บันทึกผ่าน เลนส์ส่องโพธิกิจ….ธรรมชาติเกื้อกูลมนุษย์ มนุษย์เกื้อกูลธรรมชาติ
วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม 2561
วันนี้พ่อครูลงมาฉันภัตตาหารเวลาประมาณ 11.00 นปู่เถาว์ซึ่งกำลังนั่งรับประทานอาหารในศาลา เข้ามากราบนมัสการพ่อครู พ่อครูทักทายถามไถ่ถึงอาการไม่ค่อยสบายหายดีหรือยัง ปู่เถาว์เรียนพ่อครูว่า ตอนนี้สุขภาพดีไม่ได้เจ็บป่วยอะไร พ่อครูคงทราบข่าวก่อนหน้านั้นที่ไม่ค่อยสบายตอนนี้สุขภาพดีขึ้นมากแล้ว
ท่านปัจฉาดินไทเปิดสำรับและจัดภัตตาหารถวายพ่อครู ทีมงานหินสร้างเมืองเข้ามากราบนมัสการรายงานผลการดำเนินงานเพื่อเตรียมจัดซื้ออุปกรณ์ต่างๆสำหรับขนย้ายหินขนาดใหญ่หลายร้อยตัน
นักเรียนชั้นม.1 เข้ามากราบนมัสการขอชื่อทางธรรมกับหลวงปู่ บางคนมาทีหลังทางคุรุบอกว่าให้เขียนใส่กระดาษและฝากไว้เพราะใกล้เวลาเข้าเรียน12.00 แล้วพ่อครูฉันภัตตาหารพร้อมท่านปัจฉาสมณะดินไทและปัจฉาสมณะหนักแน่น พร้อมทั้งอ่านหนังสือพิมพ์ระหว่างฉันภัตตาหารไปด้วย
เวลาประมาณ 14.30 นาทีพ่อครูเดินออกมาทางด้านหลังพระพุทธโตเห็นยีราฟปูนปั้น บริเวณปูนที่คอได้แตกหักออกมา ซึ่งยังไม่มีใครนำไปซ่อมแซมเวลานี้ถูกพืชไม้เลื้อยปกคลุมไปไม่เห็นร่องรอยส่วนคอแล้ว พ่อครูยืนมองพืชผักต่างๆที่ขึ้นงดงามมากหน้าโมโนลิธ (Monolith)น้อย หลังพระพุทธโต ล้วนเป็นผักกินได้ เช่นอ่อมแซบเมื่อเจอฝนก็เจริญเติบโตเองได้งดงาม พ่อครูเดินมาถนนเทคอนกรีตที่เสร็จสมบูรณ์แล้วผ่านทางเข้าหน้าน้ำตกผาแหงน สังเกตเห็นต้นข่อยหินที่ขึ้นอยู่ในซอกหิน ที่วางบนก้อนหินใหญ่ป้ายชื่อบวร แตกใบเขียวสดเจริญเติบโต ท้าแดดท้าลมได้งดงาม ต้นข่อยหินจัดเป็นพืชหายากและอีกนานจึงจะได้ยลโฉมดอกข่อยหินที่เคยออกดอกในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา พ่อครูดำริว่าน่าจะให้ช่างคณิต ไทเทิดธรรม นำสีเหลืองทองมาทาบริเวณป้ายชื่อเพิ่มอีกเพราะเวลานี้สีเหลืองทองนั้นจืดจางไปมาก พ่อครูมองไปบริเวณหน้าลานสะโพบอกว่า landscape บริเวณหน้าน้ำตกผาแหงนเป็น landscape ที่สอดคล้องเป็นองค์ประกอบรับกันตั้งแต่ น้ำตกผาแหงน ต้นพิลึกพิลั่น น้ำโตน ลานสะโพและโขดหินหน้าทางเข้าเป็นภูมิทัศน์ที่มีองค์ประกอบศิลป์สมดุลสอดคล้องกัน
พ่อครูเดินมาดูงานทำถนนคอนกรีตหลังวิทยาลัยอาชีวะซึ่งเหลือ 2 บล็อคสุดท้ายพ่อหินเข้มได้นำรายการบัญชีค่าใช้จ่ายสำหรับการทำถนนเส้นนี้ระยะทางยาว 360 เมตรมาเรียนให้พ่อครูทราบ หลังจากนั้นพ่อครูเดินไปที่ตลาดนัดบุญนิยม แม่บัวนวลเข้ามากราบนมัสการเรียนพ่อครูว่า วันนี้แม่ค้าเริ่มกลับมาขายบ้างแล้ว แต่ลูกค้ายังไม่เยอะเท่าไหร่เพราะถนนยังไม่แล้วเสร็จดี แม่ค้าต่างก็กราบนมัสการพ่อครู ยายแสงยังคงนำพืชผักภายในชุมชนมาแปรรูปจำหน่ายในราคาบุญนิยมถุงละ 10 บาทห่อหมกก็ 10 บาทเช่นกัน พ่อครูแวะทักป้าแววที่นำออกเห็ดออริจิมาย่างขายไม้ละ 10 บาท ซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่ชอบอาหารปิ้งย่าง พ่อครูแวะที่ร้านอาเดือนแก้วซึ่งทำอาหารจากพืชผักภายในชุมชน เช่นห่อหมกเต้าหู้ เห็ดตับทอดและโปรตีนสามรสซึ่งได้จัดไว้สำหรับให้ชิมด้วย เดินไปซักพักมีผู้ชมรายการจากอำเภอกันทรลักษ์เห็นพ่อครู เข้ามากราบนิมนต์ขอถ่ายรูปกับพ่อครูที่ลานสิงห์หน้าเรือเจิ้นเทิ้น
พ่อครูแวะมาที่เรือเจิ้นเทิ้น อาแสงศิลป์ เดือนหงายได้กราบเรียนพ่อครูถึงความคืบหน้าการตกแต่งเรือเจิ้นเทิ้น โดยจะทำพญาแร้งตัวโตติดตั้งบนห้วเรือซึ่งมีขนาดเฉพาะหัวพญาแร้งเท่าแบบโฟมที่กำลังนำมาทดสอบขนาด รวมถึงอาแสงศิลป์ เรียนพ่อครูว่าพญาแร้งตัวนี้จะเป็นพญาแร้งที่สยายปีก เตรียมเหินฟ้าอย่างแกล้วกล้า อาจหาญ เหมาะสมกับพระพุทธรูปสมเด็จปู่วิชิตอวิชชาที่เป็นปางต่อสู้กับมารที่อวิชชาโดยมีพญาแร้งอยู่ด้านหน้าซึ่งจะต่างกับพญาแร้งตัวอื่นๆที่มีลักษณะกางปีกโอบอุ้มปกป้อง
พ่อครูเดินขึ้นไปชั้น 2 เฮือนบวร เพื่อดูงานขัดพื้น ผ่านร้านศิษย์เก่า ห้านนี่มีซือนะศิษย์เก่าหลายคนกำลังนั่งล้อมวงรับประทานอาหารร่วมกันอย่างอบอุ่น พ่อครูเดินตรวจงานชั้นบน ที่ได้ปรับเปลี่ยน ไม่สร้างเป็นห้องพิพิธภัณฑ์แล้ว โดยห้องพิพิธภัณฑ์จะไปจัดแสดงที่ชั้นล่างอาคารบวรแทน ส่วนบริเวณนี้จัดทำเป็นห้องหนังสือซึ่งย้ายห้องสมุดมานั่นเอง แล้วเนื่องจากพ่อครูทักว่าต้องเรียกห้องหนังสือเพราะไม่มีสมุดสักเล่มจะเรียกห้องสมุดได้อย่างไร ต้องเรียกห้องหนังสือ ตรงนี้ถ้าแล้วเสร็จก็จะให้ใช้ชื่อว่าห้องหนังสือ รวมถึงพ่อครูดำริให้จัดมีมุมอ่านหนังสืออย่างสุขสำราญ เบิกบานใจด้วย เพราะอยู่บริเวณวิวทิวทัศน์ที่มองเห็นราชธานีอโศกได้หลายมุม เด็กชายป่าต้นโพธิ์และเด็กชายหินต้นโพธิ์มากับพี่ศิษย์เก่าศีรษะอโศก ก็เข้ามากราบนมัสการพ่อครูอย่างน่าเอ็นดู เด็กๆส่วนมากเห็นพ่อครูก็เหมือนเห็นหลวงปู่ซึ่งเป็นปู่จริงๆก็จะกล้าเข้ามากราบและทักทาย แล้วน้องหินกับพี่ป่ายังเดินตามพ่อครูตลอดเช่นเคย
พ่อครูเดินลงมาด้านล่าง พื้นหินขัดหน้าเวทีได้ลงเคลือบเงาแล้ว ท่านสมณะด่วนดีเข้ามานมัสการและรายงานการดำเนินงาน พ่อครูผ่านห้านนี่มีซือนะ ศิษย์เก่าทุกคนรวมถึงที่มาจากบวรศีรษะอโศกเข้ามากราบนมัสการพ่อครู
พ่อครูและคณะเดินกลับมาถึงป้ายบวร ท่านด่วนดีเรียนปรึกษาพ่อครูเรื่องตำแหน่งการจัดวางรูปหล่อองค์ปางอภัยพ่อครูชี้ให้ดูตำแหน่งที่เหมาะสมด้านหน้าหินก้อนใหญ่รูปทรงแบน ถ้าวางได้ก็น่าจะวางบริเวณนี้ ท่านด่วนดีลองคำนวณแล้วก็เห็นว่าน่าจะพอดี อาจจะเข้าไปลึกหน่อยและมีหินด้านบนเหมือนเป็นร่มเงา พ่อครูบอกว่าเป็นเช่นนั้นก็ได้ พ่อครูเดินกลับมาดูภูมิทัศน์หน้าลานสะโพ บอกกับทางท่านปัจฉาว่าช่วงนี้ฤดูฝน ต้นหญ้าและวัชพืชเติบโตอย่างรวดเร็วสมบูรณ์แข็งแรง ทำให้บางคนมองว่ารก ส่วนพ่อครูมองว่านี่คือความงามตามธรรมชาติ ซึ่งถ้าเข้าช่วงหน้าร้อน ต้นหญ้าต่างๆก็จะเฉาและเหี่ยวแห้งไปเอง พอถึงช่วงใกล้หน้าฝน ต้นหญ้าเหล่านี้ก็จะเติบโตลักษณะนี้ขึ้นมาอีกเป็นการสร้างความสมดุลทางธรรมชาติที่เราไม่ต้องไปดูแลมาก เพียงไม่ทำลายแต่เฝ้าดูให้เติบโตตามธรรมชาติ ตามฤดูกาลก็เพียงพอ พวกเราบางคนยังไม่เข้าใจคิดว่าปลูกหญ้าทำไม ปลูกข้าวดีกว่า โดยถอนหญ้าออกและนำต้นข้าวเพียง 4-5 ต้นมาปักไว้ ซึ่งพ่อครูบอกว่าปลูกข้าวแค่นี้ไม่รู้จะปลูกไปทำไม ให้หญ้าขึ้นดูเป็นธรรมชาติจะดีกว่า ซึ่งพ่อครูก็ไม่ได้ตำหนิอะไรมากเพียงแต่ว่าถ้าสามารถเลี่ยงการทำลายหญ้าหรือวัชพืชบริเวณนี้ได้ก็จะช่วยให้เกิดธรรมชาติที่สมบูรณ์ตามความเป็นจริงได้มากที่สุด
พ่อครูเดินขึ้นทางลาดด้านหน้าน้ำตกผาแหงน ก่อนเข้าไปในอุโมงค์ พ่อครูสังเกตเห็นมีคนตัดยอดของต้นพวงประดิษฐ์ ท่านปัจฉาแนะนำให้ท่านด่วนดีทำเป็นโครงซุ้มเพื่อให้ต้นพวงประดิษฐ์เลื้อยจะดีกว่า ซึ่งพ่อครูก็เห็นด้วย จากนั้นพ่อครูเดินกลับขึ้นชั้น 4 ผ่านสวนเอาพิษออก ต้นไม้เริ่มสูงขึ้นเขียวขจีเย็นตา ลดความร้อนของพื้นปูนได้มาก พ่อครูล้างมือล้างเท้าและเข้าห้องทำงาน เขียนหนังสือคนจนที่มีแบบฉบับปรับปรุงต่อไป หนังสือคนจนที่มีแบบเล่มแรกได้พิมพ์แจกไปแล้วช่วงงานอโศกรำลึก แต่หนังสือเล่มใหม่นี้ที่พ่อครูกำลังแก้ไข ปรับปรุงขณะนี้มีจำนวน 500 กว่าหน้าแล้ว และคิดว่ายังคงเพิ่มหน้าต่อไปอีก เพราะธรรมะของพ่อครูยิ่งทบทวนแก้ไข ยิ่งมีรายละเอียดที่ลึกซึ้งมาก
หนังสือคนจนที่มีแบบเล่มใหม่นี้ จะเป็นคัมภีร์ธรรมะอันลึกซึ้ง เหมาะสำหรับการมาเป็นคนจน ที่สุขสำราญ เบิกบานใจ เพราะสามารถถอดรหัสในการหลุดออกจากโลกโลกีย์สู่โลกโลกุตระได้อย่างสมบูรณ์ อย่างมั่นคง และยั่งยืนจริงๆ…