กิจกรรมวันบวร วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม 2561
วนบ.กลุ่ม 3 กลุ่ม 4 มาปลูกกระชายและกระเจี๊ยบที่สวนใหม่บ้านแฮ
วันบวรครั้งนี้ก็ยังคงอยู่ในช่วงปิดเทอมของนักเรียนสัมมาสิกขา เช้านี้เมื่อถึงเวลานัดหมายเตรียมตัวไปโฮมแฮงตามฐานงานต่างๆ พวกเราก็คิดว่าบรรยากาศคงจะเงียบเหงา เพราะไม่มีเด็กๆส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ให้ผู้ใหญ่ได้เรียกขึ้นรถกันเสียงดังเหมือนทุกครั้ง
แต่มาครั้งนี้ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้ว เรียกกันขึ้นรถ กลับเป็นเสียงของผู้ใหญ่นิสิตและชาวชุมชน ที่ตามหากลุ่มของตัวเองเพื่อให้ไปขึ้นรถรับไปลงตามฐานงานนอกสถานที่ ผู้เขียนมองเห็นความตื่นตัว ตื่นเต็มของจิตวิญญาณ พร้อมจะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่นผู้เบิกบาน เหมือนดอกไม้บาน หอมกลิ่นจรุงในยามเช้า แม้วัยแต่ละคนไม่ใช่น้อยแล้วแต่จิตวิญญาณก็ยังคงดูอ่อนวัย กระชุ่มกระชวย เพราะมีความเพียรในการประกอบสัมมาอาชีพกับหมู่กลุ่มอยู่ตลอดเวลา
เวลา 6.30 นาที นิสิตวนบ.กลุ่ม 3 และกลุ่ม 4 ก็ได้เวลาเดินทางออกจากบวรราชธานีอโศก ทั้ง 2 กลุ่มไปช่วยกันปลูกต้นกระชายและกระเจี๊ยบ ที่ส่วนใหม่บ้านแฮของแม่เทียนดินดูแลอยู่ ระหว่างการเดินทางกับ 21 ชีวิตที่ รวมเป็นหนึ่งได้พูดคุยปฏิสัมพันธ์กันอย่างสนุกสนาน เพราะปกติในวันอื่นๆต่างคนก็จะลงตามฐานงานที่ตนเองรับผิดชอบ จะมีเฉพาะวันจันทร์วันบวรวันเดียว ทำให้พวกเราออกจากภพมาพบกันได้มาพูดคุย ถามสารทุกข์สุขดิบ แลกเปลี่ยนสานสัมพันธ์พี่น้อง ทำให้เกิดความสามัคคีกันมากยิ่งขึ้น
แม่เทียนดิน ทัศโน แม่ฐานงานในวันนี้ ได้งัดกลยุทธ์ไม้เด็ด ระหว่างการเดินทางไปสวนได้นำสมุนไพรน้ำหมักเสริมแรงอายุวัฒนะ เป็นน้ำหมักสมุนไพรที่ประกอบไปด้วยกระชายดำ ลูกยอ กล้วยน้ำว้า มะขามป้อม กระท้อนมาผสมกันในน้ำหมักสุดท้ายคือบอระเพ็ดกับน้ำผึ้ง พอพวกเราเห็นขวดที่แม่เทียนดินนำมาน้ำดำปี๋แล้วบรรยายสรรพคุณมากมายก่ายกอง ตอนแรกเห็นน้ำหมักสีดำๆก็ไม่สนใจกันเท่าไหร่ พอแม่เทียนดินบรรยายสรรพคุณพร้อมกับตัวแม่เอ งมีร่างกายที่แข็งแรงหน้าตาสดใส พวกเราหลายคนก็เลยลองดื่มกันคนละจอกเล็ก บำรุงร่างกายก่อนลงงาน ซึ่งเป็นความตั้งใจที่แม่เทียนดิน อยากให้พี่ๆน้องๆได้มีสุขภาพดี ด้วยพืชผักสมุนไพรที่เป็นเหมือนยาอายุวัฒนะ
ใช้เวลาเดินทางไปบ้านแฮประมาณ 20 กว่านาที ก็มาถึงบ้านแฮ แม่เทียนดินได้แนะนำบ้านและสวน ทางเข้าที่ดินซึ่งทั้งสองข้างทางมีบ้านของญาติธรรมชาวอโศกหลายท่าน เช่นบ้านอาจู บ้านอาคมกล้า หนึ่งดาว บ้านอากลางไพร บ้านพ่อหินหลัก บ้านอาชอบรวมถึงพี่น้องชาวศีรษะอโศกหลายคน ก็มาซื้อที่ดินบริเวณนี้ทำสวนทำไร่กัน มองไปแล้วคล้ายชุมชนมหาวิทยาลัยอุบลฯเมื่อสมัยเริ่มต้นไปสร้างชุมชนเป็นแหล่งเรียนรู้ของสาขาเศรษฐกิจพอเพียง
พอมาถึงที่ดินสวนใหม่ของแม่เทียนดิน ลงจากรถพวกเราถึงกับตะลึงและอึ้งกันเล็กน้อย มองไปพื้นที่ที่จะปลูกเป็นป่าที่มีต้นไม้ยืนต้นปกคลุมเต็มพื้นที่ไม่มีการไถหน้าดิน ไม่มีกองปุ๋ย ไม่มีกองแกลบใดๆเลย อุปกรณ์ที่แม่เทียนดินเตรียมมา ก็มีเพียงจอบและเมล็ดพันธุ์กระเจี๊ยบแดงกับหัวกระชายอีก 1 กระสอบเท่านั้น
พวกเรานิ่งอึ้งกันสักพัก จึงได้ถามแม่เทียนดินว่า จะให้ปลูกตรงไหนมองไปที่พื้นดินก็มีต้นไม้พืชผักท้องถิ่นเต็มพื้นที่ แม่เทียนดินชี้ให้ดูพื้นที่ ที่ยังคงเหลืออยู่ขนาดประมาณ 1.5 คูณ 10 เมตร ที่ยังพอมีพื้นดินว่างๆ นอกนั้นจะมีต้นมันและพืชผักพื้นบ้านขึ้นอยู่เต็มพื้นที่ไปหมด พวกเรายังเย้าแม่เทียนดินว่า ถ้าเช่นนั้นที่ว่างตรงไหนก็ปลูกตรงนั้นเลยนะ แม่เทียนดิน ก็บอกว่าเอาเลย ปลูกแซมๆกันไป wได้เลย
พวกเราได้ยินดังนั้น เริ่มชัดเจนแนวปฏิบัติ เริ่มจับคู่กัน คนหนึ่งขุดหลุมส่วนมากจะเป็นฝ่ายชาย คนหนึ่งหย่อนเมล็ดพันธุ์และเกลี่ยดินกลบส่วนมากจะเป็นฝ่ายหญิงคนขุดหลุมถึงกับบอกคนหยอดเมล็ดว่า ตามให้ถูกนะเพราะจะขุดไปตามที่ดินที่ว่างไม่ได้เป็นแถวตามหาหลุมเอาเอง เล่นเอาพวกเราหัวเราะชอบใจกับการทำกสิกรรมแบบสวนป่าในครั้งนี้ ที่ทั้งง่าย สะดวก เร็ว ไม่ร้อนมีร่มเงาของป่านานาพันธุ์เช่นต้นชาด ต้นขยอม ต้นผักติ้วเต็มพื้นที่
สิ่งที่น่าประทับใจคือนอกจาก นิสิต วนบ.2 กลุ่มมาช่วยกันปลูกกระชายและกระเจี๊ยบแล้ว ยังมีญาติธรรมบ้านใกล้เรือนเคียง อากลางไพรและอาชอบก็มาร่วมกิจกรรมครั้งนี้ด้วยนานๆจะมีพี่น้องมาเยี่ยมกันถึงบ้าน อากลางไพรและอาชอบก็ได้พูดคุยกับพวกเราอย่างสนิทสนมกลมเกลียว พวกเราที่อยู่นอกวัดได้มาร่วมกิจกรรมกับคนวัด รับรู้ได้ถึงพลังรวมแห่งมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ที่มีจิตวิญญาณโลกุตระจากการมีผัสสะในการทำงานร่วมกันในสัมมาอาชีพ เกิดเวทนาทั้งสุข ทั้งทุกข์ ทิฎฐิที่ทั้งเห็นด้วยและเห็นต่างในผัสสะที่เจอ แต่ด้วยทุกคนเป็นลูกพ่อครูพระโพธิสัตว์ ที่สอนให้มีกรรมฐานเรียนรู้ในเวทนา แล้วพิจารณาธรรมะ 2 เกิดธรรมะหนึ่งคือความสามัคคี งานที่แม่เทียนดิน คิดว่าถ้าปลูกกระชายและกระเจี๊ยบเท่าที่นำมานี้ ให้เสร็จก็เก่งมากแล้ว ในที่สุดด้วยพลังแห่งความสามัคคีก็ไม่พอมือพวกเราจริงๆใช้เวลาชั่วโมงเศษเศษ งานก็สำเร็จ ปลูกกระชายได้หมด ลงกระเจี๊ยบได้ทุกเมล็ด
พวกเราบางคนยังมีเวลาเหลือก็ไปเก็บผักติ้ว ผักกระโดน หญ้ารีแพร์ ลูกหมากเม่าเห็ดปลวกน้อย หัวปลีกลับไปที่บวรราชธานีอโศกได้อีกด้วย ระหว่างการทำงานได้ยินเสียงร้องเพลงของตี๋ใหญ่เป็นทำนองสมัยใหม่ ฟังตอนแรกจับใจความไม่ได้เพราะเหมือนเป็นเพลงของคนรุ่นใหม่ พอได้ไปตั้งใจฟังจริงๆเนื้อร้องที่ร้องออกมาเป็นเนื้อร้องที่เกี่ยวกับชีวิตของคน สัตว์และต้นไม้ในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน ที่จะต้องเกื้อกูลดูแลกัน เราจะได้ยินเสียงตี๋ใหญ่พูดเสียงดังบ่อยๆว่า สัตว์ป่าจะครองโลกสัตว์ป่าจะครองโลก ทำให้นึกถึงจิตวิญญาณในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของตี๋ใหญ่ที่ร้องออกมา แทนที่สิ่งนั้นจะเป็นคำพูดแต่เขาเลือกที่จะร้องเป็นเพลงคล้ายกับเพลงแร็พหรือเพลงโอเปร่า พวกเราลองเปิดใจฟังสาระจากเนื้อร้องที่เขาร้องจะสัมผัสได้เช่นนี้จริงๆ
และที่น่าอนุโมทนายิ่ง คือเรามีเพื่อนบ้านในหมู่บ้านที่น่ารัก ได้ออกมาเดินเล่นในยามเช้า พอเห็นพวกเราเฮโลกันลงจากรถมาปลูกพืชผัก พวกเราก็ส่งเสียงชวนมาช่วยกัน คุณพ่อโอดเพื่อนบ้านผู้อารี ชายชราสูงวัยก็ไม่รอช้าเข้ามาในสวนจับจอบอย่างกระฉับกระเฉงและเดินนำจับคู่กับพวกเราปลูกกระชายและกระเจี๊ยบจนจบกระบวนการสุดท้าย
เวลาประมาณ 8.00 นได้เวลาสรุปงาน สรุปใจนิสิตวนบ.ทั้งสองกลุ่มรวมถึงอากลางไพร อาชอบและพ่อโอด ได้มารวมตัวกันหลังรถ 6 ล้อ วันนี้ท่านสิกขมาตุแสงฝนได้กรุณามาร่วมกิจกรรมตั้งแต่ต้นและกรุณามาเป็นที่ปรึกษาในการสรุปงานครั้งนี้ด้วย
การสรุปงานในครั้งนี้มีผู้คักแน๊(ผู้ชำนาญงาน)ในด้านการทำงานหลายด้าน ทำให้การสรุปงานเหมือนเป็นการประชุมสัมมนาเสนอแนะทิศทางการดำเนินงานของการทำกสิกรรมชาวบวรราชธานีอโศก รวมถึงแนวทางปฏิบัติสำหรับนิสิต วนบ.ซึ่งถือว่าเป็นจิตอาสาพัฒนาชุมชน หมู่กลุ่มสำคัญกลุ่มหนึ่ง ในการขับเคลื่อนกิจกรรมสำคัญของชุมชน โดยได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันเพื่อสังเคราะห์ วิเคราะห์ พิจารณาแนวทางเพื่อรวมพลังของนิสิต วนบ.ขับเคลื่อนกิจกรรมของชาวชุมชนไปในทิศทางเดียวกัน
ผู้คักแนหลายท่านเช่นปู่เถา อาดินนา อาเจี๊ยบ จริงจัง อากลางไพร แม่เทียนดิน ได้ออกความเห็นไว้อย่างน่าสนใจมาก รวมถึงอีกหลายท่านที่ปกติไม่ค่อยได้พูดต่อสาธารณะเท่าไรเช่นอาธงไท อามุ่งบุญก็ให้ข้อเสนอแนะ ฝากกับที่ประชุมไว้อย่างน่าคิดในเรื่องการเอาภาระกับการปล่อยวางควรปฏิบัติอย่างมีสัมมาทิฏฐิได้อย่างไร ซึ่งมีนิสิตเสนอให้นำคำถามนี้เรียนถามพ่อครูในรายการสำมะปี๋ซีวิต ในช่วงภาคเย็น
ระหว่างการเดินทางกลับ พวกเราก็ยังมีการสนทนากันอย่างสนุกสนาน ความเหน็ดเหนื่อยมีน้อยมาก มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ พวกเราได้พืชผักในสวนป่ามากมาย อาน้อย ธาตุไทเก็บลูกก่อ ซึ่งเป็นไม้ป่านำมาคั่วคล้ายกับคั่วเกาลัดที่ไม่บ่อยครั้งนักที่จะได้เห็น มีพวกเราซื้อขนมลูกไข่หงส์มาแจกกันกิน พวกเราเย้ากันว่ามีลูกก่อแล้วก็มีผลไม้ป่าไข่หงส์ ผลไม้ป่า กินได้ทันที หวานอร่อยอีกด้วย
นิสิต วนบ.กลุ่ม 3 และ 4 พูดถึงเรื่องราวที่ประชุมสรุปและสัมมนากันที่ผ่านมาจนได้ข้อสรุปกันว่าเย็นนี้ในรายการสำมะปี๋ซีวิต จะมีตัวแทนนิสิตวนบ.กลุ่ม 3 คือ พี่อุ่นดินซึ่งเป็นผู้ที่พยายามจะจับไมค์พูดและตั้งตบะทีไรก็ทำไม่ได้เพราะเป็นคนกลัวไมค์ก็จะพยายามฝืนตนเอง ในกลุ่ม 4 มีตัวแทนคืออาธงไท ที่ก็ไม่ค่อยพูดต่อสาธารณะเช่นกัน ทั้ง 2 ท่านจะเป็นตัวแทนของนิสิตกลุ่ม 3 และกลุ่ม 4 มีพี่เลี้ยงทั้งผลัก ทั้งดันให้การสนับสนุนหมู่กลุ่มได้แสดงออก เป็นการฝึกฝืน แกล้วกล้าสู่สาธารณะ
พ่อครูเคยบอกพวกเราเสมอว่าจิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง การดูแลจิตวิญญาณซึ่งกันและกัน ในหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นสิ่งที่เกื้อกูลซึ่งกันและกัน เพราะพ่อครูเคยบอกว่า สิ่งที่เราต้องการนั้นมันไม่ใหญ่โต อัครฐานอะไรดอก ชีวิตง่ายๆ ถูกๆ ขยันรู้จักพอดี มีความซื่อสัตย์ มีเมตตา เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นเสมอๆ ชีวิตเหมือนดอกหญ้าแต่มันใหญ่ยิ่ง เป็นมหาพลังเย็นโอบอุ้มโลก ซึ่งพวกเราสัมผัสได้ทุกครั้ง จากการมาร่วมกิจกรรมวันบวรในทุกวันจันทร์ ถ้าไม่ออกจากภพมาพบกัน ท่านจะไม่มีสภาวะ รับรู้ถึงพลังเย็นจากหมู่กลุ่มเช่นนี้ได้เลย
.
บันทึกเรื่องราวโดย…สัมมาบุญ