บันทึกผ่านเลนส์ ส่องโพธิกิจ..ปัญญาโลกุตระเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งของสังคมได้
วันพุธที่ 15 สิงหาคม 2561
เช้าวันแรกสำหรับการกลับมาถึงบวรราชธานีอโศกซึ่งตั้งแต่พ่อครูเดินทางสัตตาหะไปกรุงเทพฯ ฝนฟ้าอากาศก็ครึ้มตลอดทั้งสัปดาห์ รวมถึงเช้านี้ด้วยที่มีฝนตกโปรยปรายพรำลงมาตลอดทั้งวันทั้งคืน
เวลา 6 นาฬิกาเป็นเวลาปกติที่พ่อครูตื่นนอนทุกเช้า สำหรับเช้านี้เป็นการเริ่มบริหารร่างกายแบบสลับชุดใหญ่ใน 4 ท่าออกกำลังกายเดิม คือชุดแรกเริ่มวิดพื้น18 ครั้งต่อด้วยท่าบริหารร่างกายยืดเส้นเอ็นหน้าท้องคล้ายกับซุปเปอร์แมนกำลังบินอีก 3 เซตจากนั้นก็วิดพื้นต่ออีก 19 ครั้ง ต่อด้วยท่าบริหารแก้กลับท่ายืดเส้นเอ็นหลังอีก 3 ยกต่อด้วยวิดพื้นอีก 20 ครั้ง ท่าสุดท้ายจะเป็นท่ายกเท้าสูงจากพื้นประมาณ 1 ฟุตเพื่อบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องซึ่งทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 7 นาทีเพื่อให้เกิดความสมดุลของท่ากายบริหาร หลังจากตื่นนอนตอนเช้า
หลังจากออกจากเต๊นท์ พ่อครูมานั่งเช็ดหน้าและดื่มน้ำปัสสาวะอุ่นก่อนที่จะสนทนากับคณะท่านปัจฉา ซึ่งท่านปัจฉาแต่ละรูปล้วนมีกิจที่ช่วยดูแลพ่อครูแตกต่างกันไป ท่านปัจฉาดินไทจะช่วยดูแลเรื่องเตรียมอุปกรณ์เช็ดหน้าทำความสะอาดรวมถึงเช็ดแว่นถวายพ่อครูทุกเช้า ท่านปัจฉาเดินดินจะรายงานการบริหารงานของพุทธบริษัทในชุมชน ท่านปัจฉาหนักแน่นช่วยดูแลในเรื่องข้าวของบริขารส่วนตัวของพ่อครู ท่านปัจฉาแสนดินช่วยดูแลบันทึกเหตุการณ์ต่างๆและบันทึกหัวข้อธรรมะพ่อครู
เช้านี้ท่านปัจฉาเดินดินได้เรียนปรึกษากับพ่อครูถึงการปรับรูปแบบรายการพุทธศาสนาตามภูมิเพื่อช่วยรักษาสุขภาพพ่อครูไม่ให้เทศน์ติดต่อกันต่อเนื่อง 2 ชั่วโมงโดยจะสลับกับท่านสมณะและสิกขมาตุช่วยย่อยธรรมสนทนาพูดคุยกับญาติโยมเป็นช่วงๆสลับกับพ่อครูที่ยังคงเทศน์ปรมัตถ์หัวข้อธรรมต่างๆซึ่งจะช่วยทำให้ญาติโยมเข้าใจในรายละเอียดเพิ่มมากขึ้นและช่วยให้พ่อครูไม่ใช้เสียงติดต่อกันนานเกินไปตามที่คุณหมอได้แนะนำมาให้ช่วยรักษาเส้นเสียงซึ่งมีการใช้งานหนัก เกรงว่าต่อไปจะทำให้เส้นเสียงชำรุดได้ รวมถึงพ่อครูได้ดำริชื่อของรถแบคโฮเครื่องจักรกลใหม่ที่จอดอยู่บวรสันติอโศกและกำลังจะนำมาใช้งานที่ราชธานีอโศกให้ชื่อว่า “สิงห์ฟ้า”เพราะเป็นรถแบคโฮขนาดเล็กกว่าช้างส้มที่มีอยู่ ซึ่งรถยนต์ต่างๆ พ่อครูมีดำริว่าถ้าเป็นรถยนต์ขนาดเล็กโดยสารก็จะตั้งชื่อเป็นตระกูลเส้น ถ้าเป็นรถยนต์ขนาดใหญ่หรือรถเครื่องกลก็จะเป็นสัตว์ต่างๆที่มีลักษณะเป็นผู้นำของพงไพร
เช้านี้พ่อครูชั่งน้ำหนักได้ 49.7 กก.เป็นน้ำหนักมาตรฐานที่ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้มานานหลายปีแล้ว ผ่านสวนเอาพิษออก ดอกพุดน้ำบุศย์บานเต็มต้นอยู่ต้นเดียวคาดคะเนกันว่าเป็นไม้ดอกที่ชอบฝนจึงทำให้ออกดอกได้ดีในช่วงฤดูฝนพ่อครูเดินชมสวนเอาพิษออก ต้นไม้เมื่อโดนฝนก็ชู๊ดตัวเจริญงอกงามดีเกือบทุกต้นรวมถึงต้นสร้อยฟ้าที่กำลังเลื้อยขึ้นมาจากระเบียงชั้น 3กำลังเลื้อยขึ้นมาชั้น 4 เพื่อมาเติบโตบนยอดโดมรวมถึงต้นหิรัญญิการ์ ที่กำลังเลื้อยจากชั้นล่างข้างน้ำตกหินน้ำไหลก็กำลังพยายามเลื้อยขึ้นมาชั้น 4 เช่นกัน พ่อครูมองออกนอกหน้าต่างข้างโต๊ะทำงานเห็นวิวทิวทัศน์ราชธานีอโศกริมฝั่งแม่น้ำมูลหมู่บ้านเฟสหนึ่งซึ่งพ่อครูบอกว่าหมู่บ้านเราแตกต่างจากหมู่บ้านจัดสรรทั่วไปสังเกตุแค่หลังคาก็มีลักษณะรูปแบบหลากหลายไม่ซ้ำแบบกันเลย รวมถึงส่วนต่างๆภายในบวรที่มีทัศนียภาพเขียวสดและมีชีวิตชีวาด้วยน้ำบุ่งสะท้อนผืนฟ้าและสีเขียวจากต้นไม้ที่เติบโตกับรอบๆชุมชน พ่อครูมองผ่านไปทางทิศตะวันออกเห็นต้นไม้ใหญ่หลายต้นกำลังออกดอก ต้นกางฮุงข้างฮ์อนสูญ ก็กำลังออกดอกเต็มต้นเช่นกัน พ่อครูมองชมทิวทัศน์รอบๆหมู่บ้านในระยะไกลเพื่อบริหารสายตาให้มองในที่กว้างสลับกับการทำงานหน้าจอ เสร็จแล้วพ่อครูก็มานั่งที่โต๊ะทำงานเขียนหนังสือธรรมะเป็นปกติอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับดูทีวีข่าวสารทั้ง 3 จอพร้อมกัน
เวลาประมาณ 8.00 น.พ่อครูสวมรองเท้าเตรียมตัวเพื่อมาเดินออกกำลังกายที่ชั้นล่าง เฮือนสูญ วันนี้เดินได้18 รอบใช้เวลา 25 นาทีหลังจากนั้นได้ออกมาเดินคูลดาวน์ผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่หน้าลานสะโพ พ่อครูสังเกตเห็นต้นหญ้าเติบโตงดงามมาก ทุกพื้นที่ลงตัวสวยงามเติบโตเองตามระบบนิเวศที่เหมาะสมลงตัวระหว่างอุตุนิยามและพีชนิยาม หน้าลานสะโพซึ่งประกอบด้วย หิน ดิน น้ำ ปูนปั้นสัตว์และต้นหญ้าชนิดต่างๆ ทุกอย่างลงตัว เดินไปไม่นานพ่อครูก็พบกอหญ้าที่ถูกตัดกลุ่มหนึ่งข้างปีกหินที่วางไว้ จึงถามหาว่าใครยังไม่ทราบว่าพ่อครูห้ามตัดหญ้าบริเวณนี้นะ จึงทราบว่าเป็นบุคคลภายนอกที่มาเกี่ยวหญ้าเห็นว่างามจะเกี่ยวไปให้สัตว์กิน พ่อครูถึงกับบอกว่าเผลอไม่ได้ว่าเรานี้ก็จะถูกตัดอยู่เสมอๆ
พ่อครูบอกว่าถนนที่เป็นหลุมบ่อก็ให้หินมาถม หลวงพ่อปางอภัยก็ยังอยู่เหมือนเดิมยังไม่ได้ขยับไปไหน พ่อครูเดินมาถึงอาคารบวร ไปที่เรือเจิ้นเทิ้น ดูโมเดลโฟมที่จำลองพญาแร้งมาติดตั้งที่หน้าเรือ ซึ่งแบบจำลองยังไม่สมบูรณ์เพราะยังไม่มีขนมาหุ้มเลยดูขายาวๆ เป็นพญาแร้งตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่มีมาและเป็นพญาแร้งที่กำลังทะยานสยายปีกขึ้นสู่ฟ้า โดยให้สมเด็จปู่ประดิษฐานอยู่ด้านหลังพญาแร้ง มองไกลๆจะเหมือนสมเด็จปู่ทรงพญาแร้งทะยานสู่เวหา
จากนั้นพ่อครูเดินขึ้นชั้น 2เพื่อดูงานขัดพื้นทางเดินที่เป็นทรายล้างลงสีสลับกันตามแบบที่เคยทำ และงานกั้นพื้นที่ ในแต่ละห้องซึ่งยังไม่ทราบว่าจะเป็นห้องอะไรต้องรอกั้นเสร็จทุกอย่างจะจัดสรรลงตัวตามเหตุปัจจัยเอง พ่อครูเดินข้ามสะพานเหล็กถักไปอีกฝั่งหนึ่งของอาคารบวร จากนั้นเดินออกมาด้านหน้าอาคารบวร ออกมาที่ลานสะโพอีกครั้ง ขึ้นไปที่หน้าองค์พระพุทธโต ยังมีร่องรอยการทิ้งขยะหน้าองค์พระ พ่อครูแวะดูดอกพุทธรักษาสีแดงสด มีต้นกระถินโบราณที่หายากมาขึ้นแทรก มีดอกจันผาขึ้นมางดงาม
พ่อครูบอกว่าช้างขี้เล่นตัวนี้เป็นปริศนาธรรมด้วยเรื่อง หางช้างติดพวยกา และตัวช้างก็แย่งฟุตบอลกับมดซึ่งมีนัยยะที่พ่อครูเคยบอกว่า กีฬาฟุตบอลเป็นอบายมุข มีสัตว์เดรัจฉานเท่านั้นที่เล่น ฟังแล้วผู้ที่ชื่นชอบกีฬาฟุตบอลแทบสะดุ้ง
ด้านหน้าองค์พระมีต้นรัก และมีลูกรักด้วยซึ่งพ่อครูพูดคำว่า “โอ..ลูกรัก” มีนัยยะหมายถึง ลูกคนด้วย
รวมถึงต้นไฮที่มียอดแดงกำลังน่ารับประทาน มีมด มีเพลี้ยเริ่มมาจับจองกินใบอ่อนซึ่งมดก็ได้อาศัยกินน้ำหวานจากเพลี้ย
พ่อครูสอนภาษาอิสานที่ใช้เรียกพืชผัก ต้นไม้กับเกาลัด ป้าขาวที่เดินตามมาด้วย
พ่อครูเดินกลับมาชั้นล่างเฮือนสูญขึ้นลิฟท์ไปชั้น4
เมื่อถึงชั้น 4พ่อครูแวะชมสวนเอาพิษออกที่ต้นไม้กำลังโตพ่อครูบอกว่ารอหน้าแล้งอีกนิดดอกไม้ก็จะแข่งกันบานเต็มสวน หลังจากนั้นพ่อครูนั่งพักบอกว่าสิ่งที่ได้มาใหม่ก็คือพจนานุกรมทั้งนั้นเพื่อมาเป็นการยืนยันคำสอนของพ่อครูที่พิสูจน์ว่าตรงตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าและตรงตามพระไตรปิฎกทุกประการซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อครูมีความเพียรที่จะค้นคว้ามายืนยันการแสดงธรรมของพ่อครูที่เป็นคำสอนพุทธแท้และมีสัมมาทิฐิไม่ได้ผิดเพี้ยนอย่างเช่นปัจจุบัน
เวลาประมาณ 11.15 น.พ่อครูพร้อมท่านปัจฉาดินไทลงมาฉันภัตตาหารที่ชั้นล่างเฮือนสูญท่านปัจฉาดินไทเปิดสำรับถวายพ่อครู หลังพ่อครูฉันภัตตาหารเสร็จเวลาประมาณ 12.40 นาทีท่านออกมาเดินย่อยอาหารและตรวจตามพื้นที่ต่างๆออกมาทางเฮือนสวยเหมิด พบต้นเล็บมือนางที่ถูกตัวบุ้งแทะใบจนแทบจะหมดทั้งโคนต้นเดินผ่านหน้าเฮือนหญังกินหลังโรงครัวพ่อครูสนใจเครื่องบดต่างๆที่สามารถบดทั้งธัญพืชมะพร้าวได้เป็นจำนวนมากเพื่อใช้ประกอบอาหารให้กับสมาชิกชาวชุมชนกว่า 500 คน เดินมาถนนด้านหลังเงินโสเหล่และดูข้างเรือนักเรียนชายเห็นเรือแคนูจมน้ำอยู่ขาดคนดูแล
พ่อครูเดินตามถนนป๊อดแป๊ดดำริให้ทำน้ำตกน้อยฝั่งหญิงโดยวางท่อตามซอกหินต่างๆและใช้ปูนปิดบริเวณข้างต้นสะตือซึ่งต้องรอท่านสมคิดและทีมงานทำสวนไม้ตายเสร็จก่อนถึงค่อยเริ่มลงมือทำน้ำตกอีกฝั่งหนึ่งของแก้งไทบ้าน พ่อครูพบเห็นผักตบเริ่มลอยมาติดตามซอกหิน ซึ่งถ้าน้ำท่วมขึ้นสูงพวกเราคงต้องมาเก็บผักตบชวากันอีกครั้ง พ่อครูเดินผ่านที่นา ที่ใช้เครื่องหยอดข้าวปลูก ต้นข้าวตั้งตัวแข็งแรงงดงามดี ตรงไปที่ถนนตรงกุ่ม ฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นนาที่อากล้าตรงและอามุ่งบุญดูแลอยู่ ข้าวกอแน่นเขียว ตั้งตรงงดงามดีเช่นกัน พ่อครูเดินผ่านโซนเรือพักฝ่ายชายซึ่งได้นำไม้ที่เหลือจากงานก่อสร้างมาตกแต่งซ่อมแซมกลายเป็นคุ้มเรือที่มีความงดงามหลายลำ
พ่อครูเดินมาถึงถนนตรงเนิน ยังคงได้ยินเสียงนกกระจาบร้องจิ๊บๆแต่สังเกตว่าจำนวนรังน้อยลงไม่แน่ใจว่าทำไมได้หายไป เป็นเพราะโดนลมพัดจากธรรมชาติหรือจากน้ำมือคนที่มาเก็บรังนกไป ระหว่างทางพ่อครูชื่นชมต้นตาลที่มีความแข็งแรงไม่ว่าจะจมดินหรือโดนเครื่องตัดหญ้าตัดใบไป อีกไม่นานก็จะแทงยอดขึ้นมาเองได้ ถ้าต้นแข็งแรงสมบูรณ์ ถนนเส้นนี้จะอุดมไปด้วยไม้ยืนต้นทั้งต้นยางต้นตาล ซึ่งช่วงนี้มีญาติธรรมมาช่วยตัดหญ้าทำให้ถนนสันริมมูลไม่รกดูเป็นระเบียบเรียบร้อย
พ่อครูเดินไปถึงท่าเรือและได้ลงไปดูเรือต่างๆ เรือขะน้อยน้ำมูน ช่างกำลังมาเดินระบบไฟ พ่อครูลงไปที่เรือไฉไลสันติและแพต่างๆซึ่งมาจอดเรียงรายเหมือนสะพานยังมีเรืออีกหลายลำ ที่ได้ปรับปรุงติดเครื่องเตรียมใช้ พ่อครูสังเกตเห็นเรือลาวที่หายากแล้วซึ่งเป็นเรือไม้ที่ใช้ 3 แผ่นประกอบกันขึ้นมาเป็นเรือจอดอยู่ข้างแพและเตรียมติดเครื่องไว้ใช้แล้ว พ่อครูลงแพอีกลำหนึ่งเดินทางไปที่แพจอดเรือพบเห็นเรือเหมือนเรือหางยาวลำเล็กทรงแปลกและ เรือลาวลำใหญ่ที่ใส่เครื่องแล้วเตรียมใช้งานในช่วงน้ำท่วมที่ต้องการเรือโดยสารของชุมชน พ่อครูเดินกลับทางเดินที่มีเรือต่อกันเป็นสะพานได้อย่างสะดวกทำให้มั่นใจว่าถ้าน้ำท่วมจริงๆชาวบ้านราชก็สามารถมีท่าเรือโดยสารไปตามแม่น้ำมูลได้อย่างสะดวก
ส่องผ่านเลนส์ก็ยังมองเห็นความคล่องตัวของพ่อครูที่มีความทะมัดทะแมงกระฉับกระเฉงในการเคลื่อนไหวไม่เหมือนผู้ที่อายุ 85 ปีเลย สังเกตจากการเดินสะพานทางเชื่อมที่เป็นทุ่นลอยที่เมื่อเดินแล้วจะโยกเยกและต้องลงเรือน้อยที่ต้องอาศัยการทรงตัวพอควร แต่พ่อครูก็เดินได้อย่างสบายๆคล่องแคล่ว น่าทึ่งจริงๆ..
พ่อครูเดินผ่านต้นสะตือหรือที่พ่อครูเรียกว่า ต้นดวงใจรัก ท่านดำริว่าน่าจะทำสะพานให้ไปที่ต้นดวงใจรักในบุ่งกะโป๋บ้าง ผ่านทางโรงซ่อมเรือท่านปัจฉาหนักแน่นได้นิมนต์ท่านข้าฟ้ามาและเรียนว่า พ่อครูดำริว่าอยากมีสะพานไปที่ต้นดวงใจรัก ท่านข้าฟ้าได้เรียนพ่อครูว่ามีความคิดจะทำเป็นเหมือนสะพานแผ่นเดียวและใช้เชือกเดินจับไปถึงพี่ต้นดวงใจรักเลย เหมือนเป็นสะพานแขวนซึ่งไม่ขัดกับทัศนียภาพตามธรรมชาติ พ่อครูตกลงและให้เริ่มทำทันที จากนั้นพ่อครูเดินผ่านบ้านพี่โน้ต เพชรพันศิลป์ ท่านเย้าอีกว่าบ้านหลังนี้ซื้อมาคงแพงกว่าเขา เพราะมีต้นแสลงใจต้นใหญ่อยู่ติดบ้านเป็นร่มเงาได้เลย เดินผ่านต้นเถาวัลย์เปรียงซึ่งเลื้อยคลุมต้นไม้แทบไม่เห็นต้นเดิมและมองไปที่บ้านคุณเจี๊ยบจึงนำพืชผักสวนครัวมาปลูกในท่อ ผักต่างๆเริ่มเติบโตอุดมสมบูรณ์ผ่านหน้าบ้านป้าเต็มสิริมีสวนดอกไม้ทั้งสองฝั่ง พ่อครูบอกว่าอีกไม่นานถ้าเริ่มทำถนนก็คงได้เบียดเบียนดอกไม้เหล่านี้
ที่สวนทำกินมีทั้งกล้วยน้ำว้าเครือใหญ่ ทานได้แล้วพร้อมปลีกล้วยขนาดใหญ่สามารถนำไปประกอบอาหารได้เช่นกัน พ่อครูเดินมาตามถนนคอนกรีตที่เทเสร็จแล้ว เดินมาด้านหลังพระพุทธโตซึ่งมีต้นมะละกอออกลูกดกเต็มต้น พ่อครูบอกว่าพวกเราอุดมสมบูรณ์กันจริงๆกินกันไม่ทัน ที่ส่วนหน้าอุทยานไม้ตายมีแมลงปอจำนวนมากบินอยู่เหนือต้นจานเหลืองและหางนกยูงเหลือง พ่อครูบอกว่าเป็นความอุดมสมบูรณ์ที่ทำให้มีแมลงปอมาบินบริเวณนี้ ถ้าพื้นที่ไม่สะอาดจริงๆแมลงปอก็จะไม่มา หลังจากนั้นพ่อครูพร้อมท่านปัจฉาขึ้นลิฟท์ไปชั้น 4
ไปถึงโต๊ะทำงานสนทนาสักครู่ก่อนที่จะเช็ดหน้าเช็ดตัวเล็กน้อยอ่าน SMS ที่ท่านปัจฉาดินไทนำมาถวายเพื่อเตรียมตอบในรายการพุทธศาสนาตามภูมิในช่วงเย็น
ส่องผ่านเลนส์ เดินออกมาที่สวนเอาพิษออก พบดอกบัวไดเร็คเตอร์ ดอกสีม่วงน้ำเงิน กำลังบานงดงาม ทำให้นึกถึงบัว 4 เหล่าหรือบุคคล 4 จำพวก ตั้งแต่เหล่าที่ 1บัวพ้นน้ำคือบุคคลที่มีปัญญาพอได้ฟังธรรมและก็สามารถปฏิบัติจนเกิดผลได้ บัวเหล่าที่ 2 บัวปริ่มน้ำหรือเสมอน้ำคือบุคคลที่ฟังธรรมแล้วต้องขยายความบ่อยๆหรือบางครั้งรู้แต่ก็ยังไม่นำไปปฏิบัติต้องอาศัยการฝึกฝนมากในการปฏิบัติจึงจะเกิดผล บัวจำพวกที่ 3 คือบัวใต้น้ำหมายถึงเหล่าเวไนยสัตว์หรือผู้ที่ฟังธรรมไม่เข้าใจและไม่ได้นำธรรมะไปปฏิบัติ ต้องอาศัยการฝึกปฏิบัติอย่างมีสัมมาทิฐิอย่างมาก กว่าจะเป็นบัวปริ่มน้ำและบัวพ้นน้ำ เหล่าสุดท้ายคือจำพวกบัวในตมที่เป็นได้แค่อาหารของเต่า ปลาหมดโอกาสที่จะเจริญในธรรมได้ คือบุคคลผู้หลงผิด ติดอยู่ในกามคุณ รูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส มีวัฏฏะวังวนอยู่กับความโลภ ความโกรธ ความหลงในโลกอบาย เป็นผู้ที่ไม่สามารถบอกกล่าวให้รู้ธรรมะได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสงสารถ้าเกิดมาในชาติหนึ่งแล้วไม่ได้ศึกษาธรรมะ ฟังธรรมะจากสัตบุรุษ จนเกิดดวงตาเห็นธรรม หลุดพ้นโลกอบาย สู่โลกโลกุตระที่เป็นโลกของอาริยชน ผู้ที่ฝึกฝนประโยชน์ตนในการลดกิเลส จนเกิดประโยชน์ท่านในการให้และเสียสละต่อผู้อื่นและไม่เป็นภาระต่อสังคม….
เวลาประมาณ 18.00น.พ่อครูลงลิฟต์มาพร้อมท่านปัจฉาดินไท ท่านปัจฉาเดินดินนั่งรร่วมรายการอยู่แล้ว เริ่มรายการด้วยท่านปัจฉาเดินดินกล่าวถึง รายงานจากแพทย์ที่ประเมินจากผลการตรวจร่างกายประจำปีแล้วรายงานผลพร้อมแนะนำข้อปฏิบัติในการดูแลสุขภาพพ่อครูในชีวิตประจำวันไว้เพื่อคณะปัจฉาพิจารณาว่า
เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2561
- พบว่าตรงบริเวณเส้นเสียง ทั้งสองข้างนั้นมีความหนาตัวขึ้นกว่าเดิม
- แสดงถึงการใช้เสียงมากเกินไปในช่วงนี้
- แนะนำให้จิบน้ำมากขึ้นเวลาเทศน์ เป็นระยะทุกๆ 15 นาที
- ถ้าเป็นไปได้ควรจะลดระยะเวลาและความถี่ของการเทศน์ลง
- ควรเทศน์ด้วยเสียงที่ไม่ต้องตะเบ็งหรือตะโกน
- รูปเเบบการเทศน์ที่ได้หยุดเป็นระยะ เช่น สัมมะปี๋ซีวิต ดีมาก
- เเนะนำให้ดื่มน้ำเพิ่มขึ้น
- เวลาเทศน์ควรจะจิบน้ำอุ่นเป็นระยะ
- ใส่หน้ากากกันฝุ่นทุกครั้งเวลาไปโรงปุ๋ย หรือ มีฝุ่น ลมแรง
- งด อาหารที่เคี้ยวยาก ชิ้นใหญ่ ระคายเคือง
- งด การพูดคุยเวลาฉันอาหาร
- เป้าหมายคือให้ความถี่การไอลดลง เเละไอเบาลง เสมหะออกมาง่ายขึ้น
..หลังจากนั้นรูปแบบรายการก็ปรับเป็นพ่อครูเทศน์ตอบ sms ประมาณ 1ชั่วโมง สลับกับท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุ สรุปและย่อยธรรมะให้ญาติโยมเข้าใจให้ชัดเจนมากขึ้น เป็นการลองปรับรูปแบบรายการครั้งแรกเพื่อรักษาสุขภาพพ่อครูให้ขยายอายุขัย เข็นกงล้อธรรมจักรไปกับลูกหลานให้ได้ถึง 151 ปี…