เช้านี้ฝนไม่ตก เป็นช่วงที่อยู่ระหว่างการปิดเทอมของนักเรียนสัมมาสิกขาราชธานีอโศก มีชาวเรา ชาวชุมชนหลายคนและนิสิตวนบ. มีกำหนด นัดหมายกันไปช่วยโฮมแฮงกันที่บริเวณลานกราบ ใกล้แม่น้ำมูน เส้นทางตรงไปที่ลานเบิ่งฟ้า เป็นฐานนาแปลงทดลองของสิกขมาตุเป็นหญิงที่ดูแลอยู่ที่นั่น ห่างจากศาลาประมาณ 500 เมตร หากเดินไปเองก็ใช้เวลาพอที่จะดูวิวทิวทัศน์ข้างทางได้หลายจุดพอสมควร อีกทั้งได้ออกกำลังขาได้เป็นอย่างดีทีเดียว เห็นสิ่งต่างๆรายรอบตัวมีแต่สิ่งสดชื่น พาเจริญตา ด้วยความสดใส มองไปทิศใดๆก็จะเห็นแมกไม้ ต่างๆ เขียวชอุ่มไปทั่ว เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝน บ้างก็เดินไป บ้างก็ปั่นจักรยานคู่ชีพ ประจำกายพร้อมลุยต่อหน้างานที่จะทำนับว่าเป็นภารกิจหนึ่งที่รับรู้ร่วมกันว่า วันนี้เราจะปฏิบัติธรรม ตามมติกลุ่มที่มอบหมายให้กระทำ ไม่กระทำตามใจตน ในหนึ่งสัปดาห์เราก็ออกจากหน้างานประจำมาร่วมทำกิจกรรมวันจันทร์ จึงพากันทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจเท่าที่แต่ละคนจะจัดสรร จัดแบ่งกันมาช่วยกัน เมื่อมาถึงนาข้าวแลเห็นแต่ต้นข้าวที่เขียวเต็มท้องทุ่ง น้ำค้างเกาะเห็นประกายแวววาว สดใสไปทั่วท้องทุ่ง สลับกับเสียงนกร้องเป็นระยะ พบสิกขมาตุมายืนรออยู่ก่อนแล้ว ทักทายท่าน พร้อมนิมนต์ให้แนะนำว่าให้เริ่มจากที่จุดใด ท่านเกริ่นกล่าวเรียบร้อย ทำด้วย สอนไปด้วย แต่ไม่ทิ้งสาระ เนื้อหาที่ถ่ายทอดสู่ฟังให้เรารู้ชัดในหลายๆประเด็นเลย เป็นบรรยากาศผ่อนคลายไม่หนัก ไม่ร้อน เพียงพบว่าหากเราตั้งจิตยินดี ต่อการงานเราก็พร้อมลุย ไม่ว่าการงานนั้นเป็นอะไรบ้าง ดั่งพระพุทธเจ้าเคยกล่าวว่า “จิตเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง” ท่านสิกขมาตุฯ บอกว่า นานี้เป็นนาที่ทดลองทำ ไม่ใช้เครื่องจักรทดแทนเลย เน้นการอนุรักษ์การทำนาแบบยุคโบราณ เหตุที่ทำเพราะว่ามีความชอบเป็นทุนอยู่แล้ว มีความสุขอยู่กับธรรมชาติ พึ่งตนเองได้และ อยู่กับดินกับฟ้าเราต้องเคารพดินเคารพฟ้าหากคนไหนสนใจจะทำนาแบบนี้ ยินดีมาศึกษาเรียนรู้ ยินดีถ่ายทอดสู่ฟังนะ วิธีการถอนหญ้าท่านเสริมให้ตัดแบบใช้เคียวชืดดินแล้วออกแรงดึงเข้ามา ใช้มือซ้ายรวบจับกอหญ้า นำมากองเป็นจุดๆไป ไม่ใช้วิธีถอนเนื่องจากถอน จุดถอนนั้น จะไปกระทบรากฝอยของต้นข้าวได้ หลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนกอข้าวนั่นเอง
ขณะถอน-ตัดหญ้า จะมีเรื่องเล่าแต่ละคนไม่ซ้ำก้นเลย ประหนึ่งว่าห้องเรียนธรรมชาติ ไร้ประตูหน้าต่าง ไร้ไมล์โครโฟน พอนั่งตัดหญ้าก็จะมองเพื่อนที่อยู่อีกแถวหนึ่งแทบมองไม่เห็นกันเพียงได้ยินแต่เสียงที่ส่งเจื้อยแจ้ว ต่างมีเรื่องราวคนละมุมมาเล่าสู่ฟังกัน มีขำๆเป็นระยะๆ พอนั่งยองนานๆ เมื่อยก็ลุกขึ้นยืนมามองหมู่เพื่อนว่าเข้าแถวไหนกัน สลับกับนั่งและลุกตลอดการตัดหญ้า ได้แง่คิดจากสิกขมาตว่า “เรื่องกลัวและขี้เกียจ” คนเราบางครั้งยังไม่ลงมือทำเลยเริ่มกลัวมาขวางกั้นจิตใจตนเองแล้ว แบบนี้มันจะสะสมอกุศลที่ไม่ดีนะ ไม่สดใสนะ ใยเราจะสร้างทุกข์ทับถมตัวเองล่ะ เปลี่ยนนะต้องเปลี่ยนไม่มีผู้ใดจะมาเปลี่ยนแทนเรานะ ยังไม่มีคนใดขอหยุด มีเสียงท่านสิกขามาตุเตือน อ้าว เสียงระฆังขึ้นศาลาแล้วนะหลายคนจึงหยุดถอน-ตัดหญ้า พร้อมพรึบไปทานอาหารร่วมกัน