป็นอย่างโลก เราก็ยังอยู่กัน อย่างไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นบ้า เพราะว่า มันกดดัน เหมือนกัน แต่เราก็อยู่ของเราไปรอด สบายๆ ไม่ถึงกับเป็นอะไร มันก็มีกฎบ้าง บางคนก็สบายๆ ไม่เดือดร้อนอะไรหรอก บางคนอาจจะมีภาวะ กดดันบ้าง หลายคนกดดัน จนทนไม่ได้ ทนไม่ได้ก็ต้องปล่อยเขาออกไป เพราะเราก็มีทางปล่อย ไม่ใช่ว่ามาบังคับกันอยู่ ไม่ได้นะถึงจะทนไม่ไหว ก็ต้องให้ต้องทน ไม่ใช่ดี ไม่ดี คนนี้ว่าอยู่ไม่ดีหรอก ประเดี๋ยว มันจะมากไป ออกไปเถอะ เราก็ให้ไป แต่ผู้ที่อยู่ได้นี่ ก็แสดงว่า ไม่ได้กดดันอะไร มากมาย แต่ต้องกดดันแน่นอน ก็ต้องขัดเกลา แน่นอน ต้องฝืนแน่นอน เพราะว่า มันต้องล้างกิเลส เพราะงั้น พวกเราได้มาพัฒนาตนเอง โดยธรรมะ ของพระพุทธเจ้า มาตั้ง ๖ ปีนี่ เป็นเรื่องประเสริฐแล้ว และอยู่ได้มาถึงขนาดนี้นี่ ทุกคนปรารถนาดี ด้วยกันหมด ผู้สอนไม่ได้ไปเที่ยวได้บังคับ ไปประมูลตัวมา ไม่ใช่ สอนมาสมัครใจทำงาน เพื่อที่จะทำงานช่วยเหลือพวกเรา สร้างพวกเรา ให้ประโยชน์แก่พวกเรา ขึ้นไปได้เท่าไหร่ ก็เท่านั้น เพราะงั้น ในวาระที่กำลังสอนกันอยู่ อบรมกันอยู่ ใครจะเกลียดจะชัง อะไรใครยังไง ก็คิดให้ดีนะ ว่าบรรดาอาๆ บรรดาครูๆ ทั้งหลายแหล่ ที่ทำงานกับพวกเรา จนเราเรียนจบ ม. ๖ วิชาความรู้แบบโลกๆ เราก็ได้ไป ไม่ได้น้อยหน้ากว่าข้างนอกเขา พวกเราจะไปสอบ entrance กับพวกเขา ก็พอไปได้ ก็มีสอบ entrance ลองๆของกันอยู่ ก็สอบได้กันอยู่ ทุกปีน่ะ น้อย-มากก็แล้วแต่ ใช่ไหม หรือไม่ต้องสอบเข้าไปเรียน เรียนปริญญาตรีปริญญาโท เดี๋ยวนี้ ก็เรียนปริญญาโท อยู่หลายคน ใครบ้างน่ะ รู้ไหม ที่จบไปแล้วน่ะ เรียนปริญญาโท อยู่จบปริญญาโท ที่จบปริญญาโทนี่ ไม่ได้เรียนจบ ที่นี่ทีเดียว แต่ก็ระยะ ถ้าอยู่ก็จบเหมือนกันนั่นแหละ ก็จบปริญญาโทแล้ว ก็หลายคน ก็มีตูน ก็จบคนหนึ่ง อะไรอย่างนี้ และพวกเราก็เรียนโท กันอยู่ก็มีนี่ ก็ได้ข่าวว่า จืด ก็จะเรียนปริญญาโท ตอนนี้น่ะนะ กระบี่พุทธตอนนี้ก็ดี กระบี่พุทธ หรือว่า คณะพวกศิษย์เก่า ก็กำลังมารวมตัวกัน กำลังเข้าใจ พอนานวันขึ้น ผู้ที่มีปัญญาก็จะรู้ว่า เราควรจะทำอันนี้เป็นสิ่งที่ดี เราควรจะรังสรรค์ ควรจะต่อสืบทอด ควรจะมาเชื่อมโยง ให้มันเกิดอะไรต่ออะไร ขึ้นมา เพราะอันนี้เป็นเรื่องของประโยชน์ ของมนุษยโลก ก็พวกศิษย์เก่า ผู้ที่มีปัญญากัน ก็มารวมกันขึ้นมา ตอนนี้ก็พยายามที่จะ รวบรวมตัวกัน มาทำงาน ทำประโยชน์ มาดูแลเลี้ยงน้อง มาสืบทอดงานต่อไปอะไรต่อไป ซึ่งจะค่อยๆเป็นไป
การแจกกลดนี่ เป็นธรรมเนียม ซึ่งอาตมามาถึงวันนี้แล้วยิ่งเห็นว่าเป็นความขลัง เป็นความประเสริฐอันหนึ่งของมนุษย์ เป็นยิฏฐัง เป็นพิธีการ เป็นที่องค์ประกอบ มีกลดมีอะไรนี่ มันเป็นความลึกซึ้งอันหนึ่ง กลดหมายถึงอะไร กลดหมายถึง บ้านเคลื่อนที่ของพระอาริยะ กลดนี่คือ หลักแหล่งเลยนะ บ้านเคลื่อนที่นะ moving house ตะพายไปไหนก็ได้ ไปถึงที่ไหน ก็ปักปึ๊กเข้า อยู่ในนั้นเสร็จ มันเป็นเรื่องลึกซึ้ง มันเป็นเรื่องของ ทั้งรูปแบบ ทั้งจิตวิญญาณอยู่ในนั้นเสร็จ เพราะฉะนั้น อาตมาก็มองไกล ไปในอนาคตข้างหน้า การมอบกลดแก่นักเรียน จบม.๖ นี่ จะเป็นจารีตประเพณี อันสืบทอดต่อไปอีกนาน ของชาวอโศก ในวงการสัมมาสิกขา จะต้องดำเนินกันอย่างนี้ไป เป็นแบบของเรา ซึ่งจะซาบซึ้ง มันจะกินลึก เข้าไปถึงจิตวิญญาณ มันจะไม่มีแค่ของเล่นๆ ไม่ใช่ เดี๋ยวนี้กลดก็ไม่เอาแล้ว ไปหลงเต็นท์ ในงานสึนามิ คราวนี้ไป โอ้ โฮ หากลดแทบไม่ได้เลย เต็นท์ทั้งนั้นเลย
เราวันที่ ๒๒ ถึงวันที่ ๓๐ พฤษภาคมนี้ จะมีงาน จัดงานวิสาขบูชา ใหญ่ ๙ วัน ที่พุทธมณฑล ตอนนี้ก็รวมพลกันอยู่ ทางการรวมกัน ทั้งประเทศ จะจัดงานนี้ โดยเราก็ไปร่วมกับเขาด้วย เขาเชิญเราไปร่วมด้วย งานนี้ไปเราจะไปขัดส้วม เราจะไปทำ ๕ ส. เราจะไปบริการบริกร เราไปช่วยเหลือ เฟือฟาย ใครเขาอะไรต่ออะไร ใครจะโก้จะเบ่ง จะใหญ่จะอะไร ก็ให้เขาทำ แต่เราจะไปเป็นอย่างนั้น นี่เป็นนโยบาย อาตมาพูดไปแล้ว เมื่อวาน นี่ใครฟังที่ประชุม อาตมาก็บรรยายไปแล้ว และเราจะเอากลดไปงานนี้ ห้ามเอาเต็นท์ไป ใครมีเต็นท์ไม่รับ ถือว่าคนนอกอโศก อย่ามาแสดงเป็นคนอโศกนะ ใครเอาเต็นท์ไป ไม่รับ ใครจะไปงาน วันที่ ๒๒ – ๓๐ นี้กลดเท่านั้น ไปก็มีกลด ไปปักกัน ๙ วัน จะอยู่กี่วันก็ได้ จะอยู่วันหนึ่ง ๒ วัน ๓ วัน ๕ วัน แล้วแต่ใครมีงานมีการ ติดงานก็ไม่เป็นไรอยู่เท่าไหร่กี่วันก็ว่าไป ใครจะอยู่ถึง ๙ วันก็ดี ปักกลดที่นั่น ทั้งฆราวาส ทั้งนักบวช สิ่งที่เราได้ประกอบกันขึ้นมา ไม่ว่างานประจำปี งานเทศกาล งานสัมพันธ์กับสังคม งานอะไรก็แล้วแต่ คนเราต้องทำงาน คนไม่ทำงาน มันเลวกว่าสัตว์ สัตว์มันต้องออกหากินไหม นั่นคือมันทำงาน คนเราก็ต้องทำงาน ไปปลูกผักปลูกพืช ไปเก็บผักเก็บพืช สมัยโบราณไม่ต้องเก็บ เพราะว่ามันเต็มไปหมดเลย ผักพืชธรรมชาติมันเต็ม ก็ไปเก็บไปเอามา ถ้าใครอ่านพระไตรปิฏก มีสูตร อัคคัญสูตร ไปเก็บข้าวสาลี เพราะมันมีเต็ม มันออกเป็นธรรมชาติ ไปเก็บมากิน เก็บมาแค่หุงกินนะ หนักเข้า ขี้โลภเก็บมาเยอะๆ เอามากักตุนไว้ที่บ้าน หนักเข้า เอ๊ะคนนั้นมันกักตุน ข้าก็กักบ้างสิ หนักเข้าก็เลย ร่อยหรอ คนนั้นก็กักตุน เอาไปห่อไว้ที่บ้านตัว คนนี้ก็ห่อไปที่บ้านตัวร่อยหรอ หนักเข้าหมด ข้าวสาลีไม่มีให้เก็บ แล้วต้องปลูกเอง ไม่ปลูก มันก็ไม่มี เพราะว่าคนแย่งกัน ไปแย่งกันหมด นี่ก็คือเรื่องของธรรมชาติ มันเป็นมา เพราะงั้น คนต้องทำงาน
สรุปแล้วคนก็ต้องทำงาน อย่างน้อยก็ทำงานเลี้ยงชีพ อย่างที่อาตมาบอกแล้ว แม้แต่นกหนูปูปีกอะไร มันก็ต้องวิ่งหากิน ทำงานของมัน ตามประสามัน แต่เราเป็นคน เราทำงานได้กว้างได้ขวางได้เยอะ เฉลี่ยกันแบ่งการงานอะไรจำเป็น งานอะไรสำคัญ ยิ่งมาถึงยุค globalization ถ้าจะพูดกันสแลงๆ บอกโอ..บรรลัยแล้วสิฉัน globalization กูบรรลัยแล้วสิ ฉันมันอยู่ข้างหลังอีก กูบรรลัยเซแล้วฉัน ยุคที่มันอะไร ก็ถึงกันหมด ทะลุทะลวงหมดแล้ว โลกทั้งโลกนี้ ไม่มีอะไรปิดกั้น globalization เพราะงั้น อะไรๆก็โอ้โฮ ใครทำอะไร ใครคิดอะไร ใครมีอะไรเห่อกัน โฆษณามอมเมากัน ใครคิดอะไรได้นี่ ข้าจะต้องทำในวิธี ทุนนิยม โฆษณาเผยแพร่ไปถึงทันทีเร็ว แฟชั่นเกิดที่อเมริกา คนละขั้วคนละฝั่งเลยนะ อเมริกากับเมืองไทยนี่ คนละฝั่งโลก ใช่ไหม ถ้าเจาะตรงไปนี่เลยนะ นี่ทะลุไปโน่น ไปชนประเทศอเมริกาเลย มันตรงกันข้ามกัน เวลาเที่ยงคืนที่นี่ ที่โน่นเที่ยงวัน คนละตรงกันข้ามกันเลย ทางโน้นคิดอะไรได้ปั๊บ ไม่กี่นาที ประเทศไทยรู้แล้วเห่อแล้ว นี่คือ globalize มันไม่มีอะไรติดขั้น มันคมนาคม มันติดต่อกัน ลาวเขาแปล globalization ว่าฟ้าบ่กั้น เขาแปลเป็นภาษาอีสานนะ ไทยเราก็ฟังออก ฟ้าบ่กั้น ไม่มีอะไรกั้น แล้วไม่มีอะไรขั้นขวาง เพราะงั้น โลกยุคนี้ กับโลกยุคก่อนๆ ไม่เหมือนกัน ต้องปากกัดตีนถีบ ต้องทำงาน ทีนี้ทำงานในระบบทุนนิยม ทำงานแล้วก็เอาเปรียบ ทำงานแล้วก็เป็นทาสกิเลส กิเลสต้องเอาเปรียบ กิเลสต้องโลภมาก กิเลสต้องครอบครองมีเยอะๆ ปีนี้นี่บิลเกต ปีนี้นี่คนรวยที่สุด รายได้ปีที่แล้วในโลก เป็นผู้ที่มีรายได้มากที่สุด และมีสมบัติ มากที่สุด หลายแสนล้าน แสนล้านนี่ไม่ใช่แสนล้านบาทนะ แสนล้านเหรียญ เหรียญ dollar คุณคูณไปสิ บิลเกตเขามี ขณะนี้ หลายแสนล้านนะ ไม่ใช่แสนเดียว รายได้ของเขาแต่ละปีๆนี่ อาตมาจำได้ บางปีนี่เขาได้ถึง สี่พันเก้าหมื่นล้านบาท บางปี แหมอาตมา คูณตัวเลขของมันไม่ไหว
(ม้วนที่๒) มีความเจริญของทั่วถึงกัน แต่เขาไม่ทำ เขาก็ตั้งราคาเอาไว้สูงอย่างนั้นแหละ เพื่อที่จะโลภได้มากของเขา อยู่อย่างเดิม คนที่ไม่มีทุนรอน ก็ไม่สามารถที่จะเจริญอย่างเขา เอามาใช้ประโยชน์ไม่ได้ เพราะไม่มีสตังค์ไปซื้อ เครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้ อะไรอย่างนี้ นั่นเป็นความใจดำ อำมหิต นี่วิธีคิดของโลกียะ แล้วก็เป็นเรื่องของพฤติกรรม ของคนโลกียะ เลวร้ายมากเลย เมืองไทยก็คนขายน้ำเมา รวยที่สุดอันดับหนึ่ง เป็นอันดับที่ ๑๙๗ ของโลกหรือไงนี่ เป็นเศรษฐีอันดับที่ ๑๙๗ ของโลก อาตมาถ้าจำตัวเลขไม่ผิดนะ เข้าไปทำเนียบเขา คนไทยเจ้าของเบียร์ช้าง ที่กำลังจะเอาเบียร์ช้าง เข้าตลาดหุ้นนี่แหละ ขณะนี้ เป็นรวยเบอร์หนึ่ง เบอร์สองคือ เจ้าของกระทิงแดง เบอร์สามคือ เจ้าสัว ซีพี เจ้าของ seven eleven อย่าไปอุดหนุนเขานัก ไม่ต้องไปเข้าซื้อหรอก ร้าน seven eleven นี่มันรวยจะตายแล้ว แล้วก็หอบเงิน ไปกอบกอง คนที่หอบไปไว้ของตัวเองมากๆ คนอื่นก็ขาดสิ ใช่ไหม มันง่ายๆ ไม่ขาดธรรมดานะ คนพวกนี้ เขาหอบเงินไปนี่ เขามีแสนล้าน เขาเอาไปไว้ที่เขา แล้วฝังดินไว้หรือเปล่า เขาเอาไปลงไว้ที่หุ้น เอาไปไว้ที่บริษัทโน้น บริษัทนี้ แล้วบริษัทพวกนั้น เอาเงินพวกนี้ไปทำอะไร ไปรีดต่อมาอีก ใช่ไหม เพราะฉะนั้น เงินของเขา แทนที่จะมีมากๆ เพราะเอาไปให้ขาดแคลน เพราะเอาไปฝังดินไว้ มันก็แย่งกัน เพราะมันขาดแคลน มันน้อยลงใช่ไหม เพราะเอาไปฝังดิน มันก็ยังพอทำเนานะ แต่นี่เปล่า เอาออกมา ให้มันไปรีดต่ออีก ไม่หยุดยั้ง รีดต่ออีกในสังคม แต่เขาก็ถือว่า นี่คือเศรษฐศาสตร์ นี่คือเศรษฐศาสตร์ รีดนาทาเร้นต่ออีก ไม่มีหยุดหย่อน นี่คือระบบทุนนิยม ที่เลวร้ายที่สุด
อาตมาคิดว่า เราไม่ต้องเป็นคนอย่างนั้นก็ได้ มาเป็นคนอย่างนี้ ใครจะร่วมมือ มาที่เดียว เขาบอกว่า มันยาก ยากก็ทำ เพราะมันดีมันสุดประเสริฐ อย่างนั้นมันเลวร้าย มันไปเที่ยวได้ทำลายสังคม มันทำให้เดือดร้อนแย่งชิง มันทำให้เกิดการขาดแคลน ฆ่ากันแกงกัน ก็เพราะเหตุแย่งชิงพวกนี้แหละ เพราะกิเลสไม่ลดนี่แหละ เพราะฉะนั้น เรามารวมตัวกัน มาสอนเรื่องนี้ มาลดกิเลส อย่าไปแย่งไปชิง พยายามสร้างสรร พึ่งตนเองให้รอด อาตมาภูมิใจ ที่ชาวอโศกเรานี่ ไม่เป็นหนี้ธนาคารใดๆ ทุกวันนี้นี่ อาตมาสำรวจแล้ว ทุกชุมชนเรา ไม่เป็นหนี้ธนาคารใดๆเลย ถ้าเป็นหนี้ธนาคารเขา เราต้องส่งดอกเบี้ยเขา โอ้โฮ เป็นทาสรับใช้ หาดอกเบี้ย ให้เขาทรมานมากเลย เพราะงั้น เราไม่ทำ เราก็ไม่ไปเป็นทาส เราก็รอดตัว นี่แสดงถึงความพึ่งตนได้ เราไม่เป็นทาสธนาคารแล้ว เราพึ่งตนได้แล้ว เราทำงานหมุนเวียน จะทำธุรกิจทำอะไร ไปตามประสาเรา นี่แหละ ได้มาไม่มาก ไม่ขูดรีด เพราะเรารู้แล้ว เราพยายามควบคุม ดูแลอัตราการแลกเปลี่ยน การซื้อขาย ราคาแบบบุญนิยม คือยังไง สินค้ามอมเมา สินค้าไม่มอมเมา สินค้าเป็นพิษ ไม่เป็นพิษ เราพยายามเลือกเฟ้น ทำงานในสิ่งที่มัน ไม่ไปทำร้าย ไม่ไปทำลายใคร ไม่ไปเบียดเบียนใคร แล้วพึ่งตนรอด ไม่ได้เป็นภาระแก่สังคม นอกจากพึ่งตนรอดแล้ว เรายังสามารถที่จะสร้างสรร ให้เกินที่เรากินเราใช้ แล้วเราก็สะพัด ตามหลักเศรษฐศาสตร์บุญนิยม สะพัดไม่ไปรีดนาทาเร้น เอาเปรียบเอารัดคนอื่นคืนมา ไม่ได้ขายแบบทุนนิยม อย่างที่ว่าทุนเท่านี้ ต้องขายเกินทุนไม่เอา ทุนเท่านี้ ขายให้ต่ำกว่าทุน เสียสละค่าแรงงานของเรา แต่ละคนๆ เพราะว่าการคิดทุน เขาคิดค่าแรงงานด้วย เราก็เสียสละ ค่าแรงงานของเรา ค่าแรงงานของเรา ๑๐๐ เราเอาแค่ ๕๐ เราเสียสละ ๕๐ เราก็แรงงานของเรา ๕๐ นั่นแหละ เรามากินมาใช้ ให้พอ เราก็พอ เราก็เหลือช่วยสังคมอยู่ เพราะฉะนั้น ระบบบุญนิยม ที่อาตมาพาทำนี่ จึงเป็นระบบบุญ ไม่ใช่ระบบบาป ระบบทุนนิยมนั่น มันระบบบาป อาตมาไม่ส่งเสริม ให้คนบาป ไม่สร้างคนบาปมาให้แก่โลก จะสร้างคนบุญให้แก่โลก ใครยินดีให้อาตมา และพวกเรานี่ ช่วยกันสร้าง พี่ๆน้องๆ พี่ป้าน้าอา ช่วยกันสร้าง ก็มามาอยู่ที่นี่ แล้วก็ช่วยกันสร้าง สร้างคนที่จะไปสร้างบุญ ให้แก่โลก ไม่ใช่ไปสร้างบาป ให้แก่โลก และให้ตัวเองด้วย คนในโลกนี่เขาสอนกัน แนะนำกัน เพื่อไปสร้างบาป ให้แก่ตัวเอง และทำบาปให้แก่โลกด้วย อาตมาพูดนี่ ใส่ความเขาไหม ฟังดีๆฟังสัจธรรม โลกมันเป็นอย่างนี้ อาตมาไม่ได้ไปขี้ตู่ อาตมาว่า ความจริงเขาเป็นอย่างนี้ ซึ่งมันไปไม่รอด เพราะฉะนั้น เราจึงต้องการคนชนิดนี้ สร้างคนชนิดนี้ ให้เกิดมาเป็น คนที่มีความแข็งแรง มีสมรรถนะ มีจิตใจสูง มีจิตใจที่ลดกิเลส ได้มากขึ้นๆ จนหมดกิเลส นั่นแหละ แล้วจะเป็นคนชนิดนี้อยู่ในโลก ในสังคม จะฉลาดทันสังคมเขา โอ้โฮ..เขารู้แล้วเรื่องสมัยใหม่ วิชาความรู้ใหม่ๆ ลึกซึ้งอะไร เขาเก่ง เขาเร็ว ช่างเขาเถอะ วิชาความรู้เก่าๆ นี่เอาไม่ได้ เดี๋ยวปลูกข้าวให้มันดีๆ มีเมล็ดมากๆ แล้วก็สะอาดๆ มีเนื้อหาของธาตุ ปลูกผักปลูกพืช ให้กินเลี้ยงตัวดีๆ ทำหยูกทำยา ยารักษาโรคภัยไข้เจ็บเก่งๆ สิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นปัจจัยชีวิตพวกนี้ คุณฉลาดอันนี้ก็พอแล้ว แล้วก็สร้างขึ้นมา ให้ไปช่วยโลกเขา มาช่วยกันคิดยา รักษาโรคเอดส์ ให้เขาหน่อย นี่มาอยู่นี่มาช่วยๆกัน เดี๋ยวนี้แผนโบราณ ทางวิจัยศูนย์เจาะ พวกนี้ เราก็พยายามที่จะพัฒนา หยูกยาอะไรกันไป เพื่อที่จะช่วยมนุษย์โลกเขา พวกเราเอง ก็ไม่ได้ใช้เท่าไหร่หรอก หยูกยาพวกนี้ ทำแล้วก็เอาไปแพร่ เอาไปขาย ให้แก่ทางโน้นเขาขาย ก็พยายามขายให้ถูก ไม่ใช่ขายอย่างทุนนิยม ขูดรีดอย่างนี้เป็นต้น ช่วยโลกเขาเรื่องเสื้อผ้าหน้าแพร ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ทุกวันนี้น่ะ มันบ้าเลือดกันแล้ว เพราะงั้น เราปัจจัย ๔ นี่เรื่องเสื้อผ้า หน้าแพร ไม่ต้องไปวุ่นมาก หรือเรื่องการที่จะไปก่อไปสร้าง บ้านเรือนพวกนี้ ไม่ต้องไปวุ่นมาก มันเก่ง ข้างนอกเขาเก่งมาก แล้วเราอาศัยเขา เล็กๆน้อยๆ ก็พอแล้ว แต่ที่เขาไม่เอาถ่าน ก็เรื่องยาที่จะไม่เป็นพิษ และก็ไม่ไปโลภโมโทสันพวกนี้
ต่อไปถ้าเผื่อว่า เรามีเรี่ยวมีแรง มีความสามารถมาก จะเก่งทางก่อ ทางสร้างบ้านเรือนก็เอา จะเป็นสถาปนิก ไปจ้างรับจ้าง สร้างถูกๆ สร้างให้เป็นสิ่งที่ ไม่ไปเปลืองไปผลาญ ไม่ไปทำลาย มีความคิดเป็นแบบบุญนิยม สถาปัตยกรรม แบบบุญนิยม คุณก็ไปทำได้ในอนาคต แต่ตอนนี้ อาตมาว่า อย่าพึ่งไปแข่งเขาเลย เรื่องนี้มันเรื่องยุ่ง หรือ แม้แต่เสื้อผ้า หน้าแพรนี่ อย่าไปสู้เขาเลย เพราะมันไม่มาฟังหรอก นี่มาตัดนี่แฟชั่น แบบอโศกนี่ จ้างมันก็ไม่มา เพราะฉะนั้น ไม่ต้องมาพูดหรอก พวกนี่น่ะ ปล่อยมันไปเถอะ พวกนี้เป็นทาสสังคม ที่จะต้องถูกร้อยจมูก เขาจะหลงแฟชั่น อยู่อย่างงั้น ปล่อยเขา เราดึงไม่กลับหรอก แต่เราอย่าไปหลงแบบเขาก็แล้วกัน นี่จบออกไปนี่ อาตมาเห็นๆหน้า เผลอๆมา โอ้โฮ นิ้ง เสื้อผ้าชักมี แบรนด์นง แบรนด์เนม ชักอะไร ระวังเถอะ จะได้ตกเป็นเหยื่อของโลกเขาง่ายๆ ระวังเถอะ ถ้าเราไม่ใส่อย่างนั้นน่ะ มันจะเป็นอะไร เราประเสริฐไม่ได้หรือไง ใช่ไหม เพราะงั้น ในสังคมที่อาตมา กำลังสร้างนี้ อาตมาว่า สังคมที่เรากำลังสร้างนี้ อาตมาไม่กลัวว่า มันจะไม่โต แม้ไม่โต มันอยู่ได้อย่างนี้ ไปอีกพันปี อาตมาก็ว่า ไม่มีปัญหา เพราะแม้วันนี้ ปฐมอโศกก็ดี สันติอโศกก็ตาม ทุกแห่งอโศกเรานี่ เป็นสังคมเป็นชุมชนแล้วนี่ แม้ได้ขนาดทุกวันนี้ มันไม่เจริญกว่านี้นะ ไม่มีพลังสร้างสรร ได้มากกว่านี้ ไม่มีประโยชน์ต่อโลก เขาได้มากกว่านี้ มีประโยชน์ต่อโลกเขาได้แค่นี้ อาตมาก็ว่าก็ยังดี จะอยู่อีกพันปีก็ไม่ว่า เพราะเราเป็นประโยชน์กับเขา ข้อสำคัญ อย่าเสื่อมกว่านี้ก็แล้วกัน เสื่อมกว่าคืออะไร เรากลายไปเป็น ภาระสังคม เรากลายไปเป็นตัว ร่วมมอมเมาคนในสังคม ฟังให้ดีนะ ไปเป็นตัวร่วม มอมเมาคนในสังคม คืออย่างไร คิดให้ออก
ทุกวันนี้ ชาวอโศกเรา ไม่ได้ไปเป็นคน ที่อยู่ในภาวะ ไปร่วมมอมเมาคน เหมือนชาวโลกเขา เราเป็นคนถ่วงดุลสังคมด้วย ทำไมแต่งตัวอย่างนี้ นี่แหละ เราถ่วงดุลสังคมไว้ จะได้ไม่ต้องไปเฟ้อ อย่างพวกโลกๆ เขาแต่งตัวอย่างนี้น่ะ ทำไมไม่ใส่รองเท้า เอ้อนี่แหละ ถ่วงไว้ คุณจะไปหลงรองเท้า แบรนเนมราคา โอ้โฮ คู่ละกี่หมื่นๆ เดี๋ยวนี้ ติดเพชรเลยนะ รองเท้าทำเป็นเล่นไปเถอะ ไม่ต้องไปหลง เสื้อผ้า หน้าแพรยังงี้ ทำไมแต่งยังงี้อย่างนี้แหละ เราถ่วงสังคมไว้ เป็นความตั้งใจจริง ไม่ใช่เป็นเรื่องหลอก ไม่ใช่เป็นเรื่องทำเล่น ไม่ใช่เป็นเรื่องทำชั่วคราว ทำเอาโก้ๆ สร้างภาพ ไม่ใช่ ไม่ใช่เรื่องสร้างภาพ เรื่องจริง นี่อยู่อย่างนี้นี่๖ ปี แต่งอย่างนี้มาถึง ๖ปีนี่ เป็นขี้กลากไหม (ไม่) มีเชื้อโรคอะไรไหม (ไม่ค่ะ) ตกต่ำไหม มันไม่เห็นมันด้อยตรงไหนเลย มันไม่เห็นมันเสื่อมเสียตรงไหนเลย มีแต่คนไม่ได้รับความยกย่อง แบบโลกๆเขาเท่านั้นแหละ สวยจัง โก้จัง เท่จังอะไรอย่างนี้ เท่านั้นแหละ แต่มองในมุมกลับนี่ เรานี่แหละเท่ คนมอง เวลาเราไปรวมกลุ่มกับเขา เด็กปฐม ไม่ได้ไปนะ เด็กสันติอโศกไป ไปกระทบไหล่ดารา มาที่นี่หรือเปล่า เด็กสันติอโศก ที่ไปงานอะไร เขาไประดับโรงเรียนมา ๘๐ โรงเรียนน่ะ ใครไปบ้าง ใครไปหรือเปล่า ทรหดใช่ไหม ไปแล้วก็ใครไป มีก้อยมีกี๊บ ใครอีก หญิงไป ๔ คน เขาเท่าไหร่ มันร้อยกว่า ๑๕๐ คนหรืออะไรนี่ ไปกระทบไหล่กับเขา เราชุดนี้ เขาชุดนักเรียนของเขา แบบนั้นแหละ กระโปรงมีเสื้อ อะไรต่ออะไรของเขา แบบของเขา ทั้งหมดแหละ แต่ละโรงเรียน แต่คล้ายกันชุดสามัญ ก็คือกระโปรงน้ำเงิน เสื้อขาวใช่ไหม ส่วนใหญ่ นอกนั้น ก็กางเกงสีกากี กางเกงดำ หรือน้ำเงิน เสื้อขาว แต่ของเรานี่ ชุดกางเกงไทย ผู้หญิงก็นุ่งผ้าถุง ผ้าถุงไป รองเท้าไม่มี ไปกระทบไหล่ดารา คนมองพวกนักเรียน ต่างๆเหล่านั้น ชุดมียูนิฟอร์มของเขา แต่ละโรงเรียน กับยูนิฟอร์มของ สัมมาสิกขา เขามองใครมากกว่ากัน เห็นไหมล่ะว่า ไม่เท่ โอ้โฮ ขนาด นายกทักษิณมาถึง พวกเราได้รับเลือกเข้าไปเป็น ๑๐ คนใช่ไหม เข้าไปต้อนรับ ใช่ไหม นายก ๑๐ คน เราได้รับเลือกไป ๒ คน ไปยืนรวมหมู่กลุ่ม อยู่กะนักเรียนอื่นเขา ของเราก็มี ๒ คนแต่งชุดยังงี้อยู่กับเขา นายก เดินมาปึ๊บ ตรงมาที่ใคร สัมมาสิกขา คิดดูซิ ไม่เท่ แล้วจะขนาดไหน มาทักทายก่อนเลย โอ..ลูกมาจากสันติอโศก ใช่ไหม รู้จักชื่อซะด้วย ส่วนโรงเรียนอื่น หนูโรงเรียนไหน ยังถามเลย โรงเรียนไหน แต่สันติอโศก นายกรู้เลย นี่มาจากสันติอโศก ว่างั้นนะ โอ้โฮ อะไรจะขนาดนั้น อันนี้เรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องคุยโม้ ไช่ไหม อาตมามาพูด ดูเหมือนให้มันเท่มันเก๋ ให้ฟังเท่านั้นเอง แต่ที่จริง เราก็อย่าไปหลงเหลิง อย่าไปหลงระเริง อะไรต่ออะไร เอออย่างนี้แล้ว เราก็หลงตัวหลงตน อย่าไปคิดอย่างงั้น แต่ความจริง มันเป็นอย่างที่อาตมาเล่าให้ฟัง ให้มันสนุกๆ ดูเหมือนมันเท่นะ มันเป็นจุดอะไรต่ออะไร เพราะงั้น มันถึงบอกว่า คนเรามันมีอุปาทาน อะไรต่างๆนี่ มันเท่ได้ทั้งนั้นแหละ แบบนี้ก็เท่ อย่างนั้นก็เท่ เอาความจน ไปเบ่งข่มความรวย จนนี่แหละวะเท่ก็ได้ จริงๆ ในอนาคตคอยดูสิ ถ้าคนไม่มุ่งมาจน ไม่พยายามจะเป็นแฟชั่นจนนะ อวดรวยนะ ในอนาคตดูไปอีก ๕๐๐ ปีข้างหน้า ใครมามัวอวดความรวย พวกนั้นเชยระเบิดเลย ต้องมาอวดความจน อีก ๕๐๐ ปี อาตมาบอกให้ฟังก่อน จำไว้ แล้วเกิดมา ตามให้ทัน จริงนี่อาตมา ไม่ได้พูดเล่น อีก ๕๐๐ปี ค่านิยม ของมนุษย์ชาติสังคม จะเปลี่ยนไป คนโชว์ความรวย น่าอาย เพราะเป็นพฤติกรรม ของคนขูดรีด เป็นพฤติกรรมของคนเอาเปรียบสังคม เป็นพฤติกรรม ของคนไม่มีประโยชน์ต่อสังคม คนรวย
ส่วนคนจน จะเป็นคนที่มีประโยชน์ ไม่ใช่จนอย่างสิ้นไร้ไม้ตอกนะ จนอย่างเรา จนที่มีสมรรถนะความรู้ สร้างสรร จนที่ทำงานให้สังคม จนที่ไม่สะสม ไม่กอบโกย ไม่เอาเปรียบ มันก็ต้องจน ใช่ไหม จนแล้วก็เป็นคนทำงานให้แก่สังคม ทำงานแล้วก็มีชีวิต ที่มักน้อยสันโดษ ไม่ต้องหอบ ไม่ต้องหวง อะไรเลย แล้วก็มีระบบทำงานอยู่ในระบบ คนนั้นคนนี้ ดูแลกัน ไว้กินใช้อะไรต่ออะไร ก็เรียบร้อยสบายอีก ๕๐๐ ปีนี่ ใครไม่มาแสดงความจน หรือว่าไม่โชว์ ความจน คนนั้นน่าอาย เหมือนทุกวันนี้ เขาโชว์ ความรวย ใช่ไหม ใครโชว์ความจน น่าอาย โชว์ความรวยถึงเด่น ใช่ไหม ต่อไปในอนาคตนี่ ใครโชว์ความรวย เชย น่าอาย นี่อาตมาพูดเอาไว้วันนี้ อีก ๕๐๐ ปีคอยดู จะเป็นอย่างงั้นจริงๆ นี่ไม่ใช่พูดเล่นนะ ไม่ใช่พูดประโลมโลก ไม่ใช่ เรื่องจริง เพราะคนเรามีปัญญารู้นี่ ปัญญาเขาก็ศึกษาไปเรื่อยๆ เราก็จะรู้ความจริงไปเรื่อยๆ เราก็เผยแพร่ความจริง แล้วเราก็สร้างความจริง คนพวกเราก็จะถูกสร้างขึ้นไป เป็นระบบบุญนิยม ไปเรื่อยๆ แล้วคนก็จะเห็น อ๋อคนพวกนี้ เป็นคนที่มีประโยชน์ ต่อสังคม เป็นคนที่น่าเคารพนับถือ เอ้อ เป็นคนที่มีคุณค่า ไม่ใช่เป็นคนที่น่ารังเกียจ ต่อไปเขาจะยกย่องบูชา คนบุญนิยม นี่เป็นเรื่องจริง คุณเชื่อไหมว่า เป็นเรื่องจริง ใช่ไหม เพราะงั้นต่อไป เขาจะเคารพ อ้อคนพวกนี้นี่ เป็นคนสร้างสรร เสียสละ และเป็นคนที่อุตสาหะอดทน เป็นคนไม่เอาเปรียบเอารัด เป็นคนที่เกื้อกูล เผื่อแผ่ แจกจ่าย เจือจานสังคม คนอย่างนี้เป็นคนดี คนมีปัญญา ไม่ต้องปัญญาลึก ก็รู้แล้ว เพราะฉะนั้น ต่อไป คนที่มีปัญญา แม้เขามีกิเลส เขาก็เข้าใจได้
เขาจะไม่กล้าลบหลู่ ต่อไปอโศกเราอยู่ได้ ทุกวันนี้ เขาไม่มาเบียดเบียน เพราะอะไร ก็เพราะว่า เรายืนยันความจริงอันนี้ ว่าเราทำงานสร้างสรร เราไม่รบกวนใครนะ อยู่ที่นี่เรามาสร้างวัดขึ้นที่นี่ คนแถวนี้นี่ ก็เข้ามาไม่ได้ แต่เขาก็ไม่รุกรานเรา เพราะอะไร เพราะเราไม่เคย ไปเบียดเบียนเขา เอาเรี่ยไรมาทำบุญ เอาเงินมาทำบุญ หาวิธีล่อหลอกมา ทำเงินเอามา อันโน้น อันนี้ เราไม่เคยไปรบกวนเขา มีแต่บอกว่า เอาสิ คุณจะมาพึ่งเราบ้าง เขาก็ไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่ เขาก็มาพึ่ง มาพึ่งได้นะ อย่างมาพึ่งเรา ที่นี่ที่นั่น จะกินจะอยู่ จะโน่นจะนี่ มาก็ได้ เราก็ต้อนรับอยู่ แต่เขาก็เกรงใจ แต่เขาก็รู้ว่า เราไม่เบียดเบียนเขา เราอยู่ที่ไหน เราก็ไม่เบียดเบียน เพราะฉะนั้น ผู้ที่อยู่แวดล้อมนี่ เราไม่ได้เบียดเบียนเขาหรอก นอกจาก คนที่มีกิเลสมาก คนกระทั่ง หัวตีกลับบ้าง ไอ้พวกนี้มันบ้าๆบอๆ เขาก็มองอย่างนั้น คือพวกที่อเวไนยสัตว์น่ะ คือสัตว์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวว่า คุณค่าความดีคืออะไร เห็นกงจักรเป็นดอกบัว พวกเห็นความดีเป็นความชั่ว เห็นความชั่วเป็นความดี คือพวกนี้มีเหมือนกัน เป็นปัญญาหัวกลับ เรียกว่า ฉลาดหัวกลับ ซึ่งกลับเห็นดอกบัว เป็นกงจักร เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นดีเป็นชั่ว เห็นชั่วเป็นดี เห็นขี้โลภเป็นเรื่องน่านิยม เห็นการเสียสละ เป็นเรื่องที่ไม่ประพฤติ ไอ้พวกนี้กิเลสเขาจัดจริงๆ เขางมงายอย่างนั้นจริงๆ ซึ่งเป็นคนมีความคิดอย่างนั้นจริงๆ ซึ่งมันน่านิยมไหมล่ะ มันไม่น่านิยมหรอก แต่เขาไม่รู้ตัวจริงๆนะ คนอย่างนี้ พอมี เราก็เอาเถอะ ปล่อยเขา บาปบุญมันเรื่องของเขา เขาทำบาป มันก็เป็นเรื่องของเขา มันวิบาก มันเรื่องจริง ใครทำกรรมวิบาก มันก็เป็นเรื่องของเขาไป เราก็ไม่ต้องไปกด ไปข่มอะไรเขาหรอก เขาก็รับวิบากของเขาอยู่แล้ว ไม่ต้องไปข่มเหง ไม่ต้องไปเบียดเบียนอะไรเขา เขาก็เป็นไปของเขา เขาก็ทำของเขา บอกเขา เขาไม่เชื่อ เขาไม่รู้ เขาไม่เอาก็เรื่องของเขา เราก็ทำของเรา เพราะงั้นที่พูดนี่ พูดให้รู้สัจธรรม หลายๆอย่าง พ่อแม่ของนักเรียนที่มานี่ ก็มารับรู้รับฟังไป ให้รับรู้ว่า การที่ได้ให้เอาเด็ก มาที่นี่นี้ เพื่อมาสร้าง ให้มาเข้าใจสัจธรรม เข้าใจความประเสริฐ ที่จะเอาความประเสริฐนี้ไปเพาะบ่ม ไปฝึกฝนอบรมตน ให้ตนเอง เป็นคนมีความประเสริฐ อย่างที่พระพุทธเจ้า ท่านศึกษา แล้วเอามาประกาศ แล้วคนควรได้รับอาริยะ
อาริยะแปลว่า ความประเสริฐ คนควรจะได้รับอาริยะอย่างนี้ อารยะอย่างอื่น มันไม่สุดยอดเท่า อันนี้หรอก อาริยะอย่างของพระพุทธเจ้า นี่แหละ สุดยอด เดี๋ยวนี้เขาก็เรียก อริยะ เรียกอารยะอะไรอาตมาไม่เอา อาตมาเอาอาริยะ โดยประดิษฐ์คำ คำหนึ่ง ขึ้นมาแทน เพราะว่ามันเพี้ยนไปแล้ว อาริยะอะไร ก็บ้าๆบอๆ อะไร ออกนอกรีตไป อารยะก็เป็นแบบโลกๆน่ะ อารยะธรรมคน ชาวที่อารยะเขารุ่งเรือง ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยด้วยวัตถุอะไร เขาก็อาริยะ เขาเรียกอาริยะ ประเทศอารยะชน อารยะชาติอะไร อริยะชน เขาก็แปลไป เป็นพวกปลุกเสกเก่ง เป็นพวกเสกมนต์ เป่าอะไรก็แล้วแต่ เลอะๆ เทอะๆ อริยะ หลวงพ่อคูณ อะไรอย่างนี้ ซึ่งมันเลอะเทอะ พวกหนังสือปลุกเสก เขามีเยอะ หนังสืออะไรของเขาน่ะ พระเครื่องปลุกเสก ทำเครื่องราง ของขลัง รดน้ำมูกน้ำมนต์ มีเวทย์มนต์คาถา ทำอะไรน่ะ เลอะเทอะ อริยะอะไร มันจึงไม่รู้เรื่อง อาตมาจึงไม่ใช้ภาษา คำว่า อริยะ กับอารยะตามเขา ก็มาใช้อาริยะ อาริยะนี่คือ คำที่อยู่ในพระศรีอาริย์ นั่นแหละ เราเอาอาริย์อันนี้แหละ อาริยะ หรือ ศรีอาริยะเมตตรัย แปลว่า ความประเสริฐ เพราะงั้น ความประเสริฐนี่แหละ อย่างพระพุทธเจ้า ท่านเอามาสอน นี่แหละ มาเป็นคนอย่างนี้กัน เพราะงั้น ก็ไปคิดกัน แต่ละคนๆ มาได้รับความรู้ มาได้รับการฝึกฝน
ตอนนี้อาตมาก็ขอบคุณ ทั้งศิษย์เก่า ที่พยายามผนึก พยายามรวมตัว พยายามที่จะมาสืบเอา นำพาเอาวิชา ของพระพุทธเจ้านี้ เข้ามาพยายาม ที่จะมาเชื่อมต่อ มาทำให้เกิดการสร้างสรรขึ้นมา ในหมู่มนุษย์โดยเฉพาะ ก็พวกเราที่เป็นถือว่า เป็นพวกน้องๆ รุ่นน้อง ก็พยายามที่จะเอาภาระ สืบทอดกันเข้าไป เพราะงั้น ผู้ใดที่ยังอยู่ข้างนอก หรือยังจะออกไปข้างนอกนี่ ก็คิดให้มาก ว่าเราเอง เราเกิดมานี่ ฟังอาตมาพูดไปแล้ว จะเห็นดีเห็นชอบหรือไม่ หรือเชื่อหรือไม่ว่า เรานี่เกิดกันมา แต่ละคนๆ นี่เกิดกันมา ไม่รู้กี่ชาติแล้ว แล้วเราก็ได้วนเวียนอยู่นี่ เสร็จแล้วตายไป เขาก็ลืม เกิดมาชาตินี้อีก ก็มาถูกโลก เขามอมเมา นี่เป็นลิงลมอมข้าวพอง นี่มอมเมา นี่ไปกับเขา แต่ไม่หายนะ เป็นลิงลม ตลอดกาล ไม่ใช่ลิงลมอมข้าวพอง ลิงลมตลอดกาล คือ เมากับโลกีย์เขาไป ตลอดกาล จนตายก็ยังไม่รู้ตัว เราถูกมอมเมา โลกียะเขามอมเมา ต้องไปแย่งชิง ต้องไปหลงระเริง เสพติดอะไรอยู่กับเขา อยู่อย่างนั้นแหละ มันไม่รู้จบหรอก เพราะงั้น จะเกิดอีกกี่ชาติๆ อาตมาว่า อาตมาพูด ชัดที่สุดแล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัสอะไร ลึกซึ้งไว้เยอะ แต่ท่านไม่ได้ตรัส ละเอียดเหมือนอาตมา ท่านไม่ได้สอนรายละเอียด เหมือนอย่างอาตมา อาตมานี่สอนเด็กอนุบาล สอนเด็กไม่เดียงสา ต้องพูดกันอย่างนี้นะ อย่างนี้นะ ละเอียดไปถึงค่อยรู้เรื่อง ถ้าสอนอย่างพระพุทธเจ้า พวกเราไม่รู้เรื่องหรอก ถ้าเชื่อว่ารู้เรื่อง ก็ไปอ่านพระไตรปิฎกเถอะ จะรู้เรื่องซักแค่ไหน เพราะมันลึกซึ้ง และมันก็เข้มข้น คำสอนพระพุทธเจ้าน่ะ เข้มข้น คนไม่มีภูมิปัญญา ขยายความไม่ออก ตีความไม่ได้ มันยาก แต่อาตมานี่ สอนให้ง่าย อธิบายละเอียด แล้วก็ซ้ำวน พูดวนไปวนมา ซ้ำละเอียด เมื่อยจริงๆ แต่เมื่อยก็ต้องพูด สมณะหลายท่าน ท่านยังบอกว่า พ่อท่านนี่ สอนอยู่ได้ยังไง พูดซ้ำคำเก่าอยู่นั่นแล้ว พูดวนอยู่นั่น ทำไมไม่เบื่อหรือไง มันเบื่อไม่ลง มันไม่รู้จะไปเบื่อไปได้ยังไง เพราะว่า มันก็ต้องสอนยังงี้ ต้องแนะนำอย่างนี้ ขยายความละเอียด ลงไปกว่านี้ได้ ก็เอา พูดวนใหม่ เอาตัวนี้ มาตั้งหลักไว้ ก็ขยายความใหม่วนอีก เอาตั้งหลักวนอีก ยังไม่รู้อยู่นั่นแหละ โอ๊ยไม่รู้จะทำยังไง แต่นี่ก็เข้าใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็ยังดีนะ
อาตมาก็อายุ ๗๑ เดือนมิถุนายนนี่ ก็เต็ม ๗๑ อีกกี่เดือน อีกกี่เดือน อู๊ย มอๆแล้ว ฮอมแล้วๆ มอๆ ใครรู้บ้างใกล้ ฮอมแล้ว ใครรู้บ้างเกือบ มอๆ นี่ใกล้หมิ่นๆ แล้วมอๆนี่หมิ่นๆแล้ว ฮอมนี่ก็หมายความว่า เกือบแหละๆ ภาษาอีสานวันละคำ ใกล้จะ ๗๑ เต็มแล้ว แหมนึกว่าเราจะสามสิบ นี่เหมือนไหมๆ ยังจ๊าบอยู่เนาะ ยังจ๊าบอยู่ เหมือนอายุ ๓๐ จะ ๗๒ แล้ว อาตมาเอง อาตมาบอกพวกเราได้ว่า อาตมานี่ มีอายุขันธ์ ๗๒ปีแล้ว ก็จะต้องตายภายใน ๗๒ ปี เป็นเรื่องที่อาตมารู้ จะเชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่ เป็นเรื่องภูมิธรรมของอาตมา อาตมารู้นานแล้วหละ ก็เคยเผลอพูดไป ตอนแรกๆ เผลอว่า โอ๊ย อายุอาตมา จะ ๗๒ พอมารู้สึกตัวว่า เอ๊ะเราพูดไปไม่ดีหรอก เพราะพวกเรา มันจะกลัว หรือจะอะไรไม่ดี ก็เลยไม่พูด เลยหยุดพูด มานาน หลายปี แต่ตอนนี้ มาถึงวันนี้แล้ว ก็คิดว่า เอ๊ะ พวกเรา ถ้าไม่เตือนกัน ไม่บอกกัน ไม่อะไรกันนี่ มันจะกลายเป็นเรื่องประมาท เห็นอาตมาแข็งแรง หนุ่มแน่น กระปรี้ประเปร่า ก็จะว่า โอ๊ย พ่อท่านยังไม่ตายง่ายๆหรอก อย่างนี้เหรอ อีกสิบปียี่สิบปี ยังสบายมาก ประเดี๋ยวจะหลงผิด นึกว่าอาตมานี่ เฮ้ยไม่เป็นไร พ่อเรายังไม่ตายยังไงก็ได้ ขี้เกียจมั่งก็ได้ มันประมาทได้จริงๆนะ เพราะงั้น อาตมาไม่อยากให้ประมาท ก็เลยบอกว่า อย่าทำเป็นเล่นไป แม้มันจะมีเหตุการณ์ มาบอกว่า โอ๊ย อาตมาจะพยายามอายุให้ ๑๕๑ อะไรต่ออะไร ก็พูดไปงั้นแหละ เพื่อแก้เคล็ด แก้ขัด บางคนก็บอกว่า โอ้โฮ..ตาย แหมมันหมดแรงเลยนะนี่ พ่อท่านจะตาย ๗๒ แล้วจริงๆนะนี่ ตาย หมดแรงแล้ว มันก็จะแย่อีก เหมือนกัน ก็เลย เอ้าก็แก้กันไป เอ้า ๑๕๑ แต่ไม่แน่นะ มันจะเป็นไปได้เหรอ คนนี่ ๑๕๑ คิดว่ามันจะถึงเหรอ โอ้โฮ ๑๕๑ นี่มันไม่ใช่ธรรมดานะ กระดูกมันจะไหวเหรอนี่ เบอร์อะไรไม่รู้ กระดูกมันจะกร่อน ก่อนไหมนี่ ๑๕๑ นี่มันไม่แน่นะ แต่ต้องใช้วิธีการนะ อาตมาก็ต้องใช้วิธีการพูดว่าเอ้า ๗๒ ปีนี่ดีไม่ดีเสียนะ ตายนะ ประมาทไม่ได้ แต่อาตมา ก็พยายามอยู่ จะพยายามให้ไป แต่อย่างไรก็ตาม อาตมาก็พิสูจน์ ให้พวกเราเห็นว่า ถึงแม้ว่าอาตมาจะอายุ ๗๐ กว่าแล้ว อาตมาก็ยังกระปรี้กระเปร่า ยังแข็งแรง ยังไม่แหมโอยโอดอะไร มันเป็นไงน่ะ มันเหมือนคนแก่อายุที่บอกว่า ๖๐ ๗๐ หลายคนเขาก็ย่ำแย่แล้ว แต่อาตมาว่า อาตมายัง กระปรี้กระเปร่า แข็งแรง ยังทำงาน ยังไม่ได้ย่อยั่นอะไร ได้ยังเป็นไปอยู่ ยังพอไป เมื่อร่างกายมันเห็นอย่างนี้ คนก็จะบอกว่า โอ๊ยไม่ตายหรอก ๗๒ มันก็จะประมาท เพราะงั้น จึงจำเป็นต้องมีวิธีพูด หรือมีอะไรต่ออะไรใช้บ้าง ให้พอเป็นพอไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม อย่าประมาท ทุกวันนี้ คนนี้ตาย เอ้าเห็นหน้ากันอยู่ เมื่อวานนี้ ยังตีกอล์ฟอยู่ด้วยกันเลย ทำไมวันนี้ตายแล้วล่ะ หัวใจล้มเหลว เคยได้ยินไหมเ พราะงั้น ประมาทไม่ได้ เห็นกันอย่างนี้เถอะ อาจจะวูบไปแล้ว ก็ไปซะแล้วก็ได้ นี่ไม่ใช่พูดขู่ ไม่ใช่พูดให้ตกใจ แต่ว่าเราต้องเป็นคนไม่ประมาท เราจะต้องพยายามพัฒนา พยายามที่จะต้อง ทำอะไรให้มันดีขึ้น วินาทีทุกวินาที ทุกอย่าง มันก็เลื่อนไหล ไปสู่ที่สุดของมัน เกิดแก่เจ็บตาย อาตมาก็เลื่อนไปสู่เวลาตาย เพิ่มขึ้น มันไม่มีอะไรห้าม มันเป็นเรื่องจริง ที่มันเถียงไม่ได้
ตราบที่เรายังมีชีวิตอยู่ ร่วมกัน สามารถที่จะช่วยเหลือ เฟือฟายกันได้ มีอะไร ก็ยังเข้ามาโอภาปราศรัย หรือ ขอคำแนะนำอะไร ก็แล้วแต่ หรือแม้แต่ที่สุด ก็บอกสอนนำพา ก็อย่าสูญเสียเวลาเปล่า จริงๆแล้ว ไม่แน่หรอก ว่าอาตมาจะตายก่อน พวกเรานี่ ตายก่อนอาตมาได้ไหม (ได้ค่ะ) มันไม่แน่ มันไม่แน่หรอก อย่าประมาทเลย คนเรานี่ อย่าว่าแต่ว่าเอ๊ย อาตมาตายก่อนอายุยาวกว่า มันไม่แน่หรอก พวกคุณนี่ อายุ น้อยกว่านะนี่ อาจจะตายก่อนก็ได้ เพราะงั้น พูดไปนี่ก็อย่าหาว่าอวดว่าโอ่ ว่ายกตัว ยกตนอะไรเลย คนที่อายุ ๘๐ แล้ว ที่นี่ก็มีแล้ว ก็อยู่ที่นี่แล้ว เลือกที่นี่แล้ว เพราะไม่เห็นว่าที่อื่นดีกว่านี้ จึงมาอยู่นี่ โยมใจเย็น ก็พึ่งกลับมา บอกมาขอตายที่นี่แหละ ไม่ต้องห่วง เผาให้แน่นอน รับรองสับปะเหร่อไม่รังเกียจนะ บางทีสับปะเหร่อ อาจจะไปก่อน อายุ ๘๐กว่าแล้ว ก็มาอยู่ที่นี่ เพราะเห็นว่า ที่นี่ดี อายุ ๖๐ กว่าแล้ว ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพราะเห็นว่า ที่นี่ดี เป็นชุมชนเป็นหมู่กลุ่ม ที่จะเอาชีวิตมาร่วมหัวจมท้าย ฝากผีฝากไข้ ร่วมสร้างร่วมสรร กันยู่ที่นี่แหละ อายุ ๔๐ กว่า ที่อยู่ที่นี่ก็ เห็นว่า ที่นี่ดี ทีนี้พูดกลับ เห็นว่า ที่อื่นไม่ดีเท่า บอกแล้วว่า อย่าคิดว่า อาตมาพูดข่ม พูดยกตัวข่มคนอื่น อะไรต่ออะไร มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ทั้งๆที่อยู่ที่นี่ ได้เงินเดือนเท่าไหร่ อายุ ๖๐ อายุ ๔๐ ได้เงินเดือนเท่าไหร่ ได้ลาภได้ยศเท่าไหร่ ไม่มีหรอก ได้กินฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ได้จ่าย ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ไม่ ที่อื่นมีให้มากกว่านี้มีนะ พวกเรานี่หลายผู้หลายคน อยู่ในที่นี่ ถ้าจะไปอยู่ที่อื่นนี่ เขาให้เงินมากกว่านี้ เขาเลี้ยงดูมากกว่านี้ บางคนบอก มีลูกมีเต้า มาอยู่ที่นี่ล่ะ แม่ไปอยู่ทำไมที่อโศกน่ะ มีอยู่มีกิน มีหรูหราให้กิน ให้ใช้มากกว่านี้ ไม่ไปเพราะอะไร
ก็เพราะเข้าใจว่า นี่เป็นที่ที่เป็นมวลมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นปฏิรูปเทสวาสะ เป็นปฏิรูปเทสวาสะ เป็นสถานที่อันควรอยู่ ได้ประมวลแล้ว ได้พิจารณาแล้ว ที่อื่นก็รู้ที่อื่นก็มี ที่จะกินอยู่ดีกว่านี้ อยู่ร่ำรวยกว่านี้ หรูหรากว่านี้ได้อะไรให้แก่บำเรอตน มากกว่านี้มี แต่ไม่เอา มาเอาที่นี่เพราะอะไร นี่เป็นต้น ก็เพราะว่า เราเข้าใจว่า อยู่ที่นี่แหละ ชีวิตมนุษย์นี่มันจะได้สิ่งที่ประเสริฐกว่า ที่นี่แหละ ที่อาตมาหยิบมา ยืนยันให้ฟัง นี่ก็เพราะว่า เราไม่ได้ปิดบังอำพราง เราไม่ได้ไปหลอกล่อ ว่าเรามาอยู่ ยังงี้นี่นา จะได้อันโน้นอันนี้ จะได้ยังงั้น จะได้บุญมาก จะได้ดีมาก จะได้ประเสริฐมาก หรือว่าจะได้ร่ำรวยมากแบบโลกๆ อะไรต่ออะไร ก็ไม่มีจะประเสริฐจริงๆ ก็แบบโลกุตระประเสริฐอะไร มาจน มาเลี้ยงง่าย บำรุงง่าย มามักน้อย มาสันโดษ หรือมากล้าจน มาสันโดษ
เมื่อเช้านี้อาตมาไม่ใช่แอบหรอก อาตมานอนอยู่ ก็หลับบ้าง ไม่หลับบ้าง ก็ฟัง ได้ยินสมณะ ได้ยินสิกขมาตุพูด มีท่านองค์หนึ่ง อาตมาพูดตรงๆ เลยนะ โอ้อวดอ้างว่าตัวเอง นามสกุล มุ่งมาจน อย่างผ่าเผย อาตมาใช้คำว่ายังงี้นะ ไปถามท่านว่า ท่านจะมีอะไรอย่างนี้หรือเปล่าไม่รู้นะ นี่อาตมามุ่งมาจน เป็นคนที่สองนะ ใช่ไหม ท่านพูดยังงี้ ใช่ไหม เมื่อเช้าอาตมามุ่งมาจน เป็นคนที่สองนะ แหมภาคภูมินะ นามสกุลมุ่งมาจน จะมาจน ภาคภูมิ มันอะไรกันนะ มันดูตลก ใช่ไหม ฟังแล้ว เอ๊ย พวกนี้มันบ้าหรือเปล่าว้า ไม่บ้าก็เมาละวะ เมาลำโพงหรือเปล่า
รู้จักไหม ลำโพงคืออะไร ลูกลำโพงกินแล้วเมา ลูกไม้ชนิดหนึ่งกินแล้วมันเมา นี่จริงไม่ใช่ ลำโพงนี่นะ ไม่ใช่เมาลำโพง อย่างลำโพง ไอ้นี่ไม่ใช่ลูกลำโพง เมา ไม่ใช่เมา ไม่ใช่พูดอย่างคนบ้า หรือคนเมา
แต่พูดอย่าง มีความเข้าใจ มีความรู้สึก มีความจริงใจ ว่าเรามาเป็นคนชนิดนี้เถิด เพราะเราเป็นคนจน นี่ไม่ใช่จน นี่เป็นคนจนมหัศจรรย์ ไม่ใช่คนจนสิ้นไร้ไม้ตอก เป็นคนจนสำมะเลเทเมา เป็นคนจนอะไรอย่างโลกๆเขา อะไรน่ะ ไม่ใช่ มันเป็นคนจนที่เต็มใจจน จนที่มีสมรรถนะ จนมีคุณค่า จนมีประโยชน์ต่อโลก ต่อสังคม คนจนชนิดไหนวะ มีประโยชน์ต่อโลกต่อสังคม คนจนไม่เบียดเบียนสังคม แต่ช่วยสังคมเขาซะอีกวะ คนจนแบบนี้ มันเป็นคนมหัศจรรย์จริงๆ แปลกไหม แปลกแต่จริง แปลกแต่จริง เป็นคนจนแปลกแต่จริง เพราะงั้น ก็ที่พูดที่อะไรนี่ อธิบายถึงเวลา อาตมาก็เล่า ถึงเวลาอาตมาก็เอาอันนั้นอันนี้ มายืนยันน่ะ มาพูด มาประกาศ มาบอกให้คิด ให้เอาไปพิจารณา เสร็จแล้ว ก็ตัวใครตัวใคร บาปบุญก็ของตัวเอง กรรมเป็นกำเนิด กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมเป็นของของตน เราเอง ทั้งนั้นแหละ เราจะไปทำกรรม อย่าไปร่วมกรรม ร่วมกรรมกับชาวโลก คุณไปมอบตนในทางผิด นิปเปสิกตา ไปร่วมมือร่วมไม้ อยู่กับชาวโลก ไปอยู่กับบริษัทนี้ ๆ บริษัทมันก็โกง ก็กิน ก็ดูด ก็เอาเปรียบเอารัดนั่นแหละ บริษัททุนนิยม มันเอาเปรียบเอารัดทั้งทุกบริษัทแหละ และมันก็บอกว่า กำไรทุกปี ปีนี้กำไรสามล้าน ปีนี้กำไรสิบล้าน ปีนี้กำไรร้อยล้าน มันก็ดูด เอาเปรียบเอารัดคน มาทั้งนั้นแหละ คุณก็อยู่ในบริษัทนั้น ต่อให้คุณ ไม่ต้องไปโกงหรอก แต่คุณกินเงินเดือนของเขา อยู่ในบริษัทนั้น คุณก็ร่วมอยู่กับไอ้ปลาเน่า อยู่ด้วยกันกับข้องนั้น ของขานั่นแหละ หรือปลามีพิษ หรือปลามีบาป คุณก็ร่วมกินปลา มีบาปตัวเดียวกันกับเขา ใช่ไหม เพราะเงินกองของบริษัทนั้น กองเดียวกัน คุณก็แบ่งเอาเงินเดือน จากเขามาใช้อยู่ยังงั้นหละ ก็เขาเอง เขาทำอยู่กับโลก เขาก็ขูดรีดโลก ขูดรีดสังคม และคุณก็แบ่งเอาเงิน ที่เขาขูดรีดสังคมนั่น มากินมาใช้ ก็เท่ากับคุณกินปลาเน่า ตัวเดียวกันกับเขานั่นหละ หรือปลามีพิษ ตัวเดียวกันกับเขานั่นแหละ ใช่ไหม นี่นิปเปสิกตา มอบตนในทางผิด คุณก็สั่งสมไปสิ บาปเวรก็เป็นของคุณเอง กัมมัสสะโกมหิ กัมมสกตา กรรมเป็นของของคุณ ก็คุณก็ไปร่วมทำ ร่วมกิจร่วมการ ร่วมได้ร่วมเสียอะไรกะเขา คุณได้เงินนั่นมา แต่คุณก็เสีย เสียในวิบากกรรมของคุณก็เสีย เพราะว่าคุณเอง คุณเป็นหนี้เป็นบาป มันไม่ได้เป็นบุญ เป็นกุศลอะไร ก็ไปทำ ดีไม่ดี ก็ไปฝึกฝนตนเอง ให้เป็นคนที่มีฝีมือ ในการที่จะชำนาญในการเอาเปรียบเอารัด ขูดรีดทำบาปนั้นเอง สรุปง่ายๆ ไปมีฝีมือในการทำบาป
เพราะงั้น ถ้าเขาจะไปอยู่ในสังคมโลกข้างนอกนี่ คุณล้วนแล้วแต่ไป ๑. ร่วมประกอบหรือประกอบร่วมกับเขา ๒. ก็ไปฝึกฝน ๓. ก็ไปแบ่งบาปกับเขา โอ้ย อยู่ดีก็ไม่ว่าดี ก็ไปแบ่งเอามาทำไมบาป แต่คุณต้องเอา อย่างที่อาตมายกตัวอย่างให้ฟังแล้ว นอกจากคุณจะไปทำงานส่วนตัว และทำงานอิสระ จะต้องดำเนินแบบบุญนิยมนี่ จะไปทำธุรกิจค้าขาย ไปทำการสร้างสรร ไปทำการผลิตอะไร ก็ตามใจคุณ ก็จะต้องทำแบบ บุญนิยม แม้ที่สุด คุณจะไปรับใช้ ไปรับจ้าง เอาแต่ค่าแรง ค่าความรู้ของเรา ไม่สร้างผลผลิตอะไร เอาแต่ความรู้ของเรา คุณก็จะต้องไปทำ ด้วยอัตรา อย่างบุญนิยม จึงจะรอดบาป แต่ถ้าไปเอาอัตราทุนนิยม เขาให้เงินเดือนคุณ ๒ หมื่น อัตราทุนนิยมบาปแล้ว คุณทำงานให้เขา แล้วคุณก็เอาราคา ความสามารถ รับจ้างเขา เอาเงินเดือนสองหมื่น มันเป็นราคาบาปแล้ว คุณทำงานส่วนตัวของคุณเลย คุณก็ต้องคิดแบบบุญนิยม แต่ถ้าคุณจะทำงานส่วนตัว คิดแบบบุญนิยม มันเหนื่อยนะ คุณไม่มีเพื่อนร่วมบุญนิยมนี่ คุณทำคนเดียวนี่ จะทำให้เป็นของดีราคาถูก ต่ำกว่าทุนอะไร ก็ตามใจนี่ โอ้โฮ.. เหนื่อยมากเลย ไม่มีคนช่วย ไม่มีใครเฉลี่ยแรงงาน
แต่ถ้าอยู่กัน ที่นี่ โอ้โฮ หลายคนช่วยกัน คนแรงงานช่วยกัน ผลิตออกไป แล้วก็ได้ปริมาณมากด้วย เพราะว่า เรามารวมกันสร้าง มารวมกันสร้าง มันก็จะสร้างในปริมาณมาก ทำเป็นการสร้างสรร อยู่ในระบบสูงขึ้นมากขึ้น เรียกว่า mass product เป็นกลุ่มสร้าง และจะเกิดการผลิตที่ใหญ่ขึ้นๆ เรื่อยๆ ถ้าคุณไปทำส่วนตัว ใหญ่ขึ้นเอง คุณจะต้องไปจ้างคนข้างนอก คุณจะต้องต่อสู้ กับคนที่หากิน แล้วคุณจะมีเพื่อนร่วมงาน ไม่เหมือนอย่างนี้ มันก็จะต้องหาทาง เอาเปรียบเอารัด ลูกจ้างก็ตาม อะไรก็ตาม มันยาก ทั้งนั้นแหละ
นี่อาตมาก็ค่อยๆ ขยายความให้ฟัง ใครจะไปทำก็ลอง นี่เราจะไปทำ ไปลองกันอยู่ หรือแม้แต่จะไปเรียนให้จบ แล้วก็จะไปรับราชการ ราชการก็ฉ้อฉลเป็นบาป อย่างที่อาตมา เคยพูดเอาไว้ เพราะว่าเอาราคาค่าตัวขึ้นมา และฉ้อฉลด้วย เพราะว่าเงินราคา อัตรารัฐบาลนี่แพงสูง อัตราของกรรมกร ค่าแรงงานเขาตั้งไว้ต่ำ นั่นคืออัตราที่ไม่ใช่ข้าราชการ เพราะเป็นคนราษฎรทั่วไป เขาก็ตั้งราคาอัตราค่าแรงงาน ของประชากร ของราษฎร ไว้แค่ต่ำ แต่อัตราค่าแรงงาน ของข้าราชการ ขั้นต่ำ เขาก็เอาไว้สูงๆๆๆ ตลอดเวลา คูณค่าแรงงานคนทั่วไปสิ มันไม่มีทางทัน ค่าแรงงานขั้นต่ำ ของข้าราชการหรอก นี่คือความชัดเจน ของผู้ที่ตั้งเอาเปรียบ อยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ข้าราชการขั้นต่ำสุด เขาจะต้อง เท่านั้น ซึ่งแพงกว่า อัตราของราษฎรทั่วไป นี่เป็นการชี้บ่งชัดเจนอยู่ว่า อัตราเงินเดือน ของข้าราชการนั้น ฉ้อฉล เอาเปรียบเอารัด ยิ่งชั้นสูงๆ ราคาสูง โอ้โฮ ยิ่งบ้าเลือดเลย ก็ยิ่งบาปมาก แต่ทางธรรมนี่ คนที่ทำงานทางธรรมนี่ ยิ่งความรู้ ความสามารถมากขึ้น ยิ่งมีภูมิธรรมสูงขึ้น ยิ่งเอาเงินมากหรือเงินน้อย ยิ่งสูงสูงสุด ยิ่งไม่เอาเงินเลย ทางโลกเขายิ่งสูง ยิ่งเก่งยิ่งมาก ยิ่งเอา ตีราคาค่าตัวแพงๆ สูงมากๆๆๆขึ้น ผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพฯ เงินเดือนเท่าไหร่ รู้ไหม หนึ่งล้านห้าแสนบาท คุณได้ยินไม่ผิด ๓๐ วัน เขาได้ หนึ่งล้านห้าแสนบาท ผู้จัดการธนาคารกรุงไทย เงินเดือนเท่าไหร่ รู้ไหม นี่อาตมารู้ตัวเลข เขามาจริงๆ ไม่ใช่เอามาพูดเล่น ผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย เงินเดือน เดือนละ หนึ่งล้านสี่แสนบาท แต่ไม่ได้หมายความว่า ในประเทศไทยนี้ มีคนเงินเดือน ล้านห้าแสนนี่สูงสุด ไม่ใช่ คนที่เขาทำงานที่อื่น ร้านอื่นอะไรอื่น กิจการของเขา เขาจะมีรายได้ เดือนละ สองล้านห้า เท่าที่เขาสำรวจแล้ว ในประเทศไทย ขณะนี้ มันมี ทีนี้คิดกิจการ กิจการเดือนหนึ่ง ไม่ใช่เดือนหนึ่ง หักแล้วนี่ เขาได้เดือนหนึ่งนี่ รวมรายได้ค่าได้ เดือนหนึ่งนี่ ตกเข้าไปเป็น หมื่นล้าน วันละ สามสิบกว่าล้าน วันละนะ รายได้คนไทย มีคนไทย มีกิจการในเมืองไทย ขณะนี้นี่ คือความฉ้อฉลของสังคม ในประเทศไทย แล้วเขาก็หอบกอบโกย เอาเงินนี้ไป ไม่หยุดยั้ง รักษาตำแหน่งนี้ จะต้องได้รายได้ วันละ เดือนละ ปีละประมาณเท่านี้ อย่าให้ตก จะต้องรักษา ตำแหน่งแชมเปี้ยน ตำแหน่งให้สูงไว้เรื่อยๆ แล้วก็แข่งกัน ที่จะเข้ามา มันก็แข่งกัน มีแต่แข่งกัน เพื่อที่จะมารีดนาทาเร้น เอาเปรียบ ให้สังคมเดือดร้อน ในวิธีคิดอย่างทุนนิยมนี้ อยู่ในโลก บาปคูณบาป ยกกำลังบาป มีการดำเนินชีวิต ไปหาบาปบวกบาป คูณบาปยกกำลังบาป ขึ้นไป ตามลำดับ ใครอยากจะเป็นอย่างนั้น ก็เชิญเถอะ
อาตมาเองนี่ อาตมาเล่าให้ฟังนี่ ไม่ได้ใส่ความเขาเลยนะ พูดเรื่องจริงให้ฟัง พูดเรืองจริงให้ฟัง ที่อาตมาบอกว่า วันละ สามสิบกว่าล้านนั่นน่ะ คุณลองคิดดู คูณดูซิ วันละสามสิบกว่าล้านนี่ เดือนหนึ่งเขาได้เท่าไหร่ ๙๐๐ ล้าน เดือนหนึ่งเขา ๙๐๐ ล้าน ปีหนึ่งเท่าไหร่ คิดเป็นพันก็ได้ เอ้าเดือนหนึ่งพันล้าน ปีหนึ่งเท่าไหร่ หมื่นสองพันล้าน สิบปีเขาได้ แสนสองหมื่นล้าน ใช่ไหม ขณะนี้ มีกลุ่มทรัพย์กลุ่มทุน ที่มีรายได้ หรือมีผลได้สิบปีนี่ เขามีรายได้ถึงแสนเท่าไหร่ เมื่อกี๊ แสนสองหมื่นล้าน เฉลี่ยแล้ว วันละสามสิบล้าน คนที่มีหลักทรัพย์ขนาดนี้ คนที่บอกเลิศขนาดนี้ เขาก็มีกว่าแสนล้าน แต่นี่เขาทำหลายสิบปี รวมมาเขาหลายสิบปี แต่ตอนนี้คนที่ได้แสนล้าน เดี๋ยวนี้ไม่บอก แต่เขาแตกเงิน แตกไปไว้ให้ลูก แตกไปไว้ให้เมีย แตกไปไว้ให้พี่เขย แตกไปไว้ให้.. เงินเลยไม่รวมก้อนเดียว ทรัพย์สินเขา เลยไม่รวมก้อนเดียว แต่ถ้ารวม ก้อนเดียว กว่าแสนล้าน หลายแสนล้าน ขณะนี้มีอยู่แล้ว ในระยะสิบปีนี้ นี่คือประเทศไทย
อาตมาอยู่ในวัด แต่อาตมาก็ตาหูไปสอดส่าย รู้มา อะไรมานี่ ไม่ใช่เรื่องที่อาตมา เพราะอาตมาพูดอย่างนี้ ใครนึกออกไหมว่าจริง นึกออกไหม ว่าคือใครหนอ นี่คือสภาพของสังคม เป็นอย่างนี้นะ เพราะงั้น สภาพของสังคม เป็นอย่างนี้ไปนี่ เราก็เห็นแต่ว่า มันจะเดือดร้อน ประชาชนจะเดือดร้อน เราจึงต้องช่วย เราไม่ไปแข่ง จะเป็นอย่างนั้นหรอก ใครยังคิดอย่างนั้นอยู่คือ ปาปกังทิฏฐิคตัง ภาษาบาลีนะ เป็นความเห็นอันลามก เป็นความคิดที่บาป ปาปกังทิฏฐิคตัง ใครที่มีความคิด ที่จะต้องไปร่ำไปรวย ไปเป็นแบบนั้นกับเขา นี่คือคนที่มีความเห็นลามก เป็นความคิดบาป อย่าไปคิดอย่างนั้น เป็นอันขาด เราคิดมาเป็นทางนี้ เพื่อที่จะช่วยมวลมนุษยชาติ เพื่อที่จะทำให้สังคม เขาอยู่ดีกินดี มีกินมีใช้ เผื่อแผ่เจือจานกันถึงกัน เพราะงั้น ชีวิตเราจะเกิดมาทั้งชีวิตนี่ ถ้าเราจะเป็นคนที่ดำเนินชีวิต แบบนี่แหละ พยายามที่จะทำให้ตัวเองก็สบาย ที่จริงเราก็ พออยู่พอกิน กินขนาดนี้ เราก็ไม่มีปัญหาหรอก ฝึกหน่อย อบรมหน่อย ก็อาจจะลำบากใจ เล็กๆน้อยๆ เอ้อมันฝืนกิน ก็เอ้อ มันไม่ได้กินตามใจนัก ใช้ไม่ได้ใช้ตามใจนัก แต่มันก็ไม่ตาย มันก็ไม่เดือดร้อน ดิ้นรนอะไร มันก็พอเป็นพอไป แต่เราได้สร้างสิ่งที่ดีงาม เราได้กอบก่อสิ่งที่ดีงาม เราได้เป็นคนทำประโยชน์ ให้แก่สังคมแก่มนุษย์ไป วันแล้ววันเล่าๆ จนถึงตาย นี่น่าภูมิใจไหมนี่ เป็นคนอย่างนี้ อาตมาว่าน่าภูมิใจ ดีกว่าที่จะไปเป็นคน ดีไม่ดีก็ตัวเราเอง ไปเข้าข่าย ไปเป็นลิ่วล้อ ไปเป็นเบ๊ นิปเปสิกตา ไปมอบตนอยู่ในทางผิด ไปช่วยเหลือเฟือฟายเขา หรือว่าไปทำอะไร อยู่อย่างโน้นล่ะ มันไม่แบบนี้หรอก ถ้าแบบนี้แล้ว เราพาให้หลุดพ้นออกมา จากมิจฉาอาชีพ ๕ อย่างที่อาตมาสอนกันแล้ว บอกกันแล้ว สอนกันแล้ว เอามาสอน เอามาแนะนำกัน ให้เรามาประกอบอาชีพที่อย่างนี้ และเป็นอาชีพที่ประเสริฐ เป็นอาชีพที่เป็นบุญเป็นกุศล เป็นคุณค่าต่อโลก ต่อสังคมไป
อาตมามั่นใจว่า ชีวิตของคนปัจจุบันนี้ก็ตาม มีคนถามว่า แล้วระบบบุญนิยมนี่ มันจะเจริญ มันจะโตไปอีก ต่อไปข้างหน้าไหม อย่างนี้มันยากนะ มันจะเจริญรึ อาตมาก็ตอบว่าเจริญ เพราะอะไร เพราะวัสดุ เพราะทรัพยากรโลก ทุกวันนี้นี่ มีมากขึ้นหรือร่อยหรอลง (ร่อยหรอลงค่ะ)
๑. วัตถุดิบทรัพยากรโลกร่อยหรอลง ไม่ใช่มีมากขึ้น
๒. พลเมืองจะมากขึ้นหรือลดลง (มากขึ้น) เอ้าสองข้อนี้ โลกแย่งกันไหม (แย่งกันค่ะ) ต่อไปข้อที่
๓. คนกิเลสจะมากขึ้นหรือกิเลสลดลง (มากขึ้น) เอ้า ๓ กิเลสมากขึ้น เพราะฉะนั้น คนจะอำมหิตมากขึ้น คนจะขี้โลภมากขึ้น คนจะต้องรุนแรง มากขึ้นแน่นอน
๔. ตกลงสังคมมนุษยชาติ จะทุกข์มากขึ้นหรือทุกข์น้อยลง (มากขึ้น) ชาวสังคมอาตมาไม่เอาอีก จะหาเหตุผลมาเอาอีก เพิ่มมากกว่าสี่ข้อนี้ก็ได้ เอาแค่สี่ข้อนี้ก่อน สรุปมาชาวอโศก สร้างสิ่งที่ มันขาดแคลนวัตถุดิบธรรมชาติอะไรมันขาดแคลน พยายามสร้างขึ้นมากินมาใช้เอง และให้มันเหลือเฟือ เพื่อที่จะสะพัดให้แก่สังคม แก้ประเด็นข้อหนึ่งแล้ว ๒ อะไรข้อสอง คนมากขึ้น เราก็มาพยายามลดประชากร โดยไม่เพิ่มคน มาสอน ให้แต่งงานน้อยลง เพิ่มพลเมืองน้อยลง แต่ห้ามไม่ได้หรอก มันก็มีบ้าง ก็คงจะไม่พยายามผลิตกัน ๘ คน เท่ากับท่านชัดแจ้ง คงไม่น่ะ ปล่อยให้ท่านชัดแจ้งไป แต่ผู้เดียว พวกชาวอโศก คงจะไม่มีใครเอาอย่าง แหมชาตินี้ ผลิตออกมาตั้ง ๘ คน ไม่เอา ก็คนจะน้อยลง ๓. คนกิเลสหนาขึ้น ข้อที่๔. ทุกข์มากขึ้น แค่สี่ข้อนี่ ของชาวอโศกเรานี่ ทุกข์น้อยลง กิเลสน้อยลง ช่วยลดพลเมือง ช่วยสร้างทรัพยากร แค่สี่ข้อนี้ ชาวอโศก กลุ่มคนอโศกนี้ เป็นคนดี หรือคนประเสริฐไหม มนุษย์เรานี่แสวงหาความโง่ หรือความฉลาด (ความฉลาด) แล้วเขาจะรู้บ้างไหม ว่านี่ดี ดีจริงๆนะนี่ อาตมาพูดให้ฟัง ด้วยหลักสัจธรรม ดีจริงๆใช่ไหม เพราะฉะนั้น
ในอนาคตนี่ สิ่งนี้นี่ ใครจะถอยหลังบ้าง ใครจะถอยหลังบ้าง ไม่มีใครกล้ายกซักคน ต้องใช้คำว่า อย่างงั้น ไม่มีใครกล้ายก เพราะอยู่ต่อหน้าที่นี่ ไปกล้ายกได้ยังไง เพราะงั้น คนที่ไม่ถอยหลังจริงๆนี่มีแน่ เมื่อคนไม่ถอยหลังจริงๆ มีแน่ แล้วมันจะสูญพันธุ์เหรอ ๑ ความดี ยังงี้ทางโลกเขาก็ชอบ เขาก็เห็นด้วย ขาก็ต้องส่งเสริม เขาก็ไม่กล้ามาทำลาย นับวันชาวอโศกเรา ได้รับการยอมรับ มากขึ้นๆ เพราะเขาไม่กล้าทำลาย มันเป็นสิ่งดีที่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะฉะนั้น มันจะต้องขยายโตขึ้นแน่ๆเรื่อยๆ เด็ดขาดเลย เพราะฉะนั้น
คนมาถามว่าอโศกนี่ มันจะฝ่อไหม มันจะหมดสูญไหม แม้พวกเราจะรู้สึกว่า แหมมันฝืดโอ้โฮ ..เราก็อยู่ไม่ไหว ทนไม่ไหว แล้วมีคนออกไปก็ตามแต่ ในปริมาณคนออกไป กับคนเพิ่มขึ้น อโศกนี่คนลดลงหรือเพิ่มขึ้น กิจการก็เพิ่มขึ้น พฤติกรรมก็เพิ่มขึ้น มวลประชากรก็เพิ่มขึ้น ไม่ได้หมายความว่า ลดลงเลย จริง มันมีเข้ามีออก คนที่รู้สึก ไปมองแต่ว่า โอ้ยมันอด มันทน เพราะแต่ละคนนี่ มันต้องอดทนอยู่ มันยังไม่บรรลุอรหันต์ มันจะต้องมีอดทน ไม่มากก็น้อย ไปตามลำดับเ พราะฉะนั้น เราก็เลยมองเผินๆ ว่าเหมือนกับ ไม่อดไม่ทนนะ คนอื่นเขาอดเขาทน เราก็อดก็ทนอย่างนี้แหละ ซักวันหนึ่ง เราคงทนไม่ได้ แต่คนที่รู้ตัวแล้วว่า ถึงยังไงเราก็ทนได้โดยไม่ยาก ทนได้โดยไม่ลำบาก ในฌานทั้งสี่ ฌานทั้งสี่ หมายความว่า เราเพ่งเผากิเลสของเราไปได้อยู่ คือเรารู้กิเลสแล้วเราก็เพ่งเผากิเลส เมื่อมันมี เราก็สู้ได้ทนได้ เพราะเรามีฌาน คือเราสามารถทนได้ โดยไม่ยาก ทนได้โดยไม่ลำบาก ในฌานทั้งสี่ สามารถทำมันได้ ไม่เป็นไรหรอก เราทนได้ ฌานแบบพุทธนะ ไม่เป็นไรหรอก มันอยู่ได้ เพราะงั้น คนพวกเรา ก็จะอยู่ไปอย่างนี้ แม้กิเลสจะยังไม่หมด จนกว่ากิเลสเราหมด ฌานก็ได้อย่างสบาย ไม่ต้องทน วิมุติเราก็มีสมบูรณ์เป็นพระอรหันต์ แล้วก็อยู่ได้ แม้อนาคามีก็สบายแล้ว ไม่ต้องถึงอรหันต์ ก็สบายแล้ว อย่างนี้เป็นต้น เพราะงั้น สิ่งนี้จึงยั่งยืนแน่นอน
อาตมาอธิบายด้วยเหตุผล และอาตมากล้าพูดด้วยว่า ไม่ใช่เหตุผลอย่างเดียว ความจริง มาร่วม ความจริงมาเป็นตัวหลัก พิสูจน์ด้วย เรามีความจริง อันนี้อยู่แล้วด้วย ไม่ใช่มีแต่แค่เหตุผล ใช่ไหม เพราะฉะนั้น อันนี้ทุกวันนี้ ก็ยังมีอัตราการก้าวหน้า ยังมี progression ratio ล่อภาษาฝรั่งบ้าง ยังมีอัตราการก้าวหน้า อยู่ด้วยซ้ำ ยังไม่ถอยหรอก แม้จะมีคนออกคนเข้า ใครจะไปก็ไป ไม่ว่ากัน บาปใครบุญมัน คนเรานี่ ถ้าเราไม่สู้ ก็คือเราแพ้อัตตาของเรา โดยเฉพาะเราไม่สู้ในสงครามโลกุตระ ในสงครามไตรสิกขา นี่ที่นี่สงครามไตรสิกขา สงครามโลกุตระ รบอยู่ในสนามรบโลกุตระ ใครไม่สู้คนนั้นอัตตา มีอัตตา ฟังไป เอาไปคิด เอาไปจำ เอาไปค้นคว้า ใครก็ตาม แม้จะเป็นอนาคามี ท้อถอยก็คือ อัตตาตัวนี้ แต่อนาคามี ท่านจะมีน้อย ท่านจะไม่ท้อถอยง่าย สกิทาก็เหมือนกัน ก็ลดลงไปตามลำดับ โสดาบัน ก็จะไม่ท้อถอย ส่วนผู้ใด ยังโซดา อ่อนๆอยู่ อาจจะถอย โซดาอ่อนๆอยู่ อาจจะถอย เพราะอัตตามันยังโต สงครามไตรสิกขา หรือว่าสงครามโลกุตระนี่แหละ สนามรบโลกุตระ คุณไปอยู่กับข้างนอกสนามรบ ไอ้ต้องรบกับเขา แน่นอน รบกับพวกโลกียะ โอ๊ยไปรบไร้ค่า ไปรบให้มันเสียมือทำไม รบแล้วก็ได้บาป คุณได้เงิน ยิ่งได้เงินมาก ยิ่งได้บาปมาก สรุปง่ายๆ ใช่ไหม ไปรบทำไมรบอย่างนั้น แต่รบอย่างนี้นี่ รบไปซี คุณยิ่งได้อาริยธรรม ยิ่งรบยิ่งได้อาริยธรรม ทำไมคุณจะต้องท้อแท้ ทำไมคุณจะต้องถอย สนามรบโลกุตระ ทำไมจะต้องถอย ฝากไว้
นักเรียนวันนี้ จะจบก่อน ๕ โมง ๕นาที จะทำลายสถิติ เพราะว่าธรรมดาเราเลิก เกินเวลาทุกที เพราะฉะนั้น วันนี้จะทำตามสถิติให้เป็นการพิเศษ เลิกก่อนเวลา ๕ นาที เลิกก่อน ๕ โมง ๕ นาที มีเวลาไม่ถึงนาที เอ้าก็ขอสรุปเลยว่า ที่อาตมาได้เทศน์มาให้ฟังนี่ หลายคนฟัง หลายคนก็คุยกัน ไม่ตั้งใจฟัง แต่คนที่ตั้งใจฟังนั่น ก็เออ ฟังเข้าใจ อาตมาก็อนุโมทนา คนนั้นคงได้รับประโยชน์ ได้รับความเข้าใจอะไรดีๆ ฟังไปแล้ว ก็เอาไปพิจารณา ชีวิตเป็นของเรา เราจะเกิดยุคไหน เราก็เป็นคน ถ้าเราได้เกิดเป็นคนนะ ดีไม่ดีไปเกิดเป็นหมา ก็อีกเรื่องหนึ่ง มีชีวิตต้องไปเกิดเป็นหมาด้วย เพราะงั้น ได้ไปเกิดเป็นคน ก็ดีแล้ว และเราได้เกิดเป็นคนนี่ ชีวิตก็เป็นของเรา โดยเฉพาะ ได้มาเจอหมู่ดี มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี
ทุกวันนี้ มีสังคมหนึ่ง แล้วอาตมาบอกพวกเรา ให้ชัดเจนอีกอย่างหนึ่ง ระบบพระพุทธเจ้านี่ มันสุดยอด สุดประเสริฐสาธารณโภคี ทรัพย์สินพวกเหล่านี้ มันเป็นของเราทั้งนั้นเลย มันไม่เหมือนทางโลกนะ คุณจะไปบริษัทไหนนี่ คุณจะเข้าไป บอกเอ้อ นี่เราจะเข้าไปทำงาน ในบริษัท ก ข ค เสร็จแล้ว เราก็บอกว่า เราทำงานร่วมกับคุณ ทรัพย์สินนี้ เป็นของเรานะ เขาจะให้คุณไหม ไม่มี คุณไปทำงานกับเขา อย่างดีเขาก็ให้เงินเดือนคุณ ดีไม่ดี เขาไล่ออก คุณไม่ได้ไปเป็นทรัพย์สิน ที่บริษัทนั้นหรอก แต่ที่นี่คุณมาทำงาน ในบริษัทปฐมอโศกนี้ คุณเป็นเจ้าของทรัพย์สินนี้ ทันทีด้วยเลย นี่ไม่ใช่หลอกคุณ จริงหรือเปล่า ทำไมจะโง่ไปถึงไหน เมื่อไหร่จะโง่เสร็จ ฟังให้ดีนะ เพราะฉะนั้น ก็ไปคิดเอา อาตมาก็ขอพูด มาถึงเวลา จะเลยเวลาแล้ว ประเดี๋ยวจะผิดอีก เดี๋ยวเลยไปหนึ่งนาที ก็ขอเอวัง ลงแต่เพียงเท่านี้
(อุบาสิกาพรน้ำคำ ป้องกันภัย ถอดเท็ป ๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๘)