บันทึกผ่านเลนส์ ส่องโพธิกิจ….โพธิกิจของพระโพธิสัตว์เป็นไปเพื่อมวลมนุษยชาติทั้งสิ้นด้วยสัจจะ
วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2561
เช้านี้พ่อครูตื่นตามเวลาปกติ 6 โมงเช้า สำหรับการออกกำลังกายบริหารร่างกายยามเช้าได้มีการปรับนิดหน่อยในเรื่องของการวิดพื้น ที่ท่านคณะท่านปัจฉาได้นิมนต์พ่อครู วิดพื้นรวมแล้วไม่เกิน 50 ครั้งโดยแบ่งการวิดพื้นเป็น 4 เซต จำนวนครั้งที่ท่านปัจฉาได้แนะนำในการวิดพื้นแต่ละครั้งคือ 13- 13- 12- 12
หลังจากนั้น พ่อครูได้ออกมานั่งที่บริเวณสวนเอาพิษออกพร้อมทั้งท่านปัจฉาสมณะ โดยสวนเอาพิษออกนี้ เป็นสวนที่ปลูกต้นไม้ส่วนมากเป็นไม้ดอกของไทยมีกลิ่นหอมยามเช้าและในช่วงค่ำ พ่อครูสังเกตไปที่ต้นพิลึกพิลั่นซึ่งมีพืชต่างๆได้เลื้อยไปปกคลุมเป็นธรรมชาติอย่างสมดุล พ่อครูสังเกตเห็นเชือกฟางที่รัดต้นกล้าไม้เกรงว่าจะทำให้ต้นไม้หักได้ เมื่อเจริญเติบโตมาเหมือนต้นทองอโศกที่ข้างอาคารบวร จึงบอกให้พวกเราแกะออก พบว่าต้นไม้เมื่อกิ่งก้านเติบโตก็มีเชือกฟางนั้นเข้าไปอยู่ในลำต้นด้วย นึกถึงเต่าทะเลที่เป็นข่าวถูกเศษพลาสติกรัดกระดองไว้ตั้งแต่เล็กเมื่อโตมากระดองนั้นเหมือนเอวคอดเติบโตตามตัวไม่ได้เพราะถูกพลาสติกรัดไว้ เช่นเดียวกับต้นไม้เมื่อต้นกล้าแข็งแรงพอ เราเองก็จะละเลยกับต้นไม้นั้นจนเศษวัสดุต่างๆเข้าไปอยู่เป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้โดยที่เราไม่ทันได้สังเกตเห็น แต่สิ่งนี้พระโพธิสัตว์ยังให้ความสำคัญ แม้อยู่ในระดับพีชนิยาม พ่อครูสังเกตไปที่ต้นพิลึกพิลั่นซึ่งเป็นงานศิลปะปูนปั้นที่ท่านสมณะคมคิดได้ออกแบบและสร้างสถาปัตยกรรมปูนปั้นไว้ เวลานี้มีความกลมกลืนเป็นธรรมชาติมาก มีต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์ได้อาศัยเจริญเติบโต
เช้านี้ไม้ดอกที่ถือว่าเป็นพระเอกออกดอกให้พวกเราได้สัมผัสถึงกลิ่นดอกไม้ไทยได้ดีที่สุดต้องยกให้ดอกราชาวดีหลังจากมีฝนโปรยปรายตลอดทั้ง 2 สัปดาห์ที่ผานมา ต้นราชาวดีมีความอุดมสมบูรณ์มาก ออกดอกกันแทบทุกต้นส่งกลิ่นหอมจรุงอ่อนๆในยามเช้าที่สวนเอาพิษออก
เวลา 11.20 นาที พ่อครูพร้อมทั้งท่านปัจฉาดินไท ท่านปัจฉาแสนดินได้ลงมาฉันภัตตาหารที่ชั้นล่างเฮือนสูญ ท่านปัจฉาเปิดฝา จัดสำรับก่อนที่พ่อครูจะปัจจเวกขณ์พิจารณาอาหารในเวลา 11.26 นาที พ่อครูยังคงฉันภัตตาหารพร้อมกับท่านปัจฉาทั้ง 2 รูปคือท่านปัจฉาดินไทและท่านปัจฉาหนักแน่น วันนี้พ่อครูฉันไม่นานนัก เวลา 11.57 นาทีก็ฉันภัตตาหารเสร็จ
พ่อครูนั่งพักสักครู่ก่อนที่จะออกมาเดินย่อยอาหารและดูตามพื้นที่ต่างๆ พ่อครูแวะดูโต๊ะเก็บเมล็ดพันธุ์ของอาแอ๊ด ปลุกดิน ซึ่งมีเมล็ดถั่วพันธุ์ต่างๆ
จากนั้นเดินออกไปด้านหน้าน้ำตกผาแหงน วันนี้มีนักเรียนจากโรงเรียนห้องแซงวิทยาคมซึ่งคณะครูได้นำนักเรียนที่ไปงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีขากลับคณะครูได้พานักเรียนทัศนศึกษาต่อมายังบวรราชธานีอโศก เพื่อชมน้ำตกผาแหงนและน้ำโตนมองเห็นเด็กๆได้มาโพสต์ท่าถ่ายรูปข้างกอหญ้าเสมือนหนึ่งโผล่ออกมาจากป่าเขา ทำให้เห็นความสำคัญ ความงดงามของกอหญ้าและวัชพืช ที่มีความสมดุลกับดิน หินและน้ำที่บริเวณหน้าลานสะโพ พ่อครูยืนมองเด็กนักเรียนที่ส่งเสียงหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน คณะครูก็มาถ่ายรูป เด็กแต่ละคนนำมือถือมาถ่ายรูปกับทางน้ำตกผาแหงน และน้ำโตน พ่อครูเดินตามถนนไปอาคารบวร รถตู้ทีมงานตรวจโรงเรียนของคณะการศึกษาของจังหวัดเพิ่งกลับออกมาจากตรวจนับหัวนักเรียนได้กล่าวทักทายนมัสการพ่อครูรวมถึงรถตู้ท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุและญาติธรรมบางส่วนที่เดินทางโดยรถตู้ออกไปร่วมงานฌาปนกิจหลานชายท่านสิกขมาตุสร้างฝันใหม่ที่เสียชีวิตจากการจมน้ำเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เปิดหน้าต่างกราบนมัสการทักทายพ่อครู
พ่อครูเดินมาบนถนนคอนกรีตเห็นสุนัขหลายตัวไม่ทราบมาจากไหน พ่อครูมองไปที่ด้านหน้าอาคารบวร มีนักเรียนอีกหนึ่งโรงเรียนสังเกตได้จากการใส่ชุดกีฬาคนละสีกับโรงเรียนเมื่อสักครู่ที่เป็นเสื้อสีส้มอีก 1 โรงเรียนมาใหม่เสื้อสีเหลืองและเขียวเดินลัดมาทางเดิ่นเข่าม่วน มองไปเห็นรถตู้จอดเรียงรายถึง 6 คันหน้าอาคารบวรส่วนที่หน้าน้ำตกผาแหงนก็เต็มไปด้วยนักเรียนจากทั้ง 2 โรงเรียน
พ่อครูขึ้นมาหน้าอาคารบวร พบลุงแขก ธาตุดินกับนักศึกษาปวช. 3 สาขาเกษตรน้องเจนได้มากราบนมัสการพ่อครูซึ่งน้องเจนกำลังเรียนวิธีติดตา ซึ่งเป็นหนึ่งใน วิชาขยายพันธุ์พืชจากลุงแขก ธาตุดินซึ่งถือว่าเป็นผู้ชำนาญในการขยายพันธุ์พืช พ่อครูแวะมาเยี่ยมชมที่ตลาดนัดบุญนิยม วันนี้แต่ละร้านมีลูกค้ามาเยอะทุกร้านเพราะเด็กๆที่มาจากงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ยังไม่ได้ทานอาหาร จึงทำให้ร้านค้าบริเวณนี้มีลูกค้าซึ่งเป็นนักเรียนอยู่ทุกโต๊ะ ผู้ใหญ่บ้านติ๊ก ขว้ญหินแก้วได้เข้ามากราบนมัสการพ่อครูรายงานว่ามาช่วยดูแล 5 ส.และล้างจานให้ตลาด วันนี้แม่ค้าจากร้านต่างๆแทบไม่มีเวลากราบนมัสการพ่อครู เพราะมีลูกค้ายืนอยู่หน้าร้านทุกร้าน พ่อครูลงมาด้านหน้าอาคารบวร คณะครูได้มากราบนมัสการสนทนากันสักครู่ก่อนที่พ่อครูจะเดินกลับมาหน้าน้ำตกผาแหงน ผ่านนักเรียนชุดเหลืองเขียวซึ่งกำลังถอดถุงเท้ารองเท้าเตรียมจะลงเล่นน้ำ เด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งได้ยืนรอนมัสการทราบว่ามาจากโรงเรียนบ้านแดงอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์
จากนั้นพ่อครูแวะมาที่ชั้นล่างเฮือนสูญ เพื่อเดินต่อไปดูงานการซ่อมแซม ต่อเติมเรือโคกใต้ดิน ผ่านถ้ำธารลอดซึ่งวันนี้ทิศทางลมไม่ค่อยได้มาเส้นทางนี้จึงเห็นน้ำไหลผ่านไม่มากนัก พ่อครูสังเกตเห็นโคนต้นไทรที่เติบโตแข่งกับต้นพิลึกพิลั่น เป็นความลงตัวสมบูรณ์ระหว่างอุตุนิยาม พีชนิยาม ต้นไทรระดับพีชนิยามเติบโตเลื้อยทะยานสู่ยอดต้นพิลึกพิลั่นในระดับอุตุนิยามพร้อมกับแตกกิ่งก้านใบสาขาคลุมทั้งต้นเป็นธรรมชาติที่ลงตัวงดงาม
พ่อครูเดินไปสักครู่พบต้นกระสังซึ่งพวกเราไม่ค่อยได้พบเห็นดอกกระสังเท่าไร ต้นกระสังนี้เริ่มออกดอกสีเหลืองมีกลิ่นหอมอ่อนๆ จากนั้นพ่อครูเดินมาข้างสถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจ เพื่อไปพบท่านสมณะพอแล้ว ท่านเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบเรื่องการซ่อมแซม เรือโคกใต้ดินได้กล่าวรายงานพ่อครูถึงการดำเนินงานในส่วนต่างๆซึ่งยังคงต้องรออุปกรณ์และทีมงานบางส่วน ยังไม่คืบหน้าไปสักเท่าไหร่นัก จากนั้นพ่อครูเดินกลับมาข้างสถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจ เดินกลับมาที่เวทีธรรมชาติเดิม มองไปอีกทีที่ต้นกระสังยังเห็นความงามของต้นกระสังทั้งใบและดอกสีเหลืองอ่อนเป็นความงามที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางแมกไม้ เปรียบเสมือนผู้ที่มีศีลอันบริสุทธิ์แม้อยู่ที่ไหนก็มีความงดงาม ศีลนั้นจะหอมกรุ่นยั่งยืนยิ่งกว่ากลิ่นหอมของดอกไม้ใดๆ
จากนั้นพ่อครูเดินกลับมาขึ้นลิฟท์ที่ไปชั้น 4 ออกจากลิฟต์พ่อครูมายืนมองไปที่ลานสะโพอาคารบวรและมองไปภูมิทัศน์รอบๆหน้าองค์พระพุทโธเห็นเด็กนักเรียนที่ช่วงแรกระวังเรื่องเครื่องแบบนักเรียนที่จะเปียกน้ำแต่ด้วยความซุกซนตามประสาเด็ก ไม่นานก็ค่อยๆหย่อนขาลงไปอีกไม่นานนัก ก็ลงไปทั้งตัวพ่อครูได้เห็นก็หัวเราะชอบใจกับการที่เด็กๆอดใจไม่ได้เมื่อเจอน้ำตกที่น่าเล่นอย่างนี้ไม่นานนักฝนก็ตกลงมาอย่างหนักเด็กๆก็ยังคงเล่นอยู่
มองเห็นจิตพระโพธิสัตว์ที่มีความกรุณาต่อ มวลมนุษยชาติ พ่อครูดำริสร้างน้ำตก สร้างธรรมชาติเพื่อให้มนุษย์ได้มาอาศัยผ่อนคลายจากความทุกข์ที่จะต้องต่อสู้กับการใช้ชีวิต ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดกันในสังคม เมื่อมาถึงที่บวรราชธานีอโศก แผ่นดินพุทธทุกคนจะสัมผัสได้กับความร่มเย็น ความเกื้อกูล เอื้ออารีต่อทุกๆคนเป็นสิ่งที่พ่อครูสอนให้ชาวอโศกลูกๆทุกคนพึงปฏิบัติตน เพื่อ”ประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติทั้งหลาย”(พหุชนหิตายะ) เพื่อ “ความสุขของมวลมนุษยชาติทั้งหลาย” (พหุชนสุขายะ) เพื่อ “ช่วยเหลือโลก” (โลกานุกัมปายะ) ไม่ใช่เพื่อตัวเอง”เป็นหลัก” เลย เพราะปฏิบัติลดกิเลส อย่างถูกตัวตน ได้จริง เห็นจริงได้เพราะมองเห็นความเห็นแก่ตัวของตนเอง เบาบาง จางคลายลง จนถึงที่สุด ไม่เห็นแก่ตัวเลย ได้อย่างเป็นสัจจะที่ปรากฎได้เห็นเป็นที่ประจักษ์สู่สังคม