610903_สำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 11
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1U_w2Cp8viG-5lAcrG5rjSoAsj6mqONADOUHreZzZd7Q/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1QZWqWFnf4pJiPXNdwp32dekFnJIu7GUp
พ่อครูว่า…SMS 2 กันยายน 2561 (วิถีอาริยธรรม)
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน วัดกับการหาเสียงทางการเมือง
_อำภา รื่นใจดี · ท่านพ่อครูมีความคิดเห็นอย่างไร กรณีเถรสมาคมห้ามวัดจัดให้มีกิจกรรมทางการเมืองภายในวัด ซึ่งสวนทางกับอโศกที่ท่านพ่อครู เอาศาสนาไปเชื่อมโยงกับการเมือง
พ่อครูว่า…มีความเห็นจริงตามที่ว่านั้นหนึ่ง สอง อาตมาเอง อาตมาเห็นสมควรว่า เขาห้าม ไม่ให้การเมืองมายุ่งกับพระภิกษุ ดีแล้ว เพราะอินทรีย์พละของเขาแย่ เขาไม่มีความเป็นธรรมะ เป็นคุณธรรมในทางปัญญา ในทางความรู้เพียงพอที่จะอยู่กับกระแสของพวกเขี้ยวลากดิน การเมืองคือพวกกระแสเขี้ยวลากดิน ซึ่งเขาจะเอาพระการศาสนาเป็นเครื่องมือหาเสียง เอาประโยชน์ในทางการเมือง นักการเมืองจึงชอบวัดเพราะเป็นจุดรวมของความศรัทธาคนนับถือ วัดนั้นวัดนี้มีพระรูปนั้นรูปนี้ มันเป็นต้นทุนที่มีโดยธรรมชาติของสังคม แล้วศรัทธาพวกนี้เชื่อถือกันถ้าเผื่อว่าพระอาจารย์เชื่อถือเอาด้วยก็จะได้มวลประชากรกลุ่มหนึ่งเลย มันง่ายมันสะดวก ในการที่จะไปใช้อย่างนั้น เขาก็เลยจำเป็นจะต้องทำอย่างนั้นดีแล้วถูกแล้ว
แต่ของอโศกเรา นักการเมืองใดๆจะมาครอบงำไม่ได้ จะมาหาเสียงเพื่อประโยชน์ทางการเมือง เราไม่เปิดโอกาส เพราะว่าเราเองก็รู้ทัน ที่สำคัญคือเราไม่ตกเป็นเหยื่อของลาภยศสรรเสริญโลก เขาไม่ประสีประสาตกอยู่ใต้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข นักการเมืองก็ใช้พวกนี้เป็นเครื่องล่อพระต่างๆ แต่อโศกเราไม่มีปัญหาไม่เป็นอย่างนั้น
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยสัจ 4) ตอน คนรวยกับคนจนอย่างไหนรู้ทุกข์อาริยสัจได้ง่ายกว่า
_ฮวก พรชัย · กราบเรียนถามพ่อท่าน เราจะรู้จักทุกข์อริยสัจได้อย่างไร ถ้าเราเกิดในครอบครัวที่ค่อนข้างสุขสบาย เราจะรู้จักมันยากขึ้นหรือไม่ครับ
พ่อครูว่า…คนจะเป็นคนจนหรือคนรวยก็ตาม รู้จักทุกข์อาริยสัจยากทั้งนั้น ภาษาอื่นๆว่า คนรวยเขาคงมีสุขไม่มีทุกข์ เขาก็คงมีสุขโลกีย์ เขาก็ไม่รู้จักทุกข์อริยสัจอยู่ดี เพราะฉะนั้นสุขที่เป็นอริยสัจไม่มี สุขที่เขาเป็นสุขอย่างนั้นไม่ใช่อริยสัจ เป็นสุขขัลลิกะ เป็นสุขเท็จ แต่เขามีสุขเท็จนี่แหละ มันจะมองเห็นทุกข์อริยสัจได้จริงมันยาก เพราะฉะนั้นคนที่ครอบครัวค่อนข้างสุขสบายมีเงินมีทอง เพราะฉะนั้นก็บอกได้เลยว่า อย่าไปมีเงินมีทองมากเลยมันหนัก มันถูกสุขขัลลิกะ สุขเท็จนี้หลอก ก็เลยไม่รู้จักทุกข์อริยสัจได้ง่าย
ที่นี่พวกจน จนนี่จะไม่เดือดร้อนแม้จะจน ก็ไม่มีทุกข์อะไร ทุกข์อาริยสัจ รู้แล้วว่าการยึดมั่นถือมั่นที่อยากจะรวยมีเงินมีทองมีข้าวของ ถ้าหากไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้วชีวิตเราก็ดี ไม่ต้องรวยนี่แหละสบาย เพราะไม่ต้องป้องกันทรัพย์สิน ไม่ต้องรักษาทรัพย์สิน ไม่ต้องกลัวโจรมาปล้น ไม่ต้องกลัวถูกทำลายที่เขาจะมาแย่งทรัพย์สิน แม้แต่รักษาไว้ก็ทุกข์ กลัวมันจะหาย สารพัด เพราะฉะนั้นไม่ดี
อย่างพวกเราไม่ต้องดูแลเงินทองข้าวของอยู่กับส่วนกลางจะกินจะใช้ คนที่จะต้องใช้เงินใช้ทองก็ต้องใช้กับส่วนกลาง ส่วนตัวเรานั้นสบายดีแล้ว หรือว่าเรื่องเดือดร้อนส่วนตัวจะเจ็บป่วยจะต้องใช้อย่างสมเหมาะสมควรก็ใช้กับส่วนกลางได้สบาย
เรื่องของคนจนที่เข้าใจแล้วมาอยู่กับระบบคนจน มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เป็นสิ่งที่จัดสรรให้เกิดสภาพนี้ได้ยาก อาตมาทำได้สำเร็จก็เลยภาคภูมิใจ แม้ในยุคทุนสามานย์ คนไม่เข้าใจในทุกข์อริยสัจ
คนที่ไม่ต้องติดยึดเรื่องเงินทองข้าวของอะไร ก็เป็นคนที่รู้จักทุกข์อริยสัจ แล้วเป็นคนที่ไม่ต้องติดในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข แล้วชีวิตมาเจริญ มาเป็นคนที่ดีมากเป็นคนขยันหมั่นเพียร ไม่มีโลภโกรธหลง ความโลภเราน้อย มีวิธีการปฏิบัติเกี่ยวกับหมู่กลุ่มทำให้กิเลสเราน้อยลงด้วย มันเป็นเรื่องของคนมีปัญญาแท้ๆ รู้จักทุกข์อริยสัจ รู้จักความจริงอันประเสริฐ แล้วพวกเราก็อยู่กับความจน อย่างมีความสุขสำราญเบิกบานใจ ใช้ภาษาเรียกว่าสุขสำราญเบิกบานใจ ที่จริงมันไม่ได้สุขอย่างโลกีย์ที่ สุขที่มีลาภยศสรรเสริญ มีความสุขภาวะเสพในกามคุณ 5 มีความต้องการใดๆมาบำบัดบำเรอใจเราถึงมีความสุข บำเรอกิเลสไม่ว่าจะเป็นกิเลสกาม กิเลสอัตตา บำเรอแล้วสุข แต่เราไม่ได้บำเรอกิเลสของเราแต่เราก็อยู่อย่างสุขสบาย
เราก็อยู่กันอย่างมีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกับปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ก็ขอย้ำว่าคนที่มาอยู่กับพวกเราแล้ว เพราะมีงานสัมมาอาชีพ มีงานค้าขายเราก็ไปช่วยกันทำร้านขายของสดร้านขายอาหารก็มี มีร้านปันกันขายของ มีร้านขายอาหาร พวกเราไปทำกันบ้าง ออกร้านขาย บางคนก็ทำขายแล้วใส่กระเป๋าตัวเอง ไม่ให้กองกลางเลยก็แล้วแต่ บางคนก็แบ่งให้กองกลางบ้าง อาตมาว่า พวกเรามีจิตใจที่มีหิริโอตัปปะ มีผักพืชอะไรก็เอาไปขาย เอาไปใส่กระเป๋าเราคนเดียวจะมีความละอายหรือเปล่าก็ไม่รู้ คนมีความละอายก็จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ของเราเป็นคนชั้นสูงแล้วให้อิสระ ถ้าชั้นต่ำก็ต้องมีคนบังคับ
แม้แต่โรงเรือนบวรเรา ข้างนอกเขาจะใช้สถานที่ขายสินค้า โดยไม่ต้องเสียค่าเช่าอะไรเลย ขอประกาศใครจะมาอาศัยที่นี่ขายของ อาตมาสร้างอาคารเอาไว้ อาณาบริเวณ11 ไร่ คุณมาใช้ขายของแห้งของสด ก็มาเถอะ อาตมาเจตนาอย่างนั้น ทำเพื่อเป็นตลาดประชาราษฎร์ ให้ราษฎร มาขายของได้ ก็บอกไปทั่ว บอกได้ คนมันไม่มากเท่านั้นแหละ ไม่พลุกพล่าน ลูกค้าไม่มาก แต่ถ้าคุณเต็มใจก็มา เรายินดีให้ขาย ต่อไปในอนาคต ลูกค้ามีมาก พื้นที่เต็มจะมาร้องไม่ได้นะ
จริงๆอาตมาอยากจะทำงานเพื่อสังคม เพื่อช่วยคนที่เขาเดือดร้อน เราก็มีแรงพอทำขึ้นมาให้ ยิ่งชาวบ้านแถวนี้ จะมีตลาดที่ขายถูกขายฟรีมีได้ยาก อย่างน้อยพวกเราก็ได้พึ่งพาอาศัย เป็นการเกื้อกูล โดยเฉพาะพวกเราไม่ขายขูดรีด เราดูแลกันอยู่ อย่าไปอย่างชาวโลกเขา ขายต่ำกว่าราคาตลาด ราคาเท่าทุน ราคาต่ำกว่าทุน แจกฟรี ก๋วยเตี๋ยวเราชามละ 20 บาท ข้างนอกราคาอย่างต่ำ 30 บาท แต่เป็นอาหารมังสวิรัติทั้งนั้นนะไม่มีอาหารเนื้อสัตว์นะ มังสวิรัติเป็นอาหารชั้นดีนะไม่ใช่อาหารของพวกซีกุ้ย เป็นอาหารเซียนนะ ซีกุ้ยคือผีนรก แม้แต่จีนทางเจเขาก็ว่าอย่างนั้นนะ
พวกคนรวยรู้จักทุกข์อาริยสัจ ยากหน่อย ทุกข์เพราะไม่มีลาภยศสรรเสริญมาบำเรอตัวเองมันขาดแคลนมันก็เห็นทุกข์ง่ายกว่า
พวกเราเป็นคนที่มีเศรษฐศาสตร์ชั้นสูง นอกจากไม่แย่งชิงแล้วยังสร้างสรรค์เผื่อแผ่ก็กดอีกด้วย เราไม่ทำให้ก่อเกิดสงครามแย่งชิงเรื่องวุ่นวาย ด้วยลาภยศสรรเสริญโลกียสุข มันจึงเป็นเรื่องประเสริฐ
_เกษม พาหุงมหากา แม้ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครบอกเลย ผมเองก็ไม่ได้เคยศึกษาตรงนี้ด้วย ก็เลยไม่รู้ วันนี้รู้เพราะพ่อครู สาธุครับ
พ่อครูว่า…อาตมาพูดถึงเรื่องที่อาจารย์ทางศาสนาพุทธไม่เคยบอก อาตมาบอกในสิ่งที่คุณไม่เคยได้ยินได้รับรู้ไม่เคยมีใครบอก ต่างกันกับที่เขาพูดเขาบอกเยอะ มากมายเลย เช่น คนไปแสวงหาสวรรค์ก็คือแสวงหาทุกข์ ศาสนาพุทธไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก อย่างนี้เป็นต้น
หรืออย่างอื่นที่อาตมาพูดอธิบายนี้ต่างกับเขาเยอะ เช่น มาเป็นคนจนนี้ดีกว่าคนรวย ใครจะไปบอก นอกจากในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรงกันกับที่อาตมาบอก เพราะท่านเป็นโพธิสัตว์เหมือนกันกับอาตมา ก็เลยท่านก็ตรัสอาตมาก็พูด ตรงกัน
_มนูญ ณ นคร : การเดินจงกรม พระพุทธเจ้าสอนไหม และมีประโยชน์อย่างไรครับ
พ่อครูว่า พระพุทธเจ้าสอนการเดินจงกรม เพราะว่าสมณะ จะต้องอาศัยการเดิน ที่จริงการเดินนั้น จงกรม หรือจังกัมมะ แปลว่าการเดินธรรมดา ไม่ได้เอามาประดิดประดอยอย่างที่เขาทำทุกวันนี้ ก้าวหนอ ย่างหนอ แตะหนอ ยกหนอ เขาก็เอามาประยุกต์เพื่อให้สติสมถะก็ทำกันไป มีประโยชน์หลายอย่าง สมัยอาตมาอยู่ที่วัดอโศการามยังไม่ได้บวชก็มีทางเดินไปเข้าหากุฏิยาวๆ ห้าสิบเมตร จากถนนทางหน้า เข้าไปด้วยสะพาน อาตมาก็ใช้สะพานไม้เดินจงกรม
พระไตรปิฎก เล่มที่ 22 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 14
อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
-
จังกมสูตร
[29] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ในการจงกรม 5 ประการนี้
5 ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุผู้เดินจงกรมย่อมเป็นผู้อดทนต่อการเดินทางไกล ๑
ย่อมเป็นผู้อดทนต่อการบำเพ็ญเพียร 1 ย่อมเป็นผู้มีอาพาธน้อย 1 อาหารที่กิน
ดื่ม เคี้ยว ลิ้มแล้วย่อมย่อยไปโดยดี 1 สมาธิที่ได้เพราะการเดินจงกรมย่อมตั้ง
อยู่ได้นาน 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ในการเดินจงกรม 5 ประการนี้แล ฯ
คนเขาไลน์เรื่องของคนญี่ปุ่น เมื่อไม่นานมานี้ ในประเทศญี่ปุ่น ได้มีการประกาศนโยบายใหม่ที่น่าสนใจออกมา นั่นคือ สังคม 5.0 หรือ ญี่ปุ่น 5.0
การเดินไปสู่ ญี่ปุ่น 5.0 นั้น เป็นความมุ่งมั่นของรัฐบาลญี่ปุ่น ที่ต้องการนำประเทศเข้าสู่ “ยุคหลังนวัตกรรม” ที่ทุกสิ่งทุกอย่างขับเคลื่อนไปด้วยทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดของชาวญี่ปุ่น โดยมีหลังพิงคือเทคโนโลยีที่ทันสมัยและนวัตกรรมที่ล้ำหน้า (พ่อครูว่า..พวกเราจะเอาหลังพิงกสิกรรม ของเรามีนวัตกรรมล้ำหน้าทางกสิกรรมคือทำกสิกรรมไร้สารพิษ ข้างนอกเขาฟังว่าพวกเราทำอินทรีย์ ของเขาใช้ว่าของเขาปลอดสารพิษ แต่ของเรานี้ไร้สารพิษ ปลอดสารพิษคือใช้สารพิษแต่ว่าตามหลักเกณฑ์ที่จะไม่เป็นโทษต่อร่างกาย แต่ของเรานี้ไร้สารพิษคือไม่ใช้สารพิษสารเคมีเลย)
ที่สำคัญก็คือ ทั้งเทคโนโลยีและนวัตกรรมเหล่านั้น ล้วนเป็นสิ่งที่ญี่ปุ่นเป็นผู้สรรค์สร้างและประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาเองทั้งสิ้นโดนคำว่า สังคม 5.0 หรือ Japan 5.0 นั้นเกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลญี่ปุ่นชุดปัจจุบันมองว่า เป้าหมายที่แท้จริงของการพัฒนาประเทศในศตวรรษที่ 21 คือการแก้ปัญหาทางสังคม โดยมองข้ามประเด็นการสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีไปแล้ว เพราะสำหรับญี่ปุ่นยุคใหม่ ความท้าทายใหญ่ๆ ก็คือจำนวนประชากรที่ลดลง บวกกับผู้สูงวัยที่เพิ่มจำนวนขึ้นถึง 10 ล้านคน
เมื่อประชากรลดลง ญี่ปุ่นจึงมองไปที่เทคโนโลยี Robotics และ IoT มาทดแทนกำลังคนในวัยทำงาน ประกอบกับการก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยสมบูรณ์แบบ 100% อีกทั้งสัดส่วนของประชากรเพศหญิงในระบบเศรษฐกิจที่เริ่มมีบทบาทมากขึ้น การสร้างงานและสร้างอาชีพใหม่ๆ ให้ ส.ว.และกลุ่มสุภาพสตรีรุ่นใหม่จึงมีความสำคัญในสายตารัฐบาลญี่ปุ่น
อีกประเด็นหนึ่งซึ่งเป็น Indicator ที่สำคัญสำหรับ ญี่ปุ่น 5.0 ก็คือภัยธรรมชาติและการก่อการร้ายทาง Cyber แต่ที่สำคัญมากกว่าก็คือ
กำแพง 5 ชั้น ที่เป็นอุปสรรคของญี่ปุ่นยุคใหม่ ซึ่งได้แก่
กำแพงชั้นที่ 1 คือปัญหาของระบบราชการ ที่ต่อไปนี้ ทุกกระทรวง ทบวง กรม ต้องเกิดการปฏิรูปการบริหารหน่วยงานของรัฐทั้งหมด ด้วยการเชื่อมต่อกระบวนการทำงานด้วย IoT
กำแพงชั้นที่ 2 คือปัญหาทางข้อกฎหมาย การเร่งปรับปรุงข้อกฎหมายทุกระดับ รวมถึงการส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยเฉพาะการแก้ไขประเด็นทางกฎหมายที่เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติหรือรถยนต์ไร้คนขับ รถยนต์ไฟฟ้า Drone Robotics 3D Printer ฯลฯ
กำแพงชั้นที่ 3 คืออุปสรรครายทางของการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม อาทิ เทคโนโลยี A.I. ปรับปรุงภาษีวิจัย ด้วยการผลักดันงบวิจัย 1% ของ GDP ถูกเอาไปใช้กับการวิจัยจริงๆ
กำแพงชั้นที่ 4 คือประเด็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ตามปรัชญาใหม่ของ Japan 5.0 ที่ระบุว่า ต้องทำให้ประชาชนทุกคนเป็น “มนุษย์ผู้มีความคิดอิสระ และร่วมมือกันสร้างสิ่งใหม่ๆ ด้วยการเชื่อมโยงความรู้แขนงต่างๆ เข้าด้วยกัน” โดยการสร้างความรู้และสมรรถนะให้กับเยาวชน ตั้งแต่ชั้นอนุบาล ประถม และมัธยม รวมถึงส่งเสริมให้คนพร้อมเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยเฉพาะการสร้างแรงงานมีฝีมือ พร้อมกับสร้างสภาพแวดล้อมใหม่ ให้เกิดเสน่ห์ดึงดูดมันสมองของตนเอาไว้ ไม่ให้ไหลออกไปยังต่างแดน
(พ่อครูว่า… มนุษย์ผู้มีอิสระนี้ okเห็นด้วย แต่ถ้าอิสระแล้วตะเลิดเปิดเปิง ไม่เห็นหมู่กลุ่มอยู่ในสายตาเลย ระวังเป็นอิสระที่เลยเถิด มนุษย์ควรมีสระเห็นด้วยเป็นแต่เพียงควรมีหลักเกณฑ์พื้นฐาน มาที่นี่ควรจะประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างน้อยมีศีล 5 1. ไม่ฆ่าสัตว์ 2. ไม่เอาทรัพย์ของคนอื่น 3. เรื่องของกามอย่าละเมิดวัฒนธรรม ไม่ได้ เรื่องพูดปดเรื่องอบายมุขไม่มีในนี้ไม่กินเนื้อสัตว์ไม่มีอบายมุขถือศีล 5 เท่านี้เป็นพื้นฐาน
ซึ่งตอนนี้อาตมาเห็นว่ามนุษย์ไม่ต้องสร้างสิ่งใหม่ๆแล้วมันเยอะเกินไปแล้ว สิ่งที่มีอยู่นี้ใช้ให้มันดีใช้มันรู้จักพอ รู้จักสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่แล้วทุกวันนี้มันเกินไปแล้ว ไม่ต้องไปเสียแคลอรี่เสียเวลาแรงงานคิดเพิ่มเติมอีกแล้ว มาจัดการคนนี่ ให้รู้จักพอ ให้รู้จักใช้สิ่งที่มี กันอยู่แล้วให้เพียงพอ อโศกเราใช้แบบดิจิตอลน้อย ใช้เทคโนโลยีเก่าๆ เราก็ใช้ของเราไปอย่างสบาย ไม่เห็นจะต้องไปแย่ง แล้วก็ไปคิดใหม่ มันเป็นการแข่งขันกันบ้า แข่งขันข่มกันอวดดี แล้วกลายเป็นเหยื่อของเศรษฐกิจของนายทุน คิดอะไรออกใหม่ๆแพงๆ แข่งกันเป็นอย่างนี้ตลอดกาล
สรุปแล้วคือจิตใจที่เห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวตะกละตะกลามโลภโมโทสัน ทำให้เขาคิดเช่นนี้ เขาไม่พัฒนาคนให้รู้จักพอ ให้รู้จักความคิดที่ควรพอ ก็ต้องทำอย่างนี้ มันก็ถูกของเขา ไม่อย่างนั้นก็ไม่ได้บำเรอกิเลสเขา กิเลสของเขาก็ยิ่งเตลิดเปิดเปิงไม่มีที่จบสิ้น น่าสงสารมันเหนื่อยหมาหอบแดดไม่รู้จักจบ สร้างนิสัยหมาหอบแดดใส่ให้เด็กตั้งแต่อนุบาลเลย หมาหอบแดดตลอดชาติ
แต่การแข่งขันแรงงานฝีมืออาตมาส่งเสริม ส่วนเรื่องเทคโนโลยีนั้นลดลงได้แล้ว ทุกอย่างรอบด้าน ดินน้ำลมไฟเทคโนโลยีเป็นผู้ทำลายทั้งนั้น จนกระทั่งเอาเศษขยะมาทิ้งในเมืองไทยคิดได้ไงกัน ขนขยะต่างประเทศมาทิ้งเมืองไทยแล้วเมืองไทยก็ใจดีเนอะ เห็นโวยวายกันอยู่)
กำแพงชั้นที่ 5 คือสร้างการยอมรับทางสังคมที่ให้คนญี่ปุ่นทุกรุ่นตระหนักถึงยุค Robotics นี่เป็นประเด็นละเอียดอ่อน ที่แม้คนภายนอกจะมองว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศเจ้าแห่งเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งคนส่วนใหญ่ในโลกต่างคิดเอาเองว่า คนญี่ปุ่นมีความคุ้นเคย และดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม คือเครื่องจักรยนต์กลไกอย่าง A.I. ได้เป็นอย่างดี ทว่า ในความเป็นจริง อย่าว่าแต่หุ่นยนต์ เอาแค่ลูกครึ่งต่างชาติที่มีสายเลือดญี่ปุ่น เช่น ลูกครึ่งเกาหลี-ญี่ปุ่น ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับในสังคม
ดังนั้น กำแพงชั้นสุดท้ายคือความสำคัญขั้นสูงสุด ที่รัฐบาลยุคใหม่ของญี่ปุ่นต้องเร่งทำการศึกษาในประเด็นความสัมพันธ์ของมนุษย์กับเครื่องจักรหรือ A.I. ให้ลึกซึ้งลงไปถึงระดับปรัชญา ไม่ว่าจะเป็นคำถามที่ว่า อะไรคือคำจำกัดความของความสุข, มนุษย์, ความคิด, จิตวิญญาณ?
(พ่อครูถามว่า ถามหุ่นยนต์มันจะไปรู้หรือ ก็มีคนออกความเห็นว่าคนที่สัมพันธ์กับคนจนมีความสุขอย่างไร สรุปว่า เขาก็จะเป็นปัญหาในชีวิตมาก หากขาดหุ่นยนต์ไปแล้วเขาจะยุ่งยากมากเลย ต่อไปคนจะตกงานไร้ความสามารถแม้แต่จะเอาอาหารใส่ปากจะเคี้ยวอาหารก็ไม่มีแล้ว ความคิดนี้ตรงกันข้ามกับในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่เป็นโพธิสัตว์
เพราะชาวอโศกนี่เป็นพุทธแท้ เข้าใจแก่นแท้ Essence ของศาสนาพุทธอย่างในหลวงก็ดี อาตมาก็ดี เข้าใจอันนี้มาก ชาวอโศกเราทุกวันนี้ เราอยู่ดีกินดี มีกินมีใช้ แต่เราก็พยายามช่วยงานกัน จะได้แบ่งเบากัน จะมีขัดเขินบ้างก็พอถูไถ
ยกตัวอย่างงานสื่อ แค่คนจะมาเป็นช่างกล้องก็ยังไม่ค่อยมีสมบูรณ์ มีกล้องอยู่ 4-5 ตัวก็มีช่างกล้องสองคน นี่คือขาดน้ำใจ รู้อยู่ว่านี่เราต้องออกอากาศ เราเป็นคนโตแล้วก็เป็นช่างกล้องได้ หรือจะเป็นนักเรียน แต่ขาดน้ำใจกันทั้งนั้นทั้งนักเรียนและคนโต ที่สามารถจัดถ่ายเป็นช่างกล้องได้ ถึงเวลาก็ชัดเจน โดยเฉพาะ 6 โมงเย็นเป็นรายการสดทุกวัน รายการสดอื่นก็มีอีกหากใส่ใจก็จะรู้ ก็จะไม่ขาดแคลน จะต้องขนต้องย้ายเรื่องของอะไรต่างๆในการสื่อสาร เราทำมานานกว่า 20 ปีแล้ว เรามีสถานีโทรทัศน์ช่องของเราตั้งแต่มีชื่อหลายชื่อ For the Earth TV ทีวีเพื่อแผ่นดิน ก็ไปตรงกับที่พรรคเขา แล้วก็เปลี่ยนมาเป็น for mankind Television FMTV จากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นบุญนิยมทีวี
ที่จริงแล้ว โทรทัศน์เป็นสิ่งสำคัญของยุคนี้ อย่างที่ญี่ปุ่นเขาคิดจะใช้เครื่องจักรกล IoT ของเขา ชาวอโศกไม่ได้ตกยุคเราก็ใช้เป็นสิ่งอาศัยเผยแพร่ธรรมะ ก็เห็นว่าชีวิตมนุษยชาตินั้นมีธรรมะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เราจึงลงทุนลงแรง มันจะใช้จ่ายสูง เราก็จำเป็น เดือนหนึ่งเป็นล้าน เราก็ต้องหามาจ่าย ก็ทำกันแต่ค่าดาวเทียมเดือนนึงก็หลายแสนแล้ว เราไม่ได้มีดาวเทียมเอง เราก็เช่าเขา คนที่เขาให้เราเช่าก็ลดราคาให้เราอยู่เรื่อย เพราะรู้ว่าเราไม่ได้ทำการค้าอะไร ไม่ได้ทำเพื่อหาเงินหาทอง แต่ทำประโยชน์เพื่อมวลมนุษยชาติ ต่อไปถ้าออกไปเป็นธรรมะทั้งนั้น ไม่มีโฆษณาไม่มีการเรี่ยไร เป็นสื่อสารเป็นเผยแพร่ธรรมะ แม้แต่การละเล่นrelax ก็เป็นสิ่งประเสริฐที่จะถ่ายทอดไป ไม่ใช่ว่าเราจะเอาแต่สาระเอาแต่ทำงาน เอาแต่เคร่ง เราก็มีการพักผ่อนหย่อนใจอะไรบ้างพอสมควร ไม่ได้เป็นคนสุดโต่ง แต่ของเขานั้นมันอ่อนแอในความเคร่งครัดทางสาระ มันตกเป็นทาสของความสนุกสนานรื่นเริงการละเล่นเป็นอบายมุข เอาไปใช้หาเงินทอง มอมเมาครอบงำคนอื่นๆ เป็นทางอบาย ทำให้สังคมมนุษยชาติยิ่งจะจมลงไปในเรื่องไร้สาระ ทำให้เสพติดเยอะมาก เสริมความโลภ เสริมราคะ
จะบอกว่าเสริมโทสะก็ไม่ชัดแต่เสริมโลภะราคะโมหะนี่ชัด แต่ละวันๆ โทรทัศน์จึงกลายเป็นเครื่อง เสริมราคะโลภะให้กับคนอย่างชัดๆแล้วมีไม่รู้กี่ช่อง ส่วนโทสะก็ซ้อนในนั้นทำร้ายแข่งกันฆ่าแกง แก้แค้นแก่กันโดยวิธีนั้นวิธีนี้
พวกเราเอามาใช้ ไม่ได้เป็นการส่งเสริมราคะ โทสะ โมหะ มีแต่ให้ลดละราคะ โทสะโมหะ จริงๆเลยนะเปรียบเทียบโทรทัศน์ช่องของเรากับของวัด
ช่องของเขามันซ้อนที่มีเรี่ยไร และเชิงชั้นเล่ห์กลในการเรี่ยไร่ แต่ของเราซื่อๆเลย ไม่ได้มีที่จะเอาจากใครเลย ซื่อตรงธรรมดาไม่เรี่ยไร อย่าว่าแต่เรี่ยไรเลย คนที่จะมาเป็นสมาชิก มีสิทธิ์อยู่ในสังคมชาวอโศก คนที่ไม่มีสิทธิ์คือ ยังไม่มีศีล 5 ยังกินเนื้อสัตว์ยังมีอบายมุขมาอยู่กับเป็นสมาชิกชาวอโศกไม่ได้ หากมาแล้วปฏิบัติศีล 5 ไม่ได้ก็โดนแน่ผู้พิพากษาแน่
_ด.ญ.แก้วบุญ การตั้งตบะจะได้บุญไหมคะ
พ่อครูว่า..เราตั้งตบะแล้ว หากเราก็ไม่รู้จักว่าเราอ่านจิตเป็นไหม จิตของเรานี่ เมื่อเวลาเกิดกิเลสขึ้นมา เช่นเราเองเราจะไม่กินเนื้อสัตว์ ซึ่งมันง่ายนะ เสร็จแล้วเราจะได้บุญไหม ถ้าเราตั้งตบะว่าจะไม่กินเนื้อสัตว์แล้ว เราจะปฏิบัติอย่างไร ชีวิตเราก็ต้องเกี่ยวข้องกับเนื้อสัตว์ที่มันผ่านไปผ่านมา เห็นเนื้อสัตว์ ที่เขาไปปิ้งย่าง ยำต้มล่อใจให้กินล่อใจท่านผู้ใหญ่กุมารีกุมารา เพื่อจะให้กินเนื้อสัตว์นั้น เราได้อ่านจิตใจหรือว่าเราได้แต่ ข่ม ตั้งตบะไม่กินแล้วอดทนเอาๆ ได้แต่อดทนเอานี้ไม่ได้บุญแต่ได้หยุดได้กุศล ได้ความเคยชินเป็นสมถะ ผลได้ดีขึ้นดีขึ้นเรียกว่าได้บุญ
ได้บุญ บุญคืออะไร บุญคือรู้จักกิเลส ต้องมีปัญญารู้จักแยกจิตในจิต เวทนาในเวทนา กายในกายออกว่า อาการอย่างนี้แหละคือกิเลส แล้วก็ไม่ต้องไปลดรสอาหาร เช่นอาหารนี้เค็มก็ลดเค็มหรือว่าอาหารอร่อยเกินไปก็ให้ลดรสอร่อยไม่ใช่ แต่ให้ลดกิเลสของคุณ ไม่ใช่เป็นลดวัตถุหรือคุณภาพของๆ ให้ลดกิเลสทำกิเลสให้ลดด้วยปัญญา สะกดจิต กดข่ม มันไม่ได้ลดแต่มันหยุดพักชั่วคราว กดข่มมันมากๆ เช่นคนอดเหล้าเข้าพรรษา พอออกพรรษาทีนี้เมาทั้งวันเลย อดอยากมาตั้งสามเดือน พอออกพรรษาซัดใหญ่เลย หรือว่าอดไม่กินเนื้อสัตว์วันเข้าพรรษา แต่เมื่อออกพรรษาก็ ซื้อกินๆบำเรอ หน้าเจอดสิบวัน พอออกจากเจสิบวันก็กินสารพัดสัตว์เลย มันก็ไม่ถูก มันก็มีปัญญารู้ว่าเราไม่กินเนื้อสัตว์อย่างไม่ได้กดข่ม
ถ้าแค่เราไม่กินเนื้อสัตว์เพราะมันบาป ประเด็นเดียวก็ไม่ได้ แต่เพราะว่าเราติดยึดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสนี้เป็นหลักใหญ่ เป็นหลักสำคัญ เพราะเราติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสในเนื้อสัตว์ แต่คนไม่ค่อยจะนึกไม่ค่อยเข้าใจนึกไม่ค่อยออก ว่าเราติดในรูป รส กลิ่น เสียงสัมผัสอย่างไร แต่คุณศึกษาให้ดีเถอะ
เนื้อสัตว์นี่มันมีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสอยู่ครบเลย เพราะฉะนั้นเราสามารถลดอันนี้ได้คือลดละกามคุณ 5 กามคุณ 5 เป็นตัวสำคัญเลยเป็นเรื่อง หยาบ
อาหาร 4 มี
-
กวฬิงการาหาร
-
ผัสสาหาร
-
มโนสัญเจตนาหาร
-
วิญญาณหาร
วิญญาณาหาร คุณต้องรู้จักรูปนาม
มโนสัญเจตนาหาร ต้องรู้ ตัณหา 3
ผัสสาหารต้องรู้เวทนา3
กวฬิงการาหารต้องรู้กามคุณ 5
เมื่อจะกินอาหารมันครบ กามคุณ 5 คุณติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอะไรของมันทางตาหูจมูกลิ้นกาย เมื่อรู้แล้วก็ต้องรู้ถึงเวทนา 3
คือสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ คุณได้อันนี้มาใส่ปาก มันต้องกับความต้องการก็สุข มันไม่ต้องกับความต้องการก็เป็นทุกข์ หรือมันกลางๆเฉย แต่มันไม่ใช่มีปัญญารู้ เนกขัมมะลดกิเลส คุณกดข่มได้ก็เฉย ไม่สุขไม่ทุกข์อะไรหรอก แต่คุณไม่ได้แยกกิเลส ขณะนี้กำลังสัมผัสแล้วเกิดรส เกิดสุขเวทนา คุณผัสสะอันนี้แล้วคุณก็อ่านรูปนาม แล้วคุณก็รู้ มโนสัญเจตนา 3 มันมี
1กาม 2ภว 3วิภวะ มีตัณหา 3 ตัณหาในกาม ถ้าคนปฏิบัติแล้วในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสก็อยู่เหนือมัน ไม่ติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นพระอนาคามี อย่างนี้เป็นต้นก็เป็นเรื่องละเอียดละออของการปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้า
มีเวทนา 3 ตัณหา 3 อารมณ์ สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เพราะตัณหาทำให้เป็นสุขเป็นทุกข์ ก็ต้องอ่านเจตนา ธรรมะพุทธเจ้าปฏิบัติธรรมะทางจิตวิญญาณเรียกว่าอภิธรรม
อภิธรรมเรียนจิต ใน 5 นามธรรม เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
นี่คือการปฏิบัติอภิธรรม แต่ทางโลกเรียนอภิธรรมไปไล่เจตสิก โสภณจิตต่างๆ ไปเล่นพยัญชนะแทนที่จะทำนาม 5 รูป 28 ล.26 ข้อ 1 เลย
ท่านก็ไล่ ปฏิจจสมุปบาทไปหมดเลย ตั้งแต่อวิชชา แล้วสังขาร 3 แล้วก็วิญญาณ 6 นามรูป อายตนะ 6 ผัสสะ 6 ตัณหา 6 อุปาทาน 4 ชาติ 5(ชาติ สัญชาติ โอกกันตะ นิพพัตติ อภินิพพัตติ)
การศึกษาที่ผิดเพี้ยนไป แต่ นาม5 นี่ครบแล้ว ก็เอาไปเรียน รูป 28 ต้องรู้ เวทนาเป็นอาการอย่างไร เป็นความรู้สึกอย่างไร ต้องพิจารณาอย่างเป็นกรรมฐาน พระพุทธเจ้าแจกแจงเวทนา 108 หากเข้าใจทั้งร้อยแปดโดยเฉพาะแยกเคหสิตะกับเนกขัมมะ แล้วทำกิเลสของเคหสิตะโลกีย์ออก รู้จักกิเลสอ่านออก ลดได้ เป็นเนกขัมมะ 18
เรียนอภิธรรมมีอาจารย์คนหนึ่งพูดว่า ต้องพูดแต่ธรรมะนะหากไม่ใช่ธรรมะก็อย่าเอามาพูด แล้วอ.คนนี้ถือว่าอันไหนเป็นธรรมะเพราะธรรมะหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งทรงไว้ แต่ก็แล้วแต่คนไปจับเส้นว่า อาจารย์คนนี้หมายว่าอะไรคืออะไรคือธรรมะ แล้วที่จริงเรื่องโลกๆก็คือธรรมะคือสิ่งที่คนติด แต่ก็สอนให้คนพ้นโลกๆไง เขาสอนอย่างไม่มีขั้นตอนกันเลย แล้วก็หาว่าอันนั้นอันนี้ไม่ใช่ธรรมะ แต่ที่จริงธรรมะก็คือทุกอย่าง
คนท้วงว่าไม่ใช่สำมะปี๋แล้ว
_ด.ญ.น้ำมนต์…ทำไมหลวงปู่ยอมให้ยุงกัดคะ
พ่อครูว่า…คือ หลวงปู่ไม่ได้ให้ยุงมันมากัดแต่ยุงมันมากัดหลวงปู่เอง เพราะว่ายุงมันหาอาหารกิน มันจะเจอใครก็กัดกิน คนมีเลือด ยุงมันก็จะหาเลือด ที่นี้ทำไมยุงมันมากัด ไม่ใช่ให้มันหรอก แต่ทีนี้หลวงปู่ไม่ได้ไปตบมัน เพราะรู้ว่ายุ่งมันก็หาอาหารของมันตามธรรมชาติมันก็ต้องกินเลือด หลวงปู่ก็จะต้อง ดูยุงนี่มันกิน ถ้ามันเห็นว่าไม่ใช่ยุงลาย หรือยุงที่จะเป็นพิษ เราก็ค่อยๆไล่มันไปก็เคยทำอย่างนั้น ถ้ายุงนี่เห็นว่า อาตมาสังเกตว่า 1 มันคัน ถ้ายุงมันกัดแล้วมันคัน 2 เห็นว่าเป็นยุงลาย แต่ถ้าไม่ค่อยคันหรือยังไม่ใช่ยุงลายหรือยุงเป็นพิษ ก็ยังเคยชมว่าปากนิ่มดีนะ รู้สึกตอนท้องบวมเป่งก็ไปได้แล้ว มันเคยท้องแตกเลย ตอนวัดอโศการาม ยุงทะเล นั่งชายทะเลย มันมาเป็นก้อนๆมืดมาเลย แต่ก่อนกุฏิไม่มีมุ้งลวดนั่งสมาธิยุงก็มา เต็มเลย ตอนนั้นก็พาซื่อ ลองดู จะทนได้ไหม ก็พาซื่ออวดเก่ง ให้มันกัด ทน แต่ก็ทนได้ยากเพราะมันกัดไม่น้อยนะเต็มหมดเลย สุดท้ายทนไหวเหมือนกัน เราดับไม่รับรู้ภายนอก ยุงก็กินสบาย พอตื่นมา ลายไปหมด รู้สึกว่าตัวเองทำได้ แต่ทีหลังก็ไม่ทำแล้วมันเป็นพิษภัย ถ้าหากยุงเป็นพิษก็ตายได้เลยเกิดเป็นมาลาเรีย หรือไข้เลือดออกได้
_เกร็ดดินว่า..ดิฉันรู้สึกว่าชีวิตตัวเองตั้งแต่เด็กสามารถบงการชีวิตตัวเองไม่ใช่พระเจ้ามาบงการ แต่อีกอย่าง ดิฉันคิดว่าจะเลิกกินไข่ ปกติก็ไม่ได้ทานเนื้อสัตว์ทานผลไม้กับขนมเป็นหลัก เมื่อตั้งใจจะเลิกกินไข่ โอ้โห ครั้งที่ 1 แพ้ พอทานเข้าไปก็เลยรีบกินยาถ่ายเข้าไป เมื่อครั้งที่ 2 กินเข้าไป ก็เอายาถ่ายกินตามอีก เมื่อครั้งที่ 3 ก็บอกว่าไม่ได้ เดี๋ยวก็ตายพอดีต้องล้างท้องอย่างนี้ก็เลยฉงนว่า ทำไมมันมีอะไรที่เหนือกว่าเรามาบงการเราได้อีก ตั้งแต่นั้นก็เลยพยายามหาว่า เราไม่ใหญ่จริงนะ มันใหญ่กว่าเราอีกที่มาบงการชีวิตเรา
ถามว่า ตอนนั้นเราทำโกลังโกละไหม เราทำ 6 ชาติ
พ่อครูว่า…อาตมาตอบคำถามคุณไม่ได้เลย คุณถามเก่งกว่าคนตอบ แต่อาตมาเข้าใจว่าคนจะถาม เอาภาษารายละเอียดมามากมายอาตมาตอบไม่ได้ เป็นแต่เพียงว่า คุณอยากละเอียดลออกับภาษา จับได้ชัด ตัวนั้นตัวนี้ อาตมาว่ามันจะไม่ต้องละเอียดขนาดนั้นก็ได้ กี่ชาติคุณจะได้ คนที่ฟังยาก เพราะว่าชาตินั้นไม่ได้เกิดจากชาติท้องพ่อท้องแม่ แต่เป็นเรื่องของจิตเจตสิก ภพชาติลึกซึ้งซ้อน จนไม่สามารถอธิบายให้ฟังได้
เพราะอาตมาอธิบายไม่ได้ว่า โกลังโกละ ติดชิปในขั้นที่ 1 2 3 4 5 6 อย่างไรอาตมาไม่มีปัญญาพอจะอธิบายได้ขนาดนั้น คุณอยากรู้แต่อาตมาก็ตอบไม่ได้
_ปีกแก้ว…ดิฉันรับงานทำจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง มีจิตยินดีที่จะทำมาก มันเป็นงานมีประโยชน์คุณค่า แต่มันก็มีตัวสะดุด การทําจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง มันต้องใช้ไข่ ก็สะดุดใจว่า เราลงทุนจะคุ้มไหม ก็บอกตัวเองนะ ตอนแรกเพื่อนหลายคนก็บอกว่าเป็นไข่ลม แต่ได้ยินพ่อท่านตอบเด็กสัมมาฯว่า แม่ไก่มันไม่รู้หรอกว่าเป็นไข่ลม แต่ดิฉันก็ว่าถ้าเราไม่ทำจะให้สมณะทำหรืออย่างไร ก็เลยคิดว่าเราจะลงทุนทำให้น้อยที่สุดและคิดว่าจะหาวิธีอื่นทดแทนให้ได้ ตอนนี้ก็เหมือนเทวนิยม ว่าแม่ไก่ ช่วยฉันสร้างบารมีหน่อยนะ ดิฉันก็เลือกที่จะแลก ถ้าจะมีโทษ ถามว่าดิฉันแลกคุ้มไหมคะ
พ่อครูว่า…สรุปได้ว่าคุ้ม เพราะว่า อาจจะต้องเห็นประโยชน์มากกว่าโทษ ยอมเป็นบ้าง คุณจะเลือกหาไข่ที่เป็นไข่ลมไม่เป็นตัวก็ได้แล้ว ก็อาศัยธาตุในไข่นั้น ก็ เราต้องหาจากอันอื่นไม่ได้ก็สุดทาง จำนน หากเราเห็นประโยชน์มันน้อยก็ไม่ทำแต่นี่มันมีประโยชน์มาก เลือดโพธิสัตว์นี้ต้องมีอีกอย่าง เสียสละส่วนน้อยเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ เราก็ยอมเสียสละส่วนน้อยเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่
_ปีกแก้ว..ขอบคุณทิดเย็นยิ่งว่า ภรรยาเขาต้องใช้ไข่ขาว แล้วก็ขอไข่แดงของเขาเอามาให้ใช้ได้
_ รัสสระ เป็นเอกพจน์ ทีฆสระเป็นพหูพจน์ อะ อิ อุ ที่มีจะต่างจากอะ อา อิ อย่างไร
พ่อครูว่า…ไม่ตอบดีกว่า อย่าละเลียดไป จะตอบก็คงพอได้ แต่มันมากไป ต้องรู้ว่าอะไรที่เกี่ยวกับกิเลส คุณต้องรู้จักตรรกะที่เกี่ยวกับภาษาและพยัญชนะ ความหมายต่างๆของสระและพยัญชนะมากขึ้น มันละเอียดมากเกินไปแล้ว เพราะฉะนั้นขออนุญาตไม่ตอบ ไม่งั้นจะเป็นพวกที่หาที่สุดไม่ได้ จะไม่มีทางบรรลุธรรมเลย ไม่มีทางจะจบอะไรได้ ต้องรู้จักที่สุดบ้าง
_สิกขมาตุเป็นหญิง… เรื่องจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงหากใช้ถั่วเหลืองหมักสัก 3 เดือนใส่ก็จะแดงยิ่งกว่าใส่ไข่อีก ต้องเป็นถั่วเหลืองหมักไม่ใช่กากนะ
พ่อครูว่า…นอกจากไม่เอาไข่ เอาถั่วเหลืองใช้ก็ดี เส้นทางออก
_การสวดมนต์นี้มีประโยชน์อย่างไร
พ่อครูว่า…คำว่าสวดนี้ไม่มีในบาลี แต่ภาษาไทย สวดแปลว่าต้องร้องทำนอง มันไม่มีในศาสนาพุทธ ของพุทธเจ้ามีแต่สรภัญญะ สรภัญญะแปลว่าคำพูด คำพูดก็มีความสั้นยาวเป็น รัสสระกับทีฆสระ
ทีฆสระคือเสียงยาว รัสสระคือเสียงนั้น อะ อา นี่ยาวแล้ว นอกจากบางวาระจะเน้น เพื่อเน้นในวาระควรเน้นก็ขอใช้ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่คนจะมานั่งลากมันเล่น สวดด้วยความไพเราะหรือสวดด้วยเสียงอันยาว นะโมตัสสะ ภควโตตตตต ไม่ได้ เราต้องเปล่งกล่าวให้ตรงรัสสระกับทีฆสระ
พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่าสวดด้วยเสียงอันยาว คือถือว่าอาบัติ ถ้ารู้ตัวนี้แล้วจบเลย สวดไม่ต้องสวดด้วยเสียงอันยาวยิ่งไปสวดใส่ทำนองนี้ผิดไปเลย
ในพระวินัยพระไตรปิฎกเล่ม 7 ข้อ 20-21 ไปเปิดดูเลย
ข้อ 21 เราอนุญาตสรภัญญะ แต่ข้อ20 นี้อย่าสวดด้วยเสียงอันยาว อย่าใส่ทำนองด้วยนะ ทั้งลากเสียงยาวและใส่ทำนองมีโทษ 5 ประการ
ตนเองหลงเสียง คนอื่นหลงเสียง ชาวบ้านติเตียน สมาธิเคลื่อน คนรุ่นหลังทำตาม เป็นโทษ 5 ประการ แต่เขาทำกันเป็นปกติจนติดนิสัยแล้ว ก็เลยกลายเป็นสวดทำนองทั้งนั้นไม่สดเป็นสารภัญญะ
สร คือสระ ภัญญะคือคำกล่าว ก็เลยแปลว่าการกล่าวตามสระ
ต้องพูดเพราะว่าเดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธมีแต่สวดมนต์อย่างเดียว หากไม่มีสวดมนต์แล้วทำให้อะไรไม่เป็น คุณได้นิมนต์พระไปที่บ้าน ได้ประเคนอาหารถือว่าเป็นกุศล ดีไม่ดีถือว่าเป็นบุญ แต่ที่จริงแล้วไม่ได้เป็นบุญ เป็นแต่กิเลสเป็นสวรรค์วิมานอะไรก็แล้วแต่ แทนที่จะนิมนต์พระไปฉันอาหารที่บ้านเพื่อให้ท่านมีกิน
อาตมาอธิบายนิพพานไม่ใช่แค่กุศลอกุศลแต่ถึงนิพพาน พวกเราฟังได้เข้าใจและปฏิบัติได้ก็เลยไม่ได้ทำแบบเขา ทำดีเรียกกุศลก็ทำดีอย่างไม่ติดยึด ทำดีเป็นนิพพานทำทานก็นิพพานทั้งนั้นเลย
แล้วบอกว่ามีประโยชน์อย่างไร มนต์นั้นไม่ได้มีการสวด
หนึ่ง พระพุทธเจ้า ให้กล่าวธรรมบทคือคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้มากล่าวกับสาธารณะเพียงทีละคน อย่างอาตมากล่าวนี้คือการเผยแพร่เอาคำสอนมากล่าว แต่ถ้าสวดคือกล่าวพร้อมกันตั้งแต่สองคนต่อหน้าฆราวาส ก็ผิด อาบัติมุสาวาทวรรค ข้อ 4 ทั้งนั้น อาบัติกันตลอดเวลา ที่เขาทำกัน แต่นี่ไม่เข้าถึงประโยชน์นะ
เรื่องการสวดเล่นเป็นทำนองเป็นเสียงยาวไม่มี แต่พระพุทธเจ้าอนุญาตสรภัญญะ แล้วมีห้ามไว้ไม่ให้ลากเสียงยาวกับใส่ทำนอง
_หากบังสุกลยังอยู่ยั้งยืนยง พระก็คงชีพด้วย
ถ้าเลิกให้สวดอย่างที่อาตมาพูด เขาก็เลิกเลยศาสนาพุทธ หากไม่มีสวดพระอยู่ไม่รอด บางทีอธิบายสาธยายไม่เป็นก็เลยต้องสวด อธิบายเป็นคือเทศน์ก็คืออธิบายธรรมะ คือพูดคนเดียว แต่สองคนพร้อมกันเอาธรรมบทมาสวดก็ไม่ได้เป็นอาบัติ สวดพร้อมกันเป็นล้านคนยิ่งอาบัติมาก
พวกชาวอโศกสวดกันเป็นประณามคาถาพร้อมกันไม่ผิดอาบัติ แต่ธรรมบทเราไม่ได้เอามาสวดพร้อมกันแต่เอามาอธิบายก็อธิบายทีละคน
ที่ผิดกันก็ผิดกันทั้งน้น ทีนี้มีประโยชน์อย่างไร ในยุค พระพุทธเจ้าอาศัยท่องจำคือสังคีติ เหมือนท่องสูตรคูณไม่ได้ท่องอวดให้คนฟัง สองคือสังคายนะ คือสวดคนเดียวคนอื่นนั่งฟังแล้วท้วงว่าผิดหรือไม่ เป็นประโยชน์ในการรักษาธรรมบทไว้ เพราะว่าต้องจำไว้แต่สมัยนี้มีเครื่องมือบันทึกไว้มากมายไม่ต้องเสียวเวลาสวด แต่ใครอยากสวดก็เชิญ เคยได้ยินว่ามีพระพม่าท่องจำพระไตรปิฎกได้หมดเลย
_บทยถาสัพพี มีอยู่ในหนังสือสวดมนต์ชาวอโศกทำไมไม่สวดกันครับ
พ่อครูว่า…คนเขาหาว่า สมณะชาวอโศกมาบวชทำไมแค่สวดยะถาสัพพีก็สวดไม่ได้ ก็เลยเหมือนกับใครที่หน้าเขาเนาะ ยะถา สัพพี มีทั้งธรรมบทของพระพุทธเจ้ากับปรณามคาถาที่แต่งกันเอง
ตั้งแต่ ยะถาวรีวหา…ไปจนจบ ก็สวดคนเดียว เพราะเป็นธรรมบท โบราณาจารย์ทำไว้ถูกต้องตามธรรมวินัย แต่ถ้าถึงสัพพีติโย วิวัชชันตุ อันนี้เป็นประณามคาถาแล้ว พระท่านก็สวดเป็น choir แล้ว
แต่ชาวอโศกท่องไว้กันหมากัดเท่านั้น
_ภาวนาแปลว่าอะไรครับ
พ่อครูว่า…ภาวนาแปลว่าการเกิดผล การเกิดผลต้องรู้จัก กาละ อดีตปัจจุบันอนาคต
ภาวนาคือ การปฏิบัติแล้วเกิดผลด้วยความภาวนาหรือกำลังเกิดผล หรือเกิดผลแล้ว ถ้ายังไม่ได้ก็คือยังไม่มีอนาคต ภาวนาไม่มีอนาคต มีแต่ปัจจุบันกับอดีตว่าได้ผลแล้ว ภวันตุ คือได้ผลแล้ว เป็นช่องสาม
_มีคนพูดว่า ในช่วงทำงาน 50 ปีแรกของพ่อครูลูกๆทุกคนเป็นผู้บุกเบิกของศาสนาใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า…ก็ใช่ พระพุทธเจ้าประกาศศาสนา 45 ปีและท่านก็ไป อาตมาทำงานมาเกินกว่าที่พระเจ้าทำในระยะเวลาแล้ว ขอยืนยันว่าเอาธรรมะพุทธเจ้ามาฟื้นคืนกลับ
_แสงแก้ว…รูป เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ เป็นนาม 5 …..
พ่อครูว่า..นาม 5 เป็นส่วนที่จะเอาไปใช้ปฏิบัติ รูป 28 คุณต้องปฏิบัติอันนี้ถ้าไม่ปฏิบัติตามนี้ไม่เป็นอรหันต์ได้ ต้องอธิบายเป็นวันเลย ก็เท่านี้แหละ ผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องมีรูป 28
กับนาม
นาม 5 มี เวทนาสัญญาเจตนาผัสสะมนสิการ
-
คุณจะต้องทํามนสิการ เป็นนักปฏิบัติธรรมต้องทำใจในใจของคุณ หากไม่ปฏิบัติทำใจในใจก็ไม่ใช่ศาสนาพระพุทธเจ้า ศาสนาอื่นใดก็มีแต่กุศลกับอกุศล เทวนิยม แต่ของศาสนาพุทธจะต้องทำเวทนา 2 ให้เป็นหนึ่งคือการทำใจในใจ