610910_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 13
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1g4S_c2SxNeloivnXz593tYacx-QXng_cc_IybGicyCo/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1ATAhjDCpNIDijFMas7vTpTwCvmntj3C-
พ่อครูว่า…ทุกคนเป็นไงสบายดีบ่ วันนี้ วันจันทร์ที่ 10 กันยายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ก็ขอโอภาปราศรัยกับ sms
SMS 9 กันยายน 2561 (วิถีอาริยธรรม)
สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน คำสอนพ่อครูตามจรณะ 15
_3867 ครายว่าพ่อครูเทศน์สะกดจิต?พ่อครูสอนธ.ในตถาคตฯ สะกดกิเลส!ปราบผีโลภโกรธหลงฯออกไปจากใจให้หมดสิ้นต่างหาก!กบกินผัก!
พ่อครูว่า…อันนี้จริง ใครเขาว่าอาตมาเทศน์สะกดจิต มันไม่ใช่วิธีสะกดจิต แต่เป็นวิธีที่ทำให้คนเข้าใจ ทำให้คนเห็นคุณค่า คนที่เขาเข้าใจและเห็นคุณค่าก็ใส่ใจ เวลาเขาใส่ใจก็เลยเกิดอินทรีย์ 5 พละ 5 ไม่ใช่สะกดจิต แต่ทำให้เกิดปัญญาในอินทรีย์ 5 พละ 5 มันเต็มศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ เต็มปัญญา
ไม่ใช่วิธีการสะกดจิต อาตมาบรรยายธรรมะ ผู้ที่มีปัญญาเข้าใจ เพราะอธิบายสัทธรรมเมื่อคนเข้าใจสัจธรรมก็เต็มใจพอใจตั้งใจ อ่านจิตของตนอย่างมุ่งมั่น ไม่ใช่การสะกดจิตแต่เป็นการตื่นเต็ม มีสัทธินทรีย์ ตื่นเต็มมีปัญญา ต่างกับการสะกดจิต
การสะกดจิตเป็นการทำให้คนอยู่ในอาณัติ จิตของเขาถูกคนสะกดควบคุม เพราะฉะนั้นการนั่งหลับตานี่แหละคือการสะกดจิต แต่เป็นการสะกดจิตตัวเอง นั่นคือการไม่ได้เกิดปัญญาไม่เกิดอินทรีย์ 5 พละ 5 ไม่ได้เกิดคุณธรรมต่างๆ
ศรัทธาจะเกิดได้ก็เพราะปฏิบัติศีล ปฏิบัติศีลแล้วก็เริ่มต้น สํารวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ เสร็จแล้วก็จะเกิดศรัทธา แล้วจะรู้สึกตัวจะเกิดการสัมผัสเกี่ยวข้องกับอะไร เมื่อไปสัมผัสกับสิ่งที่เราเกิดกิเลสในจิต เมื่อกิเลสเกิดมันจะมีหิริโอตัปปปะจะละอาย จิตเรายังมี ฟังให้ดีผู้ที่ปฏิบัติธรรมจะใช่เลย ละอายมีหิริโอตตัปปะ ปฏิบัติธรรมจะเกิดพหูสูต วิริยะ สติ ปัญญา สัทธรรม 7 ก็จะเกิดตาม
ลักษณะทั้งหมดตั้งแต่ศีล สำรวมอินทรีย์ โภชนามัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคคะ แล้วเกิดศรัทธามี 7 ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติ ปัญญา นี่แหละคือ การเกิดของฌาน 1 2 3 4 เรียกเต็มๆว่า จรณะ 15
พร้อมกับมีปัญญา ทั้งหมดนี้ ศีล ทำให้เกิดกระบวนการทั้งหมดเลย ปฏิบัติถูกเรียกว่าสัมมัปปธาน 4 สังวรปธาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน อนุรักขนาปธาน ในการสำรวมอินทรีย์จะเกิดสิ่งเหล่านี้ เมื่อปฏิบัติถูกมีการสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคคะ ก็จะเกิดการประหารได้ ประหารกิเลสก็เกิดภาวนามัย มีการเกิดผลแล้วก็รักษาผลต่อไป
ปัญญาจะเกิดรู้ตามกระบวนการของจรณะ 15 ความเจริญของปัญญาก็เป็นวิชชา 8
ส่วน สะกดจิตนั้นไม่มีกระบวนการเหล่านี้เลย แม้แต่การสะกดจิตนั่งหลับตา ศีลไม่มี สำรวมอินทรีย์ไม่มี โภชเนมัตตัญญุตาไม่มี หลับตาเหมือนตาบอด ตาไม่เห็นรูปอะไร บ่เห็นหุ่ง เรียกเป็นไทยว่าไม่เห็นรุ่งอะไรเลย
_1701 ถ้าบ้านราชก่อตั้งปี 2537 ก็ปีเดียวกับที่หนูบรรจุราชการเลยค่ะ ปีนี้อายุราชการครบ 24 ปี ย่างเข้าสู่ปีที่ 25 ตั้งจิตไว้เคลียร์ภาระหนี้สินหมดเมื่อไหร่ไปอยู่บ้านราชเมื่อนั้นค่ะ
_1614.. คนเราเมื่ออายุมากๆ มักเป็นบ้าหอบฟาง ตัวไม่หอบแต่ใจมันหอบ แบกไปหมด อะไรต่อมิอะไรเก็บมาคิดมานึกหมด สะสมอยู่คนเดียวนั่นแหละ ใครไม่ทุกข์เราก็เก็บมาทุกข์คนเดียว บ้าหอบฟางมันไม่มีอะไร ขอโปรด แก้ โรคหอบฟางด้วยค่ะ
_1614 ถ้าแผ่นดินไทย ไม่มีพระมหากษัตริย์โพธิสัตว์พระองค์นี้ คอยเป็นปัญญาให้แผ่นดินไทย ป่านนี้เมืองไทยคงลุกเป็นไฟไปทุกหย่อมหญ้า เพราะว่ามีแต่คนบ้ามาแย่งชิงอำนาจการบริหารบ้านเมือง แล้วก็สร้างแต่เรื่องวิบัติทิ้งไว้มากมาย จากนั้นมันก็สะบัดก้นหนีไปลอยนวลอยู่ต่างเมือง เฮ้อ! ใครทำอกุศลกรรมอะไรไว้ อย่างไรๆมันก็หนี “อกุศลกรรมวิบาก” ไม่พ้นหรอกครับ… สุนทร วงศ์วรเสถียร
พ่อครูว่า…เชื่อไหมว่าทักษิณจะก่อเรื่องอีก มีหลักฐานยืนยันเช่นปฏิญญาฟินแลนด์เป็นต้น ผู้เขียนมาก็มีข้อมูล แต่ในหลวงมีบารมีมาก ทักษิณจึงแพ้ภัยตัวเอง แพ้หมดรูปแล้วแต่ยังแอ็คอยู่ โง่จนไม่รู้ว่าความแพ้ชนะคืออะไร เขาว่าเขาแพ้ไม่เป็น ซึ่งเป็นคนที่โง่งมงายจนกระทั่งแพ้ชนะไม่รู้เรื่อง หากเขาฉลาดกว่านี้ วางมือเสีย ความเกลียดชังจะไม่ได้เพิ่มขึ้นกว่านี้ เขาคอรัปชั่นไปได้มากมายกินอยู่สบาย ดีไม่ดีคนไทยใจดีให้เข้ามาในประเทศใด แต่ถ้าทำอย่างนี้ไม่มีทางเข้ามาได้ เพราะเขาทำของเขาเอง
สื่อธรรมะพ่อครู(ความรัก 10 มิติ) ตอน รักอย่างไรไม่เป็นบาป
_1614 รักอย่างไร ไม่ให้เป็น บาป คะ
พ่อครูว่า..รักอย่างไม่ให้เป็นบาปต้องรักตามความรัก 10 มิติ รักมิติที่ 8 9 10 รักอย่างที่เรียกว่า ต้องมีปัญญาเรียนรู้กิเลสแล้วลดกิเลสได้ ก็เรียกวาไม่บาป หรือล้างบาปออกไป ถ้าไม่เช่นนั้นบาปทั้งนั้น แม้แต่รักมิติที่ 7 ก็ยังบาป เพราะว่ายังไม่เกิดบุญเลย รักมากรักทุกคนในโลกหมดเลย พระพุทธเจ้าบอกว่ารักร้อยทุกข์ร้อย นี่รักเป็นล้านเลย เป็นพระเจ้ารักหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ความรักเป็นความทุกข์ รักหนึ่งก็ทุกข์หนึ่ง ไม่รักเลยก็ไม่ทุกข์เลย นี่คือคำสอนของศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเรียนรู้ความรัก ศาสนาพุทธเหนือชั้นที่สุด คำว่าความรักนี้ เป็นเรื่องที่เหนือกว่าสามัญ ที่เขาจะเข้าใจได้
คนที่ไม่มีรักก็มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไม่ต้องรักผูกพันใครเลย มีแต่การช่วยเหลือผู้อื่น นี่สุดยอด
_1614 ไม่อยากเเต่งงานไม่ใช่เรื่องของคนไร้วาสนา เเต่เพราะได้อธิฐานที่จะสร้าง เนกขัมะบารมี ใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า..ดี ถูกต้อง
_1614 คนที่ด่า ว่าคนอื่นได้ด้วยอารมณ์โกรธไม่ใช่ความเก่ง แต่คนที่ฟังคำด่าว่าได้ โดยไม่มีอารมณ์โกรธนั่นต่างหาก คือความเก่งที่แท้จริง ใช้การกดข่ม จนเคยชิน ได้ไหม
พ่อครูว่า..ถูกต้อง หากใช้กดข่มเคยชินก็เก่งขึ้นเหมือนกัน แต่ถ้าเรียนรู้ด้วยปัญญา ก็ไม่ได้ยากอะไร ถ้าใครเขาด่าเรา เราก็ต้องรู้สิว่าเขาด่า การด่าก็อยู่ที่เขา การด่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีก็อยู่ที่เขา ไม่ใช่เราเสียหน่อย เราก็ฟังคนนี้ด่าได้แรง ด่าได้หยาบ ด่าได้พิสดารดี คนนี้ด่าได้สุภาพ คนนี้ด่าได้ใช้วาทกรรมแจ๋วเลย เราก็ฟังสิ เขาจะด่าเราแบบไหน
สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน ฌานเป็นไฟร้อนยิ่งกว่าไฟกิเลส
_1614การก่อเกิดให้ไฟฌาน ทำอย่างไร ทำให้ได้ แบบ static
พ่อครูว่า..ไฟฌาน เป็น Dynamic แล้วคุณก็จะบังคับให้เป็น Static
คำว่า static ก็คือการตั้งมั่น Dynamic เป็นการเคลื่อน ของพุทธ มีทั้ง Static และ Dynamic การปฏิบัติให้เกิด ฌาน สัมมาทิฏฐิ ที่อาตมาอธิบายทุกวันนี้เป็นการลืมตาปฏิบัติแล้วสร้างพลังงานจิตให้เป็น อุณหธาตุ ธาตุความร้อนธาตุไฟ จะสลายไฟราคะโทสะโมหะได้
การทำฌาน ไม่ใช่ทำให้เกิดความเย็น แต่เรียกร้อนก็ไม่ร้อนฉ่าอะไร แต่มันเป็นพลังงานทางจิตที่มีอำนาจมีฤทธิ์มาก สามารถจะสลายไฟ มันยิ่งกว่าราคะ โทสะ โมหะอีก มันจะมีฤทธิ์กำจัดทำลายพลังงานอุณหธาตุได้ คือไฟราคะ โทสะ โมหะได้
ทำอย่างไรก็ทำอย่างที่อาตมาอธิบายอย่างสัมมาทิฏฐิ ถามมานี้แปลว่าคุณเข้าใจแต่ยังสรุปไม่ลง คุณเข้าใจไฟฌานแล้ว ทำอย่างไรแต่คุณสรุปไม่ลง ก็ทำอย่างที่อาตมาอธิบาย ถ้าคุณเข้าใจว่าต้อง มีการสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจแล้วแยกแยะกิเลสจากการสัมผัส อ่านกิเลสในเวทนาแล้วทำให้มันลดลงให้ได้ เอ็งไม่เที่ยงแท้ เอ็งมันเป็นเหตุ มันเป็นตัวทำให้เกิดทุกข์ เอ็งไม่มีตัวตนจะมาหลอกข้า ถ้าคุณเกิดภูมิปัญญาที่ชัดเจนว่ามันเป็นของหลอกไม่ใช่ของคุณไม่ใช่มีตัวตนมันเป็นเหตุแห่งทุกข์ แล้วเราไปโง่รับมันมาในจิตทำไม ให้มันมาทำงานอยู่ในจิตของเรานะ เราก็อย่าให้มันเข้ามาในจิตของเรา คุณก็จะค่อยๆเกิดภูมิปัญญา แล้ว พิจารณาไปเรื่อย ถ้าเข้าใจถูกแล้วอย่างที่อาตมาอธิบายทำอย่างนั้นแหละตลอดไป สักวันหนึ่งเป็นอรหันต์แล้วมาบอก
_ใฝ่ธรรม · ภาพและเสียงคมชัดมากที่ จ.สตูล
_สุดชดา… วันนี้ขอฝากถามคำถามในรายการสำมะปี๋ด้วยค่ะดังนี้
พ่อครูคะสมัยที่พ่อครูเป็นรัก รักพงษ์
มีละครเรื่องเจ้าหญิงแสนหวีมี อารี นักดนตรี กับกำธร สุวรรณปิยะศิริ แสดงนำ ดิฉันชอบเรื่องนี้มากค่ะ ขอถามว่าเค้าโครงเรื่องเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งคะ พ่อครูเป็นผู้กำกับเรื่องนี้หรือเปล่าคะ?
อนึ่งตอนเด็กๆคุณแม่ดิฉันจะอ่านสตรีสารทุกเดือน แม่อ่านนิยายแต่ดิฉันชอบอ่านเรื่องสั้นค่ะ เพราะจะมีมุมแปลกๆมุกแปลกๆสนุกสนานดีค่ะแต่ก็ไม่รู้พ่อครูแต่งเรื่องไหนค่ะ
ตอนนั้นมีนักเขียนเรื่องสั้นหลายคนไหมคะ?
พ่อครูว่า..ก็เรื่องแต่ง อาจจะมีเค้าโครงจากเรื่องประวัติศาสตร์บ้างแล้วเอามาผูกเรื่องให้มีพระเอกนางเอก ให้มี Story อาตมาไม่ได้เป็นใหญ่เป็นโตจนเขาให้กำกับโทรทัศน์ละครหรอก อาตมาได้แต่กรรมกับเรื่องย่อยๆเล็กๆน้อย ไม่ได้กำกับละครเรื่องใหญ่ เขาไม่เชื่อถืออาตมาหรอก มีแต่ตอนเป็นนักเรียน นักศึกษา อาตมากำกับมานัก อาตมาเคยทำถึงขั้นสร้างเองเลยนะ เป็น Operetta มีแต่เพลงทั้งหมดในละคร ไม่มีการพูดธรรมดาเลย แต่เป็นเล็กๆไม่เรื่องใหญ่เหมือน Opera ก็ออกงานที่เขารวมนักเรียนทั่วประเทศมารวมกัน เพาะช่าง เสาวภา สวนกุหลาบ เรียกว่างานอะไร?…
_น้ำมนต์…ทำยังไงหนูจะ ลดอัตตาได้คะหลวงปู่
พ่อครูว่า…อัตตาเป็นอย่างไร หนูรู้ว่าอัตตาเป็นอย่างไร? (อัตตาคือกิเลสค่ะ มันทำให้เราโมโห) ก็เรียนรู้ที่หลวงปู่สอน ก็ขอบอกแค่นี้ก่อน
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ทำรัฐประหาร
พ่อครูว่า…ขออ่านบทความของคุณสารส้ม คอลัมน์กวนน้ำให้ใส ข่าวร้ายของประเทศชาติ คือข่าวดีสำหรับใคร?
ประเด็นที่ถูกนำมากล่าวหากันแบบผิดๆ หนักๆ ก็คือ เรื่องเศรษฐกิจ
โดยฝ่ายที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเป็นตุเป็นตะ เหลือเชื่อว่า คือ พวกเดียวกับที่เคยคุยโอ่โกหกเรื่องเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์นั่นเอง
บางคน เคยหาเสียงด้วยนโยบายจำนำข้าว ว่าจะไม่ขาดทุน แถมจะมีกำไร
บางคน เคยคุยโวจะเลิกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ฯลฯ
เหลือเชื่อกว่านั้น คือ คนในสังคมบางส่วนยังคงหลงเชื่อ ให้ราคากับคนพวกนี้ ด้วยการแชร์ข้อมูลต่อๆ ไป เพียงเพราะได้รับความรู้สึกสะใจที่ได้ตำหนิรัฐบาล คสช. หรือได้ต่อว่าเผด็จการทหาร
พล็อตเรื่องซ้ำซากที่พยายามกล่าวหา คือ การชี้หน้าว่าเผด็จการทหารให้น้ำหนักจัดสรรงบประมาณไปใช้กับการซื้ออาวุธ การทหาร แทนที่จะให้น้ำหนักกับการศึกษา การสาธารณสุข การเกษตร การช่วยเหลือคนจน ฯลฯ
(พ่อครูว่า..ขอแทรก…อาตมาขอยืนยันว่าเมืองไทยไม่มีรัฐประหาร ขณะนี้นายกฯตู่ที่มาทำงานขณะนี้ไม่ใช่การรัฐประหาร ไม่ใช่การรัฐประหารโดยทหาร แต่เป็นรัฐประหารโดยประชาชน พลเอกประยุทธ์เป็นตัวแทนประชาชน เข้ามาขอทำหน้าที่ โดยใช้ภาษาตามรูปแบบของสังคม ใช้ภาษาตามรูปแบบของการเมืองว่า ถ้าอย่างนั้นผมขอยึดอำนาจ แต่ที่จริงประชาชนได้ยึดอำนาจเรียบร้อยแล้ว รัฐบาลทำเก๊ๆไปแล้ว ประชาชนทำสำเร็จแล้ว ใครที่ไม่เข้าใจรัฐศาสตร์ ให้เข้าใจเสียว่า นายกฯประยุทธ์ไม่ได้ทำรัฐประหาร แต่เป็นผู้มารับหน้าที่แทนประชาชน เป็นผู้แทนประชาชนโดยชอบ เพราะฉะนั้นประเทศไทยไม่ได้มีทหารมารัฐประหาร มีแต่ประชาชนมารัฐประหาร นี่คือเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยที่สวยที่สุด ทำการเมืองได้สวยที่สุด พลเอกประยุทธ์เจ้าหน้าที่ทำงานก็ทำได้ดี ประชาชนไม่ได้ขัดข้อง โพลกี่โพลก็ว่าทำต่อไป นี่เป็นประชาธิปไตยแล้วบริบูรณ์ อย่าเข้าใจว่าประชาธิปไตยต้องมีเลือกตั้งถ้าไม่มีเลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตย ขี้หมาเถอะ
นักรัฐศาสตร์อย่าไปคล้อยตามพวกไม่มีปัญญาไม่มีความรู้ประชาธิปไตย อย่าไปโง่เง่านักหนา เพราะฉะนั้นขณะนี้ อาตมาว่า Road Map จะไปเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 62 ถ้าจะทำตามนั้นก็ทำ แต่ถ้าไม่ทำเห็นว่ามันยุ่งยากนัก ไม่ควรจะต้องยุ่งยาก หรือว่าอะไรที่ไม่เรียบร้อยก็ทำต่อไปเลย อย่าไปฟังปากหอยปากปูของพวก โง่เง่า คือ ไม่มีความรู้อะไรในเรื่องรัฐศาสตร์คนที่จบดอกเตอร์รัฐศาสตร์มา ไม่รู้ว่าประชาธิปไตยคืออะไร ประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่ดีที่สุดในโลก
เพราะอะไร เพราะเกิดประชาชนอย่างชาวอโศกนี่แหละ เราไปประท้วง ตามกฎหมายสากลนิยมด้วยความสงบ ประท้วงอยู่เป็นปีจนเรียบร้อย รัฐประหารรัฐบาลไปได้ตั้ง 3 รัฐบาล นี่เป็นหลักฐานยืนยัน พลเอกประยุทธ์มาทำหน้าที่ได้ถูกต้องแล้วจึงเป็นประชาธิปไตย ตอนแรกต่างประเทศบอกว่าเป็นรัฐประหาร ถ้าหากพลเอกประยุทธ์ไม่ใช่ทหาร เขาจะเข้าใจอย่างถูกต้องเลย แต่นี่มันไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะว่าประเทศชาติต้องมีผู้ดูแลความมั่นคงของชาติ แล้วเบอร์ 1 มาอยู่ที่เขา
ตอนนี้พลเอกประยุทธ์บอกแล้วว่าผมไม่ใช่ทหารแล้วผมเป็นนักการเมือง แต่ก่อนนี้บอกว่าเป็นทหาร ตอนนี้เกษียณจากทหารแล้วก็มาทำงานตรงนี้เป็นนักการเมือง เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่เข้าใจอย่างชัดเจนเรื่องรัฐศาสตร์ของประชาธิปไตยที่แท้จริง เขาก็จะคิดอย่างนี้ ที่พูดอยู่นี้คิดว่าพอเข้าใจ แต่เขาต้องการที่จะได้อำนาจ เขาต้องการที่จะเอาพลเอกประยุทธ์ลง แล้วเขาจะได้มาเป็นผู้บริหาร มีการเลือกตั้งและเขาก็จะได้มีส่วน ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีสิทธิ์มีส่วน แล้วก็จะต้องแห้งตายๆๆ เพราะอาชีพของเขาอยู่ตรงนี้
เมื่อพลเอกประยุทธ์ได้ทำหน้าที่ตรงนี้ ซึ่งเผินๆ มันจะเป็นรัฐประหาร แต่เมื่อทำงานเสร็จแล้วผู้มีความรู้ทางรัฐศาสตร์การเมือง แม้แต่ต่างประเทศก็รู้ว่าอย่างนี้ใช่ ตกลงประเทศที่ไหนก็แล้วแต่ ที่บอกว่านี่เป็นเผด็จการรัฐประหาร นายกฯไม่ถูกต้องตามประชาธิปไตย ที่เคยไม่ต้อนรับหรือที่ไม่คบด้วยก็หมดแล้ว ไม่เห็นมีประเทศไหนที่มีความคิดอย่างนี้
พลเอกประยุทธ์สามารถไปเชื่อมโยงทำงานประชาธิปไตยของประเทศไทย ก็อย่างธรรมดา ประเทศไหนก็ไม่ขัดข้องสักอย่าง ไปร่วมประชุมตามแนวคิดประชาธิปไตยทั่วโลกก็สบายไม่เห็นมีอะไรขัดข้อง พวกที่ตะโกนออกมาตอนนี้ ว่าเป็นเผด็จการไม่ใช่ประชาธิปไตย แสดงขี้เท่อความโง่ของตัวเองทั้งนั้น ผู้ใดยังมีความคิดอยู่ว่า เมืองไทยตอนนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตย คนนั้นยังเข้าใจประชาธิปไตยไม่ได้ ต้องศึกษาอีกหลายชาติถ้าอย่างนี้
ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยมานานแล้ว เรื่องของพระพุทธเจ้าก็มีประชาธิปไตย พระพุทธเจ้าเป็นนักประชาธิปไตยสุดยอดเบอร์ 1 ของจักรวาล เป็นนักบริหารให้มีอิสระเสรีภาพสูงสุดถึงขั้นไม่มี อัตตา เอาจิตวิญญาณเป็นหลักแล้วให้ศึกษาเป็นลำดับ
ประชาธิปไตยขาเดียวไม่ใช่ประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบเป็นประชาธิปไตยขาเก ประชาธิปไตยต้องมี 2 ต้องมีพระเจ้าแผ่นดิน มีนายกฯ มีรัฐบาล และมีประชาชน ต้องเป็นธรรมะ 2 เสมอ ประชาธิปไตยต้องมีรัฐบาลและฝ่ายค้าน สองเสมอ ไม่มี 2 ไม่ใช่ประชาธิปไตย ถ้าเข้าใจว่าจะต้องมีแต่รัฐบาลหรือฝ่ายค้านนั่นคือสภา ถ้าหากว่าประชาธิปไตยเป็นประชาธิปไตยขาเดียวไปไม่รอด ไม่ได้ ฝ่ายค้านทำตามกฎเกณฑ์เฉยๆแต่ไม่ได้ทำหน้าที่จริง อย่างนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตย ฝ่ายค้านต้องทำงานจริงไม่ใช่ทำตามตัวหนังสือหลักเกณฑ์
ขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์ ดวงเหมือนจะเป็นฝ่ายค้าน แต่ตัวเองมีเลือดอยากจะเป็นรัฐบาลตลอดเวลา ไม่ได้ปฏิบัติตัวเองเป็นฝ่ายค้านเต็มรูปเลย กูอยากเป็นรัฐบาลๆๆๆ(พ่อครูไอตัดออกด้วย) เพราะฉะนั้นจึงไม่จริงจัง หากว่าประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านที่จริงจังก็จะเท่เลย แล้วจะได้เป็นรัฐบาล เพราะว่าไม่เป็นฝ่ายค้านที่จริง มีแต่อยากจะเป็นรัฐบาล มันก็เลยเป็นกระเทย (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ทำอย่างไรจะตั้งสติได้
_แก้วบุญ ทำอย่างไรจะตั้งสติได้
พ่อครูว่า…ก็เรียนรู้ว่าสติคืออะไร (หนูไม่รู้) ถ้าเรารู้ว่าสติคืออย่างไรเราก็จับมันตั้ง
สติคือเราจะต้องรู้ตัวเราตลอดเวลา รู้ว่าตอนนี้ ตากระทบรูป เห็นอันโน้นอันนี้เราก็รู้ เรากำลังเห็นหน้านะ เรากำลังได้ยินอันนี้ กำลังได้กินอันนี้ กำลังได้รสอันนี้ถูกสัมผัสอันนี้ เราก็มีจิตใจร่วมรู้ด้วยนั่นคือเรากำลังมีสติ แล้วเราก็อ่านต่อ เมื่อมีสติแล้วก็จะอ่านรู้เวทนา ในใจเรา
หากว่าเรารู้สึกโมโห เราก็ต้องอ่านว่าโมโหนี้เป็นอย่างไร มันไม่ดี ต้องปรับแก้อย่าให้จิตโมโห ให้มันหายโมโหได้ไวเลย ก็ดีแล้วอย่างหนี่งแต่ยิ่งมีปัญญารู้ว่า โมโหไปทำไมมันก็เลอะเทอะคิดอ่านไม่เต็ม มีความสุขอีก เราเข้าใจด้วยปัญญาว่าอาการที่ไม่ต้องโมโห เรื่องนี้เรากระทบแล้วก็พูดกับเขาดีๆใจไม่ได้ร้อนอะไรก็พูดไปด้วยดีด้วยเหตุปัจจัย ที่มันถูกต้อง เราก็ไม่ร้อนใจ โมโหนี่ร้อนใจนะ หรืออาการโกรธนั่นเอง
(อ่านต่อ)
1.ไม่น่าเชื่อว่า สื่อกระแสหลักบางสำนัก ก็ละเลงข่าวเท็จไปด้วย ทำนองว่ายุครัฐบาล คสช.มีการจัดสรรงบให้กระทรวงกลาโหมมากที่สุด
แล้วก็เป็นฐานอ้างอิงให้ผู้ที่ไม่ชอบรัฐบาล ได้เอาข้อมูลไปละเลงกันต่ออย่างผิดๆ
นักการเมืองบางพวก ก็ต่อยอดความบิดเบือนด้วยการประกาศว่าจะขายเรือดำน้ำ
ความจริงแล้ว งบประมาณแผ่นดินทุกรัฐบาล ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ล้วนจัดสรรให้กระทรวงศึกษาธิการมากที่สุด อันดับหนึ่ง ตามมาด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข ฯลฯ ลำดับจะอยู่ประมาณนี้ เปลี่ยนแปลงไม่มาก ไม่ว่ายุครัฐบาลทหารหรือเลือกตั้ง เพราะทุกกระทรวงมีรายจ่ายประจำเป็นส่วนใหญ่
2.นักการเมืองบางพรรค พยายามตีกินเรื่องงบโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคหรือประกันสุขภาพถ้วนหน้าในปัจจุบัน โดยพยายามขยายความเท็จว่า ยุคเผด็จการ คสช.จัดสรรงบให้น้อยลงกว่าทุกสมัย
ลองดูง่ายๆ ที่ ตัวเลขงบเหมาจ่ายรายหัว ในยุคเผด็จการทหาร คสช. จัดสรรเพิ่มขึ้นทุกปี
ตรงกันข้าม กลับเป็นยุคทักษิณให้งบเหมาจ่ายรายหัวเท่าเดิม หลังชนะเลือกตั้ง นั่นคือปีงบประมาณ 2545 กับ 2546 และในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็แช่แข็งงบเหมาจ่ายรายหัวเท่าเดิม คือ ปีงบประมาณ 2555 กับ 2556
ข้อเท็จจริงปรากฏว่า
งบประมาณที่จัดทำยุคทักษิณ ปีงบประมาณ 2545 ให้งบเหมาจ่ายรายหัว 1,202 บาทต่อหัว
งบปี 2546 ให้เท่าเดิม 1,202 บาทต่อหัว
งบประมาณที่จัดทำยุคยิ่งลักษณ์ ปีงบประมาณ 2555 ให้งบเหมาจ่ายรายหัว 2,755 บาทต่อหัว
งบปี 2556 ให้เท่าเดิม 2,755 บาทต่อหัว
งบปี 2557 เพิ่มเป็น 2,895 บาทต่อหัว
งบปี 2558 ให้เท่าเดิม 2,895 บาทต่อหัว
งบประมาณที่จัดทำยุค คสช. ปีงบประมาณ ปี 2559 ให้งบเหมาจ่ายรายหัว 3,028 บาทต่อหัว
งบปี 2560 เพิ่มเป็น 3,109 บาทต่อหัว
งบปี 2561 เพิ่มเป็น 3,283 บาทต่อหัว
งบปี 2562 เพิ่มเป็น 3,462 บาทต่อหัว
จะเห็นได้ว่า ยุครัฐบาล คสช. เพิ่มงบเหมาจ่ายรายหัวทุกปีงบประมาณ สิทธิประโยชน์ต่างๆ เพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนมากมาย
แถมหัวหน้า คสช. ยังใช้อำนาจตัดเอางบกลางมาช่วยอุ้มโรงพยาบาลที่ขาดทุนหนักอีกต่างหาก
พ่อครูว่า…นักข่าวควรจะทราบว่าอันไหนเป็นข่าวเท็จไม่ควรนำมาออกก็ต้องรู้
เป็นข่าวร้ายของประเทศชาติจะเป็นข่าวดีของความถูกต้อง ข่าวดีของรัฐบาลที่บริหารอยู่ขณะนี้ เขายิ่งหาเรื่องโกหก มดเท็จ มันยิ่งขายขี้หน้าตัวเองมันยิ่งเสริมความถูกต้องของผู้บริหารที่ถูกต้อง ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งในโลก
_อาเหลา…ลูกเขาจะสนใจแต่วิทยาศาสตร์กับวิชาการทำอย่างไรจะโน้มน้าวให้เขามาสนใจธรรมะได้
พ่อครูว่า…บีบคอมาสิ จะไปทำทำไม ก็บอกให้เขาฟังว่ามาสนใจฟังธรรมะบ้างเพื่อชีวิต เรื่องอย่างอื่นเป็นเรื่องหาเงิน วิชาการความรู้ทางโลกเป็นวิชาการจะต้องอาศัยเลี้ยงชีพ แต่ธรรมะนี้เป็นเครื่องอาศัยของจิตวิญญาณของเรา เป็นเรื่องอัตตาอัตภาพของเรา ที่จะไปอีกยาวนานนิรันดร ถ้าเป็นเทวนิยม ถ้าไม่เป็นเทวนิยมก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้
ถ้าคนไม่ใส่ใจก็จะจมอยู่ในทุกข์ในสุขในเรื่องของโลก กุศลและอกุศลวิบากเวียนอยู่อย่างนี้ ก็ต้องพยายามหา มีศิลปะใช้ถ้อยคำที่น่าจะรู้ใจลูกบ้างว่าพูดอย่างนี้ประเด็นอย่างนี้ ลูกจะได้ความสะดุดใจ
_สมัยไปประท้วง สนธิ ลิ้มทองกุล ว่ามีเดรัจฉานวิชา ขอถามว่า เดรัจฉานวิชามีจริงเราจะทำอย่างไรให้ถูกต้องและรักษาผลที่เกิดจากเดรัจฉานวิชาพวกนี้ หมายถึงพวกคุณไสย
พ่อครูว่า..เดรัจฉานวิชามันไม่มีจริง คุณก็อย่าไปรับวิชาที่เดรัจฉาน เอาอย่างนี้ เดรัจฉานวิชาเช่นบอกว่า เสกหนังเข้าท้องคน หรือจะทำพิธีอะไร คนก็หัวเราะเยาะว่ามันไม่มีจริง มันไม่เป็นจริงมันก็ไม่เป็น มันก็ไม่มี คุณก็ไม่ได้รับผลอะไรจากที่เขาทำ ให้เขาทำบ้าอยู่คนเดียวไม่กระทบกับเราเลย แต่ถ้าคนไปเชื่อว่าเขาทำนี่มันจะเข้าเรา อันนี้เข้าจริงๆด้วย ฟังให้ดีนะถ้าเข้าใจแล้ว เดรัจฉานวิชาทำอะไรเราไม่ได้ ถ้าเราไปรับว่าเดรัจฉานมันมีคุณก็มีด้วยตามเขา เสกหนังเข้าท้อง หนังก็เข้าท้องคุณเลย ถ้าคุณบอกว่ามันไม่มีจริงหรอกมันไม่เกิดจริงหรอกมันเป็นอุปาทาน อุปาทานเป็นเรื่องที่ร้ายที่สุด สิ่งไม่มีก็มีจริงได้
ทุกวันนี้เช่น รสอร่อยมีจริงไหม…ไม่มีจริง คุณก็หลงว่ามันมีจริงไม่รู้กี่ชาติแล้วจนมาชาตินี้โพธิรักษ์สอน ก็ปัดโธ่เอ๋ย คุณก็มาล้างมันออกไป แม้ล้างมันออกไปก็ยังไม่หมดได้ง่ายๆ ถ้าหมดแล้วก็จะรู้ว่ามันไม่มีหรอก รสอร่อยมันเป็นเรื่องสมมุติ รสของน้ำตาลมันก็หวาน เกลือมันก็เค็ม รสชาติอะไรก็เป็นอันนั้น เป็นรสแท้ อันนี้หวาน อันนี้เค็ม อันนี้อร่อยอันนี้พอดี ความอร่อยนี้เป็นของเก๊ทั้งนั้น เป็นเวทนาเก๊ ไม่ใช่ความรู้สึกจริง ถ้าคุณชัดเจนนะนี้แล้วปัดโธ่เอ๋ย มันก็เป็นของจริงตามความเป็นจริงคุณกระทบอะไร ก็ดูอันนั้นเท่านั้นเองเป็นธรรมะเดียว
ธรรมะ 2 คือ ของเก๊อันหนึ่งของจริงอันหนึ่ง เรียนรู้ธรรมะสองของพระพุทธเจ้าให้ได้
_คุณเหลาว่า…ที่ภาคใต้งานเจเขาแทงทะลุกันนั่นจริงไหม
พ่อครูว่า…เป็นอุปาทาน ไม่มี ตอนนั้นอาตมาหนังเหนียว
จะเหนียวไปทำไม? รถยนต์ชนอัดที่ขา แต่ไม่มีหนังแตกภายนอกแต่ภายในแหลกนะ กล้ามเนื้อภายในแตก รักษาอยู่นานเลย หมอไม่ผ่าด้วย
_หลวงปู่คิดว่า เด็กนักเรียนสัมมาฯ คิดว่าเขารู้ชีวิตที่หลวงปู่ทำละครหรือเปล่า
พ่อครูว่า…
_มีคนที่ไม่ใช่คนวัดบอกว่าทำบุญอะไรจะได้อย่างนั้น แบบว่าทำกับข้าว ก็จะได้ไปกินในนรก ถ้าไม่มีช้อนไปด้วยก็ไม่ได้กิน
พ่อครูว่า…มันไม่จริงหรอก คนใช้ภาษาโลกๆมาถามก็ตอบอย่างโลกก่อนแล้วค่อย อธิบายไปหาโลกุตระ
_โสดาบันขั้นต้นกับขั้นสูงแตกต่างกันอย่างไรคะ
พ่อครูว่า…ก็ต้นกับสูงน่ะ ก็ตอบง่ายๆก่อน
เริ่มต้น ก็ต้องรู้จัก สักกายทิกฐิ อ่านจิตที่เป็นสักกายะเราก็รู้ตัวตนเรา เราจับกิเลสได้
ข้อที่สามก็มีหลักเกณฑ์ศีลพรต ปฏิบัติลดละกิเลสไป
เป็นต้น
_คนอยากให้ปิดน้ำตกและขัดตะไคร่น้ำออกค่ะ พระพุทธโตด้วยค่ะ
พ่อครูว่า…ก็ดี ขัดก็ได้ เคยขัด ก็ดี
_หลวงปู่รู้ไหมว่าธัมมชโยจะโดนจับตอนไหน
พ่อครูว่า…ไม่รู้
_โพธิรักขิโต เป็นฉายาที่หลวงปู่ตั้งเองหรือไม่ครับ
พ่อครูว่า…ฉายาอาตมาเป็นภาษาเต็มๆคือ โพธิรักขิโต ภาษาไทยคือ โพธิรักษ์ ทางศาสนาของไทย ใช้ภาษาบาลีไม่ได้ใช้สันสกฤตก็เลยใช้ โพธิรักขิโต อาตมาตั้งเอง ก็เล่าประวัตินิดนึง
พออาตมาจะบวช อุปัชฌาย์ก็ตั้งฉายาให้อาตมา อาตมาก็คุยกับอุปัชฌาย์ไว้ก่อน ต้องท่องไว้ก่อนตอนขานนาค อาตมาก็บอกว่าอาตมาใช้นามว่าโพธิรักษ์ทำงานศาสนา
อุปัชฌาย์ก็ท้วงว่า โพธิรักขิโต มีตัวอักษรเป็นกาลกิณีอยู่นะ อาตมาก็บอกอุปัชฌาย์ว่าผมไม่ถือหรอก อุปัชฌาย์บอกว่าจะเอาก็ได้ ก็ใช้ โพธิรักขิโต มา คือ โพธิรักษ์นี่แหละ
_ข้อวัตรปฏิบัติของชาวอโศกสมัยแดนอโศกนั้น เคร่งมาก เท่าเดี๋ยวนี้ไหมครับ แล้วกิจวัตรสมัยนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
พ่อครูว่า..เคร่งกว่ามาก อยู่มีคนน้อย สำรวมระวัง ไม่มีเรื่องอะไรนอกจากธรรมะ ตอนนี้ที่นี่ก็มีประกาศขอแรงงานกันที่นั่นที่นี่เยอะแยะ ที่เป็นอย่างนี้ได้เพราะเรามีแกนหลัก จิตของเรามีธรรมะ มี ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นแกนหลัก เรารู้ตั้งแต่เบื้องต้นมา ผู้เข้ามาทีหลัง ผู้ที่มีแกนหลักก็อยู่แล้วมันก็มีความเนียนที่ยากจะเข้าใจ หมู่กลุ่มของผู้มีแกนแล้วเหมือนเป็นสนามแม่เหล็กให้ผู้ที่มาใหม่เข้ามาได้ง่าย ก็เลยคลายเป็น ถึงอย่างไรคุณจะมาหยาบคายก็ไม่ได้
_วิธีตั้งนาฬิกาใจทำอย่างไรครับ
พ่อครูว่า…อาตมาตั้งนาฬิกาใจ ฝึกนอนแล้วก็ตื่นมามาก กว่า 10 ปี 20 ปี ทำมาตลอด เวลาจะนอนเวลาจะตื่น ทุกชั่วโมง หากพลาดไป 10 นาที อาตมาก็จะเอา 10 นาทีไปตั้ง จะนอนอีกกี่นาทีก็แล้วแต่อาตมาจะตีระฆังทุกชั่วโมงจะต้องตื่นมาตรงทุกชั่วโมง ถ้ามันก่อนหรือหลังชั่วโมง แค่ 5 นาทีก็จะตี แต่ถ้าไม่ถึงจะนอนต่อ นอนให้ถึงเวลาที่จะตีได้ เช่น ตื่นมา เหลือ 7 นาที ก็จะต้องนอนต่ออีก 2 นาที 3 นาทีอย่าเกิน 7 นาทีตื่นมาตีระฆัง ก็ฝึกมาได้
การฝึกเรื่องนอน อาตมาให้เคล็ดฝึกได้อย่างที่อาตมากำหนดเวลา ไม่ให้มันติดนอน การติดนอนคือกิเลส ตื่นนอนนี่ มันยากเพราะอยากจะนอน หากมันไม่มีกิเลสอร่อยในการนอน อร่อยคือลักษณะที่มัน งัวเงีย มลังเมลือง มันจะหลับหรือไม่หลับ ไม่อยากให้งัวเงียหายไป อย่าให้ตื่นนะ นั่นแหละมันเป็นรสอร่อย ถ้าตื่นงัวเงียก็ต้องรักษาอย่าให้มันหายไม่งั้นจะตื่นแล้วหลับยากก็เสียดาย คุณอย่าไปยอมมัน มันงัวเงียเมื่อไหร่ก็ตื่นๆ รับรองไม่นานก็หายอย่าไปตามใจรสอร่อยงัวเงีย ไปฝึกเถอะ คุณตื่นมางัวเงียไม่เอาก็ต้องให้สว่างใสให้สว่างใสมันก็จะหาย
_กาย คือ ทำให้เราสุขทุกข์ใช่ไหมคะเราจะทำให้ไม่สุขไม่ทุกข์ได้อย่างไร ทานอาหารอร่อยคือเรามีกายใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า…ใช่ ถามว่าจะทำอย่างไรก็ติดตามพระโพธิรักษ์ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป
เรียนรู้กายในกาย กายนอกกาย กาย 2 กาย 1 คืออะไร ตัวที่จะไปเรียนรู้คือเวทนาเป็นหลัก ศึกที่เวทนา 108 ให้ได้เป็นกรรมฐานเป็นฐานที่แท้ในการปฏิบัติแล้วควรจะจบ ทุกข์อาริยสัจ เพราะทุกข์สุขอยู่ที่เวทนา เมื่อดับทุกข์สุขได้หมดก็เป็นอรหันต์แล้ว
_ตามตะวัน..คำพูดที่ว่าคนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิตหรือธรรมะจัดสรรจะเกิดกับนักปฏิบัติธรรมเท่านั้นหรือว่าคนทั่วไปก็เกิดได้
พ่อครูว่า…ที่บอกว่า คนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต หมายความว่าเราคิดจะให้เป็นเช่นนั้นเช่นนี้แล้วมันเป็นไปไม่ได้ ก็ถือว่าเป็นลิขิตฟ้าแล้วคุณจะต้องเป็นไปตามลิขิตฟ้า ศาสนาพุทธ ไม่เชื่อ ถ้าคุณไปจมอยู่กับอันนั้นอาตมาไม่มีคำตอบไม่มีคำอธิบายเพราะพระพุทธเจ้าไม่สอนแบบนั้น พระพุทธเจ้าสอนเรื่องปัจจุบันธรรม ไม่มีอะไรมาลิขิตเราไม่มีพระเจ้ามาลิขิตเราไม่มีเทวดามาลิขิตเรา ให้ปฏิบัติธรรมให้ทำธรรมะ 2
ธรรมะสองภาษาบาลีคือ เทวดา คำว่า เทวะแปลว่า 2 เพราะฉะนั้นก็เรียนรู้ 2 นี้ให้ได้ แล้วคุณทำให้เป็นหนึ่ง เทวะก็หายไปเรียกว่าอเทวะ ไม่เป็นสอง ศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยมเป็นหนึ่งแล้วก็เป็นศูนย์ เมื่อสามารถทำให้ธรรมะเป็นหนึ่งได้ เทวดาก็ตายหมดไม่มี เพราะฉะนั้นเทวดาจะมากำหนดเราไม่ได้ ศาสนาพุทธไม่มีเทวดามากำหนด เรากำหนดตัวเราเองแล้วเราก็ สั่งเราเอง อยู่ที่กรรมกิริยาเท่านั้นเกิดจาก กรรมทุกกรรมที่เราบงการตัวเอง ศาสนาพุทธมีแต่กำกับกาละไม่มี God มีแต่กรรมกับกาละ
คุณไปเอาของศาสนาอื่นมาทำ อาตมาไม่ตอบ อันโน้นทิ้งไปเลยอย่าไปเชื่อ ทำให้ธรรมะ 2 ให้กลายเป็น 1 แล้วค่อยทำให้เป็น 0
ศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยมไม่เอาเทวะ ที่ว่ามีเทวดาอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นเพราะว่าเขากำหนดเองหมด เป็นนิรมาณกาย ที่ปั้นเอาเอง แล้วก็ร่วมกันบริโภคเป็นสัมโภคกาย ทั้งที่มันไม่มีจริงเลยเป็นอาทิสมานกาย อย่างพระบุตรก็ยังไม่เคยเห็นพระเจ้าเลย จนป่านนี้ไม่เคยสัมผัสพระเจ้า แต่ของพุทธนี้ ยืนยันชัดเจนร่วมกันได้มีหลักฐานร่วมกัน เขาบอกว่าศาสนาพุทธเป็นแค่ปรัชญาไม่ใช่วิทยาศาสตร์ เขาบอกว่าปฏิบัติไม่มีจิตวิญญาณ ทั้งที่จริงแล้วเขาเป็นจิตวิญญาณงมงาย แต่นี่แหละเรารู้จิตวิญญาณแท้ๆเป็นสภาวะจิตอธิบายได้ และก็สามารถพิสูจน์จนหมด ทำไมจิตวิญญาณเป็นพระพรหม เทวดาหรือ God ให้เป็นจิตปัญญาสะอาดบริสุทธิ์มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ได้หมดเลย
_สสธ.ม.4 ถ้าเราเจอคนขี้บ่น บ่นได้ทุกเมื่อ บ่นพร่ำเพรื่อ บ่นใส่เด็ก ทำให้เด็กไม่ชอบใจ การที่หนูทำเจโตสมาธิไว้ กดข่มไว้ก่อน แล้วก็วิปัสสนาเอาความไม่ชอบออก (โกรธ โมโห เบื่อ )ทีหลังถือว่าทำถูกต้องไหม
พ่อครูว่า…ถูกต้อง
_พึ่งบุญ…ดิฉันมีอาการที่ว่า ไม่ยอมนอนหลับเวลามีฟ้าแลบ จิตจะตื่น แล้วสังขารว่าเปรี้ยงทันที จะวางได้อย่างไร
พ่อครูว่า…คุณต้องฝึก คุณก็สัมผัสแล้วก็วาง ก็ต้องฝึก หากคุณไม่ฝึกก็ต้องมาถามอยู่นั่นแหละ ถ้าฝึกวางตามสัจธรรมของพุทธเจ้าก็จะไม่มีปัญหา แต่จะไปฝึกแบบ สมถะโลกีย์ก็ได้ ตาไม่กระทบรูป หูไม่ได้ยินเสียง แต่ก็ปิดหูไม่ได้ มันแวบๆคุณหลับตาได้ ก็ต้องฝึกตัวเองไม่มีทางอื่นฝึกว่าจะไปเอาใจใส่มันจริงๆเป็นสมถะ ถ้าคุณเข้าใจมันด้วยปัญญารู้จักปล่อยวาง ก็ทำได้ ฝึก จะฝึกแบบวิปัสสนาหรือสมถะก็แล้วแต่
_เลือกในสิ่งที่เรารัก รักในสิ่งที่เราเลือก
พ่อครูว่า…คุณก็ไปทำสิ่งที่เรารักเราชอบก็ทำแต่สิ่งที่เรารักเราชอบ มันก็ไม่เข้าท่าอะไร นี่แหละตัวสำคัญ มันชอบหรือไม่ชอบนี่แหละตัวสำคัญ อ่านสภาวะจริง อย่าไปชอบหรือไม่ชอบ กระทบสัมผัสแล้วรู้ความจริงตามความเป็นจริง สัมผัสกับ รูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส รูปอย่างนี้สีแดงสีเขียว เป็นรูปเป็นร่างเป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์ เป็นคนเป็นวัตถุเป็นแท่งก้อน พืชพรรณธัญญาหารอะไรก็แล้วแต่ ก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง อย่าไปรักหรือไปชอบหรือไม่รักไม่ชอบ ที่ถามมานี้จะเอาแต่สิ่งที่รัก คุณก็เอาแต่สิ่งที่คุณรักคุณชอบคุณก็ทิ้งสิ่งที่ไม่ชอบไปดื้อๆ ทิ้งไปเฉยๆมันก็ไม่ได้ฝึกตามรู้ความเป็นจริงว่ามันจะต้องมีสิ่งที่ทั้งที่เรารักและสิ่งที่เราไม่ชอบได้ เราก็ต้องรู้ว่าสิ่งที่เรารักเราชอบ เราทำไมต้องรักเราทำไมต้องไม่ชอบทำไมต้องชัง อ่านจิตของเราว่านี่มันเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีควรหรือไม่ควร ถ้าคุณก็ต้องรับถ้าไม่ควรก็ไม่รับ ควรจะศึกษาอย่างนั้น
_หลวงปู่คะ ถ้าเราง่วงนอนมากๆ ขนาดนับไม่หลับทำอย่างไรดีคะ ทำอย่างไรจึงจะข่มตานอนหลับได้
พ่อครูว่า…เรื่องนอนนี้ก็ยากเหมือนกัน มันต้องฝึกจริงๆก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร ต้องหัดฝึก ฝึกหลับลึกตื่นอย่าไปติดนอน นอนก็คือนอน เวลานอนก็ต้องตั้งใจหลับ เวลาอาตมาจะนอนก็เข้าสู่ภวังค์ จิตตัดจากภายนอกอยู่ในภพภายในประเดี๋ยวก็หลับ ก็ต้องฝึก
สังเกตนะถ้าเวลาจะนอนหลับ ถ้าหลับแล้วมันจะมี 2 ชั้น ชั้นที่ 1 คุณจะนอนคุณก็หลับตา แต่สติของคุณยังอยู่ข้างนอก คุณก็พยายามอย่าเอาสติมารับรู้ภายนอก ฝึกให้เอาสติไปอยู่ภายใน มันก็เป็นชั้น 1 หลับได้ชั้น 1 แล้ว เมื่อยังไม่ตัดข้างนอกจริงมันก็จะได้ยิน มันก็จะได้กลิ่น ตาเราไม่เห็นแล้ว คุณก็จะต้องทำให้สติข้างในมันหลับ เมื่อหลับมันก็ตัดเข้าไป จะนอนให้หลับทำอย่างไร หัดฝึกชั้นต้นก่อน หลับตา ให้จิตอยู่ภายใน ภายนอกก็อย่าไปเอาใจใส่ เป็นวิธีสมถะธรรมดา เพราะฉะนั้นเวลาจะหลับก็คือปิดทวาร ก็เป็นสมถะโดยตรง แต่จะตื่น คนฝึกตื่นแล้วรู้ได้ดี แล้วก็ฝึกหลับด้วย แต่ถ้าคุณฝึกแต่การตื่นไม่ฝึกการหลับคุณก็จะหลับยาก ก็ต้องฝึก
_ปรีชา…เคยถามพ่อครูปี 55 แต่ได้คำตอบไม่เต็มที่เท่าไหร่ ถามว่า…คือผมมีประสบการณ์เกี่ยวกับการทำสมาธิ เมื่อตอนผมอุปสมบท ได้ 1 พรรษา มีหลวงตาองค์นึงอายุ 126 ปี บอกผมให้ พระใหม่ช่วยไปเอาน้ำร้อนที่ศาลามาให้ที พอกลับมาถึงท่านก็บอกว่าจะสอนกรรมฐาน 5 ผมก็เคยรู้กรรมฐานของหลวงพ่อจำเนียรวัดถ้ำเสือ แต่ก็ลองดู ท่านบอกมา ท่านบอกว่า ให้หายใจเข้าลมกระทบจมูก ภาวนาว่าอนิจจัง เมื่อลมกระทบเนื้อสดีก็ภาวนาว่าทุกขัง เมื่อหายใจออกจนหมดก็ภาวนาว่าอนัตตา ท่านบอกเท่านี้ผมก็ไปทำตา แต่ในใจก็คิดว่ามันเป็นสมถะหรือวิปัสสนารวมกัน ก็ลองดู เมื่อทำไปแล้วผมก็นั่งหลับตา แล้วก็ลืมตา ดูว่าความรู้สึกอันไหนดูได้ชัดกว่า ก็จะเอาอันนั้น หลับตารู้สึกจะชัดกว่า แต่มันก็ใกล้กัน ทั้งหลับตาและลืมตาจนกระทั่งตอนเช้า ตื่นนอนเดินไป ทำไปตลอด ตอนไปบิณฑบาตก็ทำ แต่ว่าทำไปๆ อาการมันเริ่มเปลี่ยน ทำทั้งวัน
พ่อครูว่า…ตอบ โยนทิ้งไปเลย อันนั้นมิจฉาทิฐิทั้งนั้น ให้มาปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญาที่เป็นของพระพุทธเจ้า ทำไปตามศีลแต่ละข้อ ศีลข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ข้อที่ 3 ที่คุณศึกษามานั้นมิจฉาทิฐิทั้งนั้น ขอยืนยันอาตมาพูดอย่างหนักมากแรงมาก เถรสมาคมศาสนาพุทธทุกวันนี้มิจฉาทั้งนั้น หลับตาปฏิบัตินี้โยนทิ้งเข้าป่าไปเลยไม่ใช่พุทธ ต้องลืมตาปฏิบัติศีลสมาธิปัญญา ศีลข้อที่หนึ่งสัมผัสกับสัตว์ทั้งหลายโดยเฉพาะกับคน สัตว์ทั้งหลายมันก็มีวิบากของมัน อย่าไปเกี่ยวข้องกับสัตว์ปล่อยไปตามประสา อย่าไปเลี้ยงสัตว์อย่าไปเกี่ยวข้องกับสัตว์ เอาสัตว์มากิน คุณก็ปฏิบัติกับคนนี่แหละเป็นสัตว์ที่จะต้องศึกษา เพราะฉะนั้นปฏิบัติแล้วมันเกิดจิต มีกิเลสมีเวทนาคุณก็ทำกับมัน ลดกิเลสให้ได้ จิตเป็นอธิจิต จะเป็นสมาธิก็เอาปัญญาเข้าร่วมรู้เสมอ มันก็เป็นวิมุติ หลักธรรมพระพุทธเจ้ามีแค่นี้ นอกนั้นเป็นเรื่องนอกรีตทั้งหมดเลย ที่ไปนั่งไปยืนไปเดิน ย่างหนอยุบหนออย่างนั้นไม่มีในพระไตรปิฎกเลย เป็นเรื่องสมถะทั้งนั้น ไม่ใช่วิปัสสนาเลย โม้กันไปทั้งนั้น
อาตมาพูดตอนนี้ตีทิ้งเขาเลย เมื่อยแล้วแต่ก็ต้องพูดอย่างนี้
_ในขั้นตอนที่10 ของอานาปานสติ 16 ขั้น การทำจิตให้ร่าเริง อภิปโมทยังจิตตัง ในขณะนั่งคู่บัลลังก์มีสติหายใจเข้าออกทำอย่างไรคะ
พ่อครูว่า..คุณไม่ต้องไปนั่งหลับตาหรอก คุณค่อยๆทำไป ปฏิบัติในขณะลืมตา เรื่องของศีล แล้วคุณสัมผัสกับอะไร สัมผัสกับสัตว์ พูดไปละเอียดหมดแล้วก็เป็นคน สัตว์เดรัจฉานอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน เมื่อกระทบกับคนแล้วคุณก็อ่านกิเลสที่มันเกิด คุณจับกิเลสอ่านกิเลสให้ออกและลดกิเลสนี่คือสิ่งที่ต้องทำ
ศีลข้อที่ 2 มีข้าวของกับพืช ใจของเราจะเอาหรือไม่เอาจะยึดถือหรือไม่ยึดถือ ถ้าหากสุจริตคุณก็ทำไป แต่หากไม่สุจริตจะเป็นพืชเป็นของ เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นวัตถุที่ไม่ใช่พืช เราจะเอาไปใช้อุปโภคบริโภคก็อยู่ที่ความสุจริตหรือไม่สุจริตเท่านั้นในศีลข้อที่ 2
ถ้าเกี่ยวข้องกับคนก็มีลีลาอีกเยอะ
ศีลข้อที่ 3 ตอนนี้แหละ ดูที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกี่ยวข้องกับการสัมผัสสัมพันธ์ สัมผัสกับสัตว์ กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสกับข้าวของกับพืชก็ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วจะเกิดเวทนาเป็นกรรมฐานกลาง มันก็จะชอบหรือไม่ชอบจะมีความชังหรือไม่ชังอร่อยหรือไม่อร่อยก็อยู่ที่เวทนา คุณก็เรียนตรงนี้ทำตรงนี้ ให้ออกไป อย่าไปเอาการนั่งอะไรเลย นั่งคู้บัลลังก์อะไรเนี่ย
พระพุทธเจ้าออกบวชก็มีฤาษีอยู่เต็มป่า จะไปเข้าแกนนั่งหลับตาแบบฤาษีทั้งนั้น พระพุทธเจ้าก็ต้องมาแก้ไข ไม่เอา ท่านจะมาประกาศศาสนาไปในวงการศาสนาก็มีแต่นั่งหลับตา เห็นคนนั่งหลับตาขัดสมาธิ เอามาพูดทำไม ท่านก็ถึงบอกว่าอนุโลม ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร ถ้าเขาทำแบบนั้นกันทั้งนั้น ท่านให้อนุโลมว่าจะอยู่ที่แจ้งลอมฟาง ไม่ได้อยู่ในป่านะ ที่แจ้ง หรือจะอยู่ในป่าช้าป่าชัฏ ท่านก็ใช้คำว่า วา
จะทำอะไรก็ตามให้เรียนรู้สัมผัสแล้วคุณจะต้องทำจิตออก เนกขัมมะ คือทำกิเลสให้ออก หรือออกจากกิเลส ด้วยการพิจารณา สัมผัสแล้วกิเลสมันไม่เที่ยงมันเป็นตัวเหตุแห่งทุกข์มันไม่ใช่ตัวตน คุณพิจารณาอย่างนี้ ทุกเวลา อย่าว่าแต่มานั่งขัดสมาธิเลย มันไม่ไปไหน คุณทำอาชีพตามหลักมรรคมีองค์ 8 คุณก็พิจารณาในขณะกระทบสัมผัสแล้วคุณก็อ่าน ให้มันเข้าใจในไตรลักษณ์ มันไม่เที่ยงมันเป็นทุกข์ จริงๆแล้วพิจารณาอะไรแวบหนึ่งมันไม่สุขไม่ทุกข์ทั้งนั้นมันไม่เที่ยง เพราะฉะนั้นคุณทำอาชีพอาชีวะ ปฏิบัติกรรมการงานกัมมันตะ พูดอยู่ก็ตาม จะคิดจะนึกจะเป็นสังกัปปะก็ตาม คุณก็ต้องลดกิเลสทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นโละทิ้งที่ไปนั่งขัดสมาธิ ลมหายใจเข้าหายใจออก ไม่ได้หมายความว่าให้ไปนั่งดูลมหายใจเข้าออก คนมีลมหายใจเข้าออกอยู่ทุกเวลา คุณก็ปฏิบัติอานาปานสติได้ทุกเวลาในขณะทำงานอาชีพในขณะทำกรรมการงานและขณะพูดในขณะคิด พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้นั่งขัดสมาธินั่งตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่นคืออานาปานสติ ไม่ใช่ ให้ไปปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 แล้วก็ลึกเข้าไปหาอานาอาปานะ
จนกระทั่งข้อ 4 ข้อสุดท้ายคือ 1 เห็นความไม่เที่ยง 2 เห็นวิราคะกิเลสมันจางคลาย 3 เห็นกิเลสมันดับไปได้ 4 ทำทบทวนทำซ้ำทำให้ตั้งมั่น
คุณลืมตาก็เห็นไตรลักษณ์ได้ ไม่ต้องเสียเวลานั่งหลับตา คุณทำกรรมงาน ทำอาชีพพูดอยู่คิดอยู่ก็เรียนรู้กระทบสัมผัสได้ อันนี้ต่างหากคือของพุทธ ของอย่างนั้นโล๊ะทิ้งเลย แต่มันได้ผิดเพี้ยนไปมากแล้ว ความรู้ของพุทธนั้นมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ผยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34) ก็เลยทำไม่ได้ก็เลยอนุโลม ผิดพลาดมาเรื่อยๆจนกระทั่งไปยึดถือสิ่งที่ผิดมาเรื่อยๆนี้กลายเป็นสิ่งที่ถูก สิ่งที่ถูกนั้นหายไปเลย อาตมาเอาความถูกต้องมาพูดขึ้นพวกนั้นก็บอกว่ามาจากโลกไหนวะ เราก็ว่ามาจากโลกโลกุตระ คุณยังงงอยู่ในโลกีย์ยังมืดอยู่ มืดไม่หยุด
ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรท่านบรรลุในขณะมีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง(อาโลกา) มีพระอาทิตย์มีกลางวันกลางคืน
ขนาดพระพุทธเจ้ายังบรรลุด้วยจักษุ ขนาดพระพุทธเจ้ายังต้องบรรลุด้วยขณะมีดวงตามีปัญญามีแสงสว่างในโลกสว่างไสว ไม่ใช่ไปมืดดำดับ หากคุณเก่งกว่าพุทธเจ้าก็ไปเถอะ ไปสอนหลับตามืดๆนี้ออกนอกคุณธรรม 5 นี้ มีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง(อาโลกา)
การหลับตาปฏิบัตินั้นโยนทิ้งได้เลย ถ้าหากสำนักไหนเลิกหลับตาปฏิบัติแล้วมาเรียนรู้ตามมรรคมีองค์ 8 เป็นสัมมาทิฏฐิ เรียนศีล สมาธิ ปัญญาให้ดี เรียน จรณะ 15 วิชชา 8 ให้ดี ทำอย่างลืมตา
ฌานในจรณะ เกิดในขณะลืมตาปฏิบัติ มีปฏิบัติศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ เรียนรู้เรื่องอาหาร ดูกิเลสรู้ทันกิเลสได้ ลดกิเลสได้ก็จะเกิดศรัทธา หิริโอตตัปปะ วิริยะ สติ ปัญญา เป็นฌานลืมตา
หลับตาไม่มีเลยในศาสนาพุทธ เลิกหลับตาปฏิบัติได้เลย หากไม่เลิกก็โง่เง่านิรันดรเลย
_ส.มือมั่น ช่วงลงปาฏิโมกข์ที่ผ่านมา พ่อครูได้เกริ่นกล่าวว่าได้ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แล้ว จะดับขันธ์เมื่อไหร่ก็ได้ ทำให้ผมนึกถึงพ่อครูเทศน์ถึง พระนางสิริมหามายา หลังจากให้กำเนิดเจ้าชายสิทธัตถะแล้วแค่ 7 วันก็ได้จากไป คนที่ทำหน้าที่สิริมหามายานี้จะต้องอายุสั้นใช่ไหม พระสารีบุตรก็ตามพระโมคคัลลานะก็ตาม พ่อครูก็เช่นกันหรือไม่? อยู่ที่ลูกๆแล้ว ว่าจะต้องทำอย่างไร อันนี้แสดงว่า พ่อครูพร้อมจะไปได้ทุกขณะใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า…สรุปง่ายๆว่าอาตมาจะตายก็ตายได้ใช่ไหม คืออันนี้นี่นะ จริงๆแล้ว พระอริยะ สายที่มีคุณวิเศษเรื่องนี้ จะตายเมื่อไหร่ก็ตายได้ เดินไปตอนก้าว ที่ 7 ก็จะตายก็ได้ แต่อาตมาไม่ได้เป็นคนที่ฝึกเรื่องนี้มาเลยเพราะฉะนั้นก็ไม่เก่งทำไม่ได้ แต่ก็เข้าใจ ทีนี้ตัวเองในขณะนี้ปางนี้ รู้อยู่ว่าทำงานยังไม่บริบูรณ์ ก็เลยไม่คิดว่าตัวเองจะตาย เป็นแต่เพียงว่าสรีระของเราไปไม่ได้ จริงๆแล้วจิตมันเลยอายุขัย ก็บอกแล้ว ว่า อายุขัยอาตมา 72 อาตมาก็ต่อมาจน 84 แล้วจะถูไถไปอีก
อาตมาไม่ค่อยเป็นที่พอใจ ก็จะต่อไปอีก 2 เพื่อพิสูจน์อายุขัย ก็จะทำอีกหลายนักษัตร ถ้า 72 + ไปอีกหนึ่งนักกษัตริย์ก็เป็น 84 หากอยู่ต่ออีก 1 นักษัตรก็เป็น 96 ถ้าอีก1 นักษัตรก็เป็น108 หากสรีระต่างๆมันไม่ไหว มันเสื่อมจนบำรุงไม่ขึ้นแล้ว แม้การแพทย์ก็ช่วยไม่ได้ เมื่อนั้นก็ควรยอมแพ้ แต่ทุกวันนี้ก็คิดว่าเสื่อมมากเหมือนกัน แต่ว่าอวัยวะส่วนสำคัญ เป็นต้นว่าหัวใจสมอง ตับไต ลำไส้ ทุกวันนี้อาตมายังไม่มีโรคพวกนี้เลย นี่ย่าง 85 แล้ว
ถ้าไปถึง 108 อาตมาสามารถพิสูจน์ได้ว่า พลังงานที่สามารถทำให้สรีระทำให้อวัยวะของเรา มันฟื้น มันกลับแข็งแรงขึ้นได้จริง อาตมาจะไปได้ฉลุยเลย 151 แต่ถ้านักษัตรที่ 2 ครบ96 แล้วไปอีกเป็น 108 ไป 120 ไปอีกเป็น132 ไปเป็น 144 ถ้าสรีระไม่ไหวทุกข์ทรมาน คนป่วยที่ป่วยมากทนต่อสังขารไม่ได้จึงตาย คนที่ตายคือทนต่อสังขารไม่ได้จึงตาย นอกจากคนที่สังขารไม่ไหวแล้ว กูก็ไม่ยอมตาย ก็ลำบากลำบนทนอยู่ ตัวเองก็ลำบากนะ มีความทุกข์เจ็บปวด ลำบากลำบนแต่ตัวเองยึดมั่นถือมั่นยังไม่อยากตาย ทั้งๆที่สรีระมันไม่ไหว ขนาดลูกเต้าเหล่าหลานบอกว่าไปเสียเถอะแต่ก็พูดไม่ได้ ก็มันสงสารก็เห็นใจมันแย่ แต่กลายเป็นว่าตัวเองไม่ยอมตาย
อาตมาจึงใช้ศัพท์ว่ารู้จักตายรู้จักโต เลี้ยงพ่อแม่ให้รู้จักตายเลี้ยงลูกให้รู้จักโต ตั้งชื่อลูกโตจนต้องมาดูแลแม่แล้ว ลูกเป็นอธิบดีแล้วก็มี แต่แม่ก็ยังห่วงลูกอยู่
_เย็นยิ่ง…ใบอโศกให้ถามว่า…เป็นคนจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ อยากให้พ่อครูต่อโศลกนี้อีกได้ไหม
พ่อครูว่า…ปีที่แล้วก็ต่อ เป็นปีที่สองแล้ว จะต่อไปอีกก็ไม่มีปัญหาอะไร
ขอเข้าเรื่องคนจนสุขสำราญเบิกบาน คุณพอจะรู้จักสภาวะความสุขสำราญเบิกบานใจคืออะไร รู้ใช่ไหม แล้วเราเองเรามีคุณสมบัตินั้นไหม เรามีอารมณ์อย่างนั้นไหม มีความรู้สึกอย่างนั้นไหม มีความสุขสำราญเบิกบานใจแล้วเราจนไหม…จน
นี่คือเรามีความจริง ความจนสุขสำราญเบิกบานใจนี้ มันมีเงื่อนไข มันมีมิติหลายอย่าง หนึ่ง คนที่มาเป็นคนจนแล้วอย่างที่เราพากันเป็น มันจะมีองค์ประกอบ มีเสนาสนะ มีสถานที่ ที่ประกอบไปด้วยพืชพรรณธัญญาหาร ที่นั่งที่นอนที่อยู่ และมีบุคคลคือสมาชิกพวกเรา และมีเครื่องอาศัยคืออาหาร สิ่งที่อาศัยอุปโภคบริโภคเครื่องกินเครื่องใช้ หรืออาหาร 4 กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร มีผัสสะ กระทบกับภายในภายนอก คนในคนนอก ดีไม่ดีไปสัมผัสกับเสียงปืนระเบิดในการชุมนุม แล้วคุณก็รู้มโนสัญเจตนาหาร รู้จักตัณหา 3
กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ให้ลดกามตัณหา ภวตัณหา จนหมดกามหมดภพ คุณก็ศึกษาอย่างนี้ อาศัยอย่างนี้ โดยอาศัยวิญญาณมีนามรูป แล้วก็ปฏิบัติธรรม ตามที่อาตมาเอามาพูดอธิบายจนหมดเกลี้ยงแล้ว วนไปวนมาอย่างนี้
สมณะหนักแน่น…เมื่อคืนพ่อครูตื่นมาบอกว่า ตี 1: 40 นาที พ่อครูตื่นมาไปห้องน้ำคนเดียว ก็เลยแจ้งให้ทราบว่า แจ้งความผิดของอาตมาให้ทราบว่าบางครั้งอาตมาก็ตามไม่ทัน
พ่อครูว่า…อาตมามีปัจฉาฯสมณะ 5 รูป จะไม่คลาดสายตาจากใครๆเลย แม้แต่วินาที ท่านหนักแน่นมาสารภาพว่า มีไม่ได้อยู่ด้วย คืออาตมาปวดขี้ จะไปปลุกใครก็ตนเองไปได้ ตี1:40ก็เท่านี้
สมณะหนักแน่นว่า ขอให้เสียงดังแตรมาอยู่ที่พ่อครูบีบแตรจะได้ตื่นมาทัน
พ่อครูว่า…อาตมาก็ไม่อยากจะไปรบกวนใครหรอกไปอุจจาระปัสสาวะนิดหน่อย ถึงเวลา 6 โมงก็ตื่น ตื่นก่อนก็ไม่ได้