610820_รายการสำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 7 ณ บ้านราชฯ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1TfZ5zjNhCYnb2IXQJlqyaowBAOQFZXZjvtSKq2h5Dmg/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1SMvWtv79x_XTqMXO-T5KtEzjK9ryrUd2
พ่อครูว่า..วันนี้วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก
.SMS วันที่ 19 สค. 2561 (วิถีอาริยธรรม)
_3867กราบอนุโมทนาพ่อครูกับธรรมะ2อย่างรวมเป็นอันเดียวกับเวทนาฯเพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนาฯเพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะฯสาธุ!คนโลกเงียบฟังธรรมพ่อครูดูบุญนิยมอยู่เสมอ!
พ่อครูว่า…ตรงนี้นี่นะ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 อาตมาเจอมาตั้งหลายปีแล้ว ก็น่าจะได้ขยายความให้ชัดเจนตั้งนานแล้วแต่มันมาคลายความออกปีนี้
นี่แหละคือหัวใจศาสนาขอยืนยัน หัวใจที่บอกสูตรรวมของอริยสัจ 4 เหตุของทุกข์ อยู่ที่ทุกข์ แล้วก็เจอเหตุ ก็เวทนานั่นเอง ไม่มีเวทนาก็ไม่มีทางปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ ไม่บรรลุอรหันต์ พวกที่ไปนั่งหลับตาไม่มีผัสสะก็ไม่มีเวทนา ถึงน่าสงสารมาก เป็นการปิดประตูที่จะไปนิพพานอย่างสมบูรณ์แบบ ทำไมหนอ มีครูบาอาจารย์เฉลียวฉลาดเกิดก่อนเราตั้งเยอะ ก็ไปกับเดียรถีย์หมดเลยอันนี้ก็น่าเห็นใจ อันนี้เป็นเรื่องลึกซึ้งที่ยิ่งใหญ่มาก
คนที่ไม่มีภูมิรู้อย่างชัดเจนจะไม่สะดุดตรงนี้และไม่มาแก้ไขตรงนี้ อาตมาก็พูดไปนี่เท่ากับชมตัวเอง และเห็นว่าศาสนาพุทธจะไปไม่รอด เราก็มากอบกู้กันได้ขนาดนี้ ก็พอได้ทันการ เป็นหน้าที่อาตมาไม่ได้สงสัยอะไร พูดขนาดนี้ก็เบ่งหนักหนาแล้ว
_พร พรพิมล · กราบนมัสการพ่อครูค่ะ ดิฉันทราบมาว่า ท่านอาจารย์ ยุทธวโร มีโรคร้ายในร่างกายของท่าน ถ้าร่างกายอ่อนแอเมื่อใด โรคร้ายนั้นก็จะกำเริบขึ้นมา ดิฉันคิดว่า ด้วยเหตุนี้ท่านอาจใช้สถานที่และสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ ในการบำบัดรักษาตัวก็ได้นะคะถ้าความคิดเห็นนี้ผิดพลาดประการใด ดิฉันกราบขออภัยด้วยค่ะ กราบนมัสการพ่อครู ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า…เป็นโรคร้ายก็ต้องให้หมอดูแลจัดการไม่ใช่ไปหมกตัวอยู่อย่างนั้น ได้เท่าไหร่ก็ช่วยกันเท่านั้น
_ธนวรรณ · ท่านมีจิตกิเลส มั้ยค่ะ ท่าน มีความโลภความหลงมั้ยค่ะ ท่านต้องการเป็นผู้ชนะมั้ยค่ะ
พ่อครูว่า…ตอบรวบเลย ไม่สักอย่าง ตอบง่ายดี
ด้วยความจริงนะที่ต่อไปนี้ ใครจะเข้าใจแค่ไหนก็เอาแค่นั้น อาตมาพูดเปิดเผยตัวเองไปจนพวกเขาหมั่นไส้ อาตมาก็สงสาร คนเรานี่หมั่นไส้คือการผันผวนชนิดหนึ่ง เขาต้องเกิดเพราะมีกิเลสชนิดนั้นจริง อาตมาก็ไม่สามารถไปห้ามเขาได้ อาตมาก็ไม่สามารถที่จะไม่พูดความจริงได้พูดมากจนไม่เหลือ
นี่ก็เลยสองเดือนมาอีก 15 วันที่เลยวันเคยเกิดของอาตมา อายุยาวขึ้นเท่านั้นไม่ได้แก่ด้วยนะ พยายามจะหนุ่มกว่าเก่าด้วย พากเพียรอยู่
_ใบฟ้า…มวล ของพุทธบริษัท 4 ที่บรรลุอรหันต์ ใน ยุคกอบกู้ศาสนาให้ครบ 5000 ปีของพระนิยตโพธิสัตว์ จะแตกต่างจากครั้งพุทธกาลมากน้อยเพียงใด ชั่วระยะเวลาของการสืบสานศาสนาคือ 2500 ปีเท่ากันโดยประมาณ
พ่อครูว่า…อาตมาตอบไม่ได้ว่าจะมีผู้บรรลุอรหันต์เท่าไหร่ คนเข้าใจไม่ได้ว่าผู้บรรลุอรหันต์ จริงบรรลุยากแต่ยุคนี้ ผู้มาฟังธรรมที่มีบารมีก็มี ขนาดธรรมเทศนาแสดงทุกวันนี้เป็นธรรมะโลกุตระเป็นธรรมะที่ยากลึกซึ้ง พวกเราฟังธรรมก็สามารถบรรลุเป็นอรหันต์ อนาคามี สกิทาคามี โสดาบัน ก็มีจริง แต่บอกไม่ได้ว่ามีอรหันต์เท่าไหร่
อรหันต์จริงๆมีสองระดับ จะเรียก อรหัตตมรรคกับอรหัตตผล
จะเรียกระดับอาสวะกับอนุสัยก็ได้ เป็น ปัญญาวิมุติ กับอุภโตภาควิมุติ
แต่พูดไปไม่ดีเลย พวกเราบรรลุอรหันต์ในระดับปัญญาวิมุติ แต่ยังเหลือจิตที่มันยังมีอนุสัย มาเล่นงานบ้างเล็กน้อยแวบบ้าง บางเบา ก็มีอยู่จริง
ส่วนผู้อรหันต์หมดเลยไม่เกิดเลยก็มีอยู่ แต่ตัวเองไม่เก่ง ในการที่จะดูตัวเองได้ ไม่กล้าจะปฏิญาณตน แต่ท่านก็สบายๆ เพราะว่ามันนาน สัญญาก็เรื้อสัญญาสับสนนิดหน่อยเรียกว่าวิปลาส 3 วิปลาส 4 สับสนในพยัญชนะบ้างเล็กน้อย เมื่อมันนึกถึงสภาวะ พยัญชนะเป็นอย่างนี้ สับสนเท่านั้นเอง แต่ที่จริงลงตัวแล้วสภาวะแท้หรือความจริงแท้ลงตัว แต่มาฟังพยัญชนะที่อาตมาเอามาเปิดเผยอธิบาย ก็ไปจับพยัญชนะมาใช้ มันก็เลยทำให้สับสน ก็เป็นได้
เอาล่ะ ความจริงของผู้ที่มีจิต ได้มาเรียนรู้และปฏิบัติก็ได้ของตัวเองเป็นอย่างนั้น แม้จะเป็นสภาวะธรรมะ 2 คือ สภาวะกับพยัญนะ มันจะไม่ลงตัวทีเดียวก็ไม่เป็นไร ศึกษาไปก็จะสนิทแน่นดี
ทุกวันนี้มันไม่ลงตัว เพี้ยนไป จนกระทั่งจะจับสัจจะมาใช้แทบไม่ได้ เพราะมันถูกต้องถูกทำลายถูกทำให้เสียหายไปเยอะ ที่จริงผู้อยากรู้ไม่ควรจะอยากรู้เกินไป จะรู้ไปทำไมว่ามีอรหันต์เท่าไหร่ จะเอาไปซื้อหวยหรืออย่างไร เอาไปทำสถิติอะไร ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกหรืออย่างไร มันก็ไม่จำเป็นถึงขนาดนั้น แต่เอาล่ะคนเรานี้ความอยากรู้มันมีมาก จนสิ่งที่ไม่น่าจะอยากรู้ เพราะว่าผู้ที่จะรู้ก็ยังไม่สามารถจะตอบได้ง่าย ต้องไปถามคนอื่นอย่าไปกวนเขามากนัก
_เกร็ดดิน…เกี่ยวกับเรื่องเจโตกับปัญญา สัมมาทิฏฐิก็คือตัวปัญญา สัมมาทิฏฐิที่จะต้องมีทาน ศีล ภาวนา ก็คือหมายถึงว่าเราจะต้องแม่นว่าจะต้องเสียสละ ในฐานเป็นเบื้องต้นและบั้นปลาย
สัมมาทิฏฐิ คือเราได้พบสัตบุรุษ ได้ฟังสัทธรรม แล้วก็เกิดศรัทธา อันนี้เป็นปัญญาในระดับหนึ่ง เราถึงเกิดความเชื่อถือ แล้วเอาไปปฏิบัติ เพราะปัญญามีตั้งแต่ สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา ภาวนามยปัญญา
ถ้าพูดแบบปัญญามันก็จะสับสน เพราะปัญญานี้จะมีปัญญา ญาณ วิชา มันก็เป็นเรื่องของความรู้ทั้งนั้น แต่ดิฉันมาจับในองค์มรรคสัมมาทิฏฐิ ที่เป็นประธานก็คือเป็นปัญญาในองค์ธรรมของสัมมาทิฏฐิ เมื่อเราได้ฟังแล้ว เราก็เอามาลองปฏิบัติ ครั้งแรกที่ดิฉันพบท่าน ดิฉันก็บอกว่าดิฉันบวชศีล 8 พ่อท่านเลยบอกว่า แล้วถือศีลแล้วได้อะไรบ้าง ก็เลยตัดสินใจว่าไม่สึกแล้วอยู่ต่อ(พ่อครูว่า..เขาบวชตั้งแต่ 20 กว่าตอนนี้ 70 เท่านั้นเอง) คือพอพ่อท่านให้อันนี้คือนี้ ดิฉันก็เอาไปตรวจทบทวน เราก็พบว่า ศีลเราบกพร่อง กินมื้อเดียวแต่นั่งซะนาน ชุดแม่ชีตัดมา 2 ชุดต่อมาก็มีเพิ่มหลายชุด (พ่อครูว่า..ขนาดบวชที่วัดอโศการามถือศีลเคร่งกินมื้อเดียวนะก็ยังอยู่ไม่ได้)
สัมมาทิฏฐิที่จะต้องมีความเพียรและสติห้อมล้อม ในการพูดการกระทำในชีวิตของเรา ใน กาย วาจา ใจ ศีล 5 นี้สุดยอดแล้ว ตอนหลังศีล 1 2 3 อยู่ในสัมมากัมมันตะ วาจาก็เป็นตัวเชื่อมแต่ข้อ 5 นี้สำคัญ โมหะอยู่ที่ศีลข้อ 5 เพราะมันเมาหลง พ่อท่านก็แบ่ง สุรา(อบาย) เมรยะ(กามคุณ โลกธรรม) ใช้ศีล 8 มัชชะ(อรูปอัตตา)
ในศีล 5 ตอนนี้มาแยกต้องจับคู่ให้ได้ มีวาจาเป็นตัวเชื่อม แต่สังกัปปะนี้จะยาก แล้วสังกัปปะนี้ อะไรไม่รู้ ไปจำอะไรมามากนัก แต่พ่อท่านว่าสัญญาตัวสุดท้ายคือสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นวิโมกข์ข้อ 8 แต่ปัญญาจะเกิดอย่างไร ทั้งนอกและใน เป็นลำดับ
ปัญญา เป็น สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา ภาวนามยปัญญา กว่าจะถึงภาวนาก็จับที่ศีลมาแต่ต้น ศีล 5 ครบหมดแล้วแต่เราแทงไม่เป็น
พ่อท่านให้ใช้อปัณกธรรม ลืมตาปฏิบัติ เราก็ต้องทานให้หมดด้วย สติปัฏฐาน 4 คู่กับอานาปานสติ 16 ตอนนี้เข้าใจแล้ว ก็มาดูว่าลมหายใจคือชีวิตของเรา อานาอาปานะคือเยื่อใยในชีวิตของเรา พอบอกเดินลมปราณ ดิฉันหายใจสั้น เราก็พยายามตามลมหายใจ เขาว่าให้นับร้อยก็พยายามต่อเนื่อง ทำให้สติแววไว แต่ดิฉันนี่พูดเร็ว คิดเร็ว ดิฉันเลยไม่ค่อยอยากพูด เพราะว่าอารมณ์สติไม่ค่อยทัน
การจะตามลมหายใจได้ต้องคู่กัน รูปนาม อานาปานสติกับสติปัฏฐาน 4 ไปจับลมหายใจก็ยาก แต่ก็ได้ผลเร็วและต่อเนื่องได้ เวลาผัสสะอะไรก็แววไว สติก็เต็มที่ เพราะเดินองค์มรรค ปัญญากับเจโตก็ทำงานพร้อมกันตลอดเวลาใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า…ใครที่ฟังเกร็ดดินฟัง แล้ว ฟังรู้เรื่องดีตามที่เขาพูดมีไหม …ที่พูดนี้อาตมาก็พอใจที่อาตมา อธิบายธรรมะสอนธรรมะทุกวันนี้ แล้วเขาก็เก็บธรรมะไป เอาไปทางบัญญัติภาษาที่บอกอธิบาย ก็ต้องไปเทียบกับสภาวะตัวเอง ไม่งั้นมันจะสับสนกันมากเลย พูดก็สับสน แต่ทีนี้คนที่เอาไปได้ก็จะรู้ว่าเขาสับสนหรือไม่สับสนอะไร เรียบเรียงได้ขนาดนี้ก็ดีมากแล้วใช้ได้
_หนึ่งฟ้า…(พ่อครูว่า…คนนั้นเกร็ดดิน เดิมชื่อทิพย์เทวี คนนี้หนึ่งฟ้า เดิมชื่อทิพย์วิมล )
ขอถามเรื่องสายเจโตกับปัญญา เจโตจะต้องมีศรัทธาเป็นตัวคู่ปัญญาเป็นเดี่ยวได้
ศรัทธามันมี 3 ตัวคือความเชื่อถือ เชื่อฟัง เชื่อมั่น
คำถามคือศรัทธาตัวนี้มีความสำคัญในการ ส่งผลต่อการพัฒนาการของโพธิสัตว์ในระดับต่างๆจนถึงพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าปัญญาธิกะ ศรัทธาธิกะ วิริยาธิกะหรือไม่
พ่อครูว่า…มีสิไปด้วยกัน
เป็นการส่งผลต่อเนื่องให้ถึงการแบ่งแยกสายใช่ไหม
ต้องไปด้วยกัน การแบ่งแยกสายเป็นจริตของแต่ละบุคคล เท่านั้นเอง ต้องใช้ทั้งคู่ศรัทธาและปัญญา เป็นธรรมะ 2 ที่แยกกันไม่ได้ช่วยกันไป เหมือนกับบวกกับลบของนิวเคลียส เป็น Static และ Dynamic
คำถามคือ ดิฉันตั้งข้อสังเกตระหว่างการปฏิบัติธรรมในส่วนของที่เรียกว่าจรณะ 15 วิชชา 8 กับโพธิปักขิยธรรม 37 ในจรณะ 15 วิชชา 8 จะมีตัวศรัทธา ขนาดที่โพธิปักขิยธรรม 37 ไม่มีคำว่าศรัทธาอยู่ในนั้นเลย
พ่อครูว่า…มีสิ สัทธินทรีย์ ไง
_คำถามคือว่า…ระดับของการปฏิบัติธรรม ทันทีที่เราฟังธรรม มาด้วยกันนี้ คนที่ มีความเข้าใจในส่วนของสัมมาทิฏฐิ 10 ที่เป็นตัวศรัทธาในสัตบุรุษ เชื่อมั่นในสัตบุรุษ 100% เส้นทางเดินระหว่าง ทาน ศีล ภาวนา จนถึงสัตตาโอปปาติกะ มันก็จะมี ทำให้เห็นการพัฒนาการของคนในการปฏิบัติธรรมว่า ถ้าเราเดิน ถามเส้นทางศีล สมาธิ ปัญญา แล้วลงรายละเอียดในจรณะ 15 โพธิปักขิยธรรม 37 จนถึงปัญญาเป็นตัวสุดท้าย ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่ถือว่าจบในการปฏิบัติธรรม ด้วยเหตุนี้ในระหว่างการเดินทาง เราก็จะรู้ว่า เราแค่ได้มาเล็กน้อยก็จะรู้ว่ากว่าเราจะได้ขนาดนี้ต้องลงทุนขนาดไหน
สำหรับพระโพธิสัตว์ที่เดินทางมาจนถึงระดับสูง จนถึงระดับ 7 สยังอภิญญา จนถึงพระพุทธเจ้ายิ่งจะรู้มากทบเท่าทวีจนเรารู้ไม่ได้เลย
ในจรณะ 15 มีเรื่องของ โภชเนมัตตัญญุตา และสัมมัตตะ 10 ก็จะมีการประมาณ พ่อครู พูดถึงเรื่องการที่แปลว่ารูปกับนาม และพัฒนาการจากมูลสูตร 10 ที่สุดแล้วสามารถกำหนดการเกิดการตายได้ แปลว่าการกำหนด อสัญญีสัตตายตนะ และสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นอายตนะคู่สุดท้าย จะต้องมีฝีมือระดับเซียนเหยียบเมฆ ต้องรู้กลไกของรูปนาม รูปรูป อรูปอรูปและนามรูปที่เป็นอุปาทายรูป 24 มันชัดเจนอยู่แล้ว จะส่งผลให้เกิดสัมประสิทธิ์ Coefficient ตลอดเวลา
Coefficient ของนิยตโพธิสัตว์จะทำให้เกิด Fission ระดับที่ควบคุมได้ อรหันต์ธรรมดาควบคุมไม่ได้ต้องมีแต่ระดับ นิยตโพธิสัตว์ ที่จะควบคุมFissionได้ดี จนไปถึงพระพุทธเจ้า นั่นแปลว่ากระบวนการที่พ่อท่านกำลังเดินทาง กำลังจะเข้าสู่จุดสูงสุดในการควบคุมปฏิกิริยา Fissionซึ่งไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน
พ่อครูว่า..แต่ Nuclear Fission เก็บมาไม่ได้หมดหรอก แต่มันได้มากที่สุดก็คือพระพุทธเจ้า
หนึ่งฟ้าว่า…สามารถควบคุมได้มากที่สุด
พ่อครูว่านี่คือ mc2+ A ที่เก็บให้เพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ
หนึ่งฟ้าว่า…นั่นแปลว่าทุกวินาทีเศษเสี้ยวของวินาที พ่อท่าน สามารถคอนโทรลตัวเองได้ทุกระบบ ควบคุมตัวเองได้ทั้งกายขันธ์
พ่อครูว่า…ไม่สามารถดูอาการ 32 ทั้งหมดหรอก ทวัตติงสาการ ถ้าหากควบคุมได้มันไม่ไอหรอก
และจะชดเชยในอาหาร 4
หนึ่งฟ้า…จะต้องดูสภาพในร่างกายพอสมควร ที่จะลดการสูญเสียเนื่องจากเวทนาได้เบ็ดเสร็จ 100%
พ่อครูว่า…คุณเข้าใจว่าอาตมาเก่งเกินไป มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอก
หนึ่งฟ้าว่า…ดิฉันเข้าใจถูกมั้ย
พ่อครูว่า…ก็ใช่ แต่คุณประเมินสูงไปเท่านั้นเอง
มันไม่ใช่ชาติเดียวมันเป็นล้านชาติ
หนึ่งฟ้าว่า…ทั้งหมดที่ดิฉันพูดขณะนี้คือว่าความเป็นโพธิสัตว์ในการเดินทางแปลว่ากลไกในการควบคุมนี้ มันมีตั้งแต่วันแรกที่ฝึกปฏิบัติธรรม แล้วก็มีพัฒนาการที่แข็งแรง ช่ำชองเชี่ยวชาญ จนทุกวินาทีที่เดินทางผ่านไป ดิฉันเลยนำมาทดลองเทียบเคียงว่า สำหรับลูกศิษย์ เรารู้ว่าพระอาจารย์ดำเนินมาอย่างช่ำชอง บางเรื่องเราไม่มีสภาวะ แต่เราต้องดูว่ามันต้องมีความจริงเกินร้อยที่จะใช่ ทุกวันนี้เราไม่เข้าใจเรายกไว้ได้ แต่จะมีบางคนที่ว่า อันนี้เป็นประโยชน์ที่ดิฉันจะได้ยินบ่อยๆว่า อย่างพ่อท่านปฏิบัติธรรมจะรู้เรื่องธรรมะแต่เรื่องอื่นเพราะท่านไม่รู้หรอกไม่มีประสบการณ์ เช่น ไม่มีประสบการณ์เรื่องการเมือง หรือเรื่องอื่นๆ ดิฉันว่าไม่น่าจะใช่
สิ่งที่พ่อท่านพยายามจะบอกคือความสำคัญของโลกุตระ โลกวิทู โลกานุกัมปายะ
ความสามารถของพระโพธิสัตว์จึงขึ้นอยู่กับโลกวิทู ตรงนี้พระโพธิสัตว์ที่เดินทางมาอย่างยาวนานในสังสารวัฏ และจะไปถึงปลายสุดท้าย ความเชี่ยวชาญการหยั่งรู้จึงมากมายมหาศาลเกินกว่าที่เรา จะสามารถหยั่งรู้ ตรงนี้แหละ อย่างนั้นดิฉันเข้าใจถูกไหม
พ่อครูว่า…ตกลง อันสุดท้ายนี้คุณเท่ากับพูดว่าอาตมารู้เรื่องการเมืองหรือไม่?
จริงๆแล้วอาตมารู้ทุกอย่าง
หนึ่งฟ้าว่า…ดิฉันฟังธรรมพ่อครู มาอย่างยาวนานพอสมควร ก็ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ จนสามารถสรุปความว่า ถ้าแม้นเส้นทางเดินเป็นอย่างที่พ่อท่านพูดจริงในทุกเส้นทาง มันจึงเป็นความยิ่งใหญ่ที่เกินคาดที่มนุษย์สามัญจะเข้าใจได้ แม้กระทั่งที่เราเดินทางมาเล็กน้อยเป็นสะเก็ด ก็พอเห็นร่องรอยว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน พ่อท่านพูดมาจึงยืนยันว่าพ่อท่านรู้ทุกอย่าง สามารถกำหนดการเกิดการตายอย่างไม่มีเงื่อนไข นอกเหนือจากมัตตัญญุตา ปโหติ และสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 คือความพอเหมาะพอดีในการเดินทาง ทั้งหมดคือบทสรุปที่ว่า
รอยต่อระหว่างการเดินทาง สายเจโตที่ต้องบวกด้วยศรัทธา กับ ปัญญาที่ต้องเดินเดี่ยวๆ
พ่อครูว่า…สายศรัทธากับปัญญาต้องเดินไปด้วยกัน
หนึ่งฟ้าว่า…อันนี้คือ จุดที่ดิฉันอยากจะรู้ คนที่เรียนรู้ร่วมกันจะสามารถพัฒนาการได้ในการที่จะเจอพระโพธิสัตว์สายปัญญาธิกะ
พ่อครูว่า…รู้มากคนตอบก็จะยากหน่อย
สมณะเดินดินว่า..เมื่อกี้พ่อครูว่า การที่จะได้เลื่อนจากโพธิสัตว์ระดับ 7 ไปเป็นระดับ 8 ระดับ 9 ต้องใช้เวลาเป็น ล้านๆชาติ คือ สิ่งนี้ก็เป็นพุทธพิสัย ที่พ่อครูพูดวันนี้ แต่สิ่งที่อยากให้พวกเรากำหนดหมายคือ พวกนี้เป็นอจินไตยพุทธวิสัย ฌานวิสัย เกรงว่าพวกเราจะไปอธิบายกันเล่นๆบ้างระดับ 7 ระดับ 8 แล้วจะบรรลุแล้ว อันนี้เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถรู้ในตัวเอง
ขนาดเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้ายังไม่คิดจะตั้งศาสนา หากเราคิดว่าเราอีกนิดเดียวจะบรรลุ มันก็จะเป็นเรื่องที่ผิดไป อยากให้พวกเรากำหนดหมาย ว่าคงเป็นพุทธพิสัยที่ยากที่เราจะไปคำนวณคำนึงได้ หรือไปพูดกันเล่นๆ คิดว่าจะเป็นผลเสียกลับมาสู่พ่อครูมากกว่า
พ่อครูว่า…อาตมาว่าแม้แต่ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหามกุฏราชวิทยาลัยก็ฟังไม่รู้เรื่องหรอก ขออภัย เขาก็หาว่าฟุ้งซ่านบ้าบอ มันจะเป็นอย่างนั้น
แต่คนที่พอมีภูมิปัญญาอยู่บ้างก็จะรู้ว่ามันไปไกล แต่พวกเขาที่อยู่ในนั้นก็ไม่กล้าแสดงอะไรออกมา จะไปยอมรับพระโพธิรักษ์ว่ารู้ต่อหน้าไม่ได้ เขาจะรับเฉพาะตัวอาตมาก็อาภัพ ก็ไม่เป็นไร มันเป็นยุคกาล
อาตมาต้องเอามาเปิดเผย เมื่อเวลาอาตมาตายไปสิ่งเหล่านี้มันจะบันทึกไว้ ต่อไปในอนาคต คนที่เขาไม่ได้ติดใจในตัวอาตมาแล้ว เขาจะเอาไปใช้ เขาก็จะเรียนรู้ประวัติศาสตร์ว่าทำไมเคยมี คนก็จะไม่ติดใจว่าโพธิรักษ์เป็นอย่างไร เขาจะรู้แต่ว่าเป็นอรรถกถาจารย์รูปหนึ่ง ที่ผ่านมาในศาสนาพุทธ ที่มีภาษาพวกนี้ไว้ ทั้งที่เขียนเองและคนอื่นรวบรวมไว้ เขาก็จะเอาไปขยายผลในอนาคต เพราะสิ่งเหล่านี้จะมีคนบันทึกไว้ สิ่งนั้นมันสูญ อาตมาจะต้องพูดไหมว่าคนอื่นจะไม่รู้ก็ตาม พูดทิ้งไว้ แล้ว บันทึกไว้อยู่ใน harddisk ของโลกนี่แหละ
_คุณอุ่นดิน … ขอถามพ่อท่านว่า…การที่บุคคลเอาภาระกับการปล่อยวาง มันมีลักษณะอย่างไร
พ่อครูว่า…การจะปล่อยวางกับการเอาภาระ มันเหมือนกับขัดแย้งกัน ปล่อยวางก็เบาภาระเหมือนกับขัดแย้งกัน ถ้าเผื่อว่าได้ฝึกฝนได้ศึกษา สภาพความปล่อยวางนั้น จริงๆมันสูงมาก มันอยู่ใน โสฬสญาณข้อที่ 9 มูลจิตตุกัมมยตาญาณ เป็นการเปลื้องปล่อย ต้องเกิดญาณปัญญาจึงจะปล่อยวาง แต่มาพูดกันเล่นๆว่า ปล่อยวางๆ วางนี่มันเป็นภาษาที่จะให้
ที่เขาพูดกัน ว่าวาง แบกไว้ทำไมมันหนัก วางลง มันก็ถูกภาษา คำว่าวางก็คืออย่างนั้น เป็นรูปธรรมที่ง่าย แต่ในจิตที่จะวางไม่ง่าย วางคือ ความไม่ยึดไว้ ความไม่ยึดถือ
คนที่จะไม่ยึดถือก็ต้องมีปัญญาอย่างชัดเจนเลยว่า อ้อ อันนี้ มันมีจุดจบ จุดลงตัว มันมีจุดที่พอแล้ว พูดต่อไปอีกก็ไม่มีประโยชน์ คนอื่นก็ไม่รู้ หรือคนอื่นก็เสียเวลา เรารู้แล้วก็วางมันรู้ด้วยตัวเองก็ต้องวาง
เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสว่า พระพุทธเจ้าท่านวางเป็นอัตโนมัติเร็วยิ่งกว่า การเดินทางของแสงหลายล้านเท่า ท่านก็วางท่านรู้แล้ว สุดท้ายท่านก็สรุปตรงที่ว่า ความเห็นของเธอกับความเห็นของเรามันคนละอย่างก็จบ เป็นการตัดสินว่า วาง ไม่ควรจะต่อไปแล้ว เพราะมันจบที่ความเห็นของคุณที่ยึดถือ ความเห็นของเราก็วางได้มันคนละพวก มันก็ชัดเจนในการวางการปล่อย โดยรูปธรรม โดยภาษาบอก วาง ความเห็นของเธอกับความเห็นของเราคนละอย่าง กระทั่งเป็นคนละศาสนาคนละลัทธิคนละความเห็น
จะมาพูดกับเราต้องพยายามเข้าใจความเห็นของเรา จะให้พระพุทธเจ้าไปเอาตามคุณท่านไม่เอาแน่ เพราะอันนั้นท่านรู้แล้วเลิกมาแล้ว ที่ไปยึดถือนั้นมันไม่สมบูรณ์แบบ
ความหยาบ งานการไม่เอาภาระนี้คือคนชั่ว พูดชัดๆ ยิ่งอยู่กับหมู่เขา หมู่ก็ไม่เป็นระบบบังคับให้อิสระเสรีภาพให้เกียรติมาก คนมาอยู่ที่นี่ให้เกียรติ ทุกคนมีอิสระเสรีภาพ อยู่ที่นี่ทุกคนทำงานด้วยสำนึกของตนเอง ทำเท่าที่เราจะเห็นว่าควรทำอะไร ถนัดอะไร บางอย่างเราไม่ถนัดก็ไม่ทำ บางอย่างเราก็ใช้ทำได้ดี แม้จะไม่ถนัดก็ว่ากันไป เราก็ควรจะไปดูแล หยิบจับได้ช่วยกันนิดๆหน่อยๆ เหมือนเด็กช่วยงานพ่อแม่ อะไรไม่ได้ก็นั่งดูพ่อแม่ทำงานไป ช่วยอันนั้นช่วยนี้ ดีไม่ดีบางงานก็ แม่วานลูกช่วยงานบ้านแม่หน่อย นี่แม้แค่นี้ สรุปง่ายๆก่อน
คนถามมานี่ อาตมารู้ว่า เป็นจุดบอดจุดไม่ดีของบางคน ไม่เอาภาระการงานในนี้เป็นคนชั่ว พูดอย่างหนักและแรงกระแทก อยู่ที่นี่ อิสระเสรีภาพไม่เอาการงานอยู่ไปวันๆ เลี่ยงๆจับๆเล็กๆน้อยๆ เอาแต่ตามอารมณ์ไม่เอาภาระคนนี้ชั่วตลอดกาล
ทีนี้คนปล่อยวาง อยู่ที่จิต มูลจิตกัมมญตาญาณ ต้องเรียนรู้ตั้งแต่ หยาบ เราปล่อยวางไม่เอาการงานเลย นี่ชั่วมาก เดรัจฉานก็ยังเอาการงานเหมือนคนไม่ได้ เดรัจฉานไม่สะสมกินได้ก็เลิก แล้วก็ทำงานใหม่เพื่อกินเพื่อรักษาชีวิต คนที่จะเบียดเบียนผู้อื่นตนเองไม่ทำงานเลยแต่กินอยู่เบียดเบียนกินแรงผู้อื่น คนนี้ชั่วมากๆเลย แล้วจะบอกว่าปล่อยวางทั้งที่ไม่เอาภาระ
ปล่อยวางที่ใจ ไม่ใช่วางการงานอย่างตื้นๆ จะต้องศึกษาให้ดีว่า การปล่อยวาง มันเป็น ญาณที่จะไม่ติดยึด เพราะฉะนั้นในขณะที่เราทำงานนี้ เราก็ทำงานแต่เราไม่ยึดว่า งานนี้หนัก งานนี้ยาก งานนี้เราไม่ชอบ ไม่ใช่ เราต้องมีปฏิภาณปัญญาว่าเราอยู่ร่วมในนี้ มันมีงานที่เราต้องอาศัยต้องกินต้องใช้ ระหว่างที่เราทำงานกันนี้ เราไม่ได้อาศัยใช้กินในงาน เราไม่ทำหรอกเช่นงานไปเต้นแร้งเต้นกา
พวกเราไม่ได้ยึดถือเป็นรสอร่อย จะมีบ้างแต่ก็เล็กน้อย จะเห็นได้ว่าพวกเราไม่จมอยู่ในการกีฬาการบันเทิงเริงรมย์อะไร ที่จะต้องใช้เวลาไปกับสิ่งเหล่านี้สูญเปล่ามากกว่าชีวิตที่ควรจะเป็น พวกเราชัดเจนในพฤติกรรมไม่เช่นนั้นอยู่ในที่นี้ไม่ได้ หากไปติดกีฬาบันเทิงเริงรมย์มากอยู่ที่นี่ไม่มีให้เท่าไหร่หรอก ก็มีประมาณอย่างนี้ มันไม่พอหรอกถ้าเขาติดมาก อยู่ที่นี่ไม่พอให้เสพ ไม่สมกับที่เขาจะต้องบำรุงตัวเอง
สรุป คนก็ต้องเอาภาระต้องทำงานอยู่กับสังคมต้องช่วยกัน จะบอกว่าไม่รู้จักปล่อยวาง ใช่ ถ้าคนติดงานเป็นกัมมารามตา ติดงาน จนกระทั่งสุขภาพร่างกายเสียวุ่นวาย มันก็ไม่ดี หากไม่รู้พักรู้เพียร ก็ไม่เกิดผลดี
อาตมาก็ไม่เห็นว่าพวกเราจะทำงานจนเสียมากมาย มันอยู่ในความเอาภาระกับการปล่อยวางได้อย่างสมดุลอยู่ ส่วนจะเป็นมุลจิตตุกัมมญตาญาณ ก็ต้องอธิบายกันยาว ในโสฬสญาณ กว่าจะเกิด มุลจิตตุกัมมญตาญาณ จนเกิดปัจจเวกขณญาณ จากโคตรภูญาณ มัคคญาณ จนมุลจิตตุกัมมญตาญาณ
_สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน… มีความตั้งใจจะอ่านเวทนา 2 ทำให้เหลือ 1 ดิฉันสังเกตจากภาวะตัวเอง เวลาทำพฤติกรรม ถึงเวลาฟังธรรมพ่อครู เวลาบิณฑบาต เวลา นั่งฉันอาหาร ก็จะอ่านเวทนาสองต่อเนื่อง แต่ถ้าอยู่กับกุศลกับมิตรที่ถูกคอ จะไม่ได้อ่านเวทนา เมื่อเช้านี้ 2 ชั่วโมง ไปกับ ว.นบ. เก็บเกี่ยวผลผลิต ทำไมเราไม่ได้อ่านเวทนาเลย กุศลกับมิตรดีสหายดี มันกลับไปกับกุศลต่อเนื่องสุขาปฏิปทา แต่มานั่งทบทวนเราไม่ได้อ่านเวทนาเลย แต่การบิณฑบาต นั่งฉันข้าว ก็อ่านได้ตลอด
ทำไมเราลืมอ่านหากเจอสวรรค์ เจอกุศล เมื่อเช้านึกได้
พ่อครูว่า…มันก็เป็นบ้าง ในระดับหยาบ ไม่ชัดเจน แต่คุณได้รับความรู้แล้วลึกๆละเอียดคุณจะมีอยู่บ้างในการที่จะอ่านสิ่งเหล่านั้น เพราะว่าอาตมาเอาธรรมะพุทธเจ้ามาสอนมันจะเกิดกลไกปฏิกิริยา ซับซ้อน ปฏิกิริยาที่จะมีภาวะสามเส้า รูป นามและประธาน
ประธานคือตัวเรา รูป นาม หรือ บวก ลบ กับ 0
เพราะเราสนใจในการปฏิบัติศึกษา เราไม่ใช่ศึกษาเฉพาะความรู้ภาษาบัญญัติเอาไปสอบได้เปรียญได้ Doctor อะไร ไม่ใช่ เราเรียนเพื่อปฏิบัติ เพราะฉะนั้นทุกคนจะเรียนรู้บัญญัติภาษาแล้วก็จะเอาไปพยายามที่จะ เทียบเคียงกับสภาวะ เพื่อปฏิบัติให้เป็นสภาวะอยู่ได้เป็นธรรมชาติเป็นสามัญสำนึก แต่เราไม่ค่อยชัด จับฝาจับตัวมากับความเป็นจริงพฤติกรรมข้างนอก กรรมกิริยากายวาจา มันไม่ใช่เรื่องละเอียด แต่จิตใจที่ละเอียดมันพยายามเข้าไปกระทำ ให้มากหรือน้อยก็แล้วแต่ ก็พยายามอยู่ แต่ใจนั้นมันยังไม่ชัดเจน ยังไม่มีสติความพยายามจนกระทั่งทำให้เห็นว่า จิตของเราทำอยู่มาก มากจนกระทั่งสามารถให้คะแนนตัวเองได้สอบผ่าน เท่านั้นเอง
_สิกขมาตุกล้าข้ามฝันว่า…หรือมันเป็นเชิงสมถะ ตอนไปบิณฑบาตรู้ตอนไปทำงานไม่ค่อยรู้
พ่อครูว่า…คุณอาจนึกเตวิชโช ชั่วโมงที่แล้วไม่ได้นึกถึงตัวเองเลยทำงานไป แต่ซ้อนลึกในงานคุณมีผัสสะ มีเพื่อนมีหมู่ทั้งของและคนเป็นผัสสะแล้ว คุณก็ใช้กลไกในการปฏิบัติสังเคราะห์ บวกลบคูณหาร คุณมี
_สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน…เวลาเราทำงานกับคนเราพูดเราทำก็รู้ว่าอันนี้เป็นกุศลอกุศล แต่เราไม่ใช้คำว่าอ่านเวทนา มันติดภาษา
พ่อครูว่า…องค์รวมสามเส้าทำงานเป็นกลไกอัตโนมัติ บางอย่างมันก็รู้เป็นแบบสโลโมชั่นเท่านั้นเอง มันมีอยู่แล้วอย่างเร็ว
_คุณพึ่งบุญ…เมื่อวานพ่อครูเทศน์ ก็ทบทวนตนเองว่า ตอนชุมนุมทำไมเราต้องไป ตอนนี้พ่อท่านก็ว่าฤาษีเป็นสมถะหลับตา เราก็รู้ว่าตัวเองเป็นมาก่อนเราชอบนั่งหลับตาอาจจะเป็นฤาษีมาหลายชาติ ทีนี้ก็เลยมาคิดว่า ทำไมเราชอบออกไปชุมนุมเพราะว่าสงสารตัวเอง ล้างฤาษีออกยาก แต่เราไปนิพพาน การชุมนุมไล่ทักษิณ ทุกคนแสวงหานิพพานในการปฏิบัติธรรม เราไปได้นิพพานตอนชุมนุม เราทำสมาธิลืมตาเรื่องราวทำให้เราตื่น ตอนนั้นรู้สึกจิตสงบตายก็ตาย มันได้ไม่ยาก ในฌานทั้ง 4 ตอนนั้นรู้สึกว่ารู้ได้ถึงฌาน 4 แต่อาการมันจะได้ทุกทีเลย ตอนที่ระเบิดลง เปรียบเทียบ อาการตอนเราไล่นายกฯยิ่งลักษณ์ พอพ.ศ. 49-50 เราไปผ่าตัดเนื้องอกมดลูก หมอบอกว่าต้องให้ยาฆ่าเชื้อ เราไปไล่นายกยิ่งลักษณ์ มันเป็นรูปภายนอกที่ต่างกัน เรารู้ว่าจิตเราสงบไม่ด่าตำรวจ มาย่ำเลย คิดในใจ แต่ตำรวจไม่มาเขาไปย่ำขวดน้ำแทน เรารู้ว่าจุดนี้คือ ประโยชน์ตนที่เราได้แต่เราก็ยังไม่ค่อยมีปัญญาที่เรา ไล่ฤาษีออกจากตัวเอง
เมื่อมีการชุมนุมทุกครั้งเราจะต้องไป การปฏิบัติธรรม ต้องการทำจิตที่มีความสงบสุขที่สุด
พ่อครูว่า…ต้องใช้แรงกระแทกขนาดนั้นฤาษีหนัก ต้องใช้ลูกระเบิด
พึ่งบุญ…พอมาไล่ยิ่งลักษณ์ สถานการณ์ต่างกัน เราไปตัดมดลูกมาแล้ว ตอนนี้ไม่ค่อยมีฌานทั้ง 4 เลย มีแต่อิตถีภาวะ เราเห็นปืนมาซีกซ้ายเยอะเลย ระเบิดลงซีกขวา ปืนกลเยอะเลย พอระเบิดดัง จิตใจเราก็กลัว อยากได้ฌาน 4 อย่างครั้งก่อน เราก็เป็นประชาชนทั่วไปวิ่งเหมือนกับเขาเลย ไปถึงบ้านนายห้างเกรย์ ก็บอกว่าไปข้างในก่อน เราก็บอกว่าช่วยพ่อครูด้วย ได้ยินเสียงพ่อท่านว่าช่วยคนเจ็บ เราก็บอกว่า เรามาชุมนุมด้วยความสงบไม่ต้องการอะไรเลย ไม่ต้องมาทำร้ายกันหรอกเราเก็บเองเวที ตอนนี้โทรทัศน์ก็ดับไป ตอนนี้ได้ยินแต่เสียงปืนดังมาก ตอนนี้เราก็มีจินตนาการว่า ที่นอนเราคงราบหมด
เราไปเห็นเวที ตอนนั้นเห็นแต่มีนำ้เลอะๆ ไม่ได้เสียหายหมด เราก็มีกำลังใจอยู่ต่อ แต่ก็รู้ว่าพ่อท่านเป็นผู้แพ้ได้เสมอไม่ต้องการอะไร
สรุปคือต้องการจะถามว่า..ดิฉันเมื่อแก่ตัวมันไม่มีมดลูก ที่เคยบอกว่านิพพานได้แล้วได้เลยตอนนี้ทำไมมันมี อิตถีภาวะอยู่ มันหงุดหงิดเราแก่ก็แก่ ทำอย่างไรบอกว่านิพพานได้แล้วได้เลย ไอ้มดลูกนี้สำคัญเหมือนกันใช่ไหม คนเขาบอกว่าต้องมีอาการ 32 ครบ ถ้าหากอาการ 32 ไม่ครบ เราก็ไม่ต้องวางความสุขแบบอนาคามี ตอนนั้นเราปฏิบัติแบบอนาคามีอยู่ข้างถนน ถือศีล 8 มันก็ต้องได้แน่นอน อาการที่ลืมตาปฏิบัติ
ถามว่า…แก่ตัวแล้วมันจะปฏิบัติธรรมได้หรือไม่เป็นฤาษีมานาน
พ่อครูว่า…คำถามคุณมากจนอาตมาสับสนตอบอะไรไม่ได้เลย นี่คือคำตอบ อย่าไปฟุ้งซ่านอะไรเลยสงบๆนี่แหละ
_คุณศีลสมนึก…ผมไม่ได้ตั้งคำถาม แต่ผมเดินทางมาสู่ที่นี้ ก็โดยที่ผมต้องการจะได้สิ่งที่ผมต้องการ ทีนี้ผมมาตรงนี้ พ่อครูให้อะไรผม ผมได้อะไรจากพ่อครู ผมต้องกล่าวถึงอดีต ผมเริ่มต้น ลาออกจากราชการตั้งแต่ปี 40 อยู่ตรัง 8 ปีกว่าจะมาเจอพ่อครูอายุ 80 ปีตอนนั้นผมหลงทาง 4 ปีแรกเลี้ยงนกเขาชวา เสียเงินไป 2 แสน จากนั้นเขาก็เชิญไปเป็นไวยาวัจกรที่วัด เพื่อแก้ปัญหาเรื่องเงิน แล้วผมก็ได้ไปอินเดียแต่ปี 51 โดยงบประมาณของสำนักงานพัฒนา กลับมาจากอินเดียได้ฟังพ่อท่านแล้วเกิดความทุกข์ เป็นไวยาวัจกร ผมก็ได้ไปสร้างศาสนวัตถุต่างๆ ปี 2553 ผมก็ลาออกจากไวยาวัจกร มาอยู่ที่ทะเลธรรม ปี 55 ไปนาแรงรัก ออกจากนาแรงรัก ก็มาอยู่วังจันท์พฤกษา แล้วมาอยู่เมืองหลวง คนมาถามว่ามาอยู่กับพระไม่โกนคิ้วจะได้อะไร? แต่ผมก็บอกว่าผมต้องได้ ที่ผมเข้ามาตรงนี้ผมได้อะไรพ่อท่านให้อะไรแก่ผม
ผมมาเพราะทุกข์ก่อนจะลาออกผมมีทุกข์ เอากุญแจไปคืน เจ้าคณะไม่ยอมให้ออก ผมก็พูดว่าผมรู้ทุกข์แล้วครับท่าน แล้วผมรู้สมุทัยด้วย ทุกข์เกิดจากจิตผมเอง จิตผมร้อนรุ่ม ทำบัญชีก็ผิด แล้วรู้สมุทัยสิ่งที่ทำให้ผมทุกข์คือกิเลส ผมต้องการหานิโรธ ตัวต้องการนี้ผมต้องการถูกต้องหรือไม่ จุดมุ่งหมายผมอยู่ตรงนี้ เมื่อมาอยู่ตรงนี้ผมได้อะไร พ่อท่านก็อธิบายอาริยสัจ 4 ผมก็เอามาคิดว่าอาริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธผมรู้แล้ว แล้วมรรค พ่อท่านอธิบายขยาย เมื่อก่อนผมไม่รู้ทุกข์ และตอนนี้รู้มรรคมีองค์ 8 ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ จนถึง ข้อสุดท้าย ก็สะดุดใจเราจะเอานัตถิหรืออัตถิดี…ผมจึงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมคือโพธิสัตว์ กระผมได้คือโพธิปักขิยธรรม 37
พ่อครูว่า…ถูกต้อง สรุปว่าได้โพธิปักขิยธรรม 37 คือโลกุตระ ถ้าเข้าใจอันนี้แล้ว แล้วปฏิบัติได้รู้จักกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม มันไม่แยกกันทั้ง 4 อย่างนี้ กาย คือ 2 เวทนาคือ 108 จิตคือ เจโตปริยญาณ 16 ธรรมะคือธรรมะ 2 โลกียะกับโลกุตระ กุศลกับอกุศล เป็นต้น เราก็ จะเข้าใจสภาวะธรรมที่เป็นบัญญัติ แม้แค่สั้นๆแค่นี้ เราก็ปฏิบัติได้ผลกับตัวเราก็ได้โลกุตระ แม้แต่บอกว่าสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 ก็คือ สติปัฏฐาน 4 จะต้องปฏิบัติ ตลอดเวลาในสัมมัปทาน 4 ขณะที่สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 มีการสัมผัสอะไรก็ต้องรู้ตลอดเวลาแล้วก็ ปหานกิเลสให้ได้ ตรวจผลที่เป็นภาวนาปธาน อนุรักขนาปธาน รักษาผลไว เป็นตัวชี้บ่ง ว่าได้ผล มีอิทธิบาทเสริม สั่งสมเป็น อินทรีย์ 5 พละ 5 โดยมีฐานของโพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 เป็นการเดินและเป็นหลักเกณฑ์ที่จะเอาเนื้อหาของมรรคมีองค์ 8 ให้เกิดผลสมบูรณ์
แต่ละคนอธิบายของตัวเองมาได้ขนาดนี้ หลายคนอาจจะมีจิตรำคาญ ก็น่าเห็นใจ เพราะว่ามันได้อะไรมาก็อยากจะบอก ไม่ว่าจะเป็น พึ่งบุญ หนึ่งฟ้า ศีลสมนึก
_ด.ญ.น้ำมนต์…คนเกิดมาได้อย่างไรคะ และทำไมคนต้องลดกิเลส
พ่อครูว่า..เกิดมาได้เพราะว่าเราเองยังมีวิบาก ต้องเกิด คนที่จะไม่เกิดนั้นต้องปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า แล้วสุดท้ายก็จะไม่ต้องเกิดได้เลย เพราะฉะนั้นคนจะต้องเกิดมาจะต้องเรียนรู้ ว่า ให้หมดวิบากที่จะทำให้เกิด
แล้วทำไมต้องมีกิเลส ตอบง่าย ว่า เพราะมันโง่ จึงต้องมาเรียนรู้ให้ฉลาด น้ำมนต์ว่า..ดื้อนี้เป็นกิเลสไหม เราก็ต้องมาล้างกิเลสดื้อ อย่าเป็นคนดื้อ เป็นต้น ที่จริงแกไม่ค่อยดื้อ แต่ไม่ค่อยนิ่ง ดื้อคือคนบอกยากสอนยาก
_คุณเอื้อมบุญ กองอุดม …ในชีวิตของดิฉันรู้สึกว่านอนอิ่มแค่คืนเดียว อิ่มเต็มเลยค่ะ คือ เริ่มนอนตั้งแต่สองทุ่มตื่นหกโมงรวดเดียว อยากถามว่าการนอนหลับสนิทคือการเข้าภวังค์ใช่ไหม แล้วก็ มีโอกาสที่จะไปเลยหรือเปล่า ไม่ตื่นขึ้นมาเลย
พ่อครูว่า…ใช่มีสิทธิ์ ไม่ต้องกลัวหรอกไปเลยก็สบาย จะไม่ตายเลยหรือไง นอนหลับสนิทอย่างนี้ดี เริ่มต้นนอนแล้วรุ่งเช้ารวดเดียวเลย เจ๋ง แต่อาตมาไม่ได้ฝึกอย่างนั้นฝึกตื่นทุกชั่วโมงตีระฆัง จนทุกวันนี้จะนอนให้มันต่อเนื่องก็ยังไม่ต่อ ก็ทำมานานมันเป็น 10 ๆปี หลายสิบปี ก็พยายามแต่ก็ได้ต่อเนื่องพอสมควรแต่หลับไวไม่ยาก แม้จะลุกไปตีระฆังทุกชั่วโมงก็ไม่ลำบาก จะนอนก็ไม่กี่วินาทีก็หลับไม่ยาก หลับง่ายตื่นง่าย
_คุณดาวเพ็ญ นาวาบุญนิยม…จะมาบอกความในใจ เรื่องกระบวนการกลุ่ม โดยเฉพาะวันจันทร์ ขบวนการบ้านวัดโรงเรียน ว.นบ. ชุมชน โรงเรียนร่วมกัน มันมีอานิสงส์มาก เพราะว่ามันทำให้ได้เรียนรู้ผัสสะชัดและครบ เพราะว่าเพื่อนในกลุ่มมีหลากหลายจริต มีสำมะปี๋ ก็รู้สึกว่ามันสนุก แล้วก็นี่คือบทเรียนที่แท้จริง การได้ออกจากภพมาพบเพื่อน
พอดี มีน้องที่อยู่ร่วมกันมา 10 ถึง 20 ปีที่เขาขยันทำงานอย่างหัวปักหัวปำมีผลงานดีด้วย แต่วันหนึ่งเขาก็ป่วย ทีนี้เขาก็มาเรียนรู้ทุกข์จากการป่วย มาอยู่บ้านหลังเดียวกับดิฉัน ก็ถามเธอว่า ทำไมเธอถึงป่วยทำไมไม่มีคนไปช่วยงาน ข้อสรุปได้ว่าเพราะเราอยู่ในภพ หากเราออกจากภพ เพื่อนจะไปช่วย วันนี้เพื่อนไปช่วยทั้ง 2 กลุ่มเลย เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้รับความสุขในการออกจากภพ แล้วก็มีอยู่วันหนึ่ง สำหรับตัวเองก็ดีใจกับน้อง วันหนึ่งดิฉันตั้งใจจะไปช่วย เนียนใจล้างภาชนะ ก็ทำการบริการเรื่องน้ำธัญพืชก็ล้างหางยาวมาก ดิฉันว่าจะไปช่วยเขาก็พาดิฉันขึ้นรถไปเลย ก็เลยได้เห็นอานิสงส์ได้เห็นความลำบากของเพื่อน จะเห็นว่าเพื่อนดีอย่างไร มีอะไรจะแลกเปลี่ยนกันได้คุยกันสำมะปี๋ และอานิสงส์อีกอย่างคือ การได้เป็นนักบริการ ตอนแรกทำให้แต่แม่ แต่ต่อมาก็รู้ว่าคนอื่นก็น่าจะได้ด้วย แต่ทีนี้แม่ไม่อยู่ ก็มีเงิน 0 บาท แต่ไม่รู้ว่าน้ำใจมาจากไหน คุณยายคนนั้นคนนี้ก็เอาเงินมาให้ทำน้ำปั่น แม้แต่หม้อใส่ ก็มีคนเอามาให้ ซื้อหม้อมาให้ คนนั้นคนนี้เก็บผักมาให้ ดร.ต้อม ปรารถนาจนก็หาขวดมาให้ ให้คุณแม่ที่สันติอโศกประกาศว่าใครมีขวดเปล่าเอามาบริจาค คุณแม่ก็เอาขวดมาให้เอาเครื่องปั่นมาให้ สำมะปี๋ ออกจากภพก็จะได้เพื่อน คนไหนที่มีความทุกข์ไม่มีความสุขก็ออกมาจากภพมาพบเพื่อน คนไหนไม่มีงานจะทำก็ไปหา แอ๊ด ปลุกดิน ขาดคนช่วยปลูก เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้ ถ้าใครมีเวลา เข้ามาช่วยกันทำ ชาวกสิกรรมสวนทำกิน มีปลูกไม่มีการรู้จักเก็บ แต่มีคนเก็บเอาไปค้าขายได้เงินเป็นหมื่นเลย
พ่อครูว่า…ออกไปช่วยกันหน่อย
_คุณปลา…ลูกมีความสงสัยเรื่อง นาม 5 เริ่มต้นที่ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
เวทนา สัญญา เจตนาเป็น Static ส่วน ผัสสะ มนสิการเป็น Dynamic ใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า…ใช้ได้ ค้นหาเจตนา เจตนานี้ เป็นตัวสมุทัยเป็นตัวสำคัญ มีกาม ภว ก็เริ่มแต่กามไปก่อน
พอเรามีตัณหา 3 มีผัสสะ หากเราตั้งเจตนาไว้ไม่ทันก็เป็นมิจฉาฯ
พ่อครูว่า…หากปฏิบัติธรรมไม่ถึงนาม5 ก็ปฏิบัติธรรมไม่ถึงธรรมะพระพุทธเจ้า ปฏิบัติธรรมไม่มีผัสสะ เป็นหนึ่งในนาม 5 ก็ปฏิบัติธรรมนอกรีตศาสนาพุทธ ไปนั่งหลับตาไม่มีผัสสะก็ไม่มีนาม 5 ไม่ถึงกามตัณหา ไปนั่งหลับตามันไม่ถูกไม่มีผัสสะ ไม่รู้พระสูตรกี่อัน พรหมชาลสูตร มูลสูตร ปฏิจจสมุปบาท 16 เป็นต้น
_ขอตอบปัญหาแห้ง…
_ขออธิบาย อานาปานสติว่าฝึกอย่างไร อยู่ที่ลมหายใจหรือไม่
สายเจโตปัญญาคืออะไร จะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นสายไหน
เจโตสมถะฝึกอย่างไร
พ่อครูว่า..เจโตสมถะ หรือเจโตสมาธิก็เรียก แล้วก็เป็นลักษณะสมถะทั้งนั้น 1.สมถะลืมตา 2.สมถะหลับตา แต่ในพรหมชาลสูตรไม่ได้อธิบายแยก แต่เป็นสมถะทั้งนั้น ซึ่งจะมีแต่อดีตและอนาคต เพราะว่าการหลับตาไม่มีปัจจุบัน มีแต่อดีตกับอนาคต ซึ่งถ้าปฏิบัติธรรมะพุทธเจ้าต้องปฏิบัติธรรมในปัจจุบัน ปฏิบัติอดีตกับอนาคตเป็นมิจฉาทิฏฐิ 62
คนที่ไปหลับตาอย่างเดียว ทิ้งศาสนาพุทธไปทั้งหมด นอกนั้นก็จะได้แต่โลกียธรรม ดีกับชั่ว โลกุตระไม่มีเลยสำหรับผู้นั่งหลับตาปฏิบัติ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาโลกุตระ ส่วนศาสนาอื่นก็มีดีกับชั่วเป็นโลกียะ บางศาสนาปฏิบัติละเอียดกว่าด้วยซ้ำไปแต่ก็ไม่มีโลกุตระ
สรุปแล้วเจโตสมถะฝึกอย่างไร ความจริงก็เข้าใจอยู่แล้วนั่งหลับตา รวมจิตให้มันสงบ สะกดจิตให้สงบอย่างเดียวนั่นคือเจโตสมถะ นั่งสะกดจิตไป ก็มีความชำนาญทำได้เร็วทำได้ชำนาญ การฝึกด้วยการนั่งสะกดจิต ตอบง่าย จะนั่งวิธีไหนก็แล้วแต่
สายเจโตกับสายปัญญาคืออะไร จะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นสายไหน?
สายเจโตกับสายปัญญามีสองจริต คือ ศรัทธาจริตกับพุทธิจริต
การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจะแยกเป็นสองสาย
สัทธานุสารี กับธัมมานุสารี ท่านไม่เรียกพุทธิสารี ท่านเรียกธัมมานุสารี ตามหาความรู้ ก็มีสองสาย
สรุปง่ายๆว่าก็คือจริตของคน ถามว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าเราคือเจโตหรือปัญญา
จะรู้ได้คือเราเองมันถนัดอย่างไร มันชอบอย่างไร ถ้าคนที่ถนัดทางเจโต จะไม่ค่อยคิดฟุ้งอะไรมาก จะหาทางทำสงบง่ายๆ ส่วนปัญญาก็จะฟุ้งสงบไม่ค่อยได้ แต่ก็พยายามจะหาทางสงบ
ความสงบของศาสนาพุทธ นั้น เป็นความสงบที่ลึกซึ้งมาก สันตา เป็นความสงบที่วิเศษ เพราะว่าความสงบนี้คือกิเลสมันไม่มีบทบาท พลังงานกิเลสในจิตมันหยุดลงๆ ค่อยๆเบาบางลงๆ แล้วดับสนิทไม่มีในจิตอีกเลย กิเลสไม่มีในจิตอีกเลย อาการสงบของพุทธนั้นยิ่งจะแคล่วคล่องยิ่งจะชำนาญมีสติตื่นมีปัญญาคล่อง ยิ่งทำอะไรได้เร็วขึ้นๆ
คนจะดูได้ยากมากว่าคนนั้นเป็นคนสงบ อย่างอาตมานี้คนสงบ คนเรียนมาตื้นๆจะไม่รู้เลยว่าอาตมาสงบ แต่นี่ละสงบจริงมีกายกัมมัญญตา กายมุทุตา สมบูรณ์แบบ มี ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
จิตสงบของพุทธเป็นอุเบกขาไม่ใช่จิตไม่คิดไม่นึกอยู่เฉยๆ ไม่ใช่ แต่กลับจะแคล่วคล่องว่องไวมาก ปราดเปรียวมาก จิตสงบของพุทธ ยิ่งจะปราดเปรียวแคล่วคล่องเร็วไว นี่คือความที่รู้ได้ยากของศาสนาพุทธ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ผยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
ศาสนาพุทธที่เขาพาทำกันอยู่ทุกวันนี้ผิดไปหมด อาตมาเอาของศาสนาพุทธมาประกาศแม้แต่ความสงบก็เข้าใจไม่ได้แล้ว ว่า สงบของพระพุทธเจ้านั้นยิ่งจิตใจสงบยิ่งกิเลสหมดไปจากจิต หรือลดน้อยลงๆก็คือสงบ ปฏิบัติอย่างไร คือการปฏิบัติลืมตาตามมรรคมีองค์8 โพธิปักขิยธรรม 37 จิตใจลดกิเลสได้จริงก็จะมีจิตใจที่แคล่วคล่องว่องไวได้จริง นี่คือสงบ
สายเจโต กับสายปัญญาก็แยกแยะให้ฟังแล้วคือจริตของแต่ละคนเท่านั้น จะรู้ได้อย่างไรก็สังเกตเอาว่าเราเองมันมักจะไปหาพวกที่หยุดนิ่งไม่ค่อยสังสรร พวกสายปัญญาก็ไม่หยุดเลย ไฮเปอร์ไป แค่นั้นก็รู้แล้วใครสายไหน
อานาปานสติคืออะไรอย่างไร อยู่ที่ลมหายใจหรือไม่
จะต้องพูดถึงเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย ตามหลักของ System Analysis มี input output outcome impact
อานาปานสติ มีอานากับอาปานะ คือ ลมหายใจเข้ากับลมหายใจออก
ปฏิบัติอานาปานสติ คือคนปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม 37 ตลอดที่คุณยังมีลมหายใจเข้าออก คือยังไม่ตาย ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา นั่งหลับตานั่นมันผิดเลย ไม่ใช่อานาปานสติเลย
แม้แต่ในอานาปานสติสูตร ก็ไม่มีคำว่านั่งหลับตาเลย มีแต่นั่ง คู้บัลลังก์ตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่น นั่นคือในยุคพระพุทธเจ้า ออกปฏิบัติธรรมก็เห็นคนนั่งสมาธิแล้วก็หลับตาด้วยลืมตาก็มี แต่ก็นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่น มีแต่พวกฤาษีที่สอนว่าให้รู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกยาวหรือสั้น มันเป็นการบรรยายของพวกฤาษี แล้วก็เอามาบันทึกไว้ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าสอน ขอสรุปอีกที
อานาปานสติสูตรของพระพุทธเจ้านั้น ลืมตาปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม 37 ตลอดทุกเวลา ให้จิตใจนั้นเกิดผล
-
รู้จักความเป็นอนิจจัง 2. รู้จักความลดลงจางคลายของกิเลส 3. ความหมดกิเลส และ 4. การทบทวนปฏินิสสัคคะ
-
รู้ความไม่เที่ยง อนิจจานุปัสสี ตามเห็นความไม่เที่ยงของสภาวะธรรม ของทุกอย่างตั้งแต่ภายนอกถึงภายในไม่เที่ยงทั้งนั้น และ
-
ความจางคลายของกิเลส ถ้าเกิดว่าไม่สามารถเห็นความจางคลายของกิเลส ก็ปฏิบัติธรรมอานาปานสติของพระพุทธเจ้าไม่รู้เรื่อง
ทีนี้ กิเลสมันจะเกิดนั้นเกิดกิเลสในปัจจุบันสัมผัสอยู่ ถ้าไม่สัมผัสคุณนั่งหลับตา กิเลสไม่มีเกิดหรอก มีแต่ความจำ คุณก็ระลึกถึงว่าจิตใจมันฟุ้งซ่านไป ว่าเราเคยเกิดกิเลส แม้แต่คุณอยากจะอะไรก็แล้วแต่ในขณะนั่งหลับตา อยากจะบรรลุธรรม ก็คือการฝัน เพ้อต้องการ มันไม่มีความจริงเลย นั่งหลับตาปฏิบัติมีแต่อนาคต มาก 44 อย่าง อดีต 18 รวมแล้วก็คือ มิจฉาทิฏฐิ 62 อย่าง
ถ้าอ่านพรหมชาลสูตรก็จะไม่เอาแล้วการนั่งหลับตา เพราะท่านตีทิ้งแล้วอดีตกับอนาคต ศาสนาพุทธนั้นเป็นปัจจุบันเป็นทิฏฐิธรรมนิพพานทิฏฐิ ต้องมีสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกายใจเปิดตลอดเวลาในการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นการบรรลุธรรมที่มีดวงตาเปิด จักขุมาปรินิพพุโพติ ปฏิบัติธรรมด้วยการหลับตานั้นเป็นการระลึกได้เท่านั้นเอง
การปฏิบัติจึงต้องมีสัมผัสจริงมีทุกอย่างครบ บริบูรณ์
ทีนี้อานาปานสติ ที่บอกแล้วว่า ของพุทธเจ้าเป็นแบบนั้น ในยุคของพระพุทธเจ้านั้น มันผิดไปหมดไม่มีของพระพุทธเจ้าแล้วแต่ทุกวันนี้ก็กลับไปเอาของเดียรถีย์มาใช้อีก จนเป็นอย่างเก่า อาตมาจึงต้องมากระตุกให้ตื่นให้เลิก เปลี่ยนใหม่เลยการไปปฏิบัติธรรม ก้าวหนอย่างหนอมันไม่ใช่ มันเสียเวลา มัวแต่ก้าวอย่างนั้นมันอีกหลายๆชาติ ยิ่งไปฝังใจเชื่อแบบนั้นอีก เชื่อไหมว่าคนฟังอาตมารู้เรื่องแต่จะไม่เปลี่ยนแปลง จนไม่เอาอย่างนั้นเลย
ก็จะมีคนที่มานี้ไม่ได้จมอยู่อย่างนั้น คนที่จมอยู่อย่างนั้นแล้ว เยอะด้วย มานี่ไม่มากหรอก น้อยเดียวแต่มีน้ำหนัก มีน้ำหนักมากตรงที่ว่า เป็นสัจจะที่ถูกต้องแล้วมันก็จะมีเชื้ออันนี้ ไปอีก 2,000 กว่าปี แม้ว่าเชื้อที่ได้นี้จะยังไม่เต็ม อาตมาก็คงจะต้องกลับมาเกิดอีกเพื่อที่จะต้อง ซ้ำย้ำอีก ขันธ์หมดแล้วก็ต้องเกิดมาใหม่อีกก็ต้องเสียเวลาน้อยกว่าจะโตกว่าจะรู้ธรรมะ
ชาตินี้ เกิดมาก็เสียเวลาไป 36 ปี เพราะเกิดทีหนึ่ง ลิงลมอมข้าวพองทุกที แม้แต่พระพุทธเจ้าก็เสียเวลาไป 29 ปี แล้วไปเสียเวลาลิงลมอมข้าวพอง ให้เขาไปหลอกนั่งหลับตาอีกตั้ง 6 ปี ท่านถึงว่าผิดไปหมด อย่าไปพูดถึง 29 ปี เขามอมเมาให้ไม่ให้ออกมาแต่ก็อยู่ไม่ได้หรอก เสียเวลาอีก 6 ปี ขนาด พระพุทธเจ้ายังถูก ลิงลมอมข้าวพอง เสียเวลาอีกตั้ง 29 ปี อาตมาก็ไม่อยากเสียเวลามากเกิน ก็เลยยังไม่อยากตายตอนนี้ ถ้าตายไปแล้วก็ต่อคิวยากอีก ไม่รู้ว่าจะแตกกระจายไปอีกเท่าไหร่ กว่าจะรวบรวมกองทัพธรรมได้
ประเด็นที่ถูกต้องฝึกอย่างไร ก็ให้ฝึกโพธิปักขิยธรรม 37 นี่แหละคืออานาปานสติ หรือจะพูดว่าสติปัฏฐานสูตรก็ได้ นั่นแหละไปอ่าน สติปัฏฐานสูตร ทุกลมหายใจเข้าออกทุกกรรมกิริยา ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ
เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นจะต้องไปดูลมหายใจเข้าออกหรอก พอดี ทำอะไรไม่ถูกเลยเอามือไปต้มน้ำก็เอามือไปโดนน้ำ มัวแต่ดูลมหายใจเข้าออกตายพอดี ดีไม่ดี แหมดูนิ่งเลยสมถะมาก เอามือไปจุ่มน้ำร้อนก็ยังไม่รู้สึกร้อนเลยยกขึ้นมาก็มือเปื่อยเลย
_จากศีรษะอโศกฝากถาม
-
ตามความเข้าใจของลูกคำว่าธรรมะ 2 หมายถึง ฌาน 1 ใช่หรือไม่คะ? และ ธรรมะ 2 ทำให้เป็น 1 การที่เป็น 1 แล้วก็ ฌาน 4 เป็นอุเบกขาใช่หรือไม่
พ่อครูว่า…จะสรุปง่ายๆก็ใช่ ที่จริง มันมีหนึ่งในสอง มันลึกซึ้ง
-
และในธรรมะ 1 ให้เป็น 0 คือสัญญาเวทยิตนิโรธ