610728_รายการสำมะปี๋ซีวิต บ้านราชฯ ตอนที่ 2
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1YVNn2gdgJgMlD2jrPR6JpI83xwyAub720MXWsAHppf0
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1S3_nAqrFSw-rXuE_1zJ2Oqe2g1o9fS4M
พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก รายการเริ่มไปเลย สำมะปี๋ซี่วิต ไม่ต้องรอสปอนเซอร์เลย วันนี้แรม 1 ค่ำ เดือน 8 ปีจอ ก็เอาเรื่องสวดมาให้อีกตอนนี้ อาตมาว่าพูดกันไปเยอะแล้ว ตอนนี้กำลังเขียนแก้เพิ่มในหนังสือคนจนที่มีแบบ ก็เติมการสวดเข้าไป ให้เห็นถึงโทษภัยของการสวด โทษภัยของการสวด กลายเป็นว่าในวงการศาสนาพุทธ คือศาสนาใช้การสวดเป็นอาชีพ เป็นศาสนาที่มีการสวดของภิกษุเป็นอาชีพ ที่ภิกษุใช้เบิกทางชีวิต เบิกทางการเจริญของชีวิต ให้เจริญด้วยลาภ ได้ยศ จากการสวด ได้ยศชั้นสรรเสริญสวดดีสวดเก่ง ไม่ใช่บรรยายธรรมะเก่งนะ
การสวดคือสวดสาธยาย คือการนำพุทธพจน์ นำธรรมบทของพระพุทธเจ้า มาสังสาธยายเอามาบรรยายอธิบายมาบอกให้รู้ จะได้เข้าใจเอาไปปฏิบัติ จะได้เกิดมรรคผลอย่างนี้ ตรงกันเท่านั้นเอง ที่จริงคำว่าสวดมนต์เป็นภาษาไทย สวดแปลว่า ปูดออกไป ยื่นยาวออกไป ส่วนงอกเพิ่มออกไปจากอันนั้นๆ
สวดสังสาธยาย คือ การเพิ่มความรู้ให้เติมงอกออกไป เพิ่มความรู้ความเข้าใจให้งอกเพิ่มเติมจากเดิมที่คนเข้าใจ ผู้สวดสังสาธยาย คือ ผู้ที่จะทำให้เกิดความเข้าใจความรับรู้ได้ดียิ่งขึ้นเป็นประโยชน์ที่จะได้ซาบซึ่งเข้าใจได้เอาไปใช้ได้ จะได้เอาไปปฏิบัติเป็นมรรคผลยิ่งขึ้น อย่างนั้นคือเจตนารมย์ของการสวด การสวดเพื่อรักษาไว้ หรือสวดอาขยาน นั่นก็เป็นอย่างหนึ่งในสมัยพระพุทธเจ้าในยุคนั้นยังไม่มีการบันทึก ในหนังสือในใบลาน ในเทคโนโลยีก็ไม่มีก็เลยต้องใช้การท่องจำ ก็สวดเอาไว้
อีกอันคือสวดตรวจสอบ สังคายนา ผู้ที่จำได้คำสอนพระพุทธเจ้าหรือพระวินัย ปาติโมกข์ หมายถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ศีลสมาธิปัญญา ไม่ใช่คำประนามคาถา ที่เป็นธรรมบท ต้องทำการตรวจสอบรักษาไว้ทบทวนไว้ แต่ทีนี้ทุกวันนี้การสวดมันเพี้ยน กลายเป็นเครื่องมือหากินกลายเป็นเครื่องมือเลี้ยงชีพ มันกลายเป็นจารีตประเพณี มันกลายเป็น ถ้าเผื่อว่าเรื่องของศาสนาแล้ว ไม่มีอะไรก็มีแต่การสวดเท่านั้น เป็นเอกด้วยนะ การบรรยายคำสอนธรรมบทของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจนั้นเป็นรองมากกว่ามาก เป็นรองมากที่สุดเลย จนกระทั่งเขาเข้าใจผิดว่า การจะทำให้เกิดผลก็คือการสวด เรียกว่าภาวนา อะไรอย่างนี้เป็นต้น มันเพี้ยนไปไกล จนกระทั่งไม่รู้จะทำอย่างไรจะแก้ไขได้หมดท่าเลยจริงๆ เพราะหลงใหลติดยึดการสวด จะเห็นได้ว่าบางลัทธิ ทางด้านธิเบต สวดกันจังเลย สวดมนต์ จนมีแต่มนตรญาณ ญาณแห่งมนต์ก็ได้แต่สวด
สวดแล้วก็ถือว่าจะได้อานิสงส์ได้ผลอะไร สวดแล้วนึกว่าได้สำเร็จ นึกว่าได้เป็นวิมานยิ่งใหญ่สารพัด เป็นเรื่องลึกลับ วิมานปลอมแปลกประหลาดวิตถารไปเป็นภพชาติ ไม่มีการปฏิบัติไม่มีเข้าใจการเรียนรู้บทมนต์คำสอนของพระพุทธเจ้ากลายเป็นเรื่องสูญเสียอย่างเดียว หมดแล้วศาสนาไม่มีอะไร มีแต่การสวดเท่านั้นเอง
ที่จริงก็เอาบทมนต์คำสอนพระพุทธเจ้ามาสวดอะไรก็ดีไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ทุกวันนี้ความสำคัญของการสวดลดลงไปเยอะเพราะมีการบันทึก มีทั้งหนังสือ เครื่องมือเทคโนโลยีมากมาย อยากรู้เมื่อไหร่ กดเอาเลย ได้ครบพร้อมเลย ขอให้ศึกษาเถอะ อยากรู้ธรรมบทของพุทธเจ้าก็ดี ไม่ใช่ว่าอาตมาดูถูกการสวดไม่สำคัญไม่ดีอะไรเลย แต่ว่าความจำเป็นน้อย เอาเวลาไปเสียไปทิ้งกับการสวดนั้นอาตมาว่าไม่ต้องเสียเวลา เอาเวลามาปฏิบัติ เอาคำสวดคำสอนทั้งหลายที่คิดได้รู้ได้ เอามาปฏิบัติตามให้รู้ได้ ระลึกทำความเข้าใจ เช่นคำสอนในมูลสูตร 10 ท่านสอนว่าฉันทะเป็นมูล มีมนสิการเป็นแดนเกิด มีผัสสะเป็นสมุทัย มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง มีสมาธิเป็นประมุข มีสติเป็นอำนาจ มีปัญญาเป็นสภาพอยู่เหนือ อุตระ มีวิมุติเป็นแก่นสาร มีอมตะเป็นที่หยั่งลง มีอันสุดท้ายจบด้วย ปรินิพพานเป็นปริโยสานเป็นที่สุด เราก็ระลึกถึงทำความเข้าใจพิจารณา แล้วเราจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะสอดคล้องกับสูตรทั้งหลาย
อันนี้หมายถึงอย่างไร เช่น เราจะต้องเป็นอมตะบุคคล ก็ต้องได้วิมุติเป็นแก่นสารเนื้อแท้ จะได้เป็นอมตะบุคคล เอาจนได้วิมุติมันเป็นอย่างไร
จะได้วิมุติ ต้องเป็นคนอยู่เหนือ อุตระ มีปัญญา เป็นอุตระ ปัญญาคืออุตระมันเป็นอย่างไร หรือจะเรียกปัญญาว่าคือโลกุตระ มันเป็นความรู้ความเชื่อและฉลาดทางปัญญา ผลจะต้องได้อันนี้จึงรู้สาระคือวิมุติ หากคุณไม่สามารถมีปัญญามีความเจริญฉลาดแบบปัญญาคุณไม่มีทางได้วิมุติ
ความเฉลียวฉลาดทุกวันนี้ ที่อาตมาวิเคราะห์วิจัยว่าปัญญาเป็นความเฉลียวฉลาดแบบนี้ อัญญธาตุ ก็แจกแจงไป ซึ่งไม่มีคนอื่นทำอย่างนี้ได้ ที่ยกมาเพื่อให้เห็นความสำคัญ มันไม่ได้ฟังง่ายๆ คนจะมาพูดอย่างนี้ คนพูดอย่างนี้น่าจะวิเศษนะ แต่คนที่ดูถูกตีทิ้งก็แล้วไป แต่คนที่แสวงหาปรารถนาอยากจะรู้ อยากจะได้สิ่งที่เป็นความประเสริฐของศาสนา เขาก็จะสะดุดฉุกคิด มาเป็นประโยชน์คุณค่า
อาตมาค่อยๆไล่ จะเห็นได้ว่ามันเป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกัน ผู้ที่เกิดปัญญา ซึ่งเป็นความเจริญชาติแบบอยู่เหนือ ความรู้ความฉลาดโลกีย์มันต่างกัน แล้วปัญญาอันนี้แหละ เป็นอำนาจ อำนาจคือ พลังงานชนิดหนึ่งที่มันได้ในตัว จะทำให้เรามีความตื่นมีสติ มีความตื่นเป็นพุทธะผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ก็เป็นพลัง เป็นอำนาจ เป็นอธิปไตยอยู่เหนือโลกเหนืออัตตาธิปไตย เป็นธรรมะที่อยู่เหนือ เป็นคุณธรรม
คุณธรรมที่เราจะได้จะต้องเป็นแก่นเป็นประมุข เป็นหัวหน้าเป็นเนื้อแท้ มีพลังงานที่ตั้งมั่นตกผลึก จนเป็น status ของเรา เป็นตัวตั้งในจิตของเราประจำในตัวเราเลย จะต้องเกิดจากเวทนาที่ประชุมลงในตัวเรา การประชุมลงของเวทนานี่เป็นเรื่องใหญ่ เป็นกรรมฐานใหญ่ เป็นถึงจุดสำคัญยิ่งใหญ่เลย ถ้าไม่เรียนรู้เวทนา คนปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธไม่รู้ว่าเวทนาเป็นอาการจิตอย่างไร แล้วถึงที่สุดเป็นอย่างไร นั่นแหละคือหัวใจของศาสนาพุทธคือความทุกข์ความสุข เป็นศาสนาที่ลึกซึ้งที่สุดคือหมดความทุกข์ก็หมดความสุขไปด้วย นี่เป็นโลกุตระ ถ้าหมดทุกข์ที่ยังมีสุขอยู่ก็ยังเป็นโลกีย์ ก็เป็นธรรมะ 2 คุณไม่มีอันนี้ก็อาศัยอีกอันหนึ่ง คุณไม่ได้อีกอันหนึ่งก็ไปเอาอีกอันนึง ก็ไปอยู่กับสุขกับทุกข์ ไม่มีทุกข์ก็อาศัยสุข อยู่อย่างนั้นไม่ได้หมดหายไป
พระพุทธเจ้ามีความลึกซึ้งให้เรียนรู้ที่พัฒนา ให้เรียนรู้ความรู้สึกสุขทุกข์และหมดทุกข์หมดทุกข์ มันเป็นอย่างไร คืออุเบกขา เป็นอาริยสัจ พ้นทุกข์พ้นสุข
โลกียะ สลับไปสลับมาระหว่างทุกข์กับสุข สลับไปสลับมาระหว่างสวรรค์กับนรก ศาสนาพุทธนั้นมี
มีทุกข์ไม่มีสุขเหนือกว่าสวรรค์นรก ไม่มีภพชาติ เป็นเรื่องที่ยาก ถ้าไม่รู้จริงมาพูดก็ไม่ได้ อาตมาว่าอาตมารู้จริงจึงเอามาพูด
ใครเข้าใจไม่ได้แล้วหาว่าเลอะเทอะก็แล้วไปเถอะ ไม่ว่าคนเข้าใจไม่ได้เขาไม่มี ภูมิ พวกเรารู้เรื่องไหม?…รู้ มีภูมินิดหน่อยที่เป็นสาระสัจจะ
คุณไม้ร่มว่า …ไม่มีทุกข์ก็ไม่มีสุข ไม่มีสุขก็ไม่มีทุกข์ เป็นเหรียญสองหน้า โลกุตระกับโลกียะก็เป็นเหรียญ 2 หน้าไหมครับ
พ่อครูว่า… ก็ใช่
พ่อครูว่า…ถ้าเราไม่มีโลกียะก็ไม่มีโลกุตระใช่ไหมครับ
โลกุตระเป็นบัญญัติ สาระของโลกุตระ 0 นิพพานเป็นโลกุตระ ตัวสำคัญของโลกุตระเป็นนิพพานคือศูนย์ ก็ไม่มี คุณทำได้ไหม คุณทำได้ก็ไม่มีเหมือนกัน โลกียะก็ไม่มีโลกุตระก็ไม่มีเหมือนกัน ถ้าเข้าใจถึงจุดสำคัญ
คุณพลังพร…ทำนาเกี่ยวข้าวไป 5 วัน ยังไม่หายเหนื่อย ถามสองอย่างค่ะ
-
เพลงมันสะท้อนสังคม เสียงเพลงบอกว่ามันเป็นผลงานที่แสนห่วย คนที่ซวยก็คือตัวลูกน้อย…เพลงบาปบริสุทธิ์ของแอ๊ดคาราบาว
-
พระโพธิสัตว์ ว่าจบแล้ว ทำไมต้องรู้และอยากทำไปเรื่อยๆ
พ่อครูว่า…อันแรกก็เป็นเรื่องของคนธรรมดาทำไมต้องมีลูกมีครอบครัวแล้วลงท้ายก็คือเป็นเวรเป็นภัยแก่ลูก รับเละอยู่ที่ลูก เพราะว่าพ่อแม่ไม่ดี เป็นเรื่องละครของเราเป็นกรรมวิบากของอจินไตย ไปตามยถากรรม คนไม่ได้ศึกษาธรรมะก็จะเป็นอย่างนั้น เกิดมาแล้วก็มีคู่มีลูกเต้าแล้วก็มีความทุกข์สารพัดสารเพไป คนที่เขาแต่งงานแล้วมีลูกมีเต้ามีฐานะ เป็นอยู่ไม่ทุกข์ไม่ร้อน อันนี้แหละเป็นเรื่องหลอก เป็นเวทนาหลอก เป็นสวรรค์หลอกให้คนอยู่ได้ในโลก หากมีสวรรค์หลอกอันนี้ บรรลัยจักร เลย คนจึงหลงสวรรค์อยากได้สวรรค์เพราะไม่มีความรู้ว่าสวรรค์กับนรกนี้มันอันเดียวกันแยกกันไม่ได้ คุณได้สวรรค์ก็ได้นรกอยู่ด้วยกัน เผลอเมื่อไหร่ก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นชีวิตของคนจึงพ้นทุกข์ไม่ได้
ที่ถามมามันเป็น Story ของชีวิตมนุษย์สามัญที่เป็นล้านๆๆ เรื่อง เอามาถาม อาตมาตอบไม่ได้ กรรมวิบากเป็นเรื่องอจินไตยคิดไม่ได้ตอบไม่ไหวเลย เยอะ และกรรมวิบากเหล่านี้ ศาสนาพุทธพระพุทธเจ้าตรัสรู้ มันจะสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องแล้วเป็นเรื่องนิยายต่อกันไป ชาติแล้วชาติเล่า มันเป็นอย่างไร ไม่เลิกการดูดการผลัก ระหว่างธรรมะสองระหว่างเพศผู้เพศเมีย แล้วก็มีบานปลายเป็นลูกเป็นครอบครัว มีผู้สนับสนุนเป็นกองทัพ เป็นโลกไป ไม่ได้เรียนรู้ชีวิตของมนุษยชาติ เพราะฉะนั้นมันไม่มีจบ แล้วเป็นไปตามยถากรรม กรรมวิบากที่คุณไม่ได้ศึกษาก็ต้องไปตามนั้น
ศาสนาเทวนิยมก็ไปโยนให้พระเจ้า ถ้ามีความทุกข์ก็เป็นประสงค์ของพระเจ้า มีความสุข ก็ยังดี ปฏิบัติตามคำสอนพระเป็นเจ้าและแสดงความสุข ก็ไปเน้นอ้อนวอนให้พระเจ้าช่วย จึงต่างกับศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธไม่อ้อนวอน ให้ตนเองช่วยตนเอง ตนเองจะมีความสุขในความทุกข์ จะพ้นทุกข์เป็นสุขได้ก็ด้วยตนเองที่ตัวเรา แล้วสูงสุดจนกระทั่งไม่มีสุขไม่มีทุกข์เป็นนิพพานนังปรมังสุขัง ขอยืมพยัญชนะมาใช้เท่านั้น นิพพานนั้นยิ่งกว่าสุข ไม่ใช่สุขโลกีย์ที่มีนัยยะสอง นิพพานนั้นไม่มีคู่แล้ว 0 ด้วยซ้ำ
ถ้า 1 แค่นั้นไม่มีคู่เลยก็พ้นทุกข์ระดับ1 หนึ่งไม่ต้องสังขารกับอะไร ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับอะไร คุณเกี่ยวกับอะไรก็มี 2 ขึ้นมา คุณไม่เกี่ยวก็เลยคิด ดื้อๆตื้นๆ ถ้าไม่เกี่ยวกับอะไรก็ต้องหนีไปคนเดียว อย่างหลวงพ่อเกษมเข้าไปมีไปอยู่ป่าช้าไตรลักษณ์ ใครจะไปจะมาข้าก็ไม่เห็นนั่นแหละเขาว่าสุดยอดแล้วเป็นทางออก ง่ายๆไม่ได้ลึกซึ้งอะไร แล้วก็คิดดูสิ ถ้าหากศาสนาสอนให้คนเป็นอย่างหลวงพ่อเกษม ต่างคนต่างไปอยู่ในรูใครรูมันช้ำใครทําเหมือนป่าช้าใครป่าช้ามัน แต่กินนะ แล้วก็นั่งรอกินก็ไปไม่รอดตาย วิจัยให้เห็นง่ายๆ แต่เป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ได้ ขออภัยหลวงพ่อเกษมที่เอามาอ้างอิงยืนยันสัจธรรม ก็ตายไปแล้วนานแล้ว เขามีลูกศิษย์ลูกหาอยู่
อาตมาก็ไม่ได้ลบหลู่ ก็เคารพนับถือในเชิง ที่อดทนเก่ง ฝึกฝนเก่งก็ได้แบบนั้น แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ควรได้ควรเป็นควรถึงของศาสนาพระพุทธเจ้าสอนเท่านั้นเอง
ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาที่สุดยอด อาตมาพาพวกเรามาปฏิบัติธรรม อาตมาบรรลุผลสำเร็จที่ทำงานช่วยคนให้ได้ปฏิบัติตามจนคนมาเจอ รวมเป็นสังคม กลุ่ม มีวัฒนธรรมพฤติกรรมสังคมความเป็นอยู่ แล้ว คนที่อยู่ในนี้ก็ได้อาศัยใช้สอย อยู่กับความเกิดแก่เจ็บตายอย่างไม่ต้องกังวล พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ จิตใจก็พอ ไม่ต้องการมากกว่านี้
คนที่มันจบแล้ว อยู่กับสังคมนี้ ชีวิตอยู่อย่างนี้ ข้างนอกเรารู้ คนรวยหรูหราฟู่ฟ่า พิจารณาด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เราก็เห็นก็รู้ไม่ได้ปิดหูปิดตาหลับตาอยู่ในป่าช้าไตรลักษณ์ อยู่ในป่าเขา ไม่รู้ก็ไม่ใช่ เราก็รู้ทุกอย่าง ที่โลกเขามี ที่เขาหลอกเขาหลงใหลได้ปลื้ม วิ่งแย่งกัน เราก็ไม่ได้ไปแย่ง
สิ่งที่อาศัยอยู่ในนี้ก็พอกินพอใช้เหลือเฟือ อุดมสมบูรณ์มาก อาตมาว่า ใช้ชีวิตอยู่ในสัปปายะ 4 เสนาสนะที่เป็นหมู่บ้าน เป็นหมู่บ้านที่เจริญเป็นหมู่บ้านสบาย มีบุคคล บุคคลในนี้ก็อยู่ได้สบาย เป็นพี่เป็นน้อง เป็นผู้ที่ต้องเกื้อกูล พึ่งพาอาศัย แม้ไม่มีญาติเลยคุณก็อยู่ได้สบาย แม้จะกำพลอย พลอยนี่ราคาแพงกว่าพร้านะ นี่กำพลอย ยิ่งพลอยราคาแพง
อยู่ที่นี่ได้สบาย มีศีล 5 สูงกว่านั้นก็มีอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาขึ้นไปเรื่อยๆจนเป็นพระอรหันต์ จริงๆแล้วพวกเรานี้มีพระอรหันต์เยอะ แต่เขาไม่รู้ อาตมาก็ไม่ได้พูดออกไป คนเขาจะเล่นงานอาตมา เพราะว่า Concept พระอรหันต์ของเขาเป็นอีกอย่างหนึ่ง เขาเข้าใจอรหันต์ไม่ได้ เขาว่าอย่างนี้ไม่ใช่ คนที่เราประกาศอรหันต์นั้นเขาฟังแล้วก็ฟันหลุดหัวเราะกัน เขาหัวเราะเยาะ จนฟันเขาร่วงหลุดหายไป เขาไม่เชื่อไม่เข้าใจว่าอรหันต์เป็นแบบนี้ คนอื่นอาตมาก็ประกาศ
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน…คนเขาก็ไม่เชื่อว่ายายกินตังเป็นพระอรหันต์ เพราะไม่เรียบร้อยและไม่ค่อยมีผัสสะ พอประกาศว่ายายไม่ใช่อรหัตตมรรค พวกญาติธรรมบางคนก็ไม่เชื่อ
พ่อครูว่า…ขนาดพวกเราเองยังไม่เชื่อเลยแล้วจะไปพูดกับคนอื่นข้างนอกได้อย่างไร สรุปได้ยาก
ตอบข้อที่ 2 พระโพธิสัตว์ ว่าจบแล้ว ทำไมต้องรู้และอยากทำไปเรื่อยๆ ถามข้อนี้ก็ง่าย แต่คนไม่ค่อยนึก…โพธิสัตว์มีตั้ง 9 ชั้น โพธิสัตว์คือผู้ที่จะไปเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องอยู่ต่อไป ก็ง่ายๆอย่างนี้ เข้าใจชัดไหม อาตมาบอกถึงขนาดอาตมาอยู่ในระดับ 7 ทุกวันนี้อาตมาอยู่ ไม่ได้ทำประโยชน์ตนเอง เขาก็บอกว่า ถ้าประโยชน์ของตนคือให้ตัวเองเป็นพุทธเจ้าใช่ไหม คำว่าประโยชน์ตนก็คือจบเป็นอรหันต์ คนที่มีประโยชน์ตนคืออรหันต์จบแล้ว เกินกว่านั้น พระโพธิสัตว์ไม่มีประโยชน์ตนแล้ว ทำประโยชน์คนอื่นเพิ่มขึ้นมีแต่กรรมกิริยาให้คนอื่น ตนเองพ้นจากลาภยศสรรเสริญโลกียสุข มีกรรมกริยาการเคลื่อนไหวก็เพื่อผู้อื่นทั้งนั้น อาตมาบรรยายอยู่ที่ลานอโศกวัดมหาธาตุ บรรยายแล้วก็พูดกับไอ้หนุ่มคนจีนคนหนึ่ง
พูดถึงเรื่องกิน เขาก็บอกว่าจบแล้วทำไมต้องกินเพื่ออยู่ต่อไป อาตมาก็บอกว่ากินเพื่ออยู่ เขาก็บอกว่าจะอยู่ไปทำไม อาตมาก็บอกว่าอยู่เพื่อทำประโยชน์ต่อผู้อื่นกินเพื่อผู้อื่น เขาก็บอกว่ามากไปๆ
เพราะอาตมามีชีวิตอยู่ก็เพื่อผู้อื่น ไม่ได้เพื่อตัวเอง จึงเข้าใจให้ได้ว่าประโยชน์ตนคืออะไร โพธิสัตว์ทุกองค์เพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ตั้งแต่ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมม“สัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน… ดิฉันได้ ประโยชน์ธรรมะพ่อท่านคือเรื่องกายกับบุญ ทำไมดิฉันสงสัย ว่า เมื่อก่อนพ่อท่านไม่สอนทำไมมาสอนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว
พ่อครูว่า…ที่อาตมายังไม่สอนเพราะว่าปฏิภาณปัญญาของอาตมายังไม่ขึ้น ที่สอนทุกวันนี้เป็นระยะสำคัญลึกซึ้ง ระดับนั้นมันยังไม่ขึ้น มันยังไม่โผล่มา อาตมาเข้าใจกายกับบุญนั้นมีนัยยะพิเศษที่แยกออกมาอีก คือปฏิภาณยังไม่ขึ้นมา เป็นอจินไตยหลายอย่างเพราะว่า
-
มันยังไม่ถึงเวลาตามอจินไตย 2. อาตมายังไม่ขึ้น ยังไม่มี ภูมิก็ยังไม่แสดง นี่ภูมิอันนี้ขึ้นมาก็แสดง
อาตมาไม่รู้ไม่ได้ ที่อาตมารู้นี้ของใครล่ะ? ของเก่าอาตมา จนกระทั่งพูดออกมาแล้ว ถึงไปค้นจากพระไตรปิฎกจึงเจอว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ทั้งนั้น เช่นคำว่ากายเป็นธรรมะสอง แล้วกายคือ จิต มโน วิญญาณ กายไม่ได้เน้นที่ร่าง ไปยึดว่ากายคือดินน้ำไฟลมก็ผิดอีก คนฟังก็เป็นนัยยะลึกซึ้ง อันนี้คนฟังก็หูหัก กลายเป็นว่ากายคือดินน้ำไฟลมไม่เกี่ยวกับจิต(แยกกายแยกจิตอย่างไร?)
กายไม่เป็นจิตไม่ได้ ต้องมีภายนอกด้วย กายต้องมีภายนอก นี่อาตมายิ่งพูดไปยิ่งรู้สึกว่าไม่เก่งไม่ครบรอบไม่ถ้วนไม่ชัด ฟังแล้วต้องมีประเด็นสงสัยอยู่แน่
คุณสู่แดนธรรมว่า…เหตุปัจจัยที่พ่อครูต้องค้นหาด้วย เช่นเรื่องธรรมกาย
พ่อครูว่า… ไม่เชิง มันถึงเวลาวาระที่ต้องอธิบาย
คุณเกร็ดดินว่า…คือว่า เป็นรอบนักษัตร ตอนนี้เป็นนักษัตรที่ 4 รอบที่ 1 2 3 เป็นศีล สมาธิ ปัญญา รอบที่ 4 ก็เป็นวิมุติ
พ่อครูว่า…พวกเราก็ตามด้วย พวกเราถ้าฟังไม่รู้เรื่องอาตมาก็พูดอยู่คนเดียว
คุณเต็มสิริ…ลูกชายคนที่สอง จบวิศวะมาก็รองาน ก็บวชจนป่านนี้ยังไม่สึก 30 ปีแล้ว โยมก็ดีใจ อยากให้ท่านบวชไปตลอด โยมก็ไปเวลาถ้ามีกฐินก็ไปประจำ ตอนหลังโยมมาปลูกบ้านที่บ้านราชฯ พระท่านก็โทรมาคุย ท่านก็ว่า ปีนี้ท่านบวชมา 27 ปีแล้วยังไม่ได้ทดแทนอะไรโยมแม่ ท่านอยากจะขอโทษก็ไม่ได้ขอโทษ ทำอะไรก็ทำไม่ทันดิฉันเสียที ท่านคิดว่าให้โยมไปรักษาศีลที่นั่นแล้ว ท่านจะได้ดูแลโยม แต่โยมก็ว่าจะอยู่บ้านราชฯนี่แหละ
ถามว่าอย่างนี้โยมบาปไหม?
พ่อครูว่า…ไม่บาป ที่จริงเป็นนัยยะสำคัญน่าจะศึกษาว่า ทำไมโยมแม่เรามาชอบ
คุณเต็มสิริว่า…ท่านก็ฟังธรรมของพ่อท่าน
พ่อครูว่า…แสดงว่าฟังธรรมไม่ถึง ถ้าฟังถึงก็จะปล่อยแล้ว ก็เป็นความต้องการเป็นคนงามความดีอันหนึ่ง อยากทดแทนอยากทำความดี เป็นอุปกิเลสชนิดหนี่ง วิจัยแล้ว ก็ไม่ดีเท่าที่กับโยมคิดเอง
น้ำมนต์ว่า…ทำไมคนต้องทำกรรมคะ
พ่อครูว่า…กรรมของหนูน้ำมนต์ หมายถึงอะไรลองตอบหลวงปู่มาสิ
น้ำมนต์ว่า…กรรมไม่ดี
พ่อครูว่า…แล้วคนส่วนใหญ่ เขาจะบอกว่ามันเป็นกรรม ก็หมายถึงสิ่งที่ไม่ดี คนที่ไม่เข้าใจไม่รู้ความจริงก็ทำกรรมที่ไม่ดี ถ้าเราฉลาดพอก็จะไม่ทำกรรมไม่ดี บางทีเรารู้ว่ากรรมนี้ไม่ดีแต่เรายังเลิกไม่ได้ ยังทำกรรมไม่ดีอยู่ก็ต้องฝึกฝน เลือกที่จะไม่ทำกรรมไม่ดีให้ได้
สมณะมือมั่น…พ่อครูเทศน์เมื่อวันจันทร์ ว่าสังคมสาธารณโภคีของเรา อยู่ในระดับอนาคามี พ่อครูก็ย้ำว่า อย่างไรก็แล้วแต่เราควรจะตรวจตัวเองว่าเรามีภูมิพระโสดาบันหรือไม่ เพราะว่าที่เราคุยกันว่า ขนาดโยมกิมตัง พ่อครูบอกว่าเป็นอรหัตตมรรค เราก็ยังสับสนเลย ผมว่า การตรวจภูมิโสดาบันก็คงเช่นกัน เราคงไม่เหมือนอัญญาโกณฑัญญะ ฟังธรรมและก็เป็นพระโสดาบัน ฟังธรรมแล้วบางคนยังตรวจสอบตัวเองไม่ได้ว่าเราเป็นพระโสดาบันหรือไม่
พ่อครูว่า…ก็กำลังทำอยู่ เพื่อตรวจสอบตัวเอง ก็ดี ซึ่งมันมีหลักการพระพุทธเจ้าไว้หมดแล้ว รวบรวมเรียบเรียงให้เข้าใจครบ เช่น พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้มีภูมิโสดาบันต้องพ้นสังโยชน์ 3 ต้องมีศีล 5 เอามาตรวจสอบว่าเข้ากับหลักเกณฑ์พระพุทธเจ้าไหม ข้อสำคัญอยู่กับครูบาอาจารย์ ก็ให้เข้าใจคำสอน แล้วก็ปฏิบัติ
ที่สำคัญมากคือศาสนามีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย อาตมาเน้นศีลเป็นตัวหลักจะกำหนดอธิจิตสมาธิ และบ่งบอกปัญญา เมื่อศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ ก็จะบ่งบอกเลยว่า ศีลข้อ 1 เรามีวิมุติ อาตมาก็อธิบายขยายความอีกว่า ศีลข้อ 1 คนที่มีศีลข้อ 1 เป็นวิมุติแล้ว คนนี้สัมผัสกับสัตว์โลกมีชีวิตปกติ เป็นสีลบุคคล เพราะจิตของคนๆนี้อยู่กับสัตว์เข้าใจความเป็นสัตว์ไม่ฆ่าสัตว์ วางอาวุธมีความเอ็นดูกรุณา หวังประโยชน์กับสัตว์ทั้งปวงอยู่ อย่างแท้จริงหรือ จะอยู่กับสัตว์ก็ไม่มีภัยมีโทษกับสัตว์ใดๆเลย เพราะว่ามีศีลเป็นปกติ เป็นวิมุติ วิมุตติญาณทัสสนะ
โสดาบันก็ต้องตรวจ อาจไม่ต้องลึกถึงวิมุติ วิมุติญาณทัสนะก็เป็นโสดาบันตามลำดับ ถ้าศีลทำได้เพียงกดข่มเราเกี่ยวกับสัตว์ จิตเราก็ยังมีดุ๊กดิ๊ก ยุงมันกัดก็ยังอยากตบ มันก็ยังไม่เป็นปกติ ถ้ายุงมันกัดมันตัวน้อย ก็เพียงแต่ให้มันไปอย่าเอาเชื้อมาใส่ ทนคันทนเจ็บ มันไม่เจ็บเท่าไรหรอกปากมันแหลมเล็กๆคัน
หรือศีลข้อ 2 สัมผัสกับของที่ไม่ใช่ของของเรา ก็ไม่ได้อยากได้ไม่ได้ถือวิสาสะเอามา ไม่อยากขโมย ไม่ต้องพูดถึงทุจริตถึงขั้นโกงแย่งชิง สรุปแล้วคนที่มีศีล แม้แต่ข้อที่ 3 ถ้าจะขยายความก็ครบเลย แค่ศีล 3 ข้อนี้แหละ
วจีคุณก็สอดคล้อง พูดไม่ผิดเพี้ยน พูดปดไป เพราะจิตคุณข้อ 5 ปฏิบัติไม่ได้ศีลข้อ 4 5 จะมาจาก ศีล 3 ข้อที่เป็นผล วิมุติ เป็นชีวิตปกติที่ไม่มีภัยมีโทษ
ความรู้สูงขึ้นกว่านั้นเป็นสกิทาคามี อนาคามี คุณก็เพิ่มศีลขยายไป ศีลกำหนดเรา ทำได้ศีลข้อ 1 ก็เป็นโสดาบันข้อที่1 ข้อที่ 2 3 หรือ เป็นอรหัตตผลของโสดาบัน
ถ้าทำศีล 5 ได้บริบูรณ์ ในจุลศีลข้ออื่นจะทำได้ง่าย ถ้าทำตามลำดับ แต่นี่สับสนไม่เป็นส่ำ ศีลก็ไม่เป็นสมาธิ ไม่เป็นอธิจิต เพราะคุณไปปฏิบัติ เอาแค่กายวาจา แต่ศีลไม่ได้ลดกิเลส ไม่ปฏิสัมพัทธ์ที่จิต เขาหั่นออกจากกัน ศีลเขาไม่บรรลุมีแต่กดข่ม สมาธิก็ไปนั่งหลับตา ปัญญาก็ไปสร้างปัญญา จะเอาปัญญาสำนักไหนนะ สวนโมกข์ สมาธิก็เอาที่ธรรมกาย ศีลก็ไปสันติอโศก อ.ประเวศก็อธิบายอย่างนี้ ท่านจะเป็นผู้ชี้นำให้คนปฏิบัติตามเป็นอาจารย์ เป็นศาสดาหนึ่งในโลก ก็ไม่พยายามจะศึกษา หากศึกษาศาสนาพุทธและรู้จุดสำคัญก็จะเรียนรู้อันนี้
คุณพลังพร…พ่อท่านก็อดทนทำมาหลายปีแล้ว คนก็มีน้อยไม่มากเลย ทำไปอย่างไรได้แค่นี้
พ่อครูว่า…ต้องการรู้ประเด็น สรุปก็คือทำไมทำอยู่ได้เท่านั้นก็แค่นี้ แล้วจะให้อาตมาตายหรือ ไม่ทำก็ตาย ก็อาตมาไม่ตายก็ต้องทำ สองอาตมาว่าอาตมาเพิ่มความรู้เพิ่มความลึกซึ้งไปได้อีกอยู่ แม้คนที่เพิ่งติดตามก็จะได้เพิ่มภูมิ มันยังไม่เป็นหมันไม่สิ้นไร้ไม้ตอก แม้จะไม่มีคำตอบ ว่าเขาได้อย่างไร ก็พอจะประเมินประมาณได้อยู่ แม้แต่พวกเรานี่ก็ได้แต่ละเล็กแต่ละน้อยก็เข้าใจเพิ่มขึ้น มากบ้างน้อยบ้างก็ได้ เป็นอานิสงส์แห่งการฟังธรรม 5 ประการ เกิดอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้นอกไปจากคำสอนพระพุทธเจ้า
ที่สำคัญก็คือ จะต้องบำเพ็ญเพิ่มขึ้น พยายามมีความสามารถที่จะอธิบาย ให้คนได้รับรู้ หนึ่ง สองจะต้องย้ำยืนยันความถูกต้องว่าศาสนาพุทธนั้นผิดเพี้ยนไปไกลมาก ต้องพยายามให้คนเข้าใจได้เพิ่มขึ้น จะได้น้อยหรือมากก็ต้องทำ เพราะอาตมาเห็นว่าธรรมะต้องถูกต้องเป็นสำคัญ ยังไม่ตาย ยังมีกำลังแรงงานจึงต้องทำ ไม่มีอะไรดีกว่านี้ที่จะทำ ก็ต้องทำ
_เนิ่นนานมาแล้วพ่อไม่ยอมออกทีวี และมีเหตุผลอย่างหนึ่งว่าพวกเรายังไม่แข็งแรงพอที่จะรับมือคนที่อ่อนแอที่จะเข้ามา แต่มาถึงตอนนี้เราออกทีวีทุกวันช่องเล็กๆ ถ้าหากทางรัฐบาลนิมนต์พ่อครูออกทีวีเสรีจะไปตามนิมนต์ไหมครับ (แค่สมมุติครับ)
พ่อครูว่า..อาตมาว่า คุณถามสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ไม่น่าจะถามนะ สมมติสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าถามว่าหมาที่ท่านเลี้ยงมันออกเขาจะว่าอย่างไร มันไม่น่าถามหรอก
_คุณกล้าธรรม… ความรู้สึกที่อยู่ที่นี่และเห็นพ่อครูอายุมากขึ้น แล้วก็รู้สึกว่ายิ่งมากก็ยิ่งคล่องแคล่ว ขลัง ให้ความร่มเย็นอบอุ่นกับผู้คน ไม้ที่มีอายุมาก ยังจะมีร่มเงา ถ้าเปลี่ยนข้างนอกจะเอาผ้าไปผูกไว้ แต่ว่า คนที่เห็นแล้วก็อยากเข้าไปหา เพราะร่มเย็น ทีนี้ พ่อครูว่าอีก 16 ปีพ่อครูจะอายุ 100 ปีผมก็ตั้งความหวังว่าผมจะอยู่ได้อีก 16 ปี ตอนนี้ผมอายุ 50 กว่าแต่คนมองเหมือนอายุ 70 ถ้าพ่อครูอายุ 100 ผมก็คงมีคนคิดว่าผมอายุ 90 ผมเห็นแล้วก็รู้สึกว่า ไม่ได้สนทนากับพ่อครู แค่เห็นเขารู้สึกว่ามีความเย็น มีความรู้สึกอบอุ่น มันกลับอยู่ใต้ต้นไม้ที่ให้ความเย็นกับทุกสรรพสัตว์
คำถามคือ พ่อครูว่า…จะอายุเป็นร้อย แต่เห็นพ่อครูใช้พลังงานเยอะมาก ที่เห็นได้ชัดคือเทศน์วันละ 2 ชั่วโมง คนที่มานั่งฟังยังคอตก แต่พ่อครูยืนยาวตลอด นี่แค่ฟังเทศน์แต่ผมกลัวพ่อครูหมดพลัง หรือว่าพลังที่พ่อครูให้ไปนี้กลับมา ยิ่งให้ยิ่งได้มาใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า…ยิ่งให้ไปยิ่งได้มาก็ใช่ คนออกกำลังกายก็ได้กำลัง นอกจากว่าออกกำลังกายเกินเขตก็จะทรุด แต่ถ้าหากออกกำลังกายให้เหมาะพอดีจะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ จริง มันมีขีดจำกัดอายุไขของคน สรีระ ก็แล้วแต่ แต่เราสามารถสร้างพลังงานที่อาตมากำลังพิสูจน์ ที่เกี่ยวกับพลังงานสัมประสิทธิ์ ให้ขยายอายุขัยที่จะไปช่วยทางสรีระด้วย ที่จิตใจจะช่วยให้ตัวนั้นมันเกิดพัฒนาการ ตับไตไส้พุง อวัยวะ จะเป็นไปได้
อาตมาดูตัวเองแล้วกล้าพูด ขณะนี้ อาการ 32 อาตมาแม้แต่อวัยวะตับไตไส้พุงยังไม่มีส่วนใดที่เป็นโรคหรือเสื่อม จนกระทั่งต้องไปหาหมอบำบัด จะมีบ้างที่ตา แต่ก็ใช้ได้ดีอยู่ตาข้างขวาไม่ได้ใช้มา 30 40 ปีแล้ว แม้ไม่บอดทีเดียว แต่ก็ช่วยเรื่องมิติการมองได้ นอกนั้นไม่มี มีแต่ว่า คออาตมามันมีส่วนเกิน มีเนื้องอกเป็นกระเปาะมาเบียด ก็ไม่รู้จะทำไง หมอก็จนใจผ่าไม่ได้ แล้วมันก็เบียด ไอเพราะเส้นเสียงถูกเสียดสี มีปฏิกิริยาก็เกิดการไอ แม้ไม่ได้พูดก็ไอได้ หรือมีเหตุอื่นก็ไม่ทราบ
สรุปแล้วอาตมาพยายามเพิ่มอายุขัย เพราะสรีระองคาพยพส่วนสำคัญที่จะฉุดให้อายุสั้นไม่มี ไม่มีโรคเลย อาตมาก็รักษาความสดของมันให้ได้สดอยู่อย่าให้เสื่อม ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยใช้ภาษาที่เรียกว่าสัมประสิทธิ์ ให้อวัยวะได้รับพลังงานโดยเฉลี่ย ไปทำให้ได้สัดส่วน โดยพลังงานจิตเราไปช่วย สังเคราะห์สังขาร อวัยวะทุกส่วน จะกินอาหารออกกำลังกาย 8 อ. ซึ่งอาตมาว่าได้ผลอยู่นะ ทุกวันนี้อาตมาไม่ได้รู้สึกว่าไม่มีเรี่ยวแรง รู้สึกว่าตนเองเรี่ยวแรงดี นึกเห็นคนแก่อื่นเขาเพลีย ปวดนั่นนี่อาตมาว่าอาตมาไม่มี นั่งทำงานทั้งวันบางวัน 10 ชั่วโมงไม่ได้ลุกเลยนะ นั่ง 8 ชม.ก็เป็นธรรมดา แต่ไม่เคยปวดตรงนั้นตรงนี้ที่เป็นโรคเลย ไม่ใช่ว่าเรามีแล้วปฏิเสธ แต่มันไม่มี จะบอกว่า เป็นความพิเศษอย่างหนึ่ง อาตมาก็บารมีเองมี ก็เหมือนกับพระพุทธเจ้ามีสรีระที่ได้สัดส่วน มหาปุริสลักษณะ 32 แต่ท่านต้องการอยู่แค่ 80 ปี ท่านก็บอกว่าถ้าจะอยู่เกินกว่า 1 กัปป์ก็ไปได้ อาตมาอายุไขมันไม่ถึง ก็เลยต้องฝืนต่อไป เป็นการพิสูจน์ธรรมะอย่างหนึ่ง
ธรรมะนี้มันเกินกว่าวิทยาศาสตร์ไบโอโลจีที่เขาศึกษากัน จิ๋นซีฮ่องเต้ ไปค้นหาอายุวัฒนะอมตะ อาตมาว่าอาตมา ค้นได้ ตามแบบอาตมา แบบอย่างพระพุทธเจ้า
คิดว่ามันยาก ก็พยายามจะคิดเป็นบัญญัติภาษาเป็นสูตรทางวิทยาศาสตร์ออกมา ก็พอลำลองใช้แทนไป เอาล่ะมันลึกซึ้งเกิน
คุณเกื้อดิน..ขอให้พ่อท่านอายุยืนๆ …คนเรามีอะไรที่ทำให้ความสามารถและความนึกคิด ไม่เท่ากัน อะไรคือสิ่งนี้
พ่อครูว่า..เกิดจากการสั่งสม คุณต้องเรียนรู้และเข้าใจ หากไม่เรียนรู้ไม่เอาใจใส่จิตของคุณก็ไม่มีเหตุปัจจัยที่จะไปเกิดเป็นความรู้ความแข็งแรง ความจริง ก็ไม่เกิดในตัวของคุณ ถ้าหากคุณพยายามพากเพียรเรียนรู้ศึกษาฝึกฝน ให้มันเกิดเป็น ก็จะสะสมเป็นพลังของชีวิตของแต่ละคนเรียกว่าอัตภาพ ในอัตตาแต่ละคน จนกว่าคุณจะยกเลิก อัตตา คือสลายอัตตา คือสลาย จากที่คุณมีความรู้ สลายแต่อัตตาเล็กๆ โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา
อัตตาตัวนี้ คือตัวตนของกิเลสในจิต โอฬาริกอัตตาก็หยาบ กระทบกับสิ่งภายนอก รูปรส กลิ่น เสียง สัมผัส เพชรนิลจินดา ไม่ว่าจะเป็นกับสัตว์กรรมกิริยาโดยเฉพาะของคน เราก็เอามาปรุงแต่งยึดถือ จนกระทั่งไม่ติดใจในความสัมพันธ์ของโลก จนเรารู้โลกวิทู ดูการปรุงแต่งของแต่ละคนเหตุปัจจัยภายนอก จนกระทั่งถึงขั้น มีจิตนิยาม เข้าไปประกอบ ก็จะเข้าใจความปรุงแต่งของสังขารโลก
จนรู้อัตตาตัวเราก็เป็นจิตสังขาร ที่เราปรุงแต่งในจิต เราก็เรียนรู้เฉพาะอัตตาของจิตสังขาร จนพ้นเหตุไม่ยึดติดอัตตา หมดอัตตา 3 ตอนเป็นๆ ก็ยังเหลืออัตภาพ ก็มีภาวะของอัตตาเป็นอัตภาพ แต่เป็นภาวะของอัตตา ที่อยู่เหนือกิเลสที่มันพาให้ทุกข์แล้ว
อาตมาอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้แล้วก็ไม่ทุกข์กับสิ่งเหล่านี้ มีแต่ทุกข์ 6 อย่างที่เลี่ยงไม่ได้อาหารปริเยฏิทุกข์ ทุกข์ที่ต้องแสวงหางานการทำประโยชน์ก็ทำตามเหตุปัจจัย
อาตมาเกิดมาเป็นโพธิสัตว์ขนาดนี้จึงรู้ว่าจะอยู่หรือไม่อยู่ อาตมารู้ว่าจะต้องอยู่เพราะว่าอาตมาได้ขันธ์ 5 นี้มา ได้ชีวิตนี้มาจนถึงทุกวันนี้ ก็เรียนรู้ชีวิต ตายแล้วเกิดเกิดแล้วตายมาจนถึงครั้งนี้ขณะนี้ชีวิตนี้ ก็เกิดจากการเรียนรู้ อธิบายได้ตามธรรมะพระพุทธเจ้ามาจนถึงทุกวันนี้เป็นโพธิสัตว์ระดับไหน และที่ยังไม่ตาย ก็เพราะว่า (ที่จริงไม่น่าพูด พูดไปคนอาจจะหมั่นไส้)
อาตมาบอกไปแล้วว่า อาตมาเป็นสยังอภิญญา เป็นผู้รับผิดชอบที่จะต้องมาสืบทอดศาสนาพระพุทธเจ้า มาแก้ไขมาบอกความถูกต้องบอกความจริงอันนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากเลย ในสัมมาทิฏฐิ 10 ในมหาจัตตารีสกสูตร ไม่มีใครพูดสัมมาทิฏฐิ 10 อย่างอาตมา อาตมาเป็น
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
อาตมาอุบัติในโลกนี้ ใครก็ตามที่สัมผัสอาตมาแล้วเขาไม่รู้ เขาก็ว่า สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ ไม่มีอยู่ (นัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
ทั้งๆที่มีแต่เขาก็ไม่รู้ สัมผัสอยู่เขาก็ไม่รู้ เหมือนกามนิตมาคุยกับพระพุทธเจ้าจนถึงรุ่งเช้า จนถึงเช้าก็สวัสดีพระพุทธเจ้าจะไปตามหาพระพุทธเจ้า ตามปณิธาน นี่คือกามนิต เป็นอย่างนั้นเขาก็ไม่รู้ อาตมาจึงต้องบอกว่าอาตมาคือคนผู้นี้
ซึ่งเป็นจริง อาตมาเป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ต่างจากที่คุณเข้าใจ อรหันต์ตาม Concept ของคุณเป็นอรหันต์ เก๊ ต่างจาก Concept ของอาตมาจึงต้องบอก เขาก็ไม่บอกว่าเขาเป็นอรหันต์แต่คนก็เดาเอา ในสังคมโลกโดยเฉพาะประเทศไทย เป็นอรหันต์เดาทั้งนั้น เขาก็เคยรวบรวมทำเนียบกันมี 50 กว่าองค์ อรหันต์เก๊ ขออภัยที่พูดความจริง เป็นข้อด้อยของอาตมา เป็นคนจริง เป็นคนไม่ไว้หน้า ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ อาตมาเป็นคนไม่แคร์
เวลานี้อาตมาต้องการพูดความจริงเท่านั้น แล้วอาตมาบอกได้ว่าอาตมาไม่มีอะไรที่ผิด ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อไม่มีปัญหา ไม่มีอะไรที่ไม่เป็นความจริง เอาแต่ความจริงมาแสดง แสดงทุกวันนี้ ขยายความ เป็นความรู้ เป็นความรู้ให้คุณเข้าใจความจริง แล้วคุณจะเชื่อไหม หากเชื่อแล้วจะทำไม เรื่องนั้นเรื่องนี้ ตั้งแต่พระโสดาบันเป็นต้น
อาตมาบอกขึ้นมาเอง ว่า ความเป็นพระอรหันต์มีคุณสมบัติดังนี้ อาตมาลิสต์มาจากความเป็นจริงของอาตมา คุณฟังแล้วจะเชื่อไหม
-
เป็นคนหมดทุกข์ (ดับทุกข์อริยสัจ) พวกคุณเชื่อว่าอาตมาหมดทุกข์ไหม?
-
เป็นคนไม่มีภัย
-
เป็นคนมีคุณค่า
-
เป็นคนทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นถ่ายเดียว
-
เป็นคนไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง
-
เป็นคนมีเมตตาจริง
-
เป็นคนมีอุเบกขาจริงแท้ อันนี้อาตมาว่าอุเบกขาเป็นฐานนิพพานของจิต
ผู้ใดทำอุเบกขาจิตได้โดยเฉพาะเนกขัมมสิตอุเบกขามีคุณสมบัติ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ถ้าเข้าใจภาษาแล้วนี้ ก็จะรู้ว่าคนๆนี้เข้าใจสภาวะภาษา เอามาอธิบายและพยายามพาคนให้เป็นให้มี อาตมาก็ขอยืนยันว่าอาตมามีแล้ว จึงพาให้พวกคุณทำบ้าง อาตมาก็สบายใจที่อธิบายไปอย่างไม่มีอะไรปิดบังแล้ว พูดเปรี้ยงๆตรงๆหมดเลย
อุเบกขาเป็นฐานนิพพาน เป็นคุณสมบัติของเวทนา เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา หากอาตมาไม่รู้ความจริงของสภาวะอันนี้ จะไม่สามารถเอามาอธิบายได้ละเอียดตลอดชัดเจนอย่างนี้หรอก แต่อาตมามีและรู้จริง เอามาขยายความตามสภาวะ
ปริสุทธา บริสุทธิ์ปราศจากกิเลส
ปริโยทาตา แม้จะทำงานร่วมกับภายนอกก็ยังบริสุทธิ์ปราศจากกิเลส เมื่อไหร่ก็ยังบริสุทธิ์ กระทบสัมผัสต่อคนที่จะมามอมเมาทำร้าย ก็ยังบริสุทธิ์อยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
มุทุ อันนี้เป็นสภาวะธรรมที่สุดยอดของวิการรูป ถือเป็นตัวแกนกลาง ของจิตฐานนิพพาน จะเร็วจะช้า อาตมารู้จักสภาวะมุทุธาตุ ที่มีลักษณะของเจโตเป็นอย่างไรลักษณะของปัญญาเป็นอย่างไรเป็นธรรมะ 2
เป็นสภาพคล่อง กายปาคุญญตา ของเวทนา สัญญา สังขาร ปราดเปรียวเร็วไว มุทุ คุณสมบัติของพระอรหันต์ผู้มีธาตุอุเบกขาจึงแคล่วคล่องว่องไว ไม่ใช่อุเบกขาเป็นฌาน 4 จะต้องอยู่เฉยๆไม่คิดไม่นึก ฟังแล้วน่าสงสารมาก ตรงกันข้ามกับอุเบกขาของพุทธเลย ที่จะต้องคล่องแคล่วว่องไว แต่นี่เขาไม่ให้คิดนึกเลยอีกด้วย เฉยๆนิ่งๆ
จะบอกว่าอย่างนั้นใช่อุเบกขา แต่เป็น เคหสิตอุเบกขา ไม่ใช่ของพุทธ ต้องแยกแยะให้ดี กัมมัญญา ปภัสสรา ไม่ต้องขยายความมาก
-
เป็นคนไม่ทำบาปแล้ว เพราะเป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ สัพพปาปัสสกรณัง กรรมกิริยาที่เหลืออยู่ของพระอรหันต์ทุกองค์ เป็นพระโพธิสัตว์จะไม่มีบาป ไม่มีโทษ ทำงานเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีแต่เมตตา ไม่โลภไม่โกรธไม่หลง ทำแต่ประโยชน์ผู้อื่น ถ่ายเดียว
-
เป็นคนทำแต่กุศล
-
เป็นคนได้ประโยชน์ตนครบแล้ว ไม่มีประโยชน์ตนที่ต้องทำให้ตนอีกแล้ว
-
เป็นคนรู้จักสวรรค์ นรก นิพพาน ถูกถ้วน
-
เป็นคนรู้จักและมีนิพพานสัมบูรณ์