610919_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปฏิบัติธรรมะ 2 ส่องให้ทะลุอนุสัย
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1l2u6zG6HuHI3R6TMd33NbJjbF9z_YxyqCjGAZlPp_00/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1YNIIdI2_Ri9oEA2ojXO1WHrQ9Mm5brJm
สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 19 กันยายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ไม่กี่วันที่ผ่านมาเราได้ประชุมกันเรื่องจัดงานมหาปวารณา 48 พรรษาโพธิกิจ 84 ปีพ่อครู และจะมีงานวันดินโลก 5 ธันวาฯ และมีงานเพื่อฟ้าดินปีใหม่อีก เราก็เลยว่า เราจะจัดฉลองกันไปจนถึงปีใหม่เลย
กิจกรรมหลักก็มีเรื่องของชุมชน 5 วัน 6 -10 พ.ย. 2561 งานนี้พ่อครูว่ามีการแสดงออกที่หลักๆคือ 1.ผลงานของโพธิกิจของพ่อครู 48 พรรษา หลังงานเราจะมีตลาดเท่าทุนต่อไป จริงๆแล้วจะว่าขาดทุนก็ได้ เพราะว่าเราซื้อมาเท่าไหร่ขายเท่านั้นโดยไม่รวมแรงงานและค่าขนส่ง มีร้านสินค้าชุมชน ชุมชนไหนมีสินค้าที่เป็นตัวเด่น ได้รับความนิยมมากกว่าสินค้าตลาดก็นำมาเปิดกิจการอยู่ที่บ้านราชฯ และจะมีร้านสินค้าที่เป็นสินค้าโดนใจชาวบ้าน อีกส่วนหนึ่ง ทั้งหมดจัดถึง 7 ห้องของอาคาร บวร ห้องละ 120 ตรม. รวม 840 ตรม. ใหญ่กว่าอาคารเฮือนศูนย์สูญ ได้แค่ไหนก็มาดูกันก็แล้วกัน
ในช่วงงานจะมีแค่ชาวบ้านราชฯอย่างเดียวคงไม่พอ จะมีพี่น้องชุมชนใหญ่ๆมาหมุนเวียนกันมาอยู่ร้าน จนกว่าจะสิ้นปี เป็นเหตุการณ์คร่าวๆ ผู้ใดคิดว่าจะมาสมทบแรงกายแรงใจก็มาร่วมกัน เราเคยบำเพ็ญกันเฉพาะช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ตอนนี้เราขยายเวลาการบำเพ็ญอีก (พ่อครูว่า… สองเดือนเอง) ทำให้ความหวังของพ่อครู ที่จะเห็นคนมาเป็นพันก็คงจะใกล้เคียง (พ่อครูว่า… ถ้ามีคนเป็นพันอยู่ในชุมชนนี้ 2 เดือนจะเข้าใจรู้สึกดีกัน)
พ่อครูว่า…มาโอภาปราศรัยกับ sms
_จาก ประกายทราย ค่ะ ก่อนหน้านี้ ได้เข้าคอร์สปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิมาบ้าง พบว่า ทำให้สงบได้บ้างแบบกดข่ม ไม่ค่อยได้วิปัสสนา และวิปัสสนาไม่เป็นเลย ทำให้เป็นคนใจร้อน และเชื่อเรื่องผีอยู่
หลังจากได้ฟังธรรมะพ่อครู ประมาณเกือบ 2 ปี แรกๆฟังไม่รู้เรื่องเลยค่ะ ณ ตอนนั้น ไม่เคยรู้จักชาวอโศกเลย ฟังไม่รู้เรื่องถึงขนาดคิดว่า พ่อครูพูดมั่วหรือเปล่า แต่ดูจากหน้าตาผู้ฟังในทีวี ดูตั้งใจ การถามคำถามดูเข้าใจ ท่านสมณะรูปอื่นๆเทศน์ก็เข้าใจง่ายดีมากค่ะ ฟังไปเรื่อยๆโดยไม่เข้าใจบ้าง เข้าใจบ้าง พบว่า มีอุเบกขาเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับการปฏิบัติแบบนั่งสมาธิค่ะ และเริ่มเข้าใจแล้วค่ะ
ตอนนี้ มีแต่ความอยากจะให้คนอื่นมาเข้าใจพ่อครูบ้าง จะได้เป็นประโยชน์ต่อโลกนี้มากๆ
พ่อครูว่า…คนที่มีอาการอย่างนี้ไม่ได้ประหลาดอะไรเป็นเรื่องธรรมดา มันจะเป็นอย่างนี้แหละ ถ้าไม่ได้ตัดขาดจากอาตมาง่ายๆตอนแรกๆ หาว่าอาตมามั่วหรือบ้าๆบอๆ ถ้าไม่อย่างนั้นเลยตามมาเรื่อยๆก็จะได้
_รักนะ เดอะโซปเมคเกอร์ …ขออนุญาติถามว่า อาการที่เราลดสักกายะได้ แล้วเราพอใจเรียกว่า เนกขัมมะสิตโสมนัสเวทนา กับอาการที่เราพอใจเพราะเราสมใจในกิเลสเรียกว่าเคหะสิตเวทนา ใช่มั๊ยคะ ถ้าใช่ อาการทั้งสองแบบนี้เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ต้องการคำตอบเพื่อกำหนดนิมิตให้ถูกตัวค่ะ น้อมกราบขอบพระคุณมาด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า…ก็ต่างกันอย่างที่พูดเมื่อกี้นี้ เคหสิตโสมนัสเป็นโลกีย์ หากยิ่งไปเติมให้พอใจชอบใจกิเลสก็ยิ่งหนาและแข็งไปเรื่อย แต่ถ้าคุณเข้าใจว่ามันเป็นสักกายะ แล้วลดละให้มันเป็น เนกขัมมะ คุณก็จะดีขึ้นดีขึ้นเจริญทางโลกุตระ แล้วโสมนัสก็ต้องระมัดระวัง ดีใจ พอใจ อย่าให้มันแรงๆๆขึ้น เป็นปีติสูงขึ้นมากเกิน เดี๋ยวจะสั่งสมแล้วอยากจะควบคุมตัวปีติที่เป็น อุพเพงคาปีติ
สมณะเดินดินว่า…คนที่เป็นเนกขัมมะคงเหมือนคุณประกายทรายที่ว่า ค่อยๆเพิ่มอุเบกขามากขึ้น
พ่อครูว่า…จะมีปฏิภาณรู้ว่าอันหนึ่งมันวุ่นไม่เสร็จไม่จบ อีกอันหนึ่งมันค่อยๆเสร็จแล้วจบไปเรื่อย
_จาก โยคี กราบนมัสการครับท่าน..ฝากถามปัญหาในรายการสัมมะปี๋ชีวิด…ถามว่า..ผมเป็นสายวิตรรกะจริตต้องการเปลื่ยนเป็น..สายปัญญาต้องทำยังไงและถ้าจะเปลื่ยนเป็นเจโตต้องทำยังไง
พ่อครูว่า…จะเปลี่ยนจากวิตักกะเป็นปัญญาได้ยากเพราะว่าวิตักกะจริงๆมันเป็นตระกูลของปัญญา แต่มันเป็นปัญญาฟุ้งซ่านหนักจึงต้องลดด้วย เจโต ลดด้วยศรัทธา สมถะก่อน ไม่อย่างนั้นหยุดได้ยาก ถ้าเรียนให้สมาธิที่จะหยุดได้ง่ายขึ้น ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิจะไปกันใหญ่
สายปัญญาจะทำอย่างไรจะเปลี่ยนเป็นเจโต
สายเจโตกับปัญญา ที่พระพุทธเจ้ายังแยกออกเป็นสัทธานุสารี กับ ธัมมานุสารี พระพุทธเจ้าจึงให้มาเอาตามลำดับ วิตักกะจึงต้องใช้เจโตศรัทธาเป็นตัวต้น กดข่มมันไว้ มันดิ้นมากก็ทำไม่ได้ ต้องทำไปตามลำดับ หากจับธรรมะตามลำดับได้ เป็นธรรมะ 2 ทีละคู่ไปตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา คุณจะเริ่มต้นถูกทาง แต่ถ้าเอาจะให้ได้เลยโดยไม่มีลำดับศีลสมาธิปัญญา โดยไม่รู้ว่าเราจะได้ทีละน้อย
หากบอกว่า ปฏิบัติศีลแล้วจะไม่ฆ่าสัตว์จะสังวรการฆ่าสัตว์ มันต่ำเตี้ย เราสูงแล้วขั้นปัญญา คนๆนี้ยากที่จะสำเร็จ เอาตามสูตรพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน
_จาก ผู้ชมทางบุญนิยมทีวี นาม เสียงน้ำไหลในสายธาร
#นางดี พูดนัดแนะกับ#นางอ่อนว่า “ทำอาหารที่บูดยากไว้ให้นางดี 1 อย่าง เผื่อไว้ถ้าอาหารครัวกลางไม่พอจะได้เอาไปเสริม ถ้ามีเกินพอก็เก็บไว้มื้อต่อไปได้”
ต่อมา#นางอ่อนมาบอก#นางดีว่า “#นางสีได้เอาอาหารนั้นไปเก็บไว้ที่ตัวเอง แบบเป็นเจ้าของ”
#นางดีไปขออาหารคืนจาก#นางสี
แต่นางสีก็มีอาการโกรธเคือง และบอกว่าเขามีสิทธิ์เก็บไว้เพราะเขาก็ทำงานอยู่ที่ฐานเดียวกัน
กราบเรียนถามว่า กรณีนี้ถือว่านางสีผิดศีลหรือเปล่า?
พ่อครูว่า…ก็ถือว่าผิดเพราะนางสีอยู่ในสาธารณโภคีแต่ไปยึดเป็นของตัวเอง โกรธก็ซวยแล้ว ยึดเป็นของตนก็ซวยอีก ทั้งโลภะ และโทสะ สรุปนางสียังแยกไม่ออกเลยในการกระทำว่าอะไรเป็นอะไร
_คุณ จุดจุดจุด…กราบเรียนถามพ่อครูว่า…โดยนิสัยของหนู หนูเป็นคนรักอิสระ ไม่ชอบวุ่นวายเรื่องหึงๆหวงๆ ไม่อยากผูกพันกับชาวบ้าน ขี้รำคาญ และคิดว่าคงไม่ทนสามีแน่นอน ขี้เกียจมีภาระมากมายที่จะมีตามมาจากการมีคู่ ยังไม่รวมถึงมีแล้วจะเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีของสังคมหรือไม่ นอกจากนี้ อยากทุ่มเทให้อย่างอื่นที่คงจะทำลำบากหากมีลูกมีสามี …. มีคนบอกว่านิสัยอย่างนี้ควรจะไปมีครอบครัว จะได้ขัดเกลาความรักสบาย จิตวิญญานจะได้สูงขึ้น
พ่อครูมีความเห็นว่าอย่างไรคะ แต่สำหรับหนูๆขอไม่แลกความสบายที่มีจากการเป็นโสด กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า…ดีมาก เอาเองนั้นดีแล้วอย่าไปเชื่อเขาเลย ตัวเขาเองคงมีทุกข์แล้วจะให้คนอื่นทุกข์บ้าง หาพวกสิแบบนี้ อาจจะเจตนาดีแต่ไม่เข้าใจก็ได้
ซ้อนๆลึกๆ คนที่พูดแบบนี้คล้ายๆกับริษยา คนนี้มันสบายไม่เหมือนกับเรา มาเป็นอย่างเราบ้างสิ จะได้รู้รสชาติ แต่อาจจะไม่ใช่อย่างนี้ก็ได้อาจจะมองไปแง่ดีว่าเป็นการขัดเกลา
_SMS 17 กันยายน 2561 (สำมะปี๋ ซีวิต)
_0789กราบนมัสการค่ะ อยากสอบถามค่ะ ทำไมถึงบอกว่าหลวงปู่พุทธทาสเป็นอริยโสดาบันคะ ท่านไม่ใช่พระอรหันต์เหรอคะ
พ่อครูว่า…อาตมาก็พูดไปตามวิชาการตามที่จริงใจเพราะว่าเขาพูดกันในสังคมอยู่ เคยได้อ่านเคยรับรู้เคยสัมผัสสัมพันธ์กัน
ท่านพุทธทาส อาตมาก็เคยบอกว่าท่านนี้เป็นอาริยะแต่ท่านเข้ากระแสเบื้องต้น เป็นแค่โสดาบัน ที่ยังมีภูมิรู้ในอภิธรรมในธรรมะจิต เจตสิก รูป นิพพานยังไม่ลึก ยังไม่มากพอ ท่านแสดงออกชัดเจน ยังมีภูมิรู้ในเรื่องอภิธรรมไม่พอยังตีทิ้งอภิธรรมที่เขาสอนกัน บอกว่าฉีกทิ้งไป 60 เปอร์เซ็นต์เลยในพระไตรปิฎก โอ้โห หากฉีกทิ้งไป 60% นี้กว่าครึ่งเลย อาตมาว่า พระอภิธรรมแม้จะบกพร่องบ้างก็มีนิดหน่อย อาตมาไม่ได้ตีทิ้ง แล้วยังเอาไปทำแล้วดี ไม่ตีทิ้งดีกว่าเพราะตีทิ้งแล้วจะซวย ท่านว่าอภิธรรมเม็ดมะขาม ท่านกวาดทิ้งเลย
สู่แดนธรรมว่า..ท่านบอกว่า จะฉีกทิ้งมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ก็ได้ แปลว่าท่านไปเจอคำว่าอภินิเวสายะ
พ่อครูว่า…คนที่ยิ่งรู้ 1 จะยิ่งรู้ 2 ยิ่งรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ทำไมเข้าหลักธรรมะ 2 ใน 1 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 แล้วเรียนรู้ 1 ใน 2 อีก
แม้แต่สักกายทิฏฐิ ตัวแรกของสังโยชน์ ท่านยังแยกกายในกายไม่ได้เลย ไม่ต้องพูดถึงเวทนา 2 เวทนา 108 ได้เลย ท่านถึงไม่ไปถึงไหน อาตมายังพูดว่าท่านได้โสดาปัตติมรรคด้วยซ้ำ ท่านยังไม่ได้สรุปผลที่ได้เท่านั้น ขออภัยที่วิจารณ์ท่าน ท่านมีคนเคารพนับถือเยอะ ท่านทำงานมาก่อนอาตมาท่านเป็นผู้ที่เปิดโลกโลกุตระแล้ว ล้างอบายมุข อาตมาต้องขอบคุณท่านอย่างมากอาตมาก็เบาขึ้นท่านตีทิ้งอบายมุขให้ก่อนแล้วก็เป็นคนเปิดโลกโลกุตระ
_1614 อนุบาลอยากเป็นหมอ ประถมอยากเป็นนักเขียน ปัจจุบันเพื่อนบอก เป็นคนให้ได้ก่อน ..
ถ้าควรบอกว่า มีศีล 5 ให้ได้ก่อน ถูกต้องไหมคะ
พ่อครูว่า…ถูกต้อง
_1614 ทำไมเด็กรุ่นใหม่ที่ดูเหมือนจะไม่นับถืออะไร ความเชื่อ พิธีกรรม แม้แต่ศาสนาดูเป็นเรื่องสมมุติไปซะหมด ถึงดูเดือดร้อนกับการรับปริญญากันจัง หรือมันมีเหตุผลอื่นที่เราไม่รู้ วานบอก โลกใกล้ กลียุคคนจะไม่มีศาสนา ตอนนั้น อะไร จะเป็นเครื่อง ยึดเหนี่ยวคะ
พ่อครูว่า…ที่บอกว่าคนรุ่นใหม่ทิ้งศาสนา แม้แต่ความเชื่อพิธีกรรมก็เห็นเป็นเรื่องสมมติไปหมด จริงๆแล้วความเชื่อก็ดีพิธีกรรมก็ดีเป็นเรื่องสมมุติ มันก็ถูกต้องแล้ว เชื่อก็ต้องมาศึกษาให้มันลงไปถึงความจริงที่เป็นความเชื่อที่เราเรียนมา ความเชื่อนั้นยังแยกได้บอกว่า เชื่อถือเชื่อฟังเชื่อมั่น
เชื่อถือคือเชื่ออย่างหลวมๆ เชื่อฟังก็ปฏิบัติตาม เชื่อมั่นก็คือได้ผลตามที่ปฏิบัติ
สมมุติก็ต้องอาศัยบ้าง แต่สัจจะที่เป็นปรมัตถ์สัจจะที่ไม่ใช่แค่สมมตินั้นเข้าถึงความดับสนิทแห่งกิเลส
ประเด็นที่ว่าโลกใกล้กลียุค คนไม่มีศาสนาตอนนั้นอะไรจะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ก็บอกว่าธรรมะพุทธเจ้านี่แหละเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ยิ่งถ้าโลกใกล้กลียุคก็ยิ่งต้องเอาธรรมะพระพุทธเจ้าให้เป็นที่พึ่งให้ได้ แล้วคุณจะมีเครื่องยึดเหนี่ยว ถ้าคุณไม่มีเลย หยุดยากเลย คุณจะลอยเคว้งคว้างเป็นอุกกาบาตไปในอวกาศ ไม่เป็นตัวของตัวเอง ถ้าหากปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้าจะเป็นตัวของตัวเองไปเรื่อยๆเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำเป็นเครื่องยึดถือ
_1614 ใจเราทำไม่ได้ดั่งใจ ใครคนไหนจะทำให้ ๆ ได้ ตรงนี้ จะดูแลอารมณ์ใจดั่งไฟเผา ได้ อย่างไร ใช้เจโต ดีไหม
_1614จากข้อความ แหม่ม สวิส ว่า.. “สาธุ ดูคลิปนี้แล้วมีความประทับใจในความละเอียดความเมตตาที่พ่อครูมี พ่อครูไปเยี่ยมร้านสหกรณ์ที่จะเปิดใหม่ ชั้นบนมีอิฐก่อขึ้นสูงประมาณเอว หักมุมเป็นเหลี่ยม พ่อครูก็เกรงว่าคนจะเดินชน มีเมตตาแนะนำเจียขอบให้มน” …
เมื่อนึกถึงความเมตตากรุณา พ่อครู นำไปเจริญกัมมมฐานคุ้มจิตเวลากลัวภัยได้ไหมคะ
พ่อครูว่า…ได้ เอาเลยๆ
18 กันยายน 2561
_6956 ระบบเสียงปฐมอโศกใช้ไม่ได้เลย กทมฯ
พ่อครูว่า ปฐมอโศกรับขุมทรัพย์ไประเบิดลงแล้วอะไรมันพังก็ซ่อมเอา
_1614 พระแท้ เป็นอย่างไรคะและและพระที่โอนอ่อนปล่อยให้ผู้หญิงมาเกี่ยวข้อง หรือเงินมาข้องเกี่ยวก็ยากที่จะรักษาจิตให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้วอยู่ได้ ขอถามว่า พระที่ไม่มีจิตเป็นพระจะมีสภาพเดินยืน นั่งนอนจะร้อนรุ่มดั่งไฟที่เผาไหม้จิตลอดไหมคะ
เมื่ออายุเข้าวัยเบญจเพสก็เข้าบวช ก็ยังมีคนกังวลใจเรื่องนี้มาก พ่อครูมีความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างไรคะ
พ่อครูว่า…มันก็มีหลายชั้น พระที่ท่านทำงานอยู่กับสังคม เงินมาเกี่ยวข้องก็ตาม ผู้หญิงมาเกี่ยวข้องก็ตาม ผู้ที่ยังไม่อยู่เหนือ กาม เหนือผู้หญิงอย่างแข็งแรง แน่นอนก็พรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางก่อน เมื่อสามารถสัมผัสได้ก็สัมผัสแต่อย่าไปใกล้ชิดมาก เงินก็ตามผู้หญิงก็ตาม จนกระทั่งแข็งแรงเข้ากันได้บ้างเข้มข้นมากขึ้น จนแข็งแรงเป็นโพธิสัตว์มากขึ้นก็จะ เรียกว่า สบาย เป็นโพธิสัตว์มากขึ้นตามฐานะก็จะรับสัมผัสได้แรงขึ้น เป็นผู้ที่ช่วยงาน แม้แต่ผู้ที่มีจิตไม่ดี เงินก็ตาม มันไม่มีจิตแต่มันก็มีฤทธิ์ ผู้หญิงจะมีจิตก็ตาม ผู้ที่เป็นโพธิสัตว์อยู่เหนือกว่าได้ก็จะประมาณตนเอง ถ้าไม่ประมาณตนเอง นี่แหละ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นอันตรายอันแสบเผ็ดแม้แต่พระขีณาสพ พระโพธิสัตว์ถือเป็นขีณาสพแล้ว เวลาทำงานจะมีอันตรายอันแสบเผ็ดนะ ระมัดระวังให้ดีอย่าประมาท พระพุทธเจ้าท่านเตือนสอนอย่างนี้ ก็ต้องประมาณตน อย่าไปอวดเก่งอวดดีไม่ได้ ตายมานักแล้วพวกที่ประมาท
อีกอันหนึ่งที่ว่า เมื่ออายุเข้าวัยเบญจเพสก็เข้าบวช มีคนกังวลอีกมาก คนนี้ถามเยอะ ยังจะวุ่นวายอะไรอีกเยอะคนนี้ เอาทีละเรื่องๆไปดีกว่า เรื่องต่างๆนานาพวกนี้มันห่างตัวเราหรือตัวเราก็ตัดเข้ามาหา ศีล สมาธิ ปัญญา ตามที่อาตมาสอน ไปตามลำดับ ไม่เช่นนั้นคุณจะถามสารพัดอยากรู้เหมือนกับคนที่ถูกลูกศร เสียบแทง คนจะมาผ่าตัดเอาลูกศรให้ก็ไม่ยอมให้ตัด ไม่ได้ต้องรู้ก่อนว่าลูกศรใครยิงคนยิงชื่ออะไร ลูกศรมันมาจากไม้อะไรมาจากป่าไหน อาบยาพิษอะไร จะต้องรู้ให้หมดก่อนถึงจะผ่า ตายก่อน กว่าจะได้อยากจะรู้อะไรที่ไม่ใช่เบื้องต้นให้รู้ก่อนจบ แล้วต่อไปค่อยไปตามลำดับ
_1614 ภาวนา ไม่ใช่การนั่งหลับตาทำสมาธิ แต่คือ การทำทานและการปฎิบัติศีลจนเกิดผลพาให้จิตวิญญาณก้าวข้ามจากโลกียะมาสู่โลกุตระ …คำภาวนา ใช้อย่างไร เหมาะสม
พ่อครูว่า…วนอยู่ตลอดเลยคุณ 1614 บอกว่าภาวนาไม่ใช่นั่งหลับตา แต่เป็นคำภาวนาอีก ภาวนาคือการเกิดผลบรรลุผลไม่ใช่การทำการรักษาไม่ใช่แค่บัญญัติ ภาวนาคือการเกิดผล และการเกิดผลก็ไม่ใช่การไปในภาคปฏิบัติที่ไปนั่งหลับตาหรือไปนั่งวิปัสสนาอยู่ หรือว่าวิปัสสนายืนเดินนั่งนอนแต่มันไม่เกิดผลก็ยังไม่ใช่วิปัสสนา ภาวนาคือการเกิดผลภาษาไทยนะ ภาวนาไม่ใช่มรรค ภาวนาเป็นผล อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง อาเสวนาแปลว่าทำซ้ำ ทำซ้ำในสิ่งที่เราได้ปฏิบัติเป็นผลตามมรรค ทำซ้ำให้มาก เรียกว่าพหุลีกัมมัง
สรุปอีกที ภาวนาแปลว่าการเกิดผล ไม่ใช่คำภาวนา แล้วฝั่นเฝือไปหมดทั้งการยืน เดินนั่ง นอน ภาวนาแปลว่าการเกิดผล เอาให้ชัด
จะก้าวข้ามโลกียะ ต้องทำทาน ศีล แล้วอ่านรู้เวทนาสอง แล้วแยกให้รู้ว่าอะไรเป็นของเทียม อะไรเป็นของแท้ ทำของเทียมให้หมดไปกลายเป็นแต่ของแท้ให้ได้ ให้ถึงความบรรลุ
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน
สิกขมาตุรินฟ้า
สมณะแสนดิน…
พ่อครูว่า…วันนี้อธิบายทักขิเณยบุคคล 7 ไปตามลำดับบ้างดีไหม
-
สัทธานุสารี ผู้แล่นตามไปด้วยศรัทธา คือ ผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปัตติผล มีสัทธินทรีย์แก่กล้า อบรมอริยมรรคโดยมีศรัทธาเป็นตัวนำ (ท่านผู้นี้ถ้าบรรลุผลแล้วจะกลาย เป็นสัทธาวิมุติ)
-
ธัมมานุสารี ผู้แล่นไปตามธรรม คือ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปัตติผล ที่มีปัญญินทรีย์แก่กล้า อบรมอริยมรรคโดยมีปัญญาเป็นตัวนำ (ท่านผู้นี้ถ้าบรรลุผลแล้วจะกลายเป็น ทิฏฐิปัตตะ)
พระพุทธเจ้าไม่ใช้คำว่าปัญญานุสารี แต่ใช้คำว่าธัมมานุสารี อันนี้ในธรรมะมันยังเป็นธรรมะ 2 มันจะค่อยๆได้ไปตามลำดับ
ธรรมะนี้รวมไว้หมดท่านจึงบอกว่า เริ่มแรกไม่เอาคำว่าปัญญานุสารี ท่านเอาคำว่าธัมมานุสารี บางทีบางคนนึกว่าเป็นปัญญา แต่ตัวเองแท้จริงกลายเป็นเจโตทีหลังก็ได้ นึกว่าตัวเองเป็นสายปัญญา นี่อย่างพวกเรา เราเป็นปัญญาหรือเจโตกันแน่ ศรัทธาหรือปัญญากันแน่ มันไม่ง่าย เพราะฉะนั้นศรัทธานี้แน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าปัญญานี้ มันเข้าใจไม่ง่ายที่จะได้ปัญญา จึงเรียกว่าธัมมานุสารี
เมื่อมาติดตามแล้วสามารถที่จะเรียนไปได้ตามลำดับ อันที่ 3 คนจะได้ก่อนได้เร็วคือศรัทธาจะได้สัทธาวิมุต วิมุติมันก็เป็นโลกีย์วิมุติก็ได้ โลกุตระวิมุติก็ได้ วิมุติ ที่ใหม่ สมาธิหรือสัมมาทิฏฐิก็ได้ ก็ต้องค่อยๆปฏิบัติธรรมไป
สัทธาวิมุติ จะได้ก่อนก็ไม่ว่ากันส่วนปัญญานั้นจะเรียกตัวที่ได้เริ่มต้นว่าเป็น
ทิฏฐิปปัตตะ
-
สัทธาวิมุติ ผู้หลุดพ้นด้วยศรัทธา คือ ท่านที่เข้าใจอริยสัจถูกต้องแล้ว และอาสวะบางส่วนก็สิ้นไป เพราะเห็นด้วยปัญญาแต่มีศรัทธาเป็นตัวนำหน้า หมายเอาพระผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัตที่มีสัทธินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติ .
-
ทิฏฐิปปัตตะ ผู้บรรลุสัมมาทิฏฐิ คือ ท่านที่เข้าใจอริยสัจถูกต้องแล้ว และอาสวะบางส่วนก็สิ้นไป เพราะ เห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระผู้บรรลุโสดาปัตติผลขึ้นไป จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัต ที่มีปัญญาและปัญญินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติจนเกิดปัญญาพละ
ทิฏฐินี้จะเรียกว่าความเชื่อหรือลัทธิก็ได้ ก็ให้ปฏิบัติให้เกิด ปัตตะ หรือการเข้าถึง การบรรลุ จากปัตตะมาเป็นปันนะ ก็ปฏิบัติให้เข้าถึงผล ปัตตะนี้เข้าถึงผล
คุณมีทิฏฐิ เริ่มต้นมีความรู้แบบนี้จะสัมมาหรือมิจฉาไม่รู้ ถ้าคุณสามารถบรรลุขึ้นมาเรื่อย เป็นปัตตะ เป็นการบรรลุผลที่พยายามที่จะศึกษาสัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ
ซึ่งจะต้องเรียนสัมมาทิฏฐิตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า สัมมาทิฏฐิ 10 เป็นต้น ในการปฏิบัติทานกับศีล อันหนึ่ง เป็นการแสดงออกกับคนอื่นอีกอันหนึ่งเป็นการแสดงออกกับตัวเอง แล้วก็อ่านจิตทั้งคู่ ฝึกฝนจนกระทั่ง ทิฏฐิปปัตตะหรือสัทธาวิมุติ
สัทธาวิมุติ จะได้ผลก่อนเป็นกายสักขี เป็นรูปธรรมเหมือนกับเป็นอรหันต์เลยตามที่เข้าใจ โดยที่มีทิฐิไม่ได้เป็น ปัตตะแท้ ด้วยเข้าใจว่าเราบรรลุมีกายสักขี คนไม่รู้ด้วยก็จะเห็นว่าคนนี้ใช่ องค์นี้เป็นอรหันต์ อย่างอรหันต์เก๊ต่างๆ ที่เป็นสายหลับตาหรือลืมตาที่เป็นสมถะก็ตาม
-
กายสักขี ผู้เป็นพยานด้วยนามกาย หรือผู้ประจักษ์กับตัวคือ ท่านที่ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย อาสวะบางส่วนก็สิ้นไป เพราะเห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระอาริยบุคคลผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป จนถึงเป็นผู้ยังปฏิบัติเพื่ออรหัต ที่มีสมาธินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติ
อย่างสายมหาบัว ก็จะเกิดองค์ประชุมเป็นรูปนามแต่ไม่มีปัญญา รูปกายนี้ชัดว่าคนนี้เป็นอรหันต์เป็นหลักฐาน คนเข้าใจที่ไม่สัมมาทิฏฐิก็อาจเข้าใจอย่างนั้นได้ จึงจะต้องปฏิบัติไปตามที่พระพุทธเจ้าให้เริ่มต้นเรียนรู้วิโมกข์ 8 ต้องเรียนรู้รูปนาม
ต้องเรียนรู้โลกภายนอกก่อน พหิทา แล้วค่อยๆเรียนรู้ลึกเข้าไปหาในใจเป็น อัชฌัตตัง พหิทาก่อนแล้วค่อยเป็นอัชฌัตตัง
คำว่า พหิทา เป็น พหูพจน์ ส่วนอัชฌัตตัง เข้าไปหาตัวไหนมันไม่ใช่พหูพจน์ทีเดียวแต่มีส่วนเลื่อนชั้นไปหาข้างในลึกสุดจนถึงขั้นอรูป เข้าไปหารูปก่อนแล้วไปหาอรูป
วิโมกข์ 8 ไม่ใช่เรื่องเดา เขาเดากัน หากศึกษาวิโมกข์ 8 ไม่ชัดเจนก็เลอะเทอะ
-
ผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปี รูปานิ ปัสสติ) คำว่าเห็นรูปทั้งหลายคือมากกว่าหนึ่งตั้งแต่สองเป็นต้นไป คนไม่มีรูปแล้วจะไปเห็นอะไร คุณนั่งเฉยๆแล้วหลับตาก็ไม่มีรูป
รูปนี้ ขอยืนยันก่อนอื่น เบื้องต้นคือรูปที่ตาคุณเห็นภายนอกตาไปกระทบ เสียงไปกระทบหูก็เรียกว่ารูป กลิ่นไปกระทบจมูกก็เรียกว่ารูป รสกระทบลิ้นก็ดีกว่ารูป กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งเสียดสีก็เรียกว่ารูปข้างนอก คือโผฏฐัพพะ 5 คือรูป ส่วนอรูปอยู่ภายใน
กามรูปอยู่ภายนอกก่อน แล้วค่อยเรียนรู้ภายใน
หากภายนอกเราอยู่เหนือแล้วก็จะไม่เป็นพิษภัยกับใครไม่ถูกกับสิ่งภายนอกแล้วเหลือแต่ภายในที่เป็นกิเลสของเรา ผู้มีรูปแล้วต้องเห็นรูปรู้รูปเข้าใจรูป เป็นข้อแรก รูปี รูปานิ ปัสสติ
-
ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66) ย่อมเห็น รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) (พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)
อัชฌัตตังคือภายใน อรูปสัญญี พหิทา คำสามคำนี้ ท่านผู้ที่ไม่เข้าใจก็ไปแปลเอา อรูปไปใส่อสัญญี มันก็เสียหมด อสัญญี แปลว่าผู้ไม่กำหนดรู้ ผู้มีความสำคัญมั่นหมายเป็นผู้ไม่กำหนดรู้ในรูปภายใน ท่านไปแปลปนกันเลย เอา อ ไปเกี่ยวข้องกับสัญญี คือ ผู้ไม่มีสัญญาก็เลยแปลว่า พวกไม่มีความสำคัญมั่นหมาย ในรูป ท่านเอา อ ไปเกี่ยวกับสัญญี ก็เลยกลายเป็นผู้ไม่มีสัญญาไปกำหนดรู้อะไรเลย กลายเป็นคนบอดใบ้หนวกหมดเลย ถ้าอย่างนี้แล้วก็เลิกเลยไม่ต้องอธิบายต่อถ้าไปแปลความอย่างนี้ จริงๆมันไม่ใช่
อรูปสัญญี คือ ผู้ที่ได้กำหนดรู้ตั้งแต่แรกตั้งแต่ รูปี รูปานิปัสสติ ต้งแต่ภายนอก พหิทารูปานิ แล้วลดรูปภายนอก ความติดยึดในกามภพภายนอกให้ได้ก่อน เมื่อได้แล้วก็ค่อยเลื่อนเข้ามาข้างในข้างในก็เป็นแค่รูป จากกามภพก็มาเป็นรูปภพ อรูปภพก่อน
อัชฌัตตังก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าต้องเป็นรูปภพก่อนแล้วค่อยมาเป็นอรูปภพ
สรุปแล้ว กามภพ กามรูปก่อนเอาให้หมด แล้วค่อยมาทำภายในขั้น รูป ก่อน หมดกิเลสรูปภพก็มาทำกิเลส อรูปภพต่อ อย่าเอาอสัญญาไปใส่ อสัญญีสัตว์นั้นอย่างหนึ่ง อรูปสัญญีไม่ใช่อสัญญีรูป อสัญญีรูปก็ซวยเลย
อสัญญี เป็นอายตนะ 2 สุดท้าย
อสัญญีสัตว์กับเนวสัญญานาสัญญายตนะสัตว์
คนที่ปฏิบัติผิดด้วยดับสัญญามาเรื่อยๆก็จะเป็นอสัญญีสัตว์ แต่ว่าผู้ที่เป็นพุทธปฏิบัติอย่างลืมตามาเรื่อยๆตั้งแต่รูปฌานอรูปฌาน อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ สัญญาเวทยิตนิโรธ
อสัญญีคือพวกไม่กำหนดรู้เลยเป็นพวกศรัทธาเจโตพวกดับไม่กำหนดรู้จนทะลุ ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นจะไล่มาตามลำดับเลย ในอรูปฌาน 4
เนวะ คือกึ่งรู้กึ่งไม่รู้ คือใกล้จะหมดแล้ว แต่ถ้าจิตใจตัวเองไม่ได้ใกล้จะหมดเลยแต่คิดว่าตัวเองจะหมดคนนี้ก็ซวยเลย จึงจะต้องมาเรียนรู้เป็นลำดับๆไป เป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ จนผู้ที่เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะ พ้นอันนี้สุดก็เป็นสุดยอดแล้ว เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธเป็นผู้ที่มีสัญญากำหนดรู้สมบูรณ์แบบกำหนดรู้รอบในเวทยิตังนิโรธังโหติ มีความดับที่มีเวทนา เคล้าเคลียอารมณ์ ตรวจสอบภายนอกภายในทั้งละเอียดและหยาบ จนหมดครบไม่เหลือเลย สัญญา กำหนดรู้เวทนาเกลี้ยงภายนอกข้างนอกข้างในทั้งละเอียดทั้งกลางทั้งหยาบจนไม่เหลือเลยสัญญาเวทยิตตังนิโรธังโหติ เรียนรู้เวทนา 108 ทะลุปรุโปร่งตามลำดับ ปฏิบัติตามนั้นได้ครบ สุดท้ายเป็นขั้นอดีตปัจจุบันอนาคต
ทำ 36 ปัจจุบันให้ได้เป็นฐานอดีต แม้จะมาในอนาคตอีกเท่าไหร่ฐานของอดีตกับฐานของปัจจุบันเป็น 2 ฐานกับหนึ่งที่เป็นอนาคตจะมา อนาคตก็สู้ไม่ได้ เป็นธาตุรู้ที่เป็น Dynamic และ Static ตัวฐานตั้งและตัวเครื่องหมุนรู้หมดในประธานเป็นผู้ที่เป็นเจ้าของรู้หมด เป็นผู้จัดการใหญ่
เมื่อมาถึงเป็นทิฏฐิปปัตตะ กับสัทธาวิมุติ
สัทธาวิมุตยังไม่แน่เพราะเป็นสายเจโต แต่ทิฏฐิปปัตตะ ถูกต้องกว่ามีความเป็นปัญญามากกว่า ชัดก็ยังไม่ชัดเพราะพวกศรัทธาเจโตก็เข้าถึงกายสักขี คือ ถ้าเป็นกายสักขีของสายปัญญาก็จะชัดเจนเพราะมีทั้งรูปและนาม จากกายสักขีมาเป็น ปัญญาวิมุติพระพุทธเจ้าก็ตัดรอบให้เป็นอรหันต์ หมดอาสวะทั้งหมด กายสักขีนี้อาสวะบางอย่างถูกบ้างไม่ถูกบ้าง อาจจะไปฟลุ๊ค ตัวใดตัวหนึ่งดับแต่คนยังไม่มีปัญญามั่นๆ ไม่ถูกฝาทุกตัวชัดเจนยังคลุมเครือ
เพราะฉะนั้นท่านถึงกำชับว่าต้องปฏิบัติสัมผัสกาย ด้วย วิโมกข์ 8 ต้องมีภายนอกและภายในเป็นลำดับตาหูจมูกลิ้นกาย ครบๆ แล้วก็จะมีสภาวธรรมที่ทำให้คนบรรลุได้ครบมันจะได้ไม่ตกหล่นวนไปวนมา นึกว่าได้แล้วแต่ก็ยังตกหล่นเป็นเศษเล็กเศษน้อยไม่ใช่ต้องได้ไปตามลำดับได้อย่างเป็นสัดส่วน เป็น cyclic order เป็นลำดับไม่ต้องมาเก็บตกหล่นที่หลังอีกมันเสียเวลา ตกหล่นมากก็เป็น วิตักกจริต มันมากก็เลยต้องกลับมาเก็บอีก แต่อย่าท้อ เข้าคบหาสัตบุรุษจึงพยายามปฏิบัติตามฐานะเป็นลำดับให้ได้
ผู้มีกายสักขีอยู่ในระดับคู่กับปัญญาวิมุติ มีอาสวะบางอย่างดับได้ เอาให้ชัด มีสัมผัสเป็นปัจจัย ต่างๆนานา แท้ๆไปเรื่อยๆจนคุณสามารถสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย กายสักขี นี้ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ต้องเรียนรู้วิโมกข์ 8 ไปตามลำดับโดยเฉพาะ 3 ข้อ รูป กับอรูป กับตัวเรา เป็นขั้นๆ ตั้งแต่กามภพ รูปภพ อรูปภพ แล้วจึงจะได้เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์
ส่วนผู้ที่เป็นปัญญาแท้ เมื่อดับอาสวะได้สิ้นก็เป็นปัญญาวิมุต อาสวะนี้หยาบกว่าอนุสัย
ในสังโยชน์ 10 ดับอาสวะสิ้น เพราะเหลือเศษอนุสัยของอรหันต์เป็นอจินไตย
อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย
สย คือตัวเรา อาศัย คือเป็นตัวที่สั่งสม เป็นนิ นิสัย สั่งสมเก่งจนเป็น วิสัย
คุณก็ทบทวนวิสัยนี้ที่เก่งที่ได้ ที่ได้อาศัยก็อาศัย จึงได้อาศัยนิสัย วิสัย มารวมที่อาศัยแล้วก็ทำงานไปสั่งสมเป็น สยะ แล้ว คุณก็ควบคุม สยะ ตัวเองมิได้เรียกว่า อนุสัย ตัวที่อยู่ลึกเข้าไปอยู่ในก้นบึ้งของจิตสะสมไว้อยู่ ที่จริงไม่ได้สะสมแต่มันตกตะกอนเป็นฐาน ในฐาน status ของเรา มันก็อยู่ตรงนั้น มันเป็นฐานตั้งที่เป็นสมบัติของเรา แต่เราไม่ยึดถือเป็นเรา เราอาศัยมันทำงาน เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ก็จะมีทั้งอาศัยและอนุสัย นิสัยกับวิสัยเป็นตัวปฏิบัติเพิ่มกำลังบารมีขึ้นสู่อนุสัย
นิสัย เป็นระดับหนึ่งเมื่อถึง วิสัยนั้นลึกกว่า เพราะฉะนั้นใน
สยะ 4 อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย
อนุสัย อาตมาไม่เคยเห็นใครมาอธิบายขยายความ แม้แต่ อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย ก็ไม่เห็นมีใครอธิบายขยายความแต่พวกเราฟังอ่านออกและมีสภาวะไหม สามเส้านี้ อย่างนี้เป็นต้น นี่คือซ้อนในบุคคล7
อาสวะกับอนุสัย ผู้ที่จบ อุภโตภาควิมุติ จบทั้งอาสวะ อนุสัย หมดเลย เป็นอุภโตภาควิมุติสุดยอดแล้ว เป็นพระอรหันต์เต็มรูปยิ่งใหญ่เป็นพระโพธิสัตว์ คือพระอรหันต์ที่สมบูรณ์แบบขึ้นเรื่อยๆ
มาเริ่มต้นตั้งแต่ สัทธานุสารี ธัมมานุสารี สัทธาวิมุติ
ทิฏฐิปปัตตะข้ามไปหาเป็นปัญญาวิมุติเป็นอรหันต์เลย แต่สายศรัทธาจะเป็นกายสักขี เสียเวลาต้องไปสัมผัสวิโมกข์ 8 อะไรอีก ทวนกัน ก็เป็นจริงตามสกุลศรัทธาเจโต กับสกุลของปัญญา ปัญญานั้นแววไว พอลึกละเอียดก็จะสั้นเข้าเร็วขึ้น แต่ในระดับแรกนั้นสายเจโต จะบรรลุเร็วกว่าสายปัญญาในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเผื่อว่า ทำถูกต้องตามลำดับ ปัญญาวิมุตินี้จะเร็วกว่าสัทธาวิมุติ
เมื่อไปถึงขั้น กายสักขี กับขั้น ปัญญาวิมุติ คู่ปลาย สองตัวสุดท้าย เป็นอุภโตภาควิมุติ
สายศรัทธาจะไปสู่อสัญญีสัตว์ แม้แต่เนวสัญญานาสัญญายตนะก็เป็นสายปัญญา สายอสัญญีสัตว์จะเป็นสายศรัทธามานั่งดับสัญญาอยู่นั่นแหละ แต่ผู้ที่เป็นปัญญาแล้วจะเหลือเศษเป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะเหลือเศษสุดท้าย
อากาสานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ
อากาสานัญจายตนะแปลว่าสภาพว่าง อากิญจัญญายตนะแปลว่าธาตุรู้ ทำงานจนกระทั่งเหลือสุดท้ายตั้งแต่หยาบถึงละเอียด จนกระทั่งนิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มีอากิญจัญญายตนะ นิดนึงน้อยหนึ่งก็ไม่มีแล้ว พระพุทธเจ้าก็ไม่ให้ประมาทว่าจริงหรือเปล่า ให้ตรวจดูใหม่สัมผัสดูอีก สัมผัสได้เก่งขึ้น อันนี้ สัมผัสเคยแรงกว่าที่เคยมี ก็แวบมาแฮะ ยังมีอยู่ หรือคุณจะต้องสัมผัสกับที่แรงขึ้น คุณก็เก่งขึ้น มันยิ่งแรงขึ้นหนักขึ้นตัวใหญ่ขึ้นคุณก็ยิ่งก้าวหน้าขึ้นเพราะว่าคุณชนะได้ นั่นแหละคุณจะต้องมีอย่างประมาทไม่ได้ จนกว่าคุณจะบอกว่าแรงกว่านี้ไม่มีอีกแล้วหนักกว่านี้ไม่มีอีกแล้วเจอมานักต่อนักแล้ว มันเจอหนักเจอสิ่งที่แรงกว่า
เมื่อเจอหนักแล้วมันจะง่ายเข้า หนักๆนี้หยาบก็ง่าย แต่ยากละเอียดนี่ ไปแพ้ละเอียด หยาบนี่ มันคนชั้นต่ำ แน่ะ ปัญญามันขึ้นไปอย่างนั้นความฉลาดมันเลยยาก นั่นชั้นต่ำ แต่คุณไม่รู้ตัวหรอกว่ามันชั้นต่ำ ขึ้นไปหลงตัวละเอียด หลงมาก ไอ้ละเอียดนี่เลยกลายเป็นหยาบของคุณ
พูดอย่างนี้เหมือนสิริมหามายา กลับไปกลับมา เดี๋ยวหยาบเดี๋ยวละเอียด เดี๋ยวละเอียดเดี๋ยวหยาบ ไม่สับสนนะ อาตมาว่า อธิบายยังไม่เก่งแต่พวกคุณเข้าใจได้ ช่วยอาตมาได้เยอะ
เมื่อเป็นผู้ที่ จิตจริงๆ จากทิฏฐิปปัตตะ มาเป็น ปัญญาวิมุติจะเข้าใจอาสวะเข้าใจกิเลสในระดับอาสวะ แล้วแจกอาสวะ 4 ก็จะเข้าใจด้วยลำดับของอาสวะ ซึ่งจะไม่เหมือนกับอนุสัย
อนุสัยกับอาสวะ 3 ตัวแรกเหมือนกัน สักกายยะ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
เมื่อมีตัวนี้เป็นต้นทุนแล้ว อาสวะก็มาไล่เรียงต่อมาสิ
อาสวะ 4 ตั้งแต่
-
กามาสวะ
2. ภวาสวะ
3. ทิฏฐาสวะ
4. อวิชชาสวะ (พตปฎ. เล่ม 35 ข้อ 961)\\
จนมาถึงอนุสัย 7
-
กามราคานุสัย (ความดึงดูดกำหนัดในกาม)
-
ปฏิฆานุสัย (ความผลักไส ขัดเคือง ขึ้งเคียด) จนหมดกาม หมดปฏิฆะ
-
ทิฏฐานุสัย (ความยึดถือความเห็นเป็นตนของเรา)
-
วิจิกิจฉานุสัย (ความลังเลสงสัย ทำให้เนิ่นช้า) ต้องแม่นไม่สงสัยมีความรู้ชัดเจนเลยว่า กามราคะ ปฏิฆะ เป็นคู่
ภวราคะก็เป็นคู่ เป็นภพ เพราะฉะนั้นก็คือ กามกับปฏิฆะ อยู่ในภวราคานุสัย
-
มานานุสัย (ความถือตัวทั้งหลาย)
-
ภวราคานุสัย (ความใคร่อยากในภพละเอียด)คือกามกับปฏิฆะไปเป็นรูปราคะ อรูปราคะ เป็นธรรมะสองของสภาะผลักกับดูด ราคะกับปฏิฆะ ธรรมะสองตัวสุดท้าย มันไม่เป็นกามโลกีย์แล้ว ไม่แสดงตัวอย่างหยาบแล้ว จะดุ๊กดิ๊กอยู่ภายในเป็นความผลักและดูดอยู่ภายในคุณก็ลดอีก ลดผลักกับดูด กามดูดปฏิฆะผลัก ดับจนหมดทั้งสองจึงเป็นภวราคานุสัยสุดท้ายหมดอีก เป็นตัวละเอียดลออเหลือกำลัง หากจะเข้าใจอย่างนี้ได้ต้องปฏิบัติธรรม ฟังไปก็ได้พยัญชนะภาษาเป็นความเข้าใจ ต้องไปปฏิบัติจนเกิดสภาวะต่างๆจริง จึงจะถอน สันตานะ(สันดาน) ของคุณได้หมด
ที่จริง สันตานะ
-
อวิชชานุสัย (ความไม่แจ้งในอริยสัจ)
(พตปฎ. เล่ม 23 ข้อ 11)
สันตะ คือสันติ สันตะคือ สะ กับ อันตะ อันตะ คือปลายที่สุดที่ยอด ส คือพลังงานตัวที่ 4 ในวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ พยัญชนะตัวที่ 5 นี้อ่อนเล็กกว่าพยัญชนะเพราะว่าเป็นเศษวรรค
จึงเหลือตัวที่ 5 นี้ ของ เศษวรรค
ย ร ล ว หาก ว นี้ หากเอาสามเส้า ว ส ห ถ้า ส เต็มก็มาเป็น พ พอเป็น พ แล้วมันจะไปเจริญเป็น ภ โตขึ้น มาเป็น ม.ม้าก็เต็มรูปของจิตเลย ป ผ พ ภ ม
อาตมา พยายามอธิบายก็รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง ทุกคนต้องเรียนรู้และเก่งเข้าใจได้ด้วย บางคนจะยังไม่เข้าใจได้ทีเดียวแต่ก็ต้องเรียนอย่างนี้แหละ ต้องใช้พยัญชนะกับสภาวะ แล้วมันจะสลับไปสลับมา สุดท้ายมันก็คือตัวรวมพยัญชนะหรือสภาวะ หรือเรียกว่าอัตถะกับธรรมะ
บัญญัติกับสภาวะก็จะเป็น 2 อันเป็นธรรมะ 2 เพราะฉะนั้นคำว่าธรรมะ 2 นี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดของศาสนาพุทธ อาตมาถึงได้มาชัดเจนว่า ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
ตัวอื่นใดก็ไม่ชัดเจนเท่าเวทนาเพราะพระพุทธเจ้าให้จับเป้าที่เวทนานี่แหละเป็นตัวที่คุณจะเรียนรู้สุขทุกข์ก็อยู่ที่นี่ ความสุขความทุกข์ในขันธ์ 5 อยู่ที่เวทนา อยู่ที่อื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องจับให้มั่นคั้นให้ตายที่เวทนา หากไปหลับตาไม่มีเวทนาไม่มีผัสสะ คุณก็เอาแต่เวทนาที่เป็นความจำที่เป็นสัญญาไม่เป็นเวทนาที่เป็นปัญญา ปัญญาต้องมีภายนอก สัญญาเป็นภายในปัญญาเป็นภายนอก ไม่มีภายนอกก็ไม่ครบ
พลังงาน ปัญญานี้เป็น วรรคเต็ม แต่สัญญา เป็นแค่พลังงานของเศษวรรค
ไม่ง่ายจะแยกสัญญากับปัญญา ปัญญามันดูมีภายนอกด้วยมันจะดูหยาบแต่มันใหญ่กว่าสัญญา ใช่ มันดูเหมือนหยาบกว่า เอาทั้งภายนอกและภายใน สัญญามันเล็กกว่าเอาแต่ภายใน แต่ปัญญามันใช่กว่าใหญ่กว่าแต่มันต้องมีภายนอก
ถ้าเผื่อว่าคุณไม่แม่น สลับปัญญากับสัญญาก็เป็นนักเล่นกล แต่ถ้าคุณจับถูกแสดงถูกก็กลายเป็นสิริมหามายานักเล่นกลชั้นยอด สิริ มหา เป็นนักเล่นกลผู้ยิ่งใหญ่ผู้มีความจริงที่มีสัจจะที่มีปัญญา สามารถทำสิ่งที่ได้สมบูรณ์ แต่ดูเหมือนคนที่ไม่มีภูมิเท่ากันจะดูว่าเป็นคนกลับกลอกไม่อยู่กับร่องกับรอยหมุนไปหมุนมาสลับไปสลับมา
หากสภาวะนั้น พยัญชนะนั้น มันง่ายๆก็ไม่ต้องมาวุ่นวายอธิบายอย่างนี้หรอก เอาของพระพุทธเจ้ามาให้ทำเลย ดิ้นไม่ได้ก็จบ แต่เพราะมันดิ้นได้จึงยาก แล้วจะต้องทำจนกว่ามันจะดิ้นไม่ได้จึงเป็นตัวชนะ คุณทำให้ตัวดิ้นนี้มันหยุดดิ้นเลย มันเป็น 1 และเป็น 0 เลยจนดิ้นไม่ได้อยู่ในอาณัติ ตกลงคุณเป็นประธานและคุณก็มี 1 กับ 0 ได้ จะให้เป็นหนึ่งเมื่อไหร่ก็ให้มีให้เป็นศูนย์ก็คือไม่มี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน พระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43
พระไตรปิฎกล. 16 ข. [43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี 1 ความไม่มี 1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก(โลกสมุทัย)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก นตฺถิตา สา น โหติฯ) เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก(โลกนิโรธ)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก อตฺถิตา สา น โหติฯ)
สองคู่นี่ นโหติ กับโหติ ไม่มีกับมี อัตถิมี นัตถิไม่มี พระพุทธเจ้าสรุปไว้ใน 2 คำนี้มีกับไม่มี
ตั้งแต่ทาน อัตถิทินนัง นัตถิทินนัง ทานที่อาศัยแล้วทานที่ทำแล้ว แล้วจิตของคุณเป็นอย่างไร จิตคุณเป็นภพหรือไม่ ทานแล้วให้แล้ว ก็จบ ให้ก็คือ ไม่ใช่ของเราแล้ว ให้แล้วก็จบ ให้แล้วหากยังยึกยักอยู่ วัตถุรูปก็หายไปหมดแล้ว แต่คุณก็ยังมียึดมั่นถือมั่นว่า นี่ของเราๆๆ จนกระทั่ง ที่ให้นี่เขากินเป็นขี้ไปแล้ว คุณก็ไปตามเอาขี้นี้มาเป็นของเรา ฟังดูเหมือนหยาบนะ
เราให้ไปแล้วก็คือไม่ใช่ของเรา ถ้ายังมีจิตแค่ สาเปกโข
อุ คือ อะ อิ อุ พลังงานที่ผันจักร หมุนพยัญชนะสระ พยัญชนะหมุน
เมื่อคุณสามารถอ่านจิตตัวเอง อย่าให้จิตมันเกิดภพชาติที่เป็นตัวไม่ง่าย เพราะฉะนั้นทานสูตรนี้ก็สำคัญมากเลย พระพุทธเจ้าตรัสทานสูตร ถ้าทานไปแล้วให้ไปแล้ว คุณก็ยังมีจิตต่อเป็นเราของเราก็ไม่จบ เพราะฉะนั้นให้ตัดไปเลย ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก ไม่มีเราไม่มีเขา ให้ออกไปแล้วก็ผ่านจากเราไปแล้วไม่ใช่ของเราแล้ว คุณก็ยังไปต่อในจิตอยู่ ในจิตต้องไม่ต่อจริง ให้แล้วจิตก็ไม่ต้องต่อให้วัตถุให้อะไรก็แล้วแต่ ให้แรงงาน ให้ความรู้ก็ตาม ไม่ต้องผูกพัน
มีจิตปฏิพัทธ์ผูกพันก็ไม่ต้องมี ทำให้แล้วไม่มีจิตผูกพัน คนที่มีสาเปกโข ยึดเป็นภพชาติ เป็นแดน พอยึดเข้าคุณก็ จากสาเปกโข ก็ปฏิพัทจิตโต พัวพัน หนักเข้าสั่งสม สันนิธิเปกโข แปลว่าสั่งสมลงไป หยาบใหญ่ไปเรื่อย ตั้งแต่สาเปกโข โง่มาเรื่อย ๆ ผูกพันนัวเนียจนสั่งสมเป็นคลัง นิธิเลย มูลนิธิ คือคลังขี้ เพราะฉะนั้นเงินทองทั้งหลายแหล่ พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นอสรพิษ อาตมาบอกว่าเป็นขี้ อสรพิษขบกัดเจ็บปวดแต่ขี้นี้เหม็น
สั่งสมตกผลึกไปอยู่นั่นแหละ ก็ยิ่งไปกันใหญ่เลย นอกจากสั่งสมแล้ว ตายไปแล้ว ก็จะเป็นภพชาติเป็นวิมานเป็นสวรรค์ เป็นแดน เป็นตัวบุคคลเป็นเทวดา แล้วก็เป็นอะไรอีกเป็น 2 ส่วนอยู่กันไป เป็นวงวนเป็นภพเป็นภูมิ เป็นวิมาน จนสุดท้ายอยู่ในพุทธเกษตร สั่งสมเป็นพุทธเจ้าแล้วก็ได้เลย พวกนี้ยึดพระพุทธเจ้าไม่ให้ไปนิพพานเป็นปริโยสานเสียที
อาตมาว่า เป็นปัจเจกพุทธเจ้าหรือสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเป็นสมัยเดียวก็พอ หากเป็นหลายสมัยก็ไปสร้างพุทธเกษตร ตายไปอยู่ในพุทธเกษตร พระพุทธเจ้าที่ปรินิพพานเป็นปริโยสานจะไปเลยไม่มีภพชาติอีก คุณก็ยังไปบอกว่ามีพุทธเกษตรอีก คุณก็เริ่มเป็นพุทธเจ้าองค์หนึ่งอยู่ในแดนพุทธเกษตร มีคนหนึ่งก็จะมีคนที่สองเพราะคิดเหมือนกัน มันก็ไม่รู้จักจบ คนที่จะจบก็รู้จักจบเถอะ เมื่อคุณมีสภาวะอย่างนี้จึงตั้งแต่เป็นอรหันต์จนถึงปัจเจก ปัจจัตตัง สั่งสมจนเป็นสยังอภิญญา ก็จะไปเป็น ปัจเจกสัมพุทธะอีกที เงื่อนไข ของปัจเจกสัมพุทธะกับสัมมาสัมพุทธะก็ต่างกัน อาตมายังไปไม่ถึงแต่เข้าใจไม่ผิดหรอก อาตมาจะไปติดใจเป็นปัจเจกสัมพุทธะหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทุกวันนี้เมื่อยนะ แต่ก็ปรารถนาจะเป็น ภพที่ 9 เป็นสัมมาสัมพุทธะหรือปัจเจกสัมพุทธะ จากมหาโพธิสัตว์เป็นขั้นที่ 8 ตอนนี้อาตมาเป็น นิยตโพธิสัตว์เป็นระดับที่ 7 จนกว่าจะไปเป็นปัจเจกสัมพุทธะ เพราะฉะนั้นสัมมาสัมพุทธะกับปัจเจกสัมพุทธะ ต่างกันแค่ปัจเจกสัมพุทธะนั้นไม่ประกาศศาสนาเท่านั้น แต่ท่านมีภูมิรู้อย่างเดียวกับพุทธเจ้า แม้จะเกิดมาในโลกท่านก็ไม่ประกาศศาสนา คนก็ไม่รู้ว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ท่านก็ไม่ปรากฏประกาศศาสนา ไม่มีใครรู้จักท่านเลยแล้วท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานหายไปเลย คนไม่รู้ก็เดาส่ง ว่าปัจเจกสัมพุทธะคือรู้แต่ตัวเองสอนใครไม่เป็น ตั้งแต่เป็นพระโสดาบันก็ยังสอนคนเป็นเลยคนที่สอนอย่างนี้ว่าปัจเจกสัมพุทธะนั้นสอนคนอื่นไม่เป็นนั้นไม่ถูก
ยุคนัทธวรรค โลกุตรกถา ล. 31
[620] ธรรมเหล่าไหนเป็นโลกุตระ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 อริยมรรค 4 สามัญผล 4 และนิพพานธรรมเหล่านี้เป็นโลกุตระ ฯ
ชื่อว่าโลกุตระ ในคำว่า โลกุตฺตรา นี้ เพราะอรรถว่ากระไร ฯ
ชื่อว่าโลกุตระ เพราะอรรถว่า ข้ามพ้นโลก ข้ามพ้นแต่โลก ข้ามไปจากโลก ล่วงพ้นโลก ล่วงพ้นโลกอยู่ เป็นอดิเรกในโลก สลัดออกแต่โลกสลัดออกจากโลก สลัดไปจากโลก สลัดออกไปจากโลก สละออกแต่โลกสละออกจากโลก สละออกไปจากโลก ไม่ตั้งอยู่ในโลก ไม่ดำรงอยู่ในโลกไม่ติดอยู่ในโลก ไม่เปื้อนในโลก ไม่ไล้ในโลก ไม่ไล้ด้วยโลกไม่ฉาบในโลกไม่ฉาบด้วยโลก หลุดไปในโลก หลุดไปจากโลก พ้นไปจากโลก หลุดพ้นไปแต่โลก ไม่เกี่ยวข้องในโลก ไม่เกี่ยวข้องด้วยโลก พรากออกแต่โลก พรากออกจากโลก พรากออกไปแต่โลก หมดจดแต่โลก หมดจดกว่าโลก หมดจดจากโลก สะอาดแต่โลก สะอาดกว่าโลก สะอาดจากโลก ออกแต่โลก ออกจากโลก ออกไปจากโลก เว้นแต่โลก เว้นจากโลก เว้นไปจากโลก ไม่ข้องในโลก ไม่ยึดในโลก ไม่พัวพันในโลก ตัดโลกขาดอยู่ ตัดโลกขาดแล้วให้โลกระงับอยู่ ให้โลกระงับแล้ว ไม่กลับมาสู่โลก ไม่เป็นคติของโลก ไม่เป็นวิสัยของโลก ไม่เป็นสาธารณะแก่โลก สำรอกโลก ไม่เวียนมาสู่โลกละโลก ไม่ยังโลกให้เกิด ไม่ลดโลกนำโลก กำจัดโลก ไม่อบโลกให้งามล่วงโลก ครอบงำโลกตั้งอยู่ ฉะนี้แล ฯ
จบโลกุตรกถา
พ่อครูว่า…นับถือเลยคนที่แปลจากบาลีมาเป็นไทยคนนี้
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน เล่าถึง แม่ชีที่รับใช้อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย คือหวังว่าจะได้เป็นเจ้าของวัดนี้ในชาติหน้า
สมณะฟ้าไทว่า…อสัญญีสัตว์คือ
พ่อครูว่า…อสัญญีสัตว์มีสองนัย นัยหนึ่งไม่ต้องสัญญาแล้ว อีกนัยหนึ่งคือดับสัญญาไปเลย นี่แย่ ส่วนผู้ที่อสัญญี นี้คือ ผู้นี้จบแล้วไม่ต้องทำสัญญานี้อีก
อสัญญี ถ้าไม่ต้องทำอีกแล้ว คือผู้พ้นจาก เนวสัญญานาสัญญายตนะ คือผู้ไม่ต้องสัญญาอีกแล้ว ถ้าอย่างหนึ่งคือผู้ไม่ได้เรื่องเลย อีกอย่างคือไม่ต้องสัญญาอีกแล้ว เพราะพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะสุดจบ เป็นผู้นิโรธบริบูรณ์ พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะไปได้เลย คืออายตนะสองสุดท้าย
เมื่อกลับมาเป็นอสัญญีคือผู้สมบูรณ์แบบไม่ต้องสัญญาอีก จบ เหมือนกับปุญญาภิสังขาร กำจัดกิเลสได้สุดจบก็ไม่ต้องใช้บุญอีก อปุญญาภิสังขาร จนทำได้ชำนาญเป็นอเนญชาภิสังขาร เห็นใจคนไม่มีสภาวะก็แปลไปแบบไม่รู้
เอาล่ะ เหลือเวลาอีก ก็ขอสรุปอีก
อายตนะ 2. (เครื่องอาศัย) ของพระอรหันต์
-
เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ . .
-
สัญญาเวทยิตนิโรธ (สัญญาที่เคล้าเคลียอารมณ์)
ผู้ที่รู้แจ้งนิโรธย่อมอาศัยความฉลาดในการเข้าแล้ว ออกแล้วซึ่งสมาบัติ (สัญญาสมาบัติมีเท่าใด สัญญาปฏิเวธก็มีเท่านั้น อายตนะ 2 เป็นสิ่งอาศัยซึ่งกันและกัน)
. . . ฌานสูตร เล่ม 23 ข้อ 240
สมาปัตติคือผู้อยู่เหนืออุบัติแล้ว อุบัติยังเกิดอยู่ แต่สมาปัติคือผู้เป็นสมณะแล้ว อาบัติคือ ผู้ไม่หลุดพ้น ไม่เหนือความเป็นอาปัตติ ปัตติคือการเกิดการเข้าถึง จะให้เกิดก็ได้ไม่เกิดก็ได้จึงมี นัยยะสองนัย
ภิกษุผู้อาบัติออกจากอาบัติคืออาบัติอยู่ ภาษาว่าเข้าว่าออก ที่จริงเข้าคืออยู่ แต่ออกคือไม่อยู่แล้ว นี่คือสภาวะที่อาตมาเข้าใจ
ส.เดินดินว่า…สรุป