[embedyt] https://www.youtube.com/watch?v=lFHLvX1ULu8[/embedyt]
บันทึกผ่านเลนส์ ส่องโพธิกิจ…ปณิธานของพ่อครูคือสร้างชุมชน สร้างพุทธบริษัทในระบบสาธารณโภคี
วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม 2561
เช้านี้อากาศค่อนข้างชื้นเย็นกำลังสบายดี อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 24 องศาเซลเซียส พ่อครูตื่นนอน กราบพระ ออกกำลังกาย 4 ท่าตามปกติ โดยมีท่านปัจฉาสมณะหนักแน่นออกกำลังกายเป็นบัดดี้กับพ่อครู วันนี้พ่อครูวิดพื้นได้ 37 ครั้ง หลังจากเสร็จกิจวัตรบริหารร่างกายประจำวัน พ่อครูนั่งสนทนากับคณะท่านปัจฉาในเรื่องข้อธรรมะต่างๆวันนี้มีทั้งเรื่องผู้ที่ทำฌานแบบสัมมาทิฐิ จะเป็นผู้ที่แววไว อายุก็จะถอยหลังทำให้สามารถมีอายุอ่อนกว่าวัยขึ้นได้ และการฝึกจิตที่ดีกิเลสก็จะลดลง ท่านปัจฉาดินไทเรียนถามพ่อครูเรื่องปณิธานของพ่อครู มีอย่างไรบ้าง จะเหมือนกับพระพุทธเจ้าที่ต้องการให้อัครสาวกต่างๆบรรลุธรรม พ่อครูบอกว่าก็คงเหมือนสมัยพระพุทธองค์ที่ต้องการให้พุทธบริษัทบรรลุธรรม ส่วนพ่อครูต้องการสร้างชุมชนซึ่งเป็นตัว static และสร้างพุทธบริษัทในแบบสาธารณโภคีเป็นตัว Dynamic ขับเคลื่อนทำประโยชน์ให้กับมวลมนุษยชาติ พ่อครูพูดถึงระดับของกิเลสในอาริยชนในแต่ละระดับ ท่านปัจฉาเล่าให้ฟังเรื่องการสังวรในศีลทุกขณะปัจจุบันอย่างเช่นศีลข้อที่ 1 ที่พ่อครูปฏิบัติเป็นปกติ อัตโนมัติ ยกตัวอย่างเมื่อวานมียุงมาเกาะที่มือพ่อครู ท่านก็ปล่อยให้มันกินอิ่มเสร็จแล้วมันก็บินไปเอง ท่านปัจฉาดินไท บอกว่าถ้าเป็นท่านก็จะให้กินพอควร เพราะเดี๋ยวท้องจะแตกตายก่อน ท่านปัจฉาสมณะแสนดิน ท่านบอกว่ายุงก็อาจจะแพร่เชื้อโรคได้ พ่อครูบอกว่าท่านก็ดูอยู่ว่ายุงกินได้พอควร ท้องไม่เป่งมาก และท่านก็ไม่ได้คันอะไร ท่านบอกว่ายุงเองเขาก็มี sense มีจิตวิญญาณเหมือนกัน ส่องผ่านเลนส์ได้ฟังถึงกับซาบซึ้งความกรุณาของพ่อครูที่มีต่อเจ้ายุงตัวน้อยที่หลายคนเห็นก็เป็นอัตโนมัติ ตบผั่วประหารชีวิตด้วยฝ่ามือตัวเองทันที แต่จิตโพธิสัตว์นั้นเมตตากับทุกสรรพสัตว์โดยแม้ตัวเล็กตัวน้อยในระดับจิตนิยาม
ทุกขณะ ทุกนาที ของพ่อครู ล้วนประกาศธรรมะอยู่ตลอดเวลา ท่านเห็นต้นไม้เห็นสิ่งแวดล้อมต่างๆก็สามารถใช้เป็นสื่อประกอบการแสดงธรรมได้ทุกเรื่อง เป็นที่น่ายินดีวันนี้พ่อครูชั่งน้ำหนักได้ 50.8 กก.ซึ่งถือว่าเป็นน้ำหนักมากที่สุดภายใน 3 เดือนนี้ หลังจากนั้นก็เข้าสู่โหมดปกติที่พ่อครูจะเริ่มมานั่งโต๊ะพิมพ์หนังสือธรรมะ ที่เห็นในจอตัวหนังสือสีแดงคือสิ่งที่พ่อครูพิมพ์เสร็จแล้วและปริ้นมาเป็นเอกสาร แล้วได้มาอ่านทบทวนก็จะนำมาแก้ไขอีกครั้งในไฟล์คอมพิวเตอร์ เป็นความละเอียดอ่อนของพระโพธิสัตว์ที่จะประกาศธรรมะซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ พ่อครูเคยบอกว่าถึงแม้ยากแค่ไหน เหมือนเข็นอูฐผ่านช่องรูเข็ม หรือทำให้คนตาบอดมองเห็นได้ พ่อครูก็จะเพียรปฏิบัติให้คนรู้ธรรมะโลกุตระโดยไม่ย่อท้อ
พ่อครูลงมาฉันภัตตาหารเวลา 11.30 นาทีได้ฟังข่าวเรื่องรัฐบาลแก้ปัญหาสลากกินแบ่งรัฐบาลขายเกินราคาด้วยการเพิ่มจำนวนสลากอีก 80 กว่าล้านฉบับ พ่อครูถึงกับบอกว่านั่นไม่ใช่วิธีการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การสนับสนุนอบายมุขถือว่าเป็นการสร้างปัญหาเศรษฐกิจให้กับสังคม ที่ใดมีอบายมุขที่นั่นไม่มีความเจริญ พ่อครูยังนึกสงสารสังคมที่ยังหลงติดอยู่กับอบายมุขขั้นหยาบๆทำให้ผู้คนยังวนกับวัฏฏะที่ทำให้เสื่อมลงทุกวัน
เวลา 13 .07 นาทีหลังจากพ่อครูชั้ฉันภัตตาหารเสร็จ ท่านเดินไปพร้อมท่านปัจฉาดินไท ไปที่สขจ.เพื่อรอรถสัญญาตะวันที่พ่อหินเข้มจะขับมารับ เพื่อไปตรวจดูพื้นที่น้ำท่วมขังในจุดต่างๆ ระหว่างรอรถ พ่อครูมายืนดูกองหนังสือที่ขนมาจากห้องสมุดเห็นหนังสือเราคิดอะไรและหนังสือธรรมะของชาวอโศกจำนวนมากที่เตรียมจำหน่ายออก พ่อครูมีดำริให้นำหนังสือเหล่านี้ คัดแยกออกมาแล้วนำไปแจกฟรีวางไว้บนเกวียนหน้าเฮือนบวร พ่อครูสนใจหนังสือแสงสูญฉบับที่ 25-27ชุดธรรมชาติเอ่ย 4 ซึ่งเป็นหนังสือสมัยที่ใช้ตัวตะกั่วพิมพ์ ท่านระลึกถึงการพิมพ์หนังสือสมัยก่อน ที่มีความยากลำบากกว่าสมัยนี้มาก
รถสัญญาตะวันมารับพ่อครูในเวลา 13.15 นาทีพาพ่อครูมาที่ถนนหน้าเฮือนโสเหล่ ผ่านแก้งไทบ้าน ซึ่งถนนมีความเฉอะแฉะ ดินเละเป็นโคลน สัญจรลำบาก รถสัญญาตะวันพาพ่อครูมาถึงถนนตรงเนิน ริมแม่น้ำมูน พบชาวบ้านนำอุปกรณ์หาปลามาดักปลา ชาวบ้านเห็นพ่อครูทักทายและนมัสการพ่อครู ท่านปัจฉาห่วงใยรังนกกระจาบซึ่งมีจำนวนมากบริเวณทางลงริมมูน แต่ระดับน้ำก็ยังไม่ถึงรังนกกระจาบ ท่านยังเย้าว่าต่อไปนกกระจาบก็คงจะสร้างรังสูงกว่านี้ ที่ริมแม่น้ำมูนน้ำเริ่มสูงกว่าครั้งก่อนที่มาดู พ่อครูผ่านเข้าไปที่ถนนภายในชุมชนเฟส 1/2ผ่านหน้าบ้านสามทอง พี่ปุ๊ก ทองไทและน้องรุน ฟางรวงทองมากราบนมัสการพ่อครู พี่ปุ๊กรายงานพ่อครูเรื่องที่ตนเองและทีมงานได้มีโอกาสไปที่เมืองอัตตะปือประเทศลาวเพื่อสังเกตการณ์และเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ลาว เป็นเวลา 3 วัน พ่อครูยังเย้าพี่ปุ๊กว่า อีกไม่นานไม่แน่นะ ตัวพี่ปุ๊กเองอาจจะเป็นผู้ประสบภัยเสียเอง เพราะน้ำจากแม่น้ำมูนกำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ สังเกตหมู่บ้านเฟส 1/2 สร้างขึ้นใหม่หลายหลัง มีทั้งหลังเล็ก หลังขนาดกลางและหลังขนาดใหญ่หลากหลายรูปแบบ
รถสัญญาตะวันพาพ่อครูเลาะมาอีกซอยหนึ่งปรากฏว่าทางเป็นดินโคลน หลุมลึกทำให้รสสัญญาตะวันติดหล่มไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ล้อลงไปจมโคลนเกินครึ่ง พ่อครูจึงเดินลงจากรถโดยมีพี่ปุ๊กช่วยประคอง อาหินเข้มโทร.เรียนท่านสมณะข้าฟ้าและทีมงานท่านที่อยู่ในพื้นที่ท่าเรือใกล้กับบริเวณรถสัญญาตะวันติดหล่มอยู่ ให้มาช่วยดึงรถสัญญาตะวัน ระหว่างทางที่พ่อครูเดินกลับ ท่านสมณะคมเย็นมาสังเกตการณ์รูปแรก ต่อด้วยรถทีมงานท่านสมณะข้าฟ้าก็มาอำนวยความสะดวกในการดึงรถสัญญาตะวัน ระหว่างนั้นพ่อครูเดินกลับมาก่อน ป้าตั๊ก ยิ่งรักและป้าแป๊ว กำลังปลูกฟักทอง ท่านปัจฉาถามว่าไม่กลัวน้ำจะท่วมหรือ ทั้ง 2 ท่านบอกว่าลองเสี่ยงกันดูเผื่อได้ใช้ช่วงงานเจ
พ่อครูเดินมาถึงโรงหล่อศิลป์ธรรม หยุดยืนดูแบบเหรียญพ่อครู พ่อครูบอกว่านี่คงเป็นเหรียญรุ่นแรก บางคนก็บอกเหมือนบางคนก็บอกไม่เหมือน แต่พ่อครูก็บอกว่าเหมือนแล้ว พ่อครูเดินไปด้านหลังโรงหล่อทองเหลืองที่ช่างดอนกำลังทำงานอยู่ช่างดอนกราบนมัสการรายงานว่ากำลังหล่อแบบงานศิลปะสำหรับเรือรามรักษ์และเรือเจิ้นเทิ้น ซึ่งเป็นใบระกามีน้ำหนักต่อแผ่น 10 กว่ากิโลกรัม รถสัญญาตะวันขึ้นจากหล่มมารับพ่อครูกลับมาทางถนนระหว่างแก้งไทบ้าน แต่ต้องหยุดเพื่อให้นักเรียนสมุนพระราม ที่กำลังขี่จักรยานลุยโคลนแบบเสี่ยงต่อการล้ม ให้ขึ้นมาก่อนเพราะถนนเป็นดินโคลน ขี่จักยานลำบาก เด็กๆเห็นพ่อครูก็ลงจากจักรยาน บางคนก็จักรยานเซล้มเล็กน้อย เสื้อผ้า พ่อครูเห็นลักษณะถนนที่เป็นดินโคลนหน้าเละเป็นเหมือนหน้าเค้ก ท่านเลยให้เรียกชื่อถนนหรือว่า” ถนนป๊อดแป๊ด”ซึ่งหมายถึง หน้าดินเละเป็นดินโคลน เด็กๆนักเรียนสัมมาสิกขาเพิ่งจะเข้าชั้นเรียนจบช่วงเที่ยงถึงบ่ายสอง กำลังจะไปลงฐานงานเรียนรู้ต่างๆ ซึ่งก็เป็นปกติที่เจอพ่อครูเด็กๆก็จะนั่งลงกราบนมัสการพ่อครู ท่านเย้าเด็กๆว่าน้ำจะมาแล้ว คงได้ฉลองน้ำกัน เด็กๆไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องลำบาก กลับดีใจร้องเย้ จะได้ฉลองน้ำกัน
รถสัญญาตะวันพาพ่อครูผ่านมาทางหน้าเรือรามรักษ์ มีญาติธรรม 4 ท่านที่เคยเข้าคอร์สกับหมอแตงไทที่จ.ร้อยเอ็ดตามมาหาหมอแตงไทที่นี่ ปรากฏว่าหมอแตงไทไม่อยู่จึงจะขอมารักษาแพทย์แผนไทยที่โฮงปัว พ่อครูพยักหน้าและให้ไปที่โฮงปัวได้เลย ผ่านมาหน้าถนนตรงมุม ปากทางเข้าหมู่บ้าน ก็ยังเป็นหลุมบ่อ รถผ่านมาบริเวณช่างอยุธยาซ่อมเรือก็ยังมีคนงานซ่อมเรืออยู่ได้มากราบนมัสการพ่อครู ถึงป้ายหน้าราชธานีอโศกนายรักษ์เขต ซึ่งเพิ่งกลับมาจากประเทศลาวเพื่อไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย ขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมาได้ลงมากราบนมัสการพ่อครู รถสัญญาตะวันพาพ่อครูมาถึงโรงปุ๋ยพลังชีวิตพ่อครูถามว่าไม่มีขึ้นปุ๋ยหรือ..ก็ได้ทราบว่ามี แต่กำลังรอนักเรียนซึ่งอีกสักครู่ก็จะเข้างานฐานโรงปุ๋ย รถสัญญาตะวันพาพ่อครูมาที่หลังอาคารบนหน้าเวทีซึ่งตอนนี้เป็นลานตากข้าวและกำลังสีข้าวพันธุ์กข 43 ขณะที่พ่อครูไปสีได้กว่า 50 กระสอบแล้วพ่อครูแวะดูข้าวพันธุ์พิเศษนี้ เห็นกองฟางที่ออกจากเครื่องสีข้าว พุ่งออกมากองสูงแบบธรรมชาติดูงดงาม ท่านบอกว่าให้ฟางกองไว้แบบนี้อย่าเพิ่งเอาไปไหน เพราะเป็นองค์ประกอบศิลป์ที่สวยงามภายในอาคารบวร พ่อครูแวะหน้าเรือเจิ้นเทิ้นมองไปที่ใบระการูปหงส์หงส์ ที่เพิ่งเห็นที่โรงหล่อศิลป์ธรรม ซึ่งคาดว่าจะนำมาติดให้เต็มบริเวณกาบเรือ
พ่อครูเดินมาด้านหน้าเฮือนบวรบนถนนที่ยังไม่ได้เทคอนกรีต เพราะวันนี้เทคอนกรีตเต็มอีกฝั่งหนึ่งได้แค่ด้านหน้าถนนตรงแก่ง จนถึงบริเวณถนนหน้าทางเข้าผาแหงน คาดว่าในวันพรุ่งนี้ถนนหน้าเฮือนบวร ก็จะเทคอนกรีตเต็ม 7เมตรเช่นกัน พ่อครูเดินกลับมาหน้าน้ำตกผาแหงนพบคุณปะงามงานกำลังขับรถคู่ใจไปเก็บผักสำหรับใช้เป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารพ่อครูเดินขึ้นมาบันไดข้างน้ำโตนสังเกตเห็นต้นพยุงที่คาดว่าจะตาย วันก่อนเห็นมีใบขึ้นมาเล็กน้อยแต่วันนี้แตกใบขึ้นมามากกว่าเดิม เท่ากับว่าพยุงต้นนี้รอดชีวิตเป็นพยุงคู่ที่พวกเราเฝ้าดูการเจริญเติบโตควบคู่กับธรรมชาติหน้าน้ำโตนแห่งนี้
พ่อครูกลับขึ้นมาที่บันไดภายในน้ำตกผาแหงนกลับขึ้นชั้น 4 ล้างมือ ล้างเท้าและเข้าห้องทำงาน เปิดคอมพิวเตอร์เรียบเรียงธรรมะโลกุตระอีกครั้งหนึ่ง ดังเช่นที่พ่อครูพูดเสมอว่า”ไม่มีเวลาใดเลยที่จะไม่เปิดเผยธรรมะ” พ่อครูเคยกล่าวไว้ว่า “อาตมาเกิดในยุคนี้เพื่อมารื้อฟื้นธรรมะของพระพุทธเจ้า” เป็นโพธิกิจเพื่อมวลมนุษยชาติที่แม้ยากแค่ไหนพ่อครูก็จะเพียรขยายอายุขัยเพื่อช่วยเหลือมวลมนุษยชาติให้ได้มากที่สุดในกัปป์นี้..