610912_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สัจจะของความจริงและการทำกาละ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1jTz-rCnrg5wT1j8AHQAAsUabLaajUgmHQ85VyDHnnyY/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่..https://drive.google.com/open?id=1j7wJyST45NW2IgmaDkqSIYtJGxPupMFI
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันพุธที่ 12 กันยายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ในเดือนพฤศจิกายนก็จะเป็นงานมหาปวารณา เราย้ายจากศาลีอโศกมาจัดที่ราชธานีอโศก ถือว่าเป็นปีสำคัญเป็นปี 48 ปีโพธิกิจ 84 ปีพ่อครู
รายการภาคค่ำ เราพยายามติดตามหาแฟนพันธุ์แท้ของพ่อครู คิดว่า จะนำเสนอ 3 เรื่อง
-
แฟนพันธุ์แท้ที่ติดตามฟังธรรม
-
แฟนพันธุ์แท้ที่ติดตามอ่านหนังสือ
-
แฟนพันธุ์แท้ที่ฟังเพลงพ่อครู
เราพอประเมินกำลังกันได้ว่า ใครชอบอ่านใครชอบฟัง แต่ก็น่าจะมีพวกเราที่เป็นช้างป่า อยู่ไกล แม้อยู่ไกลพ่อไม่ได้อยู่วัดทีเดียว แต่ก็หาประโยชน์ได้จากการอ่านการฟังการฟังเพลง แต่รู้สึกว่ากลุ่มเพลงก็มีอยู่แล้ว อยากจะได้ได้พบเจอได้รู้ว่ามีใครเป็นแฟนพันธุ์แท้บ้าง
พ่อครูทุ่มเทให้กับการเขียนหนังสือมาก
ส่งข่าวว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้มาทางรายการนี้ได้
พ่อครูว่า..SMS 10 – 11 กันยายน 2561
_0629 ทวี สุทารส วจีบาลีธรรมของพ่อครูทำให้เข้าใจชัดเจน เช่น ศีล อธิศีล ธาตุ ญานธาตุ นิ่งกับเปลี่ยนแปลงฯลฯ กราบขอบพระคุณพ่อครูอย่างสูงยิ่งครับ
_1614 คนอยากมาอยู่บ้านราช คือศรัทธาคำสอนพ่อครู เราคนหนึ่งแหละอยากมามาก
_1614 ชาวอโศก บูชาพ่อครูอย่างทีหาเปรียบเทียบมิได้ เรายังคิดในใจเลยว่า เมื่อเทียบกับวัดอื่น การให้ข้อธรรมะไม่มีใครเหมือนพ่อครูเลยค่ะ. (ดูจากพ่อครูแสดงธรรม น่ะค่ะ /แปลงสาร)
พ่อครูว่า..ก็ดีแล้ว อนุโมทนาสาธุขอให้มีกำลังใจปฏิบัติธรรมจะมาอยู่บ้านราชให้ครบพัน ถ้าเต็มพันแล้วไม่ได้ชื่อว่าหนึ่งในพันนะให้รีบมา
_3867 ใครว่าคสช.เป็นรัฐประหารฯเผด็จการเลวร้ายคุกคามสิทธิเสรีภาพปชช.ฤา?ทั้งที่ทุกวันที่ปชช.ประสบภัย พิบัติใดก็มี4เหล่าทัพท.ตร.จนท.จิตอาสาฯช่วยเหลือทุกที่!
พ่อครูว่า..คนไม่เข้าใจเรื่องประชาธิปไตยกันแม้เป็นนักรัฐศาสตร์ พระพุทธเจ้าประกาศประชาธิปไตยในยุคนั้น ทำให้พระเจ้าแผ่นดินในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ยอมยกให้เลย พระพุทธเจ้าจะไปในประเทศใดแคว้นใดในอินเดีย เท่าที่การคมนาคมไปได้ แคว้นไหนก็ตาม พระเจ้าแผ่นดินทุกแคว้น แคว้นใหญ่ที่สุดแม้โกศลแคว้นมคธก็ยอมยกให้ พระพุทธเจ้าปลดแอก ทาส ปลดแอกทางวรรณะ ให้เป็นอิสระเสรีภาพอย่างแท้จริงเป็นสิ่งที่ยืนยันอ้างอิงได้ชัดเจน คนที่ยังไม่เข้าใจประชาธิปไตยยังมีอีกเยอะในโลก
ประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้ามี 1. มีอิสระเสรีภาพ 2. ไม่มีอัตตาตัวตน 3. มีความรู้ทางจิตวิญญาณ หากไม่มีความรู้ทางจิตวิญญาณจะไม่เอากษัตริย์ จะเป็นประชาธิปไตยขาเดียว กษัตริย์เป็นผู้เชื่อมโยงทางจิตวิญญาณเป็นการสืบสันตติวงศ์ข้ามชาติ
เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจจิตวิญญาณไม่เข้าใจกัน Rebirth เกิดแล้วเกิดอีกสืบทอด DNA ของตนเองไปเรื่อย ถ้าไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ก็ไม่ชัดเจน เป็นเรื่องอจินไตย เป็นเรื่องเข้าใจยาก อาตมาจึงไม่ได้ตายง่ายๆ เหนื่อยนะ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรมันต้องทำต้องพากเพียร
ผู้ที่ยังไม่เชื่อความเป็นจริงที่อาตมายืนยันว่ารัฐบาลไทยขณะนี้ โดยพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชาบริหารขณะนี้เป็นประชาธิปไตยที่สวยงามที่สุดในโลกเท่าที่โลกมีมาได้ในยุคนี้ ประมาณกว่าพันปี สองพันปี ตั้งแต่ในยุคพระพุทธเจ้ามา ตอนนี้ก็งามที่สุดเท่าที่มีได้ในสังคมมนุษยชาติ ไม่ใช่ของปลอมแปลง โมเม เป็นเรื่องจริง
การแสดงออกในเหตุการณ์ในประเทศไทยเป็นเรื่องของจิตอาสาอย่างแท้จริงไม่ใช่เรื่องการบังคับหรือทำเพราะหน้าที่ ไม่มีใครไปบังคับเขา ไม่มีใครจะสร้างให้มันเกิดได้มันเกิดตามเหตุปัจจัยที่ครบ
_แหม่ม สวิส · ภาพและเสียงชัดเจนดี ดูอยู่บนภูสูงหนึ่งพันหกร้อยกว่าเมตร เทือกเขาแอลป์สวิสทางตอนใต้ค่ะ
_เอื้อมพร เดนมาร์ก กราบนมัสการท่านสมณะค่ะ ขอส่งข่าวค่ะ โยมยังติดตามข่าวพ่อครู และหมู่กลุ่มตามปกติค่ะ พยายามอ่านใจตัวเองให้ลึกเข้าไป อ่านเข้าไปให้ถึงที่เกิดของกิเลส พยายามแยก เวทนาแท้/เวทนาเทียม พยายามอ่านตัวเอง จับตัวกิเลส มีเยอะเหลือเกินที่ต้องทำค่ะ ก็พยายามบอกตัวเองว่า หากล้างกิเลสไม่ได้ในชาตินี้ มันจะติดตามเราไปถึงชาติหน้า เกิดอีกครั้งก็ไม่รู้ว่าจะได้เกิดเป็นคน ได้เจอชาวอโศก ได้เจอพ่อครูอีกหรือเปล่า หรือว่าจะถูกโลกลากลงไปในอเวจี ค่ะโยมยังตั้งหน้าปฏิบัติธรรม พยายามหาทางที่จะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นในทางธรรมค่ะ
…วันนี้ ตื่นมาฟังธรรม ปลื้มใจที่ตังเองได้เตรียมตัว ซื้อตั๋ว และลางาน เพื่อจะไปร่วมงานมหาปาวรณาค่ะ จะเป็นคนหนึ่งในอาคาร 11ไร่ของพ่อครูค่ะ _/\_
_ใจแก้ว อโศกตระกูล เข่งอยากบอกกับพี่น้องบ้านราชว่าเข่งหายหน้าไปนานเพราะเรื่องน้องชายเสียชีวิตไป พี่น้องบอกให้เข่งอยู่เป็นเพื่อนกันอีกหน่อยน่ะ พอดีก็เรื่องแขนก็ยังทำอะไรยังไม่ได้ค่ะ เข่งจะกลับบ้านราชในวันที่ 27กันยานี้ค่ะท่านช่วยแจ้งให้พี่น้องทราบด้วยในรายการสำมะปี๋ชีวิต กราบนมัสการพ่อท่านด้วยว่าเข่งได้เปิดดูรายการพ่อท่านอยู่ทีปาดังเบซาร์ เข่งคิดถึงพ่อท่านและสมณะสิกขมาตุและพีทุกๆคน พี่น้องทุกคนด้วยค่ะ
_3867จำแม่นบ่แม่นว่า ตอนพ่อครูสอนธ.นร.สัมมาฯปฐมอโศกมีคำนี้ไหม?
…พระโสดาบันจะเห็นว่ากิเลสตนเองมีมาก?
…กิเลสหยาบเห็นง่ายในสามัญสำนึก!กิเลสขั้นกลางผุดเกิดในจิตใต้สำนึก!กิเลสละเอียดแตกตัวลึกๆในจิตไร้สำนึก!
พ่อครูว่า..ถูกต้องแล้วพระโสดาบันจะมีตาที่เห็นกิเลสตัวเองได้ ก็จะเห็นกิเลสตัวเองมาก แต่ไม่ต้องกังวล กิเลสมากเราก็ต้องเอาตัวที่จะจัดการได้ง่ายก่อน เป็นตัวที่ชัดเจน เอาไปตามลำดับอย่าไปเอาหมด ไม่อย่างนั้นหมดแรง ทำไปตามลำดับจับคู่ทีละคู่เป็นธรรมะ 2
สื่อธรรมะพ่อครู(เทวดา นรก สวรรค์) ตอน
_3867เพราะการฆ่าตัวตายทั่วโลกปีละหลายแสนคนฤาเปล่า?สณ.สม.จิตวิญญาณสัมภเวสีจึงติดวิบากกรรมวนเวียนไปทั่วผุดเกิดไม่ได้!คนใดป่วยจิตตกอ่อนแอขวัญหายจึงถูกสัมเภสีเหล่านี้แทรกแซงแฝงร่างทำลายสุขภาพอ่อนแอได้อันนี้จริงไหม?
พ่อครูว่า..พอทีเถอะ คุณอย่าไปห่วงจิตวิญญาณต่างๆเหล่านั้นแหละ คุณจะพยายามทำทีเข้าใจว่าจะเป็นยานเป็นอย่างนั้นอย่างนี้โดยเฉพาะจิตวิญญาณอย่างอื่น จิตวิญญาณล่องลอยจิตวิญญาณใดๆ คุณอย่าไปนึกคิดถึงจิตวิญญาณเหล่านั้น มันมิจฉาทิฐิๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้คิดถึงเรื่องอย่างนั้น ให้มาเรียนรู้จิตวิญญาณเป็นปัจจุบันที่มี ผัสสะ เกิดของเรานี่ คิดอย่างนั้นอย่าไปคิดถึง เพราะมันไม่ง่าย และมันก็ไม่จำเป็นจะไปคิดถึงสิ่งเหล่านั้น เราจะปฏิบัติธรรมให้ลึกซึ้งเราจะรู้เรื่องจริง แล้วคุณจะรู้เองว่า แม้เรารู้เราเข้าใจลึกซึ้ง เราก็เอามาบอกคนอื่นไม่ง่าย และยิ่งสูงขึ้นคุณจะเห็นว่าไม่ควรเอาสิ่งเหล่านั้นมาพูดกับคนในระดับที่เราอย่างไรเขาก็ไม่รู้เรื่อง อย่างเก่งก็ โม้ว่าตนเองรู้เท่านั้น ถ้าอยากอวดอยู่ก็อยากอธิบาย แต่ถ้าลดกิเลสสาเฐยจิต ก็จะไม่อยากอวด คนที่อยากอวดอยู่ก็ทำให้คนอื่นเข้าใจได้ยากไม่เหมาะสม อย่าไปห่วงเรื่องเหล่านั้นเลย ลดสิ่งที่ฟุ่มเฟือยเกินเลย คุณ 3867 คุณนั้นจะออกไปทางมาก ต้องหัดตัดเสียบ้าง
สื่อธรรมะพ่อครู(เทวดา นรก สวรรค์) ตอน ทำอย่างไรจะรู้ก่อนผีเข้า
_เจน ฮู เชอร์ · ถาม เจ้าค่ะ ผีเกิดขึ้นแล้วมาจับได้ทีหลัง ทำงัยจะรู้ก่อนผีเข้าเจ้าค่ะ?
พ่อครูว่า..ไม่ง่าย จะรู้ก่อนผีเข้าต้องฝึกฝนตนเองให้มีสติ เก่ง เร็วไว การรู้ตัวทั่วพร้อมในวัยและจะรู้ทัน ถึงอย่างนั้นผีเกิดมันก็ต้องเกิดก่อนในจิตเรา มันไม่เกิดก่อนเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นผี ก็ต้องดูตัวจริงของจริงว่าเป็นผีเกิด คุณจะรู้มันได้ สติคุณต้องเร็วๆ เมื่อไหร่คุณก็จะรู้ว่ามันเกิดขึ้น มันเกิดมาตั้งนานแล้วค่อยรู้ นี่พวกเราจะชัดเจนว่าเราปล่อยให้มันเกิด จะรู้ทันมันได้
แต่จะรู้ก่อนมันเกิดไม่ได้ ถ้ารู้ก่อนมันเกิดผีล่องลอยมันไม่ได้ มันต้องสัมผัสแล้วมันเกิดกิเลสที่จิตเรา ก็ต้องอ่านว่ามันเป็นผี มันผสมมาหลอกลวงเป็นเวทนาก่อน เป็นอารมณ์สวรรค์ ปลอมตัวเป็นเทวดา มันจะปลอมตัวเป็นเทวดาก่อนทั้งนั้น ผี มันไม่บอกคุณว่าเป็นผีหรอก มันไม่ทำตัวเป็นผีหรอก พอคุณจับตัวเทวดานี้ได้ เทวดาก็คือตัวผีของคุณ
อาตมาขอบอกความจริงให้ฟัง เทวดาทุกตัวก็เป็นผีทุกตัว เทวดาคือจิต ผีจริงๆแล้วคือสัตว์นรกแฝง
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าสัตว์นรกมี 2 อย่าง
มโนปโทสิกะ กับขิฑฑาปโทสิกะ แล้วมาหลอกว่าเป็นเทวดา มโนปโทสิกะเทวดา กับขิฑฑาปโทสิกะเทวดา แปลงตัวว่าฉันนี่แหละทำให้คุณเป็นสุขแต่ที่จริงแล้วมันเป็นโทษ หลอกว่าไม่เป็นโทษ มันเป็นเรื่องทุกข์ไม่ใช่เรื่องสุข ขิฑฑา แต่ว่าเรื่องสนุกรื่นเริงบันเทิงใจที่จริงมันเป็นทุกข์ไม่ใช่สุข นี่คือมันหลอก จึงเรียกว่าเป็นผี ภาษาไทยว่า ผีหลอก เพราะมันเป็นผีมันจึงหลอก ถ้าเป็นเทวดาจริง เรียกอุปัติเทพ ไม่มีหลอก อุปัติเทพ คือเทพที่รู้จักกิเลสลดกิเลสได้จึงเกิดอุบัติเกิด เป็นผู้ที่มีสมาธิที่สัมมาปฏิบัติ จิตก็เกิดใหม่เป็น อุปัติเทพ
จิตคนทั่วไปคือสมมุติเทพ ส่วนอุปัติเทพคือเทพที่มีส่วนลดกิเลสได้ จนจิตละกิเลสได้เต็ม เป็นวิสุทธิเทพเป็นเทวดาขั้นพรหม สะอาดมีจิตที่บริสุทธิ์ เป็นเทวดามีจิตระดับสูงสุด ก็ต้องทำวิสุทธิเทพให้ถาวร
ผู้อ่านสภาวะจิตที่อาตมาพูดถึง อุปัติเทพ สมมุติเทพ วิสุทธิเทพนี้ได้ คนปฏิบัติได้อย่างมีสภาวะจะเข้าใกล้อรหันต์แน่นอน ศึกษาดีๆทำให้ดีๆก็แล้วกัน
สรุปแล้วจะทำอย่างไรจะรู้ก่อนผีเกิด เป็นไปไม่ได้มันต้องรู้ทีหลัง แต่มันทำให้เร็วได้จนกิเลสมันโตขึ้นไม่ทัน ดูจนกระทั่งสัมผัสแล้วเกิดคุณก็รู้ทันทันที แล้วคุณก็แยกกิเลสออก คือแยกกิเลสเหตุแห่งผีได้ คุณก็กำจัดได้จะมีประสิทธิภาพอย่างไรก็แล้วแต่ แล้วจะจัดการกิเลสได้จริง ขอยืนยันว่านี่ไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อไม่ใช่เรื่องหลงใหลอย่างแท้จริง อาตมานำธรรมะพุทธเจ้ามาเปิดเผยในยุคนี้ อาตมาพูดเหมือนดูถูกคนอื่นว่าไม่มีใครรู้เท่าเรา เราใหญ่ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะว่าพูดความจริง ก็พยายามประกาศหาพี่อาตมา ผู้ที่รู้ว่า ที่เป็นพี่ ก็ยังไม่เห็นมีใครประกาศ มีคนแสดงตัวทำทีว่าเป็นพี่ แต่ไล่ไปไล่มาก็ไม่กล้าสู้ ขออภัยพูดแล้วเหมือนนักเลงโต
_บุญธรรม ดวงยุพา รายการธรรมที่แท้จริงคนดูน้อยเพราะคนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธผิดทาง
พ่อครูว่า..ตอนนี้มีอัตราก้าวหน้า คนกำลังแสวงหาโลกุตระมากขึ้น ถ้าเป็นทางเคมีฟิสิกส์ก็ยังไม่ถึงจุดสันดาป ไม่ถึงจุดหลอมละลาย ยังไม่ถึงจุดที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพ ธาตุเดิมให้เป็นธาตุอื่น จุดสำคัญยังไม่ถึง Critical Point
_chana kanc ศาสนาพุทธ มีแต่กรรม กับกาล เท่านั้นที่เป็นจริง เรียนรู้กระทบสัมผัสในกิจกรรมการงาน ในขณะ พูด ทำ คิด แล้วพิจารณาจนเห็นกิเลส และ ลดกิเลสได้ นี่ดีจริงๆค่ะ
พ่อครูว่า..
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน
สิกขมาตุรินฟ้า
สมณะแสนดิน
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยสัจ 4) ตอน
พ่อครูว่า…ที่อาตมาทำงานมาย่าง 48 ปี ที่จะจัดงานกันในมหาปวารณา ก็เพื่อให้เกิด
-
ตรวจสอบความจริงขึ้นบ้าง ว่าผู้ที่เข้าใจเห็นคุณค่าของธรรมะโลกุตรธรรม จริงแค่ไหนมากแค่ไหน เพราะฉะนั้น ก็เช็คผล ดู จึงจัดงานขึ้นมาเพื่อรวมตัวกันดูซิ แล้วก็มาสัมภาษณ์อะไรกันในสิ่งที่ควรสำหรับให้มันสำคัญยิ่งขึ้น เท่าที่เราสามารถแจกแจง ในสิ่งที่เรารู้ พยายามทำมามีหลักฐานอะไรมาแสดง และมีความกล้า ในคนที่จะแสดงออก เพราะว่ามันมี ซ้อนๆ
คนที่พอรู้พอเข้าใจในเรื่องของอโศก มีไม่น้อย แต่ยังไม่กล้าแสดงตัว มีอีกไม่น้อย โดยเฉพาะผู้ที่ติดชนักในลาภยศสรรเสริญโลกีย์ เขาไม่กล้าแสดงออก ในหมู่นั้น เขาจะไม่เจริญในทางโลกในหมู่นั้น แต่ถ้าผู้ที่มั่นใจว่าทางโลกที่จะได้ลาภยศสรรเสริญ เขาไม่กลัว คนเรานั้นจะกล้าแสดงตัว แต่คนที่ยังติดยังกลัวเสื่อมในลาภยศสรรเสริญความสุขโลกีย์ ก็จะไม่กล้าแสดงตัวก็จะอยู่กับมวลหมู่นั้น เสียก่อน เสร็จแล้วก็ตายไป ในขณะที่ยังไม่กล้า
แต่คนที่มีภูมิธรรมทางโลกุตระเป็นคนกล้าหาญ เป็นคนไม่แคร์ในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ผู้ที่จะมีจิตระดับนี้ขึ้นไปก็ต้องเป็นอนาคามีขึ้นไป ถ้าหากระดับโสดาบันก็ยังไกล เขายังไม่กล้าเพราะยังมีโลกธรรมไม่ใช่น้อย เขาก็ยังอาศัยศึกษาเอาเพิ่มไป พวกนี้ก็ดำเนินไป แน่นอนก็ช้า แต่ถ้ามาอยู่กับหมู่มิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีอะไรๆที่พร้อม มันก็จะเร็ว มันก็จะเจริญเร็ว แต่ก็มันก็ส่วนบุคคลนะ ใครจะกล้าตัดสินใจอย่างไร มีบารมีอย่างไรมันก็ต้องเป็นไปตามจริง
เพราะฉะนั้นในงานนี้ก็จะเป็นงานที่มีอีกหลายอย่าง บอกไปว่างานนี้ดี รู้ตัวรู้ทัน เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ต้องบอก มาก็จะได้รับสิ่งเหล่านั้นได้เองโดยตัวบุคคลผู้ที่มาเองก็จะได้เอง บอกไปแล้วมันก็ไม่ใช่ของจริง มารับเองแล้วจะเป็นของจริง มันเป็นเรื่องอจินไตยหลายอย่าง ในกรรมกับกาล เป็นเรื่องของกรรมและปฏิกิริยาในเรื่องของปัจจุบัน
อาตมาเคยย้ำสำทับว่า ความจริงของพุทธเจ้านั้นคำว่าความจริง คำนี้ใครๆก็เอาไปพูด แต่ความจริงที่จริงที่สุด ในความหมายของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าสัจจะมีหนึ่งเดียว ใครก็กล่าวคำว่าสัจจะ ถ้าไปอ่านใน จูฬวิยูหสูตร สัจจะมีหนึ่งเดียว ใครก็อ้างว่าของตนเองเป็นสัจจะ
ผู้ที่รู้ความจริงแล้วก็ไม่ไปทะเลาะกับใคร เป็นแต่เพียงว่าจะมุ่งมั่นในการขยายความจริงนี้เท่านั้น จะขยายความจริงนี้
จูฬวิยูหสูตรที่ 12
พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
[419] สมณพราหมณ์ทั้งหลายยึดมั่นอยู่ในทิฐิของตนๆ ถือมั่นทิฐิ
แล้ว ปฏิญาณว่าพวกเราเป็นผู้ฉลาด ย่อมกล่าวต่างๆ กันว่า
ผู้ใดรู้อย่างนี้ ผู้นั้นชื่อว่ารู้ธรรมคือทิฐิ ผู้นั้นคัดค้านธรรมคือ
ทิฐินี้อยู่ ชื่อว่าเป็นผู้เลวทราม สมณพราหมณ์ทั้งหลายถือมั่น
ทิฐิแม้ด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมโต้เถียงกัน และกล่าวว่า ผู้อื่น
เป็นคนเขลา ไม่ฉลาด วาทะของสมณพราหมณ์สองพวกนี้
วาทะไหนเป็นวาทะจริงหนอ เพราะว่าสมณพราหมณ์ทั้งหมด
นี้ ต่างก็กล่าวกันว่าเป็นคนฉลาด ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
หากว่าผู้ใดไม่ยินยอมตามธรรม คือ ความเห็นของผู้อื่น ผู้นั้น
เป็นคนพาล คนเขลา เป็นคนมีปัญญาทราม ชนเหล่านี้
ทั้งหมดก็เป็นคนพาล เป็นคนมีปัญญาต่ำทราม เพราะว่าชน
เหล่านี้ทั้งหมดถือมั่นอยู่ในทิฐิ ก็หากว่าชนเหล่านั้นเป็นคน
ผ่องใสอยู่ในทิฐิของตนๆ จัดว่าเป็นคนมีปัญญาบริสุทธิ์
เป็นคนฉลาด มีความคิดไซร้ บรรดาคนเจ้าทิฐิเหล่านั้น ก็จะ
ไม่มีใครๆ เป็นผู้มีปัญญาต่ำทราม เพราะว่าทิฐิของชนแม้
เหล่านั้น ล้วนเป็นทิฐิเสมอกัน เหมือนทิฐิของพวกชนนอกนี้
อนึ่ง ชนทั้งสองพวกได้กล่าวกันและกันว่าเป็นผู้เขลา เพราะ
ความเห็นใด เราไม่กล่าวความเห็นนั้นว่าแท้ เพราะเหตุที่ชน
เหล่านั้น ได้กระทำความเห็นของตนๆ ว่าสิ่งนี้เท่านั้นจริง
(สิ่งอื่นเปล่า) ฉะนั้นแล ชนเหล่านั้น จึงตั้งคนอื่นว่า
เป็นผู้เขลา ฯ
พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
สมณพราหมณ์แต่ละพวก กล่าวทิฐิใดว่าเป็นความจริงแท้
แม้สมณพราหมณ์พวกอื่นก็กล่าวทิฐินั้นว่า เป็นความเท็จ
ไม่จริง สมณพราหมณ์ทั้งหลายมาถือมั่น (ความจริงต่างๆ
กัน) แม้ด้วยอาการอย่างนี้แล้ว ก็วิวาทกันเพราะเหตุไร
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย จึงไม่กล่าวสัจจะให้เป็นหนึ่งลง
ไปได้ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
สัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น สัจจะที่สองไม่มี ผู้ที่ทราบชัดมา
ทราบชัดอยู่ จะต้องวิวาทกันเพราะสัจจะอะไรเล่า สมณ-
พราหมณ์เหล่านั้น ย่อมกล่าวสัจจะทั้งหลายให้ต่างกันออกไป
ด้วยตนเอง เพราะเหตุนั้น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย จึงไม่
กล่าวสัจจะให้เป็นหนึ่งลงไปได้ ฯ
พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
เพราะเหตุไรหนอ สมณพราหมณ์ผู้เป็นเจ้าลัทธิทั้งหลาย
กล่าวยกตนว่าเป็นคนฉลาด จึงกล่าวสัจจะให้ต่างกันไป สัจจะ
มากหลายต่างๆ กัน จะเป็นอันใครๆ ได้สดับมา หรือว่า
สมณพราหมณ์เหล่านั้น ระลึกตามความคาดคะเนของตน ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
สัจจะมากหลายต่างๆ กัน เว้นจากสัญญาว่าเที่ยงเสีย ไม่มี
ในโลกเลย ก็สมณพราหมณ์ทั้งหลายมากำหนดความคาด
คะเนในทิฐิทั้งหลาย (ของตน) แล้ว จึงกล่าวทิฐิธรรมอัน
เป็นคู่กันว่า จริงๆ เท็จๆ ก็บุคคลเจ้าทิฐิ อาศัยทิฐิธรรม
เหล่านี้ คือ รูปที่ได้เห็นบ้าง เสียงที่ได้ฟังบ้าง อารมณ์ที่ได้
ทราบบ้าง ศีลและพรตบ้าง จึงเป็นผู้เห็นความบริสุทธิ์ และ
ตั้งอยู่ในการวินิจฉัยทิฐิแล้วร่าเริงอยู่ กล่าวว่า ผู้อื่นเป็นคน
เขลาไม่ฉลาด บุคคลเจ้าทิฐิย่อมติเตียนบุคคลอื่นว่าเป็นผู้เขลา
ด้วยทิฐิใด กล่าวยกตนว่าเป็นผู้ฉลาดด้วยลำพังตน ย่อมติเตียน
ผู้อื่นกล่าวทิฐินั้นเอง บุคคลยกตนว่าเป็นคนฉลาด ด้วยทิฐิ
นั้น ชื่อว่าเจ้าทิฐินั้นเต็มไปด้วยความเห็นว่าเป็นสาระยิ่ง
และมัวเมาเพราะมานะ มีมานะบริบูรณ์ อภิเษกตนเองด้วย
ใจว่า เราเป็นบัณฑิต เพราะว่าทิฐินั้น ของเขาบริบูรณ์แล้ว
อย่างนั้น ก็ถ้าว่าบุคคลนั้นถูกเขาว่าอยู่ จะเป็นคนเลวทราม
ด้วยถ้อยคำของบุคคลอื่นไซร้ ตนก็จะเป็นผู้มีปัญญาต่ำทราม
ไปด้วยกัน อนึ่ง หากว่าบุคคลจะเป็นผู้ถึงเวท เป็นนักปราชญ์
ด้วยลำพังตนเองไซร้ สมณพราหมณ์ทั้งหลายก็ไม่มีใครเป็น
ผู้เขลา ชนเหล่าใดกล่าวยกย่องธรรม คือ ทิฐิอื่นจากนี้ไป
ชนเหล่านั้นผิดพลาด และไม่บริบูรณ์ด้วยความหมดจด
เดียรถีย์ทั้งหลายย่อมกล่าวแม้อย่างนี้โดยมาก เพราะว่า
เดียรถีย์เหล่านั้นยินดีนักด้วยความยินดีในทิฐิของตน เดียรถีย์
ทั้งหลาย กล่าวความบริสุทธิ์ในธรรม คือทิฐินี้เท่านั้น หากล่าว
ความบริสุทธิ์ในธรรมเหล่าอื่นไม่ เดียรถีย์ทั้งหลาย โดยมาก
เชื่อมั่นแม้ด้วยอาการอย่างนี้ เดียรถีย์ทั้งหลาย รับรองอย่าง
หนักแน่นในลัทธิของตนนั้น อนึ่ง เดียรถีย์รับรองอย่างหนัก-
แน่นในลัทธิของตน จะพึงตั้งใครอื่นว่าเป็นผู้เขลาในลัทธินี้เล่า
เดียรถีย์นั้น เมื่อกล่าวผู้อื่นว่าเป็นผู้เขลา เป็นผู้มีธรรมไม่
บริสุทธิ์ ก็พึงนำความทะเลาะวิวาทมาให้แก่ตนฝ่ายเดียว
เดียรถีย์นั้น ตั้งอยู่ในการวินิจฉัยทิฐิแล้ว นิรมิตศาสดาเป็น
ต้นขึ้นด้วยตนเอง ก็ต้องวิวาทกันในโลกยิ่งขึ้นไป บุคคลละ
การวินิจฉัยทิฐิทั้งหมดแล้ว ย่อมไม่กระทำความทะเลาะวิวาท
ในโลก ฉะนี้แล ฯ
จบจูฬวิยูหสูตรที่ 12
พ่อครูว่า…องคุลีมาลบอกว่า หยุดก่อนสมณะหยุดก่อน แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าเราหยุดแล้วแต่เธอยังไม่หยุด คงไม่ได้หมายถึงว่าพระพุทธเจ้าเดินอยู่ แต่เป็นเรื่องสะดุดใจองคุลีมาล ก็บอกว่าหยุด แต่หยุดอย่างไรก็ยังเดินอยู่ นี่คือ สิริมหามายาเป็นความลึกซึ้งซับซ้อน คนยุคพระพุทธเจ้ามีบารมีเยอะสอนก็ได้ตรัสรู้เร็ว แต่ยุคนี้สอนไปเถอะเมื่อยไปเถอะ เมื่อยจนตายไม่ลง จะตายก็ตายไม่ได้ จะทรมานทรกรรมไปอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่เอาเถอะอาตมาเต็มใจทรมานเต็มใจจะทำสิ่งนี้ก็พยายามเอา ถือว่าอาตมาแลก ถ้าอาตมาทำงานนี้อาตมาเป็นคนเจริญไม่ได้เป็นคนสูญเสีย อาตมาเหนื่อย แต่ก็เจริญ มันมีภูมิธรรมมันมีบารมี ที่เราจะได้ดูเพิ่มเติม ได้เยอะขึ้น ความจริงที่มันยังไม่ตรงมันก็จะตรงขึ้นอีก มันเป็นอานิสงส์ 5 ประการของการฟังธรรมอย่างแท้จริง อาตมาก็เลยเต็มใจทำ ก็เลยไม่คิด แล้วว่าจะตายหรือไม่ตายกลายเป็นว่าจะพยายามรักษาขันธ์ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เมื่อยก็เมื่อยว่ะ เมื่อยก็พัก ไม่เมื่อยก็เพียร
อย่าให้เมื่อยมันตัดรอนอายุเรา อย่าให้เมื่อยฆ่าเราตายในร่างนี้ชาตินี้ ก็พยายามเรียนรู้ลึกซึ้งส่วนนี้อยู่ ผู้ที่จะช่วยกันก็พยายามช่วย นี่ก็มีคิดสูตรใหม่ พยายามจะทำพีระมิดให้อยู่ เป็นสิ่งที่ยุคอียิปต์โบราณทำขึ้นมาใช้ทำให้ศพไม่เน่า เพราะฉะนั้น พวกเราก็เลยจะพิสูจน์ทำพีระมิด เอาผลไม้มาใส่ไว้ในพีระมิดกับอยู่ข้างนอก ผลไม้ที่อยู่ในพีระมิดสดได้นานกว่าอยู่ข้างนอก อาตมาพอมีความรู้อันนี้ก็กำลังให้เขาสร้าง
พูดไปตรงนี้ เราเอาพีระมิตรมาใช้ โดยเราเรียกเครือแหของพวกเราว่า Pyramidal web เป็นข่ายแห คนฟังแห ก็ว่านึกไม่ออกแต่ ตาข่ายมันระนาบเดียวมิติเดียวแต่ พีระมิดมันมีเนื้อในด้วยเหมือนกับจอมแห แล้วเป็นสี่เหลี่ยมด้านเท่า แล้วมีเนื้อในแน่นด้วย อาตมาเลยเห็นว่า แห ภาษาไทย ไปใช้ภาษาฝรั่งว่า pyramid จึงใช้คำว่า Pyramidal web จนมาเป็นสภาวะอีก ก็พิสูจน์กันดู ถ้าพิสูจน์ได้ก็จะเป็นประโยชน์มาก ต่อไปเมืองไทยจะได้สร้างพีระมิดกันอีกเยอะ ก็ลองดู ไม่น่าจะเสียหายอะไร แล้วเราก็มีที่ทำได้ อาตมาก็เห็นว่าจะให้ทำ มันมีเหตุผลหลักฐานอยู่ ถ้าเป็นเรื่องจริงเป็นไปได้จริงก็จะเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ในอนาคต
_มีคนให้อาตมาเสนอความหมายของความจริง อาตมาได้นิยามความหมายของความจริงหรือสัจจะไว้ 10 ประการ ว่า
1.เป็นความดี
2.มีความถูกต้อง
3.มีคุณค่าเป็นประโยชน์
4.ต้องพ้นทุกข์อริยสัจ
5.ต้องเป็นไปได้จริง
6.รู้ได้จากสัมผัสปัจจุบัน แม้ที่สุด..รู้กระทั่งนามธรรมในระดับสุญญตา หรืออนัตตาอย่างแจ้งใจ
-
เข้าถึงความจริงนั้น หรือตนเองเป็นได้ ตามความรู้นั้นๆ แล้ว อย่างเต็มใจ
-
ผู้ฉลาดแท้หรือปราชญ์แท้ก็จะจำนนยอมรับ ต่อผลของความจริง ที่เป็นแล้ว ที่มีแล้วนั้น
-
ไม่แปรเป็นอื่นอีกแล้ว (อวิปริณามธัมมัง)
10.ท้าทายให้มาพิสูจน์ได้ (เอหิปัสสิโก)
พ่อครูว่า..อาตมาจำได้ว่าได้ขยายความไปมากกว่านี้แล้ว ตอนนี้ยังรวบรวมไม่ได้ มันเป็นความจริงโลกุตรธรรม คนที่ได้โลกุตรธรรมก็เป็นอาริยบุคคล เป็นเรื่อง supra mundane เป็นเรื่องเหนือกว่าโลกียะสามัญทั่วไป mundane
แต่ของทางโลกุตระนี้ supra อาตมาชอบใช้คำว่า supra มากกว่า super ซึ่งเป็นเรื่องเหนือชั้นกว่าโลกุตระ
ทางยุโรป เป็นเทวนิยมจึงไม่มีภาษาของโลกุตระ แต่ภาษาบาลีพระพุทธเจ้านั้นแต่งเองจึงเป็นภาษาโลกุตระที่เอามาพูดกันได้ ทางโน้นแม้จะเป็นชาวยุโรป เขาก็ต้องมาเรียนภาษาบาลี ถึงจะรู้จักสภาวะสัจจะที่แท้จริง
ขอขยายความต่อ ว่า กรรมกับ กาละ
กรรมคือการกระทำ กรรมคือ กิริยาอาการของคนทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม กรรมก็มี 3 นี้แหละ สรุปย่อย กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
กายกรรมนี่แหละ เป็นเรื่องรู้กันที่เห็นง่ายแสดงออกข้างนอกได้เห็นชัดเจน แต่คำว่ากรรมนี้มันไม่มีชีวะโดยชีวะของคนด้วย กรรมนี้เป็นชีวะของจิตนิยาม แม้เดรัจฉานก็เป็นจิตนิยาม ส่วนพีชะ ไม่มีกรรม ไม่ถือว่าเป็นกรรม ไม่มีวิบากสั่งสม แต่จิตนิยามแม้เป็นสัตว์เดรัจฉานก็มีกรรมสะสมแล้ว มีเวทนามีวิญญาณ สะสม เพราะฉะนั้นกรรมดีกรรมชั่วสะสมมาและคนมันชั่วมาก่อน มันไม่รู้มันมีอวิชชามาก่อน สัตว์เดรัจฉานตั้งแต่เซลล์เดียวก็มีอวิชชามาตั้งแต่เท่าไร สะสมไปอีกเยอะ ยิ่งหลงตัวไปทางโลกีย ได้รับการสรรเสริญเป็นสมบัติผลัดกันชม หลงอะไรอร่อยกับความสุขใน ลาภ ยศ สูง สรรเสริญเยินยอ สุขโลกีย์ วนซ้ำซากมากและบาปหนัก
ใครที่ได้มีกุศล มีธาตุรู้ ได้มาเจอศาสนาพุทธแล้วก็ได้สะดุด สามารถที่จะเกิดภูมิปัญญา ภูมิปัญญาจะเกิดได้สองนัย จะมาเป็นโลกุตระได้
นัยหนึ่ง คุณเป็นธรรมชาติสะสมไปจนมันเต็มไม่รู้จะเต็มอย่างไรแล้วมันจึง จะเกิดตัวธาตุรู้ที่สามารถรู้โลกุตระได้ อันนี้มันนานมากเสียเวลาจริงๆ เพราะฉะนั้นมีทางลัดทางเดียวที่พระพุทธเจ้าสอน ต้องได้รับถ่ายทอดจากสัตบุรุษ ผู้รู้จริง เช่น พระพุทธเจ้าแน่นอนได้รับจากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้านี้รวดเร็ว แต่ผู้ที่เป็นสัตบุรุษผู้ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ จริง เป็นผู้ที่ถูกต้องจริงตามพระพุทธเจ้ามาเป็นผู้ถ่ายทอด จะรุ่นไหนก็แล้วแต่ที่มีของจริง
เพราะฉะนั้นคนจะเชื่อได้อย่างแท้จริงว่าเป็นสัตบุรุษ ก็คือคนในระดับสยังอภิญญา
มีคำว่า 1. ปัจจัตตัง 2.ปัจเจก 3. สยังอภิญญา 4. ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า 5. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าคือผู้ที่มีพระสัพพัญญูเท่ากันกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ท่านไม่ประกาศตนเองว่าเป็นพระพุทธเจ้าในโลก แล้วท่านก็ปรินิพพานเอง
แต่คนไปเดาว่าพระปัจเจกพระพุทธเจ้าคือคนที่สอนคนอื่นไม่ได้ รู้ได้แต่ตนเอง นี่คือการเดา ไม่รู้จักสภาวะธรรม อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับนี้จึงรู้ความจริงอันนี้ ถ้าอาตมาไม่ใช่โพธิสัตว์ระดับนี้อาตมาก็ไม่รู้ แล้ว ไม่มีใครพูดหรอก อาตมานี้แหละเป็นคนประกาศในยุคนี้อันนี้ ไม่มีใครพูดหรอกเรื่องนี้ เรื่องที่อาตมาอธิบายปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าคือใคร คือผู้ที่มีสัมมาสัมโพธิญาณ พระสัพพัญญู เท่ากันกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แค่คำว่า พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง
พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ประกาศตัวเองในโลก คนในโลกก็เลยไม่รู้ว่านี่คือพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง เอาเข้าทำเนียบไปไล่ลำดับ องค์นี้ไม่ได้ประกาศตัวเองก็เลยไม่ได้เข้าทำเนียบกับเขา ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในโลก เพราะคนไม่รู้จัก ท่านอาจจะมาเกิดร่วมกับเรานี่ แล้วท่านก็ปรินิพพานของท่านไปเป็นปริโยสาน เลิกโดยท่านไม่ประกาศตัวเองเลยเป็นอิสระเสรีภาพของท่าน กว่าจะเป็นพระโพธิสัตว์เป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้าไม่ใช่ธรรมดานะมันเมื่อยนะ อาตมาว่าขอเป็นพระพุทธเจ้าเป็นที่สุดเท่านั้น อาตมาไม่เชื่อว่าอาตมาจะจบที่ปัจเจก คนที่จบที่ปัจเจกเพราะว่าคนนั้นทำอนันตริยกรรม เพราะฉะนั้นคนไปทำอนันตริยกรรมแล้ว ไม่สามารถที่จะไป ซ้อนอีก อนันตริยกรรมก็มีหลายอย่าง โดยเฉพาะสูงสุด ไปทำให้พระบาทพระพุทธเจ้าห้อโลหิต
ผู้เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าคือผู้ไม่ประกาศต่อโลกว่าเป็นพระพุทธเจ้าจึงไม่ได้เข้าทำเนียบพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งของโลก เท่านั้นเองแต่ท่านเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่ากันกับพระพุทธเจ้า อันนี้เป็นเรื่องสูงสุดที่เดาเอาไม่ได้ ถ้าอาตมาไม่พูดนี้ รับรองว่าใครจะมาพูด
ได้มหาปุริสลักษณะเหมือนกันแต่ว่า คนจะไม่เข้าใจเรื่องมหาปุริสลักษณะได้ทั้งหมดหรอก อย่างอัมพัฏฐสูตรก็ตาม ก็บอกว่ามีครบแต่อัมพัฏฐะก็ยังไม่เชื่อว่าเป็นพุทธเจ้าอีก ก็แสดงว่า อัมพัฏฐะโง่ มันตรงกับตำราที่ตัวเองเรียนมาทุกอย่าง แล้วตัวเองไปแวะโง่เอง
สยังอภิญญา แล้วก็มาปัจเจก ส่วนปัจจัตตัง เป็นได้ของตอนทีละอัตตาทีละเรื่อง จนได้ระดับหนึ่งเรียกว่าปัจเจกบุคคล เป็นปัจเจกเพิ่มของตน อย่างปัจจัตตังเป็นของตนเองแต่ยังไม่ถึงเป็นสยังอภิญญา มีปัจเจกสยังอภิญญา กับปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า
ปัจเจกในขั้นต่ำกว่า สยังอภิญญา คำว่าสยังอภิญญาคือรู้เอง เกิดมาในยุคไหนก็แล้วแต่ในยุคนั้นไม่มีใครรู้ตามคุณได้ คุณไมได้ฟังจากใคร เอาของตนเองมาแต่ชาติก่อน เป็นปัจเจกของตนเองมาแต่ชาติก่อน ซึ่งสูงขั้นสยังอภิญญาแต่ก็ยังไม่ใช่ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า
อย่างเช่นระดับ 7 อันดับ 8 ก็ยังไม่ใช่ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก็เป็นปัจเจกไปตามลำดับ เป็นลำดับที่ 8 ขึ้นไปหาระดับที่ 9
ขั้น 9 ก็มีสองขั้น ขั้นเต็มกับขั้นไม่เต็ม สัมมาสัมพุทธเจ้า 2 ขั้น เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นขั้นที่เต็มก็เท่ากับสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ
สัมมาสัมพุทธะสัมมาสัมพุทโธคือผู้ตรัสรู้เองเป็นธรรมะสามี เป็นเจ้าของธรรมะแล้ว ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะก็เป็นเจ้าของธรรมะ แต่ไม่ได้ประกาศกับใคร ในโลก ชัดเจนขึ้นไหม แล้วท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน
พวกเราจะเข้าใจปรินิพพานเป็นปริโยสาน ที่เป็นข้อที่ 10 ของมูลสูตร
มูลสูตร แม้ใน ระดับที่ 7 ระดับที่ 8
-
มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . .
-
มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) . . . .
-
มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) . . .
-
มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) .
-
มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) . . .
-
มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) . . . .
-
มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด
-
มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง
-
มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน.
-
มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน
(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 58)
พ่อครูว่า…วิมุติเป็น Static ปัญญาเป็น Dynamic ปัญญาของอมตบุคคลจะเก่งกว่าวิมุติ เป็นอุภโตภาควิมุติ ปัญญาในข้อ 7 ก็ยังไม่เติมวิมุติ ต้องเติมวิมุติให้เต็ม เป็น Static ให้เต็ม เป็นอมตบุคคลถึงจะมีปัญญาที่เหนือกว่าวิมุต หรือเจโตวิมุติ
อมตะ จึงเป็นพวกสายปัญญา อมตะบุคคลจะเป็นผู้ที่เกิดก็ได้จะตายก็ได้เป็นยอดสิริมหามายา เป็นผู้ที่ตายได้เองเกิดได้เอง เมื่อยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ตายเกิดตายเกิด ตายแล้วก็มาเกิดใหม่อีกเป็นชาติใหม่ชื่อใหม่ไปเรื่อยๆ เป็นโพธิสัตว์เพิ่มเติมไปเรื่อยๆ อาตมามีอันนี้ ตายแล้วเกิดมาไม่รู้กี่ชาติจึงพูดเรื่องนี้ได้อธิบายเรื่องนี้ได้ อาตมาก็เหลือแต่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ทำได้แล้ว แต่ยังไม่ยอมตายจะเป็นอมตะไปถึงขั้นพระพุทธเจ้า ไม่แน่ อาตมาอาจจะถึงขั้นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ปรินิพพานก็ได้ไม่แน่ ถึงบัดนั้นจริงอาจเมื่อยไม่ไหวแล้วก็พอ แต่ปณิธานก็จะไปเป็นพระพุทธเจ้าให้ได้ แต่ตรงโน้นเป็นเรื่องส่วนตัวของอาตมาแล้ว ถึงขั้นนั้นแล้วไม่เอาแล้ว ก็ปรินิพพานไป เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ประกาศชื่อในโลกว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้
สหัมบดีพรหม มาอาราธนา คือ สหบดีพรหม ผู้ที่มีเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขารวมเอาความเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาพร้อมที่สุดเลยอาราธนา พูดเป็นบุคคลาธิษฐานคือสหัมบดีพรหมอาราธนาพระพุทธเจ้า นามธรรมก็คือเมตตาของพระเจ้าเองนั่นแหละ จิตเกิดขึ้นมาชั่วแวบเดียว เรานี่มันคงลำบากในการสอนคน จะไหวหรือ? ก็มีพระเมตตาอย่างสูงสุดสหัมบดีพรหมบอกว่าไม่ได้นะชิบหายใหญ่เลยนะ ถ้าขืนไม่สอนแล้ว ชั่วเหยียดแขนออกคู่แขนเข้าเท่านั้นเองที่ท่านปริวิตก พอท่านรู้ตัวก็รู้แล้วว่า ท่านเป็นผู้ที่มีเหตุปัจจัยที่จะต้องได้อันนี้
เหมือนอาตมาก็เหมือนกันต้องมีเหตุปัจจัยที่ต้องเป็นอย่างนี้ ทำไมต้องทำอะไรซ้ำซ้อนด่าซ้ำซ้อน เราจะไปถือสาเรื่องนี้ไม่ได้ อาตมาก็ไม่ได้ติดใจอะไรไม่ได้ถือสาคนเพราะว่าเข้าใจอยู่ว่าเขาเป็นเช่นนั้น
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน
สมณะฟ้าไท
พ่อครูว่า…มาต่อคำว่ากรรม ที่อาตมาสรุป กรรมกับกาละ โดยล้อเลียนของ อัลเบิร์ตไอน์สไตน์ Space and Time of Continuum
Space คือเทววัตถุแท่งทึบ ตั้งแต่เล็กถึงใหญ่ทุกอย่างทั้งหมดที่มีรูปร่าง ตั้งแต่เล็กนิดนึง ไปถึงขั้นปรมาณู วัตถุที่มีรูปร่างเล็กที่สุดจนกระทั่งใหญ่ที่สุดหนึ่งจักรวาล นั่นเป็นของไอน์สไตน์ Space and Time คือกาละเวลา
ส่วนของพุทธคือกรรมกับกาละ Karma and Time of Continuum มันเกิดปัจจุบัน แล้วก็ มีความเกี่ยวข้องกันเป็นปัจจุบัน Continuum ไม่ใช่แค่ Relative ความเกี่ยวข้อง แต่มันเป็นสัจจะที่ Continue หรือ Continuing Continuum เป็นสภาพปฏิสัมพันธ์ Relative และเป็นทั้งปัจจุบันนี้ ความจริงยิ่งกว่าจุดเล็กที่สุดที่จุดลงไปแล้วก็เล็กที่สุด เห็นไม่ได้ด้วยตาเปล่า แล้วนี่คือความจริงที่คุณจะต้องตามรู้ให้เร็วที่สุดเท่าใด เร็วกว่าแสง เล็กกว่าปรมาณู เป็นสุญญาณู เร็ว เล็กกว่า ปรมาณู เร็วกว่าแสงแน่นอน
ก็ขอสรุปกรรมกับกาละไว้แค่นี้
คนที่จะทำกาละ กายสเภทาปรัมมรณา คนที่ตายเพราะกายแตก รูปนามแตก ธรรมะ 2 มันแยกกันแล้ว ต่างคนต่างเป็นอิสระ ไม่ใช่แยกกันแล้วจะมารวมกันอีกไม่ใช่ แยกอย่างแปลกๆ เภทะ แปลว่าแตก แยกอย่างแตกหักต่อไม่ติดอีก ธรรมะตั้งแต่ 2 หรือสลายลง เกิดเป็นตัว อัตตา ขึ้นใหม่ไม่ได้แล้วนั่นคือตัวทำกาละ ถามว่า ทำกาละ ภาษาบาลีว่า กายสเภทา
คนที่เป็นอรหันต์ตาย ปรัมมรณา คือหลังจากตายไป คือ ไม่มีอะไรปรากฏอีกเป็นการตายอย่างยิ่ง ปรัมมรณา เป็นการตายอย่างที่เรียกว่า มรณะอย่างสุด
เรื่องของ ผู้ที่จะทำอย่างนี้ได้ จะทำการปรินิพพานเป็นปริโยสาน จะเป็นการตายอย่างไม่มีการรวมตัวกันอีกในอัตภาพของตน นั่นคือต้องเป็นพระอรหันต์ที่สมบูรณ์แบบ
พระอรหันต์สมบูรณ์แบบพระพุทธเจ้านับตั้งแต่ปัญญาวิมุติ ถึงจะเป็นอรหันต์ได้ แม้แต่เหลือเศษที่เหลืออยู่ อธิบายซ้อน
พระอรหันต์ปัญญาวิมุติ จะสามารถปรินิพพานเป็นปริโยสานจะไม่สูญไปในทันที จะเหลือ แต่ส่วนเหลือจะเป็นชรตา มันจะเป็นส่วนเหลือที่สูญหายไปเอง ไม่มีพลังงานที่จะมา ปลุกให้เป็นอนิจจตา ไม่กลับกำเริบอีกไม่มี จะเหลือแค่นั้น ชรตา แล้วก็หมดไป
แต่ถ้าเป็นอุภโตภาควิมุติ ตายแล้วสูญเลย ขนาด พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบการตายของพระองค์ ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 ข้อสุดท้ายท่านเปรียบเหมือนพวงมะม่วง ถ้าท่านเองปรินิพพานสุดท้ายแล้ว เหมือนพวงมะม่วง ที่หล่นจากขั้วแล้ว พวงทั้งปวง มีลูกเต็มมหาศาลเป็นล้านๆลูก ตกลงมากระจายแตกไปหมด ไม่สามารถจะรวมกันติดได้อีกแล้ว อาจจะเหลืออยู่ติดขั้วบ้าง 2 ลูก 5 ลูก 10 ลูก แต่ไม่มีทางจะเป็นพวงมะม่วงเหมือนเดิมไม่มีทางแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้วเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้วผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต.
พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้าตรัสว่าควรจะเห็นร่างกายท่านได้จะเห็นรูปนามของท่านได้ ก็ต่อเมื่อท่านเองท่านยังอยู่ ดำรงอยู่ วิหารติ เมื่อท่านยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เมื่อท่านทำกายสเภทา สลายรูปนามแล้วเสร็จ สลายธรรมะสองให้เหลือ 0 เลย แน่นอนพระพุทธเจ้าไม่เหลือ 1 ถ้ายังเหลือเศษคือพระอนาคามี พระอรหันต์บางองค์ ก็เหลือเศษ แต่เสร็จนั้นเป็นส่วนชรตา ไม่มีโมเมนตัมของพลังงานที่จะฟื้นขึ้นมาได้เลย โดยเฉพาะตัณหาสิ้นแล้ว ปัญหาขาดจากขั้วเลย ไม่มีแรงที่จะขึ้นมาอีกได้เลย ไม่มีการต่อติดไม่มีการฟื้นขึ้นมา
นักรบธรรมว่า…คนธรรมดาก็เหมือนพวงมะม่วงได้ไหม
พ่อครูว่า…ไม่ได้ ขนาด ปัญญาวิมุติก็เหลือเศษ ถ้าเป็นอุภโตภาควิมุตก็ไม่เหลือเศษ ไม่เกิดมามีรูปร่างอีกเลย ถ้ายังมีตัวตนมีวิมานก็คือเป็นเทวนิยมอยู่ ปัญญายังไม่เข้าถึง ดีแล้วล่ะ เป็นตัวอย่างให้อาตมาได้ยก คุณก็ไม่ถือสาก็ดีแล้ว อันนี้ก็ต้องขอบคุณที่ไม่ถือสา อาตมาว่าคุณขนาดนี้ คุณก็สบายๆดีนี่เป็นตัวอย่างชัดเจน คนนั้นบังคับไม่ได้ให้เข้าใจหรือไม่เข้าใจที่จะรู้หรือไม่รู้ เป็นสุดยอด
ธรรมะ 2 ทำให้เหลือธรรมะ 1 ถือว่าเป็นจิตว่างในระดับหนึ่งแล้ว คือไม่มีเมถุนไม่มีคู่ เพราะฉะนั้นจะไม่เกิดปฏิกิริยาต่อสังขาร ไม่ปรุงแต่งกันอีกแล้ว ไม่ปรุงแต่งกับใครอีกแล้ว เป็นโดดเดี่ยวแด เพราะฉะนั้นคนนี้พ้นทุกข์แล้ว ผู้ที่จะมีคู่ คือผู้ยังมีสังขาร แต่สังขารกับวัตถุ สังขารกับกรรมกิริยา ยังมีทุกข์นะ สังขารเรื่องของที่จะไปมีคู่ เลิกเลย ไม่มีแล้ว ที่ยังมีคนเกิดร่วมกับเรา จะไม่ หรือแม้แต่จิตสูงสุดเป็นเป็นขั้นอนาคามีภูมิ คนนี้จะไม่แต่งงานไม่มีคู่อีก มันมีนัยลึกสำคัญเรื่องของอจินไตยเป็นวิบากไม่ขออธิบาย ซึ่งจะเหลือเศษวิบาก ชาตินี้จะต้องมามี ชาตินี้อาตมามี 3 คู่แต่ไม่ได้แต่งงาน ก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรไม่ได้ก่อเรื่องราวว่า นี่คือแฟนฉันนี่คือเป็นเจ้าเข้าเจ้าของไม่ใช่ ก็ทุกคนสบายๆจากกันไปด้วยดีทุกคน เดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่นะแฟนทั้ง 3 คน ยังไม่ตาย คนแรกอายุเท่าๆกัน อยู่วารินฯนี้แหละ คนที่ 2 ตอนนี้ไม่รู้ไปอยู่ไหน ส่วนคนที่ 3 นี้ อยู่อังกฤษอย่างนี้เป็นต้น มันเป็นวิบากเราไม่มีเรื่องราวอะไรมากมาย
เหมือนพระพุทธเจ้าสมณโคดม ก็มีหลายคนแต่เขาไม่เล่าในตำนาน ก็มีตำนานพระยโสธราพิมพา เป็นคู่คนเดียวคนที่สุดแห่งที่สุดท่านก็เล่ามา จนสุดท้าย พระนางยโสธรา จนพระพุทธเจ้าบอกว่า พระอานนท์ปล่อยให้นางยโสธราเขา ก็ร้องไห้คลอพระบาท เป็นเรื่องที่ถ้าใจไม่แข็งนะ พระพุทธเจ้า หรือแม้แต่เป็นพระเวสสันดร เรื่องลูก หากใจไม่แข็งชูชกไม่เหลือหรอก คนก็ว่าพ่ออะไรคนเขามาทำร้ายลูกก็ยังใจดำ ทิ้งเมียทิ้งลูกอีก เป็นเรื่องสิริมหามายาเดาเอาไม่ได้ เป็นเรื่องเดียวที่จะคิด ไม่ใช่สามัญของปุถุชน เป็นเรื่องวิสามัญของอาริยะ ที่จะต้องชัดเจน
ธรรมะ 2 ที่ท่านบอกว่า ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
ประโยคนี้เป็นสิ่งที่อาตมาถือว่าเป็นหัวใจของศาสนาพุทธยิ่งกว่าอริยสัจสี่อีก เป็นหัวใจของผู้ปฏิบัติที่ผู้ที่เป็นอริยะเท่านั้นจะพูดกันรู้เรื่อง แต่ทุกข์อาริยสัจ ก็เข้าใจกันได้ทั่วไป แต่ถ้าไปถึงขั้น เทฺว ธมฺมา แล้วก็เป็น เอกสโมสรณา ความเป็นหนึ่งในสอง ความเป็นสองไม่ได้หายไปแต่ทำให้เป็นหนึ่งได้เสมอสำเร็จแล้วจะเป็น 2 สรุปเป็นภาษาไทยง่ายๆแค่นี้
2 นี้ทำให้เป็นหนึ่งได้ หรือ จริงๆแล้วเป็นศูนย์ได้แล้ว เป็นปุงลิงค์จนเป็นนปุงสกลิงค์ เป็นศูนย์นั้นต่างกับ 1 ต่างจาก 2 แน่นอน ผู้เข้าใจว่าเป็นหนึ่งหรือเป็นศูนย์ ก็จะไม่มีการเป็นสองที่จะเกิดการปรุงแต่งขึ้นอีกเลย แม้แต่เป็นหนึ่ง ไม่ไปศูนย์แล้ว มาทรงอยู่ในสภาพ 1 แต่ทำงานกับอีกหนึ่งอื่นๆได้ทำงานกับอีก 2 อีก 3 อีกล้านชีวิตได้ โดยไม่มีกิเลสเกิดอีกเลย ถือว่าเป็นอรหันต์
อรหันต์จะประมาณตนว่าอันนี้ พระพุทธเจ้า บอกว่าลาภยศสรรเสริญโลกียสุขเป็นอันตรายอันแสบเผ็ดแม้แต่พระอรหันต์ขีณาสพ แม้แต่ผู้ที่สิ้นอาสวะ แต่ขอเติมได้ว่า จะไม่เกิดกับผู้ที่ อุภโตภาควิมุติซึ่งหมดอนุสัย แต่หมดแค่อาสวะนั้นไม่แน่ ขีณาสพ คือผู้ที่สิ้นอาสวะ แต่ว่าอนุสัยของคุณยังมีอยู่ ผู้ที่จะพูดว่าอนุสัยหมด คุณจะต้องมั่นใจถึงขั้น ขีณาสพ ผู้อนาคามีนั้นจะรู้แล้ว จะไม่ประมาทมาพูดหรอก คนธรรมดานั้นจะไปแยกอาสวะอนุสัยนั้นอย่าเลย พูดไม่รู้เรื่องหรอก มันยังหยาบอยู่ จึงต้องพูดอย่างประมาณว่าเราจะพูดกับอนุปสัมบัน ขนาดไหน แต่ที่อาตมาพูดนี้เป็นกลางๆ เขาจะตู่ว่า พูดออกโทรทัศน์คนที่เป็นอนุปสัมบันก็ฟังอยู่นะ ก็จะปรับอาบัตินะ อาตมาก็บอกว่า นัยละเอียด คนอุปสัมบัน ฟังอาตมามากกว่า อนุปสัมบัน คนที่จะกดดูอาตมาแค่ 10 วิว อันนี้เป็นไปได้ แต่คนจะดูเป็นล้านวิวนั้นไม่ได้ มันไม่มันไม่สนุกอะไรเลยดีไม่ดีถูกด่าด้วย
คำตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต ต้องเป็นอรหันต์หรือไม่ ไม่ใช่ เริ่มต้นเป็นพระอาริยะขั้นต้นเป็นพระโสดาบันก็มีอัญญธาตุก็ได้แล้ว ที่เป็นธาตุต่างจากโลกีย์แล้ว เริ่มเป็นส่วนสุญญาณูของพระเจ้าของธรรมกาย
คุณอู๊ด นักรบธรรมว่า…อย่างน้อยต้องเป็นพระโสดาบันใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า…ก็เป็นยังไม่เป็นโสดาปัตติผลก็ได้แต่มีอัญญะธาตุแล้ว
พ่อครูพูดถึงคุณอู๊ด นักรบธรรมว่า…คุณมีแกนของ Static มีปัญญารู้ว่าอาตมาเป็นใครจึงชัดเจน ถ้าไม่อย่างนั้นไม่ทนหรอกถูกคนดีดเอาอย่างนั้นไม่ทนหรอก
สมณะเดินดินว่า… เป็นผู้ที่ให้พื้นที่เชียงรายอโศกแต่ตอนนี้ทางเชียงรายอโศกไม่ให้เข้าพื้นที่
คุณอู๊ดว่า…ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ
พ่อครูว่า…เอาล่ะขอสรุปอีกที ก็คือธรรมะ 2 นี่แหละเป็นเรื่องที่อาตมาเอามาพูดย้ำซ้ำซากอีกมาก ถึงบอกว่าอันนี้เป็นหัวใจศาสนาพุทธอย่างสำคัญยิ่งกว่าอริยสัจ 4
ทุกขอริยสัจ มันก็ยังหยาบกว่า คล้ายๆกับว่าสมุทัยของอริยสัจ คือตัณหา แต่สมุทัยของการปฏิบัติธรรมนี้คือ สัมผัส ผัสสะ ต้องมีสัมผัสเป็นปัจจัยจึงจะมีสมุทัยในการปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ พวกนั่งหลับตาปฏิบัติโมฆะไปจากศาสนาพุทธแล้วไม่มีผัสสะในสมุทัย
ในมูลสูตร ยืนยันหลักฐาน
จะมีสมุทัย ต้องเรียนรู้มนสิการ จัดการใจกับตัวเองต้องรู้จัก สักกายะจริงของตน แล้วต้องมีหลักเกณฑ์อุบายเครื่องออกเป็นศีลพรตวิธีปฏิบัติ ปฏิบัติอย่างพิจารณาความไม่เที่ยง พิจารณาถึงเหตุของมัน มันไม่มีตัวตน สรุปคือไตรลักษณ์ ซึ่งยากมากไม่ง่าย คุณจะมีปัญญาเข้าใจถึงความไม่เที่ยงความเป็นทุกข์ความไม่มีตัวตนนี้ จนมันมีพลังงานที่เป็นปัญญาลึกพอที่จะทำลายไฟราคะไฟโทสะไฟโมหะได้ ภาษาก็พูดให้ฟังได้แค่นี้ แต่คุณต้องมาพิสูจน์ว่า เราทำพลังงานบุญหรือพลังงานที่ ทำลายราคะได้จางคลายได้ ทำให้มันลดลงชั่วคราวจนมันไม่เที่ยง แต่ถ้ามันไม่เที่ยงด้วยตัวมันเองเดี๋ยวมันก็ผ่านไปนั้นไม่ใช่ คุณต้องทำด้วยสามารถ แต่ความสามารถของเราเลยเป็นการกระทำนั้นให้มันลดลงได้ แล้วมันก็ไม่เที่ยงเพราะเราลดลงได้ จึงเกิดอนิจจานุปัสสี เห็นแล้วว่ามันไม่เที่ยงเพราะฝีมือเรา มันไม่เท่าเก่ามันไม่เที่ยงได้ แต่ก่อนมันแรงขนาดนี้นะกิเลสของเรา ตอนนี้สัมผัสตัวเหตุนี้ ตัวเหตุนี้มายั่วยวนเรา แรงกว่าเก่าด้วย เราก็ไม่เกิดกิเลสนี้อีก มันไม่เท่าเก่า คุณต้องเทียบเคียง อัตถิอุปมา ต้องเทียบเคียงได้เลย ว่ามันไม่เท่าเก่าแล้ว จนไม่เท่าเก่า คุณยืนยันแล้วว่ามันไม่เท่าเก่าเรียกว่าวิราคานุปัสสี แต่ว่าไม่เท่าเดิมมันจางคลาย ลดลงกว่าเก่าแล้ว ลดลงไปมากกว่าครึ่ง เริ่มลงไปเหลือน้อยจนมันดับ เห็นตัวดับแม้แต่ดับชั่วคราวมันมาอีกก็ทำออกไปอีก ทำอย่างนี้ล่ะ อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ทำให้มากทำให้บ่อยจนนิโรธแข็งแรงเป็นสมาธิ ความดับมันตั้งมั่น หรือความหลุดพ้นไปวิมุติมันเป็นความตั้งมั่น สมาธิที่สูงกว่าวิมุต สูงกว่านิโรธ จิตตั้งมั่นสูงกว่าวิมุตินิโรธ
เหมือนเข้าใจสมาธิว่าไปนั่งหลับตาสมาธิ ยังห่างไกลมากพวกนี้
สมณะเดินดินว่า…สรุป
พ่อครูว่า..ส.ถนอมคูณสติดีจริงๆ ถามว่าจะวางอย่างไรดี
สมณะเดินดินว่า…ธาตุจะแตกแล้วก็ยังสติดีอยู่