บันทึกผ่านเลนส์ ส่องโพธิกิจ…ใช้แตรสัญญานรายการสำมะปี๋ซีวิต
วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม 2561
เช้านี้อากาศปลอดโปร่ง พ่อครูตื่นนอนตามปกติ 6 โมงเช้าออกกำลังกาย 4 ชุดท่าบริหาร โดยมีท่าวิดพื้นเซตละ 13 ครั้ง 4 เซตคั่นในระหว่างท่าบริหารอื่นๆ หลังจากที่พ่อครูเช็ดหน้าเช็ดตาเสร็จ ได้บอกท่านปัจฉาว่า “ไปนั่งด้านนอกดีกว่าวันนี้พญาแร้งจะพาชมสวน”
พ่อครูได้มานั่งฉันน้ำปัสสาวะอุ่น กลางสวนสวรรค์ขยันยิ่ง ซึ่งหลังจากฝนตกต่อเนื่องและฝนเริ่มทิ้งช่วง ทำให้ต้นไม้ต่างๆแตกใบ เติบโตเขียวสด อุดมสมบูรณ์ขึ้นมาก ต้นไหนที่ยังไม่ได้ออกดอก ก็เริ่มออกดอกบานแข่งกันในยามเช้า เพราะส่วนมากต้นไม้ที่ สวนสวรรค์ขยันยิ่ง จะเป็นไม้ดอกของไทยทำให้มีกลิ่นจรุงในช่วงเช้าและช่วงค่ำ พ่อครูเห็นดอกไม้บานแข่งขันยามเช้า ทำให้นึกถึง”เพลงไม้ไพรกลางใจพี่”ที่พ่อครูเคยแต่งไว้แต่ยังไม่ได้บันทึกเสียง พวกเราได้นำเพลงอุทยานดอกไม้ในยุคเก่า ที่ได้พูดถึงไม้ดอกของไทยซึ่งมีจำนวนหลากหลายพันธุ์และมีผู้นำมาแต่งเพลงโดยจะเป็นชื่อดอกไม้ตั้งแต่ต้นเพลงจนถึงจบเพลง มาเปิดให้พ่อครูฟัง
เช้านี้มีแมลงที่ชื่นชมกับความหวานของเกสรดอกไม้ดูดน้ำหวานจากดอกไม้หลายตัว โดยเฉพาะแมลงภู่ซึ่งสนใจต้นทองอโศกมาก ที่ออกดอกเหลืองแทบทุกต้นสำหรับเพลงเกี่ยวกับดอกไม้ของชาวอโศกพวกเราก็จะคุ้นชินกับเพลงผกาดั่งนารี
ที่ครูรักรักพงษ์ประพันธ์คำร้อง ประพันธ์ทำนองโดยสง่า ทองธัช เป็นเนื้อร้องที่เกี่ยวกับหมู่มวลดอกไม้มีมากมายทุกคนจะชื่นชมที่มีกลิ่นหอม ใบ ดอก ที่มีความงาม จึงเปรียบนารีเป็นเหมือนดอกไม้กลิ่นหอมใดๆก็สู้กลิ่นหอมของความดีที่เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมเชิดชู
ที่สวนสวรรค์ขยันยิ่ง มีไม้ดอกหลายสายพันธุ์ มีดอกหนึ่งน่าสนใจออกมา 1 ดอกพวกเรานิมนต์ให้แวะชม เรียนพ่อครูว่าเป็นดอกพุดสายพันธุ์หนึ่ง ลักษณะคล้ายกังหันลมชื่อดอกพุดเศรษฐีสยามหรือที่เรียกกันว่าดอกพุดกังหันลมยักษ์ พ่อครูให้ความสนใจกับกลีบใบที่ดูแปลกคล้ายกับกังหันลมจริงๆ และเป็นไม้ดอกที่มีกลิ่นหอมยามเช้าอีกด้วย หลังจากนั้นพ่อครูกลับเข้าห้องทำงานค้นหัวข้อธรรมะจากพระไตรปิฎกและเขียนหนังสือธรรมะพร้อมดูข่าวสารจากทีวีทั้ง 3 ช่องอย่างเช่นทุกวัน
เวลา 11.07 นาทีพ่อครูลงจากชั้น 4 พร้อมท่านปัจฉาดินไท มาฉันภัตตาหารที่ชั้นล่างเฮือนสูญ พร้อมอ่านหนังสือพิมพ์ประจำวัน 2 เล่ม พ่อครูฉันอาหารเสร็จเวลาประมาณ 13.18 นาทีเดินออกมาด้านข้างรถอีโบ ดูต้นโพธิ์ที่ต้นตรงสูง และไม่มีกิ่ง ไม่เหมือนโพธิ์อินเดียหน้าอาคารบวรมีใบและต้นที่แข็งแรงสมบูรณ์ ตรงข้ามกันเป็นสวนที่อาสมนึกได้มาถางหญ้าปรับปรุง พ่อครูชื่นชมว่าทำได้ดีเพราะมีต้นไม้หลายต้นหายากบริเวณนี้ทั้งหางนกยูงเหลือง จานเหลืองรวมถึงต้นอินทผาลัม พ่อครูกำลังเดินขึ้นที่พลาญหินหน้าองค์พระ ส่องผ่านเลนส์ประทับใจพ่อครูอีกแล้วที่พ่อครูก้มลงเก็บกระสอบปุ๋ยที่ถูกทิ้งไว้ตั้งนาน มีดินทับถม ท่านปัจฉาแสนดินช่วยหยิบ กระสอบขึ้นมาและเรียนพ่อครูว่าเป็นกระสอบใส่ดินทรายที่เคยจะใส่ทรายที่ร่อนแล้วช่วงทำงานศิลปะปูนปั้น ท่านเดินผ่านต้นผักแว่น ยังทักให้พวกเราดูว่ามีความสมบูรณ์แข็งแรง พ่อครูขึ้นไปที่พลาญหินเห็นยอดอ่อน ตอนแรกเข้าใจว่าต้นเฮือดแต่แล้วมองดูใกล้ๆไม่ใช่ พ่อครูเดินลงมาที่ลานสะโพพบต้นหญ้าที่สูงชลูดเกินกว่า 2 เมตรชื่นชมว่ามีความสมบูรณ์แข็งแรงงดงามมาก เป็นตามธรรมชาติสร้างสรรค์ พ่อครูสังเกตเห็นต้นไม้ต้นเล็กๆคล้ายต้นหญ้าที่เติบโตใกล้ปีกหินมีลักษณะแปลกคล้ายหางจิ้งจก มีใบเรียวแหลมแกนสีเขียว ขอบใบสีม่วง แต่ก็หนาแน่นเป็นพันธุ์ที่น่าสนใจ ดูแปลกตาแต่ขึ้นหนาแน่นสวยงาม พ่อครูถามว่าชื่อหญ้าพันธุ์อะไรก็ไม่มีผู้ใดตอบได้
พ่อครูแวะดูฮิปโปปูนปั้น ที่ยังหลงเหลือคราบตะไคร่น้ำ คงต้องรอท่อสูบน้ำเสร็จจะสะอาดมากขึ้นกว่านี้ พ่อครูบอกว่าหน้าลานองค์พระดูเป็นธรรมชาติมาก ระหว่างทางเดินไปอาคารบวร ลุงแขก ธาตุดินเข้ามากราบนมัสการ พ่อครูแวะดูรูปหล่อเหมือนพ่อครูปางอภัย ที่จะต้องซ่อมแซมอีกหลายส่วน มีนักเรียนกลุ่มหนึ่งจากโรงเรียนห้วยทับทันวิทยาคม จังหวัดศรีสะเกษ กำลังเดินไปที่อาคารเพื่อหาน้ำดื่มทาน พ่อครูถามว่าครูเขาบอกยังไงทำไมมาที่นี่ เด็กๆตอบว่า ครูสอนศิลปะพามาดูราชธานีอโศก มาเล่นน้ำตก
พ่อครูเดินขึ้นอาคารบวรแวะมาหน้าฮ้านปันกัน พ่อหินเข้มเข้ามากราบนมัสการสังเกตพื้นปูนได้ลงเคลือบเงาเรียบร้อยแล้วและกำลังขัดเพื่อให้ขึ้นเงางดงามสังเกตเห็นรถจากห้างจำหน่ายวัสดุก่อสร้างในเมือง จะมาส่งของให้เราเป็นประจำเกือบทุกวัน ด้านหลังวิทยาลัยอาชีวะมองไปเห็นรถบัสของโรงเรียนห้วยทับทันวิทยาคมจอดอยู่เป็นตำแหน่งเดียวกันที่มีรถบัสจากมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นซึ่งเมื่อวานนี้ก็จอดตรงนี้เช่นกัน คงจะเป็นที่เหมาะสมสำหรับจอดรถบัสโดยผู้ขับรถจัดสรรเองอย่างลงตัว
พ่อครูแวะไปที่ตลาดนัดบุญนิยม นักเรียนกำลังมาซื้ออาหารและเครื่องดื่มรับประทานกัน พ่อครูเข้าไปทักทายนักเรียนถามว่าอาหารที่นี่ราคาเป็นอย่างไรเด็กๆบอกว่าราคาถูก แวะทักแม่บัวนวลและแม่ค้าคนอื่นๆดูอาหารที่นำมาขายตลาดนัด ซึ่งล้วนเป็นอาหารมังสวิรัติ เด็กชายเวียง เด็กชายวัง ปิดเทอมมาช่วยยายสานศีลขายผักที่ตลาด เข้ามากราบนมัสการพ่อครู
พ่อครูเดินขึ้นชั้น 2 อาคาร ที่กำลังทำทรายล้างทางเดิน คล้ายกับฝั่งตรงข้ามสังเกตเห็นฝ้าเพดานมีช่องคล้ายโดนกระทุ้งกระแทก พ่อครูเดินข้ามสะพานเหล็กถักไปอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเริ่มแบ่งสัดส่วนโดยการกั้นห้อง กำลังติดกระจกหลายห้อง พ่อครูเดินไปถึงห้องสุดท้าย ซึ่งเป็นห้องประชุมมองเห็นวิวทิวทัศน์บ้านราชได้ 180 องศา ลงมาชั้นล่างพบเด็กน้อยลูกของน้องเล็กศิษย์เก่า เข้ามานมัสการท่านปัจฉาและวิ่งตามจะมากราบนมัสการพ่อครู น้องเล็กซึ่งเป็นคุณแม่ต้องสอนให้มากราบหลวงปู่
พ่อครูเดินลงจากอาคาร มาด้านหลังวิทยาลัยอาชีวะไปที่ถนนคอนกรีตที่เทเรียบร้อยแล้วกำลังเก็บงาน พ่อหินเข้มรายงานพ่อครูว่าจะทำเพิ่มเติมอีก แต่ครั้งนี้จะเริ่มจากหน้าป้ายราชธานีอโศกไปด้านหน้าวิทยาลัยอาชีวะและอาจจะถึงหน้าเฮือนตลาดในงบประมาณเดิม ซึ่งอาจจะเป็นไปได้เพราะพวกเราทำถนนคอนกรีตกันเองแบบสุจริต ทำให้ลดการสูญเสียต่างๆได้มาก พ่อครูเดินมาด้านหน้าโรงปุ๋ยพลังชีวิต ซึ่งเป็นโรงปุ๋ยที่จดทะเบียนในชื่อวิสาหกิจชุมชนถอยหลังเข้าครรลอง จำหน่ายและผลิตปุ๋ยอินทรีย์เพื่อการค้าในราคาบุญนิยม พ่อครูเดินเข้าไปผ่านบริเวณปั้นเม็ด ร่อนเม็ดเข้ามาภายในที่เก็บปุ๋ย เจออาปื๊ดคนเดียวกำลังจัดระเบียบ เตรียมปุ๋ยใส่รถเข็น เพื่อรอขึ้นปุ๋ยในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเมื่อเช้าได้ขึ้นปุ๋ยไปแล้ว 3 คันรถสิบล้อ
พ่อครูยังคงเรียกปุ๋ยลักษณะที่มีความพร้อมในการขึ้นรถว่า”ปุ๋ยรอระบาย”เดินไปสักพักพบกล้วย 1 เครือเพราะครูนับได้ 17 หวีๆละ 11 ลูก ซึ่งคาดว่ายังโตไม่เต็มที่ แต่ด้วย ลูกเครือใหญ่และมีน้ำหนักมากทำให้หักลงมา พ่อครูบอกว่ายังเป็นกล้วยอ่อนเหมาะสำหรับรับประทานดิบได้เลย พ่อครูแวะขึ้นไปออฟฟิศของโรงปุ๋ย อาละอองดินออกมาจากห้องน้ำหมักมากราบนมัสการพ่อครู รายงานว่ากำลังติดสติ๊กเกอร์ที่ขวดน้ำหมักดับกลิ่นด้วยจุลินทรีย์ชีวภาพ ซึ่งที่อุทยานบุญนิยมขายดีมาก จนทำไม่ทัน เมื่อวานคุณทวิชผู้ดูแลอุทยานบุญนิยม ก็นำไปจำหน่ายโดยที่ยังไม่ได้ติดสติ๊กเกอร์เลยวันนี้อาละอองนิลและคุณกรักน้ำใจจึงมาช่วยกันติดสติ๊กเกอร์ เพื่อนำไปส่งที่อุทยานบุญนิยม ซึ่งจุลินทรีย์ชีวภาพดับกลิ่น ผลิตด้วยกรรมวิธีชีวภาพไร้สารพิษ ซึ่งช่วยย่อยสลายตะกอนวัตถุ ซึ่งอุดตันท่อน้ำทิ้ง และบำบัดน้ำเสียให้เป็นน้ำดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังเพิ่มโอโซนให้อากาศสดชื่น ผู้ที่สนใจน้ำยาดับกลิ่นปราศจากเคมี มักนำไปเทราดบริเวณที่มีกลิ่นเหม็น เช่นห้องครัว ถังขยะ ท่อระบายน้ำ ห้องน้ำหรือท่อส้วม ซึ่งหลายคนบอกว่ากำจัดกลิ่นทันตาเห็นได้ทันที ซึ่งพวกเราก็ผลิตกันแทบไม่ทัน รวมถึงสมุนไพรไล่แมลง แบบชีวภาพก็จำหน่ายกันแทบไม่ทันเช่นเดียวกัน
พ่อครูลงมาพบวิษรุจน์ซึ่งขับรถ “จั๊บยี่ลอ” เข้ามากราบนมัสการ ท่านเดินเข้าไปในโรงปุ๋ยอีกครั้งเดินไปในห้องรับรองจัดนิทรรศการโรงปุ๋ยซึ่งตอนนี้ไม่ได้ใช้งานห้องนี้แล้วเป็นเพียงเก็บวัสดุของโรงปุ๋ยเท่านั้น พ่อครูเดินกลับมาเพื่อไปอาคารบวร ตลอดสองข้างทางยังเห็นต้นกล้วยอุดมสมบูรณ์ พ่อครูสังเกตเห็นกล้วยเครือใหญ่ซึ่งพ่อครูบอกพวกเราว่าสมัยก่อนพ่อครูจะนำกล้วยอ่อนลักษณะนี้ฝานเป็นแว่นพร้อมเปลือก แล้วทำพริกเกลือโดยใส่พริกสด น้ำตาลและเกลือคลุกเคล้ากัน นำกล้วยที่ฝานพร้อมเปลือกเป็นแว่นๆ จิ้มพริกเกลือเท่านี้ก็ถือว่าอร่อยแล้วสำหรับเด็กในยุคนั้น ป่ากล้วยและป่ามะละกอยังอุดมสมบูรณ์ พวกเรายังคิดกันว่าถ้าถึงงานเจคงได้ใช้ผลิตผลจากป่ากล้วยและมะละกอนี้อย่างแน่นอน
ป้าดาวขับรถสวนมาก็เข้ามากราบนมัสการพ่อครู พ่อครูเดินผ่านต้นทองอโศกที่ยังคงถูกผูกมัดจนเอวคอดอยู่ ท่านถึงกับเอ่ยว่าใครก็ได้ช่วยเขาที เอาคัตเตอร์มาตัดออก ส่องผ่านเลนส์ได้ยิน รับรู้ถึงความเมตตากรุณา ที่พ่อครูได้ให้กับต้นไม้ซึ่งมักได้ยินพ่อครูพูดกับต้นไม้บ่อยๆ และให้ความสำคัญกับต้นไม้มาก พอเห็นต้นไม้ล้มและกิ่งหักบริเวณโคนที่ถูกมัด ทำให้พ่อครูเอ่ยอีกครั้งว่าหาคัตเตอร์มาคนละอันช่วยกันตัดเชือกฟางออกให้เร็วไวจะดีกว่า เดินไปไม่นานนักพบลุงแขก ธาตุดินกำลังตัดเชือกฟางพ่อครูบอกพบแล้วผู้ช่วยต้นไม้และให้ลุงแขก ธาตุดินช่วยตัดฟางออกอีกทุกต้นที่โดนรัดไว้ ลุงแขก ลงมือทำทันที ตามพ่อครูบอก
พ่อครูเดินผ่านหน้าตลาดนัดบุญนิยม ทักทายแม่สมพิศ วันนี้นำฟักข้าวมาขายด้วยพ่อครูบอกว่าฟักข้าวผลเขียวทานเป็นผักได้ พ่อครูเดินผ่านกลับมาหน้าน้ำตกผาแหงนขึ้นชั้น 4 ยืนและดูภูมิทัศน์ที่อุทยานไม้ตายที่กำลังปรับพื้นที่วางท่อ ตกแต่งงานศิลปะปูนปั้น รวมถึงด้านล่างสวนเทวดาเลี้ยง ที่ท่านสมณะหนักแน่นก็กำลังดูแลสวนนี้อยู่ พวกเราเรียนถามพ่อครูว่าเถาวัลย์เปรียงที่เลื้อยมาจากชั้น 3 กำลังจะเลื้อยขึ้นชั้น 4 ให้นำยอดพาดไปเลื้อยที่อื่นจะดีหรือไม่ ส่องผ่านเลนส์ได้ยิน ได้เห็นความเมตตากรุณาของพ่อครูอีกครั้ง ที่มีต่อพีชนิยามว่า “ปล่อยให้เขาเลื้อยไปอย่างนั้นแหละ” พ่อครู ยืนดูภูมิทัศน์รอบๆสักพักหนึ่งก่อนที่พ่อครูจะกลับเข้าห้องทำงานเช็ดหน้า เช็ดตัวและพิมพ์หนังสือธรรมะคนจนที่มีแบบต่อ
เวลาประมาณ 18.00 น.พ่อครูลงมาชั้นล่างเฮือนพร้อมท่านปัจฉาแสนดิน เพื่อมาแสดงธรรมในรายการ สำมะปี๋ซีวิต พ่อครูมาถึงเก้าอี้เตรียมเทศน์ก็ครองจีวรแบบ”ห่มแร้ง”ทันทีเป็นสัญลักษณ์ถึงการพร้อมจะเทศน์ในรายการสำมะปี๋ซีวิต ซึ่งวันนี้มีการปรับปรุงรายการเล็กน้อย ในเรื่องของการจัดสรรเวลา สำหรับผู้ที่จะถามคำถามซึ่งกำหนดไว้โดยประมาณไม่เกินคนละ 3 นาที เพื่อเฉลี่ยให้ทั่วถึงกันเพราะครั้งที่แล้ว ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ได้ถามคำถามพ่อครู ซึ่งมาครั้งนี้จะมีผู้ที่ให้สัญญาณคือคุณแป้ง สู่เเดนธรรมเมื่อถึงเวลา 3 มาก็จะบีบแตรแป๊นๆให้สัญญาณว่าหมดเวลา เป็นสิ่งที่จะสร้างสีสันให้ผ่อนคลายได้ดี เพราะไม่ได้ใช้ระฆัง แต่เป็นการใช้แตรฮอร์นทำให้หลายคนยิ้มได้ แม้ถูกบีบแตรสัญญาณหมดเวลาในการพูดแสดงความเห็นและตั้งคำถามพ่อครู..