610731 ฌานจิตคือหนึ่งเดียวกับเอกภพและการต่ออายุไม่สิ้นสุด
พ่อครู : ชีวิตคนเกิดมาก็ไปตามวิบาก ถ้าไม่มีสติ ไม่มีกำลัง กำลังของจิต ที่มันจะรู้ภพ รู้ชาติ รู้โลกุตรภพ โลกุตระจะเรียกภพมันก็ไม่ดี ไม่ควร เพราะว่ามันโลกุตระแล้ว มันเป็นผู้รู้จักความเป็นภพ ที่ไม่สร้างภพสร้างชาติ ก็จะเรียกโลกุตรภพ ก็เป็นลำลองเท่านั้นเอง โลกียภพ ถ้าภพ โลกีย์เป็นภพแน่นอน โลกียภพ
ส.แสนดิน : เป็นวิภว
พ่อครู : วน วิภวภพ
ส.แสนดิน : วิภวตัณหา
พ่อครู : วิภวตัณหา วิภวภพ กามภพ ภวภพ วิภวภพ มันก็มีภพ มี ทีนี้วิภวภพ มันก็ซ้อน วิภว แล้วมันไม่ภพแล้ว ภวภพ มันก็ยังมีภพ กามภพ แน่นอน กามๆ กิเลส โลกเขา คนไม่รู้จักโลกสาม ไม่รู้จักภพสาม เนี่ย แล้วก็ทำตนให้หลุดออกมาเป็นผู้วิภว หมดภพ วิภว ไม่มีภพแล้ว หลุดออกไปไม่ได้ วน เพราะงั้นพูด พูดง่ายๆ พูดก็ฟังพอเข้าใจตรรกะกัน แต่ว่าทรรศนะๆ ของคนมันก็เป็นแต่เพียงได้แค่ เก่งที่สุดก็ได้แค่ วิสัยทัศน์ๆ คือทรรศนะ สามารถที่จะไปรู้ได้ เข้าใจได้บ้าง แต่เข้าถึงวิสัยทัศน์ ที่เขาเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า vision เข้าถึงซึ่ง วิสัยเนี่ย ไม่ได้ง่ายๆ เพราะงั้นวิสัยของคนจะเข้าไปถึงขั้นนี้ได้ต้องเป็นคนมีฌาน ต้องเป็นคนมีฌาน แล้วความเป็นฌานเนี่ย เข้าใจผิดหมด ความเป็นฌานไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดกัน อย่างที่เขาเข้าใจกันทั่วไปเลยตอนนี้ เขาเข้าใจณาน ฌานคือ อันเดียวกันกับสมาธิ อันเดียวกันกับ meditation อันเดียวกันกับนั่งสะกดจิตเข้าไปหลับตา ดิ่งเข้าไปอยู่กับหนึ่ง ไม่ใช่ ฌานของพุทธนั้นไม่เป็นหนึ่งเลย เป็นหนึ่งก็คือ เอาเอกภพทั้งเอกภพมาเป็นหนึ่ง ไปได้ทั่วเอกภพเลยนี่คือ ฌาน
ส. แสนดิน : เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับทุกสิ่ง
พ่อครู : เออ ..ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียว นี่คือฌาน เอกภพทั้งเอกภพนี่แหละ ผู้ใดที่ไปถึงสุดเอกภพ ไปโน่นมานี่ได้เร็วที่สุดเลย มีมุทุภูตธาตุ มีธาตุเร็วที่ไปได้หมดทั่ว อย่างงี้คือฌาน ฌานยิ่งคล่องแคล่ว ยิ่งเป็นกายปาคุญญตา ยิ่งคล่องแคล่ว ยิ่งว่องไว ยิ่งไปได้เร็ว ได้ไว ได้ไกล มีมุทุภูตธาตุที่วิเศษ นั่นคือฌาน แต่ฌานที่เข้าใจกันด้วย ความคิดความเข้าใจ โดยทรรศนะหรือโดยทิฏฐิ ฌานคือยิ่งหยุด ยิ่งนิ่ง ยิ่งไม่ไปไหน ยิ่ง สงบๆ คือ แข็ง หยุด นิ่ง ไม่ใช่เลย มันไม่มีจิตที่เป็นอกุศล มันไม่มีตัวที่จะทำให้ช้า มีแต่เร็ว
ส. แสนดิน : ไม่มี ไม่มีแรงดึงดูดใดดูดมันได้
พ่อครู : ไม่มีแรงดึงดูดใดอะไร ดูดมันได้ มันไปได้คล่องตัวหมดเลย นั่นคือ ฌาน เข้าใจกันคนละเรื่อง เข้าใจกันกลับกัน เพราะงั้นผู้ที่มีฌานวิสัยเนี่ย จึงไม่ยึดเป็นเรื่องอจินไตย เป็นเรื่องที่คิดไม่ได้หรอก เหมือนคนที่เข้าใจฌานอยู่ทุกวันนี้ยังไม่รู้จักฌานหรอก ทำฌานผิดหมด ผมนี่ยิ่งคล่องแคล่วขึ้นทุกวัน ยิ่งคล่องตัวขึ้นทุกวัน จิตจะยิ่งมีมุทุภูตธาตุที่ดีขึ้น เร็วขึ้นๆๆ นั่น คือ coefficient ด้วยที่เป็นมุทุภูตธาตุ coefficient ยิ่งมีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้นถ้าจิตของเรานี่ยิ่งเร็ว เร็วกว่าเสียง ชีวิตเราจะเหมือนกับชีวิตถอยหลัง ไม่ใช่ชีวิตจะเดินหน้า ไม่ใช่จะแก่ไปเรื่อยๆ ยิ่งถอยหลัง ยิ่งจะหนุ่มๆๆๆๆๆ ชีวิตจะยิ่งถอยหลัง อีกหน่อยก็จะเท่าๆกับเจมส์ อีกหน่อยจะถอยหลังยิ่งกว่าเจมส์ หนุ่มยิ่งกว่าเจมส์
ส.แสนดิน : Back to the future ไม่ต้องขึ้น time machine
พ่อครู : เออ … เป็นอย่างนั้นจริงๆ
ส.หนักแน่น : เดี๋ยวขอถามครับ มีคำถาม วันก่อนผมเดินกับพ่อครู พ่อครูบอก พ่อครูอายุ 85 …เอ๊ย 84 ปี 2 เดือน แล้วผมก็ถามว่า แล้วจิตพ่อครูเท่าไหร่ ? พ่อครูบอก 25 ใช่ไหมครับ.. แต่ถ้าลงมาได้อีก 20 ยิ่งเร็วขึ้นนะครับ จิต ถ้าลงมาอีก 10 ลงมาอีก 1 ยิ่งเร็ว
พ่อครู : เร็ว เป็นลิงเลย
ส.หนักแน่น : ถ้าลงมา 0 ปุ๊บ ยิ่งเร็วกว่านั้นอีก
พ่อครู : ใช่
ส.หนักแน่น : อ๋อ เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณครับ
พ่อครู : 0 นี่ มันไม่มีอะไรจำกัดไง ถ้าหยุดถึง 0 แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอะไร มันไม่มีอะไรจำกัด มันเป็นได้หมด ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ใน 0 ไง ศูนย์ นี่คือรวมทุกสิ่งทุกอย่าง ศูนย์กลาง ศูนย์รวม ศูนย์คือทุกสิ่งทุกอย่าง คำว่าศูนย์ ทุกอย่างออกไปจากศูนย์ เพราะนั้นผู้ที่จะมีที่ทั้งปัญญามีทั้งเจโตที่เป็นศูนย์แล้ว ก็คือผู้ที่รู้รอบหมด รู้อะไรทุกอย่างหมด ถ้าแปลว่าสุดยอด ก็เป็นอะไรได้หมด
ส.ดินไท : เป็นจุดเหรอครับ ?
พ่อครู : หา ?
ส.ดินไท : เหมือนจุดเล็ก…จุด
พ่อครู : เออ… พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่าเป็นผู้รู้ เทวดา มาร พรหม รู้จักเทวดา มาร พรหม มันชัดเจน เทวดาก็คือ จิต ที่มันเป็นจิตเทวดาสามอย่าง เพราะงั้นถ้าทำให้เป็นสามอย่าง จิตของเราเป็นวิสุทธิเทพได้ก็จบ เป็นมารเราก็รู้แล้วมาร มารเราก็เคยเป็น
ส.หนักแน่น : ถ้าสูตรนี้แสดงว่าสลาย ปริโยสานรึเปล่าครับ? ถ้า 0 เนี่ย เพราะ 1 นี่มันเร็วแล้วอ่ะ
พ่อครู : เรียกว่า สลายปริโยสานก็เป็นภาษาสำนวน จริงๆแล้วเราจะปริโยสานก็ได้ ไม่ปริโยสานก็ได้ เป็นอมตะบุคคล จะเกิดก็ได้ จะตายก็ได้ จะศูนย์ก็ได้ จะไม่ศูนย์ก็ได้ไง ไม่ศูนย์เราก็รักษาความยาวไปเรื่อยๆ เพราะงั้นผมถึงพยายามที่จะพิสูจน์ คือตัดเรื่องเวลา ตัดเรื่องวัฏฏะ เราอยากขยาย เราก็ขยายไป ผมเป็นแต่เพียงว่าตั้งเกณฑ์ไว้ว่า 151 แต่จริงๆแล้วเนี่ย ผมทำอายุให้ถึง 151 แต่ผมเอง ผมจะเอาไปเอามาแล้ว โอ๊ย.. ไม่ไหวหรอก ไปดีกว่า131 ก็ ไปดีกว่า หรือว่า 141 ก็ไปดีกว่า ไม่เอาให้ถึง 151 หรอก ไปได้ แต่ว่า ไม่เอา มันอยู่ที่เรา เหมือนพระพุทธเจ้าท่านบอก ท่านจะอยู่แค่นี้ อีก 3 เดือนเราจะตายแล้วนะอานนท์ ท่านก็ไม่ได้แก่ได้เก่อ ท่านก็ไม่ได้อะไร ท่านก็บอกว่าอานนท์เราจะอยู่ถึงกัลป์กว่ากัลป์ เราก็ไปได้ แต่ท่านก็ไปแค่นั้น คือท่านกำหนดวันเกิดวันตายได้ พระพุทธเจ้า แม้แต่พระอรหันต์หลายองค์ท่านก็กำหนดวันเกิดวันตายได้
ส.แสนดิน : พระโมคคัลลาถ้าจะหนีต่อไป ท่านก็ทำได้
พ่อครู : ได้
ส.แสนดิน : แต่ท่านไม่ทำ
พ่อครู : อืม กำหนดวันเกิดวันตายได้
ส.เดินดิน : อย่างนี้จริงๆ ถ้าพ่อท่านป่วยหนักๆอาจจะ ยอมแพ้ก็ได้ ก็ไม่แน่เหมือนกัน
พ่อครู : เออ.. ป่วยหนักๆ ก็ไม่ไหว ขันธ์มันทรมาน มันไม่ไหว ไปดีกว่า มันก็ต้องถึงวาระนั้นจริง แต่ตอนนี้เราไม่มีโรคอะไร ไม่ได้เจ็บป่วยหนักที่จะทรมาน ไม่ได้ป่วยเจ็บอะไร ก็ดี ร่างกายขันธ์ทุกวันนี้ มันไม่ปวดไม่เจ็บอะไร มันไม่ทุกข์ทรมาน
ส.แสนดิน : มีแต่ไอ
พ่อครู : มีแต่ไออย่างเดียว เป็นวิบากตัวเดียวนั่นแหละ
ส.หนักแน่น : แต่คนอื่นเขาจะเห็น อย่างพยาบาล อย่างหมอเขาก็จะเห็นครับ
พ่อครู : เห็นอะไร ?
ส.หนักแน่น : เห็นร่างของพ่อครูไง ว่า เอ๊ย ..อันนี้มันขาด ขาดอันนี้ละ เขาจะเติมตัวนี้
พ่อครู : ก็เติม มันก็ไม่ขาดอะไร มันก็ยังไปได้ดีไง มันก็ยังสุคะโตอยู่
ส.แสนดิน : มันเกินออกมาเป็นก้อน
ส.หนักแน่น : คือ หมอกับพยาบาล เขาจะเห็นว่า ไอ้ขยะที่เอาออกมา เขาจะมองออกเลยว่า อันนี้มันขาดอะไร
พ่อครู : ขาดนิด ขาดหน่อย มันไม่ได้ขาดมาก จนกระทั่งมันไปไม่ออก ไปไม่รอด ไปไม่ได้ มันไปได้อยู่
ส.แสนดิน : เกินนี่ เขาบอกว่าเป็นเครื่องออกกำลังกายของพ่อครู ออกกำลังกายปอด
พ่อครู : ออกกำลังกายปอดด้วย จริงนะ
ส.แสนดิน : แข็งแรง ขับออก
พ่อครู : จริงนะ จริง อย่าไปกวนปอดเราละกัน
ส.แสนดิน : พูดเหมือนกับ ปลอบใจ
พ่อครู : อย่าไปกวนปอดเราละกัน อยู่ก็อยู่กันคนละสัดส่วนนะ ปอดก็อยู่ของเขา อย่าไปรบกวนเขา ปล่อยให้เขาอยู่ทำหน้าที่เต็มๆ ปอดก็ยังแข็งแรงดีอยู่นะ
ส.เดินดิน : แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ตัวนี้ที่ท่านมีมันก็เป็นสัญญาณบอกให้ร่างกาย มันโหลด มันจะเตือน ไม่งั้นพ่อครูต้องใช้สมองมากกว่านี้
พ่อครู : ก็ไม่ๆๆ ไม่พยายามจะไปเร่งอะไรมากเกินไป ก็ใช้ตามควร ใช้พอสมควร ไม่เหมือนแต่ก่อนนี้ โ อ้โห.. ร้อนก็ยังเอาผ้าชุบน้ำมาโปะ แล้วก็ทำ ร้อนแล้วก็ทำ ตอนนั้นอ่ะ ตอนนั้นอายุไม่มาก
ส.เดินดิน : ตอนนั้นไม่มีไอเลย
พ่อครู : เออ .. แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว ทำอย่างนั้นไม่ได้แล้ว เราก็ไม่ๆ ๆมันเป็นสามัญสำนึกอยู่ในตัวเหมือนกันว่า ควรหรือไม่ควรแค่ไหนมันก็มีอยู่ มันจัดความพอเหมาะของมันอยู่
ส.เดินดิน : ผมรู้สึกว่า พ่อครูมี safety อย่างหนึ่ง พอร่างกายโหลดปั๊บจะสามารถตัดเครื่องดับ พักยาว
พ่อครู : ฝึกมาๆ ไง ก็พอได้
ส.เดินดิน : ซึ่งคนทั่วไปพออย่างนี้ปุ๊บเนี่ยควบคุมจิตใจจะฟุ้งซ่าน
ส.แสนดิน : อย่างน้องสาว สิกขมาตุเนี่ย
ส.เดินดิน : เออ นั่นไม่ได้
ส.แสนดิน : ถ้าไม่ต่อต้านมันจะมี ยาอะไรมันจะช่วยได้
พ่อครู : ใช่ๆๆๆ มันไม่ได้ฝึกจิตมา จิตฟุ้งซ่านไปตามแรง หนึ่ง ฝึกจิต สอง ลดกิเลส แม้ฝึกจิตสงบ ถ้าถึงเวลาหนึ่งมันก็ใช้แรงข่ม คนที่เป็นทำเป็นแบบสมถะ แรงข่ม พอถึงขีดหนึ่งข่มไม่อยู่หรอก จะแรงด้วย ดิ้นแรงด้วย จะต้องการแรงด้วย ระเบิดด้วย
ส.แสนดิน : มันข่มไว้นาน
พ่อครู : มันข่มไว้นาน เพราะงั้นมันอยากออกมันแรงมาก มันจะระเบิด แต่ถ้าเผื่อว่าฝึกจิตมาดีแบบพุทธเลย กิเลสมันลด พอกิเลสลดมันไม่เหมือนกัน คนมันมีกิเลสอัด อัดเต็มกระบอกเลยนะ กระบอกระเบิดนะ กระบอกนิวเคลียร์ ระเบิดนิวเคลียร์เลย
ส.แสนดิน : ฟิวชั่น
พ่อครู : เออ ถ้ามันระเบิดละก็ โอ้โห บรรลัยจักรเลย นั่น มันก็เป็นธรรมดา พูดภาษาอธิบายชัดๆ ง่ายๆ เป็นรูปธรรมเป็นนามธรรมในตัว อรูปธรรม ไอ้พวกนี้เป็นอรูปธรรม ไม่ใช่นามธรรม เราเป็นนาม เราเป็นผู้ที่รู้ความจริงของมัน มันไม่รู้ตัวมันหรอก มันเป็นอุตุนิยาม มันไม่รู้ตัวมัน แต่เราเป็นจิตนิยาม เราก็รู้สภาพพวกนี้มันเป็นอย่างนี้
ส.ดินไท : หลวงปู่ ติช นัทฮันห์ อายุ 92
พ่อครู : ฮะ ใครนะ?
ส.ดินไท : หลวงปู่ ติช นัท ฮันห์ อายุ 92
พ่อครู : ติช นัท ฮันห์ 92 เหรอ
ส.ดินไท : แต่ว่าอัมพาต เส้นโลหิตในสมองแตก
พ่อครู : อ๋อ ขนาดไม่ต้องจี๋จ๋า อย่างนั้น ยังแตกเลย
ส.เดินดิน : ไม่ต้องเหมือนพ่อครูเลย สบายๆ สุขาปฏิปทา
ส.ดินไท : นี่ขนาดสบายๆ
ส.เดินดิน : สบายๆ ใช่
ส.แสนดิน : แต่ดูสบาย แต่จริงๆ ชีวิตท่าน เมื่อก่อนท่านถูกต้องออกมาจากเวียดนาม โดยที่ นี่แหละ มันน่าจะมีความกดดันอะไรอีกตั้งเยอะ กลับก็ไม่ได้นะ กลับเวียดนามก็ไม่ได้
พ่อครู : อยู่ต่างประเทศไปเลย ที่ฝรั่งเศส
ส.แสนดิน : ใช้สมถะมาเรื่อยๆ เหมือนพ่อครูบอกมันไม่สลาย มันก็ต้องมีปฏิกิริยาขึ้นมา
ส.เดินดิน : มันไม่สลาย ใช่
ส.แสนดิน : มันก็ต้องมีปฏิกิริยาขึ้นมา
ส.ดินไท : มีพระที่เผาตัวเอง
ส.แสนดิน : พระอะไรที่เผาตัว เองประท้วง
พ่อครู : ทำไม ?
ส.ดินไท : ตอนที่มีสงคราม ที่อเมริกาไป แบ่งแยกเวียดนามเหนือ เวียดนามใต้
ส.แสนดิน : ท่านได้รับยกย่องเป็นพระโพธิสัตว์เลยนะครับ
พ่อครู : ใคร?
ส.แสนดิน : เนี่ย ท่านที่เผา เหลือหัวใจ ยังไม่ถูกเผาอยู่
ส.ดินไท : นั่งอยู่อ่ะ ไม่ล้มนะ
ส.แสนดิน : ถูกยกย่องเป็นโพธิสัตว์
ส.ดินไท : แสดงว่าใช้สมถะเก่งมาก
ส.แสนดิน : คงไม่ใช่ธรรมดา ไม่ร้องไม่อะไรนะฮะ หงายหลังไป ไม่แสดงอาการเจ็บปวดอะไรเลย
ส.ดินไท : เมื่อกี้พ่อท่านพูดถึง.. ผมนึกถึงที่พระพุทธเจ้าที่มารมาอาราธนา พระพุทธเจ้าบอกว่าเราจะยังไม่ปรินิพพาน จนกว่าอุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ภิกษุณี อาจหาญแกล้วกล้า
พ่อครู : อืม.. ประเด็นจะถามอะไร ?
ส.ดินไท : ตอนนี้เรา สมณะ สิกขมาตุ ญาติโยม อาจหาญแกล้วกล้า อันนี้คือปณิธานของพระพุทธเจ้าหรือฮะ?
พ่อครู : เป็นธรรมดาเพราะว่าเรามีจุดมุ่งหมายตรงนี้ว่า อยากจะให้ผู้สืบสานศาสนาต่อไป แล้วก็ประมาณดูว่า เออ.. เขามีความรู้ มีพลังมีอะไรที่จะเป็นเหตุปัจจัยจะนำพานี้ไปได้ พร้อมได้ยัง ถ้าพร้อมแล้วมันก็ครบได้ ก็มีความรู้ ความสามารถที่จะทำไปอย่างนั้นได้ แต่คนก็รู้ อย่างพระพุทธเจ้าท่านรู้รอบ ผมก็รู้พอๆกันแต่ว่าไม่เท่าท่าน
ส.ดินไท : ไม่คือ อันนั้นคืออุดมการณ์ของพระพุทธเจ้า แต่ของพ่อท่าน
พ่อครู : ผมก็เหมือนกัน แต่ว่ามีแนวๆๆ คล้ายกัน ก็ต้องพยายามให้พวกเราได้ศึกษาตรงนี้กัน
ส.ดินไท : ของพ่อท่านน่าจะเห็นเป็นรูปธรรมได้ ก็คือ สร้างชุมชนเมืองพุทธ แผ่นดินพุทธ มีองค์ประกอบทุกอย่าง
พ่อครู : เอ่อ.. ของพระพุทธเจ้าเอง ท่านก็มีชุมชน แต่ของท่านเก่งกว่าผม ตรงที่ว่าท่านไปถึงตรงไหนก็สร้างชุมชนได้ที่นั่น เมื่อนั่น แต่ของผมนี่สร้างชุมชนแล้วมันก็เป็นตัว static อยู่ที่ชุมชน เพราะงั้นถึงมีชุมชนชาวอโศกอยู่เป็นแหล่งๆ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ไปสร้างแหล่ง แต่ของท่านไปที่ไหนก็ได้หมด กระจายๆๆๆๆ แล้วมันก็ได้ ตั้งหลักเองเลย ท่านไม่ต้องไปดูแล แต่ผมต้องดูแลอยู่ ท่านไปที่นี่เกิดเอง แล้วก็อยู่เลี้ยงตัวเองได้ทันที ของเราต้องคอยช่วยๆกัน ให้หมู่บ้านและให้ชุมชนมันตั้งตัวได้ อยู่ในโลกีย์เขา อยู่ในชาวโลก ๆ เขาไม่ใช่พุทธนี่
ส.แสนดิน : พระพุทธเจ้าท่านเน้นสร้างที่สงฆ์ แบบที่เป็นรูปแบบ แบบภิกษุเลย
พ่อครู : เหมือนกันๆ ผมก็ต้องสร้างภิกษุเหมือนกัน สร้างเป็นตัวแก่นแกนเหมือนกัน แล้วก็ต่อไปเป็นที่ประชาชน แล้วก็จะเกิดพุทธบริษัท มีพุทธบริษัทมีอุบาสก อุบาสิกา มีคนที่ชัดเจนในทิฏฐิในทฤษฎีในแนวทางที่จะปฎิบัติ อย่างหมดวิจิกิจฉา หมดสงสัยแล้วก็มีศีลสามัญญตา มีทิฏฐิสามัญญตาอย่างที่เป็นอยู่ก็คือสาราณียธรรม
ในสวนดาว ถอดความ
[embedyt] https://www.youtube.com/watch?v=h3nH9BXU_ss[/embedyt]