611015_รายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 19
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1X9YWXlE0_Nu1dYm0KMac5B9hqPYFa_XGQRSEelrBBnM/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1Mjd8m3T8JKYPrPOX5jUTj3BEcVqTAGk_
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม 2561 ที่บวรปฐมอโศก สำมะปี๋ เป็นเรื่องพูดคุยกันธรรมดาระหว่างพ่อแม่พี่น้องพี่ป้าน้าอา คุยกัน มีอะไรจะแวะมาหาธรรมะก็ทำ หลวงปู่เองอดไม่ได้ที่จะเข้าหาธรรมะ พูดอะไรไปก็ตามเดี๋ยวก็เข้าหาธรรมะ อดไม่ได้ ก็รับเอาให้ได้ก็แล้วกัน อย่าไปนั่งห่างๆ
อาจารย์กฤษฎาว่า…บางทีผมได้รับโทรศัพท์จากพี่น้องญาติธรรมว่าทำไมไม่เห็นมานั่งจัดรายการกับพ่อครู วันนี้ก็เลยได้มานั่งด้วย ประเด็นที่อยากจะแลกเปลี่ยน เรื่องของเทวนิยมกับอเทวนิยม และที่ผ่านมาพ่อครูพูดถึงเรื่องพระเจ้า เทวนิยมนี้จะต้องติดกับพระเจ้า ซึ่งก็จะไม่หลุดพ้นจนมีความเป็นอิสระ แต่ความเป็นอิสระของพระพุทธเจ้านั้นต้องการหลุดพ้นจากกับดักความคิด
พ่อครูว่า…ความเป็นสองเป็นเทวเทวะแปลว่า 2 อันนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติความยิ่งใหญ่ของโลก คำว่าเทวะ กับอเทวะ
ศาสนาพุทธค้นพบคำว่า อเทวะ ตีแตกคำว่า 2
คำว่าสองคืออะไร ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอยู่ในมหาจักรวาลนี้คือภาวะธรรมะ 2 ตั้งแต่อุตุนิยามที่เรียกว่า อุตุนิยาม ขยับมาเป็นพีชนิยามก็มีสัญญากับสังขารก็มี 2 มันกำหนดเกลือแร่ธาตุอะไรเป็นตัวมัน แล้วก็เอาธาตุนั้นมาสร้างมาสังขารตัวมันตลอดเวลา มีสัญญากำหนดรู้แล้วเอามาสังขาร ยังไม่มีเวทนายังไม่มีจิตวิญญาณสำหรับพืช แต่มันก็มีสภาวะ 2 ตัวสัญญากำหนดรู้และก็ตัวสังขารตัวเองเป็นตัวเองสร้างตัวเองจนมาเป็นจิตนิยาม
ก็มีประธานควบคุมบวกลบ ควบคุมตัวสัญญากับสังขาร ถ้ามีวิญญาณมาควบคุมถ้าวิญญาณยังไม่เป็นปัญญา วิญญาณก็เป็น เฉกาหรือเฉโก วิญญาณก็เป็นธาตุรู้ที่เป็นตัวตนถูกอำนาจกิเลสเป็นตัวควบคุม ไม่มีปัญญาลดกิเลสแล้วได้ จึงไม่เป็นทาสของกิเลส ควบคุมขั้วบวกขั้วลบได้
การจัดการบวกลบการจัดการสัญญากับสังขาร สังขารจะแตกออกไปเป็น มันจะปรุงแต่ง มันจะเกิดเป็นเวทนาก่อน เวทนาก็จะแตกเป็นเทว แตกเป็นธรรมะ 2 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 คือหัวใจของศาสนาหัวใจของทุกสิ่งทุกอย่าง
ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
เทวะ ตัวนี้ที่พูดถึง มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากที่เขาตีไม่แตกกัน เทวเลยกลายเป็นสภาพตัวตนเป็นเทวดา ความเป็นเทวดาก็เลยเป็นตัวตนมีสภาพเป็นวิญญาณ ความรู้ที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวตน ถือว่าความจริงความรู้ในตัวเองเป็นธรรมะ 2 เป็นความจริงความรู้ เป็นความจริงความรู้ที่สูงสุดก็คือความลึกลับ ไม่รู้ตัวเองว่าตัวเอง เป็นเทว ก็คนนี่แหละไม่รู้เทวไม่รู้จักธรรมะ 2 ทำให้ตนถูกบงการ แล้วก็ไม่รู้ตัวเทวะ ว่าคืออะไร
อาจารย์กฤษฎาว่า…พ่อครูใช้คำว่า สุดท้ายมันเกิดความลึกลับ ความลึกลับ จึงเป็นภาวะของความหวาดกลัวกริ่งเกรง ไหว้ไปทั่ว กลัวไปทั่ว ทำให้มนุษย์ทั้งหลาย กลัวอะไรต่างๆที่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ฟ้าผ่าฟ้าร้องสุริยุปราคาจันทรุปราคา มันเป็นเหตุแห่งการกลัวก่อนจะมีพระพุทธเจ้า ก็เพราะกลัวความลึกลับก็เลยทำใหญ่
พ่อครูว่า…แม้แต่ทางตะวันออกกลางก็เป็นพีระมิด ทั้งเอเชียก็สร้างเป็นวิหารอะไรใหญ่โตมโหฬาร ก็เพราะว่ากลัวก็เลยสร้างพวกนี้ ทำเพื่อถวายพระเจ้ากันทั้งนั้น แต่ในยุคนี้ไม่ได้สร้างอย่างนั้นแล้ว
อาจารย์กฤษฎาว่า…ถึงขนาดต้องบูชาด้วยชีวิตทำยัญพิธีบูชา
วิเชียร…ในเมถุนสังโยคข้อที่ 7 ปฏิบัติธรรมแล้วตั้งจิตปรารถนาเป็นเทพนิกายใดนิกายหนึ่ง เสริมอ.กฤษฎาที่ว่า โดยทั่วไปปฏิบัติธรรมไปก็ตั้งจิตปรารสนาไปอยู่กับพระเจ้า แต่ของชาวพุทธสอนไม่ให้ตั้งจิตปรารถนาเพื่อไม่ให้เป็นเทพนิกายใดนิกายหนึ่ง
พ่อครูว่า..ใช่ ไม่ต้องไปยึดถือในพลังงานลึกลับที่ไม่รู้ว่าอะไร ให้อยู่ในปัจจุบันที่เป็นธรรมะ 2 เทวหรือเทวดาหรือเทพเจ้าที่เป็นเทวะใหญ่พลังงานใหญ่ ศาสนาพราหมณ์ฮินดูก็เป็นพระพรหม ศาสนาอื่นๆก็เป็นพระยะโฮวาห์พระอัลลอฮ์ก็ว่ากันไป แต่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร เป็นแต่เพียงว่าพยายามมีความรู้
คนที่มีความรู้สูงสุด อย่างพระศาสดาของศาสนาต่างๆ จะเป็นศาสนาอิสลาม ศาสนาพระยะโฮวา ศาสนาโบราณตั้งแต่ชาวยิวต่างๆ ก็มีพระเจ้าที่ลึกลับ แต่ถือว่าเป็นยอดแห่งความรู้ ทีนี้มีคนที่เกิดอุบัติขึ้นมา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองมีความรู้มาได้อย่างไร ก็เลยคิดว่านั่นไม่ใช่ตัวเองไม่รู้ตัวเอง มีอะไรอันหนึ่งบันดาลมีอะไรอันหนึ่งสิงสู่ สั่งการบงการให้ประกาศก็เลยกลายเป็นผู้ประกาศ โฆษก ก็ประกาศสิ่งลึกลับ เป็นความรู้ที่สูงส่งแต่ไม่เชื่อว่าตัวเองมีความรู้นี้ ถือว่าเป็นความรู้ที่สูงสุดที่ไม่เชื่อว่าตัวเองสามารสรู้หรือใครจะบังอาจรู้ได้ นี่คือศาสนาทางเทวนิยม ทางยุโรปหรือทางเอเชียก็ตาม ก็จะมาพูดตามพระเจ้า พระเจ้ามีความรู้อยู่ที่พระเจ้า นี่เป็นศาสนาที่ตีไม่แตก เทวะ ความรู้
แต่ศาสนาพุทธตีแตก จริงๆก็คือคน คนที่มาเป็นประกาศกของพระเจ้าก็คือคน ก็คือความรู้ของเราเองที่สั่งสมมาไม่รู้กี่ชาติ ความรู้สูงสุดก็คือความรู้ของคนไม่ใช่ของพระเจ้า
-
กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน)
-
กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน)
-
กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด)
-
กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร)
-
กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ)
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 581)
แม้แต่ศาสนาไม่รู้ตัวเองนั้นเขาก็มีบารมีมาประกาศจริงๆเขาก็รู้ คนก็นับถือผู้ประกาศนี้เป็นศาสดา ผู้ประกาศนี้เป็นศาสดาทุกพระองค์ ผู้ประกาศธตตของพระเจ้า แต่ก็ไม่รู้ว่าพระเจ้าคืออะไร พระเจ้าคือธรรมะ 2 ธรรมะที่ตัวเองสั่งสมมาเป็นธาตุรู้ของรูปนาม เป็นธรรมะ 2 อย่าง
เป็นความรู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นความรู้ธรรมะ 2 ทุกอย่างทั้งหมดเป็นเรื่อง 2 อย่างทั้งนั้น ถ้ามีอย่างเดียวก็หมดการปรุงแต่ง ก็ไม่มีบวกไม่มีลบไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ไม่มีอะไรเดือดร้อนไม่เดือดร้อน ถ้าใครจมอยู่ในความเดือดร้อนก็เดือดร้อนเอง ถ้าใครไม่จมอยู่ในความเดือดร้อนก็อยู่ในความไม่เดือดร้อนเอง ทีนี้ความเป็นพุทธ กว่านั้น จัดการให้เกิดความไม่ทุกข์ไม่สุขได้เลยเฉยๆกลางๆ ทุกอย่างเกิดแต่ตัวมันเองมีเหตุปัจจัยในตัวมันเอง เราเองเป็นผู้จัดการ เป็นธาตุรู้ เราไม่ยึดถือมาเป็นตัวเราเป็นของเรา เราอยู่กับมันได้เราก็เอา เราอยู่กับมันไม่ได้ก็ไม่เอา อันนี้มันดีเราก็เอา อันนี้ไม่ดีเราก็ไม่เอา ก็อยู่กันอย่างเป็นผู้ที่มีอำนาจ เป็นผู้เลือก เลือกเอาหรือไม่เอาก็ได้ ให้มันมามีฤทธิ์อำนาจเหนือเราไม่ได้ เราเป็นผู้ตัดสินเองเราเป็นผู้กำหนดเองผิดถูกเราโง่เองเราเลือกสิ่งที่ไม่ดีมาใช้มารับ เราทำเราปฏิบัติก็เกิดวิบากเอง เกิดความทุกข์นั้นเอง หากเอาสิ่งที่ดีมาทำก็ไม่เกิดความทุกข์ร้อน
วิเชียร…พ่อครูว่า ถ้ายึดดีมันก็เป็นกิเลส อย่างภาวะของพระเจ้า เป็นพระผู้สร้างพระผู้ประทาน เป็นผู้มีจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ แต่เมื่อยึดถือ มันก็ไม่กลายเป็นซาตานไปเลยครับ
พ่อครูว่า..ยึดปุ๊บก็เป็นซาตาน เราไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่ยึดถือเพื่ออาศัย เพื่อปฏิบัติเพื่อทำเพื่อเกิดปฏิกิริยา
วิเชียรว่า…ที่ผมถามคือ ความยึดมั่นถือมั่น
พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วว่าไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น ให้รู้ว่าอะไรควรก็ยึดถือมาทำดี ทำดีแล้วก็จบแล้วก็เลิกก็วางไป ก็ไม่ยึดดีนั้นเป็นเราเป็นของเรา หากเรายึดดีนั้นเป็นเราเป็นของเรา เราก็จะติดดี แต่ถ้าเราไม่ติดแล้วทำดีก็จบไปสิ แล้วผู้รู้ดีแล้วมีความเฉลียวฉลาด สิ่งที่ไม่ดีเราไม่ทำเราทำแต่ดี เพราะฉะนั้นเรามีชีวิตอยู่ เราก็ทำสิ่งที่ดี เราก็ทำ หากเราจะอยู่เฉยๆไม่ทำอะไรเลยนั้น ศาสนาพุทธไม่เอา ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาเชน ไม่ทำอะไรเลยอยู่ไปวันๆหนึ่ง กินอยู่ธรรมดา นั่งโด๋ ผ่านวันผ่านเดือนผ่านปีไปจนกว่าจะตายไม่มีประโยชน์ไม่มีคุณค่าอะไรเลยไม่ทำอะไรเลย อันนั้นไม่ใช่ศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธนั้นเราก็รู้ว่าเราเกิดมามีชีวะ มีวันมีคืน กลางวันก็ทำงานกลางคืนก็พักผ่อน นอนพักกลางคืน กลางวันก็ตื่นมาทำงาน เมื่อยก็พัก ไม่เมื่อยก็เพียร มีแสงสว่างก็ทำงานไป งานที่จะทำเป็นงานที่มีประโยชน์คุณค่าก็ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่าขึ้นมาให้แก่สังคมให้แก่โลก
อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่เราอาศัยกินใช้ หรือจะทำสิ่งที่เป็นประกอบ เท่าที่เรามีความรู้ความสามารถและก็สร้างสรร เป็นผู้ที่มีความดีความควร ทำสิ่งที่ดีสิ่งที่สมควรในชีวิต สิ่งที่ไม่ดีเรามีความรู้มีปัญญาจะไม่ทำ ทำสิ่งที่ดีสิ่งที่ควรไปเท่านั้น แล้วก็มีชีวิตอยู่อย่างนี้สูงสุดแล้ว เป็นผู้จบแล้ว พระอาจารย์เป็นผู้รู้สิ่งที่ดียังกุศลให้ถึงพร้อม อกุศลไม่ทำเลยบาปไม่ทำเลย ที่ไม่ต้องทำบุญเพราะว่าบุญเสร็จงานแล้ว บุญกำจัดกิเลสโง่ไปหมดแล้ว ความโง่ไม่มีในตัวเราแล้ว บุญก็ไม่มีเช่นกันก็หายไป อรหันต์ทุกองค์เป็นผู้มีบุญเป็นผู้หมดบุญหมดบาป บุญก็ไม่มีไม่ต้องเอามาใช้
เพราะว่าบุญเป็นพลังงานที่ต้องเอามากำจัดกิเลส เป็นคำพูดที่ในยุคนี้ไม่มีใครพูดแล้วนอกจากสมณะโพธิรักษ์ โบราณอาจารย์ก่อนหน้านั้นก็จะมีผู้รู้อยู่ แต่ในยุคนี้ไม่มีผู้รู้อย่างนี้แล้วนอกจากสมณะโพธิรักษ์ นี่ก็พูดความจริง
ทิวเมฆ…พระอรหันต์เป็นผู้ไม่มีบุญฟังแล้วจะงง เพราะว่าคนโดยปกติทั่วไป บอกว่าพระอรหันต์คือคนมีบุญมาก
พ่อครูว่า…บุญคือเครื่องกำจัดกิเลส ความเข้าใจ 2 อย่างก็เรียกว่าเป็น เทวธัมมา
คำว่าบุญคืออะไร ก็มีธรรมะ 2 อย่าง อีกคนหนึ่งเข้าใจว่าบุญคือเครื่องชำระกิเลส อีกคนหนึ่งเข้าใจว่าบุญเป็นเรื่องกุศลเป็นเรื่องทำดี ไม่ใช่หรอกบุญไม่ใช่เรื่องแค่ทำดีได้ บุญเป็นนักฆ่า บุญเป็นพลังงานฆ่ากิเลส ฆ่ากิเลสเสร็จก็จบ ไม่ทำหน้าที่อย่างอื่นเลยคือบุญ
อาจารย์กฤษฎาว่า…ตรงนี้คือ 0 ธรรมะสองคือ ไปทางด้านดีก็เป็นบวกก็ไปเรื่อยไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนทางนี้ก็คือทางชั่วคือลบก็ไปสองด่านอย่างนี้
แต่มันไปไม่มีที่สิ้นสุดทั้ง 2 ทาง
พ่อครูว่า…หากคุณไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ทำต่อไปตราบใดที่คุณยังมี วัสสวัตตี มีอำนาจจิตตัวเองแล้วจะทำแต่ดี ไม่ทำชั่วแล้ว หากจะมีชีวิตอยู่ต่อก็ทำต่อไปจนนิรันดร
อาจารย์กฤษฎาว่า…อรหันต์อยู่ที่ 0
พ่อครูว่า..ท่านมี 0 แล้วท่านจึงเลือกทำจะดีด้านเดียว ไม่มีบุญแล้วทำแต่กุศลแล้วอย่างเดียว บุญไม่มีบาปไม่มี
บาปก็เข้าใจเป็นตัวอกุศลเป็นสิ่งที่ไม่ดี คุณยังทำไม่ดีด้วยความโง่ คนที่จบแล้ว จบกิจไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีแล้วไม่ว่าบาปหรืออกุศล ก็ทำแต่สิ่งที่ดีอย่างเดียวมีกรรมกิริยาก็จะทำแต่สิ่งที่ดีอย่างเดียว เพราะฉะนั้นพระอรหันต์มีแต่กรรมกิริยาที่ดี แต่ไม่มีบุญ เป็นคนไม่ใช้บุญแล้ว บุญคือพลังงานที่กำจัดกิเลส เพราะฉะนั้นกิเลสไม่มีแล้วจะใช้บุญมาทำอะไร บุญคือมีดสำหรับที่จะตัดฟืน แต่เมื่อฟืนหมดแล้วไม่ต้องใช้ฟืนแล้วเดี๋ยวนี้ใช้แก๊สแล้ว ก็เลยไม่ต้องใช้มีดมาหั่นฟืน
ช่วยบุญว่า…อยู่กับพ่อครูตั้งแต่อายุ 19 รู้สึกคุ้มมาก เรื่องแรกคือศีล เมื่อก่อนแม่ก็พาไปวัดถือศีลเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ศีลอย่างที่พ่อท่านพาทำ อันนี้คืออันดับ 1 ที่รู้สึกคุ้มค่ามาก
อันดับที่ 2 คือเรื่องของบุญ อันนี้กระจ่างเลย รู้สึกเหมือนกับอะไรที่คว่ำอยู่แล้วมันหงายขึ้นมา รู้สึกสว่างเลย ไม่อย่างนั้นที่บ้านจะถือว่าบุญนี้ บุญที่ประเสริฐสุดที่ดีที่สุดแต่ไม่ใช่บุญที่ตัดกิเลส แต่ก่อนชื่อบุญช่วย น้องชื่อ บุญชู และน้องชายชื่อบุญชิต ที่บ้านจะให้ทำแต่บุญ บุญที่ดีมากเจริญประเสริฐ แต่พ่อครูพาให้เรารู้ว่าบุญไม่ใช่ตัวนั้น แต่เป็นตัวที่ตัด เป็นมีดเป็นอะไรที่ตัดกิเลสและเป็นอะไรที่เจ็บปวดรวดร้าว จนไม่มีบุญเลย แล้วเราเองชื่อช่วยบุญ เราจะไม่เอาได้ไหม
มีคนถามว่า รสอะไรที่เป็นรสเลิศที่สุดในโลกหล้า พระพุทธเจ้าตรัสว่ารสแห่งสัจจะ แต่สำหรับช่วยบุญบอกว่า สัจจะเป็นรสด้วยหรือ
พ่อครูว่า..เป็นวิมุติรส รสเป็นภาษาธรรม ไม่ใช่ภาษากาม ที่เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส กามคุณ 5 แต่นี่เป็นรสที่เป็นโลกีย์กับโลกุตระ ถ้าเป็นวิมุตติรสก็เป็นรสที่หลุดพ้นจากกิเลส ธรรมะรสก็คือรสที่เข้าใจธรรมะไม่ว่าจะเป็นโลกียะหรือโลกุตระเราก็ปฏิบัติให้ลดความเป็นโลกียะ ลดลงไปเรื่อยๆก็เป็นส่วนแห่งบุญ ก็ได้ส่วนทางการลดกิเลส ลดกิเลสหมดก็เรียกว่าได้ผลที่ ปฏิบัติธรรมลดกิเลสได้ครบ เมื่อลดกิเลสได้หมด บุญก็หมดหน้าที่ ก็หมดบุญ หมดบาป หมดอกุศลก็จบ เป็นคนไม่มีบุญเรียกว่า ปุญญปาปปริกขีโณ ทั้งบุญทั้งบาปก็ไม่มีแล้วเป็นศูนย์
เรื่องนี้เป็นเรื่องลึก ธรรมะของพุทธเจ้าเป็นความสูงส่ง ซึ่งไม่มีธรรมะศาสนาไหนที่เหมือน ศาสนานี้จึงเป็นศาสนาที่หมดบุญหมดบาปหมดบุญหมดนรก หมดอัตตาหมดปรมาตมัน หมดสิ่งเหล่านี้หมดไปเลย จึงเป็นศาสนาที่สุดยอดที่เข้าใจเทวะเข้าใจธรรมะ 2
ธรรมะ 2 นี่แหละที่โลกเข้าใจไม่ได้จึงกลายเป็นธรรมะ 2 ที่เป็นเทวนิยมมีพระเจ้า มีสิ่งที่ลึกลับ เป็นอย่างนั้นตลอดกาลเขาตีไม่แตก มีศาสนาพุทธศาสนาเดียวตีเทวแตก แล้วสุดท้ายดับเทวได้หมดเลยไม่เหลือเทวดา ไม่มีเทวดาไม่มีสัตว์นรก มีแต่กรรมกิริยาที่กำหนดกรรมรู้กรรม ทำสิ่งที่ดี สิ่งที่ชั่วไม่ทำชั่วไม่ทำบาป ทำแต่ดี ถ้าจะทำก็ทำแต่ดี กิเลสไม่มี สามารถมีความลึกซึ้งไปถึงว่า
รู้จักจิต รู้จักจิตเจตสิก รูป นิพพานแล้วแยกกิเลสออกจากจิตได้ทำลายกิเลสได้ เป็นความโง่ที่ยอมให้กิเลสเกิดขึ้นในจิต จนกระทั่งเป็นผู้มีฤทธิ์สูงสุดไม่ให้กิเลสเข้ามาในจิตได้เลย จิตใจก็ปราศจากกิเลส พระอรหันต์เป็นผู้ปราศจากกิเลสถาวรในจิตใจ กิเลสเข้าไม่ได้แม้จะกระทบสัมผัสอยู่ในโลกที่เขาสร้างกิเลสอยู่ทุกวันๆมหาศาลไม่มีหยุดหย่อน คนโง่ที่เป็นปุถุชนก็สร้างกิเลสตลอดเวลา แต่จะสร้างอย่างไร ผู้ที่หลุดพ้นแล้วก็อยู่ในโลกนี้ อยู่ที่กิเลสไม่สามารถที่จะระคายเคือง ไม่สามารถที่จะเข้าไปแตะต้องเข้ามาหาตัวเขาได้เลย นี่คือความยิ่งใหญ่ที่สุดของศาสนาพุทธ
อาตมาต้องถามว่าที่พูดนี้ทำได้จริงหรือเปล่า ทำได้จริงเป็นผู้ที่ไม่มีกิเลส สามารถที่จะให้กิเลสไม่เข้าได้จริงหรือเปล่า? ซึ่งมันยืนยันว่าการพูดนี้ไม่ได้สักแต่ว่าพูดแล้วตัวเองเป็นได้หรือเปล่า …ได้สิ แล้วคนที่เพ่งโทษก็หาว่าอวดตัวตน เราก็เอาสิ่งที่ทำได้รู้จริงพูดจริงทำจริงมาอธิบาย แทนที่จะบอกว่าดีจังเลย จริงๆหรือเป็นไปได้หรือ จะได้เข้ามาเรียนรู้ปฏิบัติตามบ้าง แต่ดันผ่าว่ามาอวดอะไรไม่เชื่อ คนโง่จะไปเชื่ออะไร คนโง่ไม่เชื่อหรอกว่าพระอาริยะหรือพระอรหันต์หรือผู้ที่จะรู้ความจริงพวกนี้แล้วมาประกาศตัวยืนยันว่าเป็น คนโง่ไม่เชื่อ
คนโง่คือคนที่ถือดีว่าตัวเองฉลาด คนอื่นรู้กว่าตัวเองไม่ได้ ใครมาพูดว่าตัวเองรู้กิเลสทำกิเลสหมดก็ไม่เชื่อ เพราะกูเองยังไม่หมดกิเลสทำไม่ได้ ตัวเองยังไม่เชื่อก็ทำไม่ได้ก็ดักดานต่อไป คนเขารู้ทำกิเลสออกหมดได้มาบอกก็ดันไม่เชื่อแล้วดันไม่ฟังอีก ก็โง่ไปอีกนิรันดร
วิเชียรว่า…เหมือนอุปกะ ว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไปบอกเขา เขาก็ไม่เชื่อเป็นคนแรกที่พุทธเจ้าบอกเลยเขาก็แลบลิ้นใส่
พ่อครูว่า…เหมือนกับนิยายของกามนิตที่นอนคุยกับพระพุทธเจ้าทั้งคืนรุ่งเช้าก็บอกว่าจะไปขอตามหาพุทธเจ้าต่อไป ก็ไปหาพระพุทธเจ้าอีก คนทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนี้ อาตมาบอกว่าอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์เป็นผู้รู้ธรรมะพระพุทธเจ้ามาประกาศในยุคนี้ จะเรียกว่าเป็นประกาศก จริงๆก็เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งนั่นแหละ อาตมาเอามาประกาศที่เป็นธรรมะพระพุทธเจ้าที่เป็นคนจริงๆไม่ใช่เรื่องลึกลับที่เป็นของพระเจ้าที่อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่มีคนรู้ตามหาต้นตอได้ พระพุทธเจ้าเองก็ไม่ใช่ต้นตอคนแรก พระพุทธเจ้าองค์แรกองค์ไหน พระพุทธเจ้าก็บอกว่าท่านไม่รู้ที่ต้น จะสืบทอดกันมา ทุกอย่างมาแต่เหตุ มีที่ต้นทางทั้งนั้นแหละ อยู่ดีๆโผล่มาอย่างไม่มีต้นเหตุไม่ได้ ศาสนาพุทธจึงค้นไปหาต้นเหตุได้ ส่วนศาสนาเทวนิยมค้นหาต้นเหตุไม่ได้ ก็บอกว่าทำอย่างนี้เพราะว่าพระเจ้าทำ พระเจ้าอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้เป็นเรื่องลึกลับอย่างเดียว ศาสนาเหล่านั้นจึงเป็นศาสนาที่ลึกลับตีไม่แตกในความเป็นเทว ตีไม่แตก ทวเยน เวทนายะ
พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้เรียนรู้ที่เวทนาจับคู่ความทุกข์ความสุขมาทีละคู่ หรือจะเรียกอีกภาษาว่าดีชั่วก็ได้ ธรรมะ 2 เป็นธรรมะคู่ มีอันที่ตรงกันข้ามกัน 2 อย่างก็เอามาแยก 2 อย่างนี้ แล้วเอามาไว้ใช้ แล้วก็เข้าใจสูงสุดที่พระพุทธเจ้าหรือศาสนาพุทธ ที่พระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสรู้ก็คือ ตีแตก แยกธาตุได้เลย เป็น 0 อย่างไม่จับตัวกันได้อีกเลยนี่เป็นความรู้ที่สุดยอดแล้ว เทวนิยมยังไม่มีภูมิปัญญาตอนนี้ต่อฟังให้ตายก็ไม่เข้าใจ
คนที่สร้างบารมีมาพอก็จะฟังธรรมะอย่างนี้เข้าใจ แล้วเอาไปปฏิบัติได้ประโยชน์จริง ก็ได้ประโยชน์ในการลดละกิเลสได้ เกิดเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์
อาจารย์กฤษฎาว่า…แสดงว่า พวกที่วนเวียนกับเทวนิยมมักจะพูดเสมอว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ก็คือย้อนกลับเป็นเรื่องลึกลับอีก ถ้าหากมนุษย์ใดแสดงอาการเป็นผู้ที่จะมีความลึกลับแล้วอ้างตัวว่าเป็นพุทธก็ไม่ใช่แน่ เป็นเทวนิยม
พ่อครูว่า…ต้องเรียนรู้แยกแยะได้แล้วทำลายทิ้งอกุศลธรรมได้ มีชีวิตอยู่อย่างเป็นคนที่ทนความชั่วความเลว แล้วสูงสุดกว่านั้นก็คือ ศาสนาพุทธขนาดเป็นเทวะแล้ว เป็นผู้ที่รู้ 2 ทำ2 ให้เป็นหนึ่งได้แล้ว ยังสามารถทำ 0 ได้อีก เลิกแม้แต่ 1 ไม่เหลือ 1 อีกเลยทำให้ 0 ได้
ในฟิสิกส์สามารถเรียนรู้นิวเคลียส รู้ขั้วบวกขั้วลบ ศาสนาพุทธก็สามารถใช้ได้อย่างนั้นเหมือนกัน
อาจารย์กฤษฎาว่า…ศาสนาพุทธคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ที่ยังเป็นไสยศาสตร์ก็คือผู้อยู่อย่างลึกลับ
วิเชียร…นึกถึงพระอัญญาโกณฑัญญะเมื่อก่อนก็เชื่อแบบเก่า เชื่อมั่นในความดีก็เป็นแค่สมมุติที่เทพ เมื่อมาฟังพ่อครูแล้วก็ได้ความรู้ใหม่เกิดความรู้ใหม่ทิฏฐิใหม่ เมื่อลดละกิเลสของตนเองได้ก็เปลี่ยนเป็น อุบัติเทพ
พ่อครูว่า…ใช่เป็นความรู้ใหม่ที่แตกต่างไปจากอันเดิม พอดีมีคำถามมาบอกว่า ในจักรวาลเรามีดาวหลายดวง ผมอยากรู้ว่าพ่อท่านเคยเกิดเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือไม่ครับ
ตอบ..หลวงปู่นี่แหละคือคนที่เป็นมนุษย์ต่างดาว รู้ไว้เสียด้วยนี่แหละมนุษย์ต่างดาวนอกนั้นเป็นมนุษย์ในดาวดวงเก่า เป็นมนุษย์ในดาวโลกีย เป็นดาวที่เป็นปุถุชนยังมีความทุกข์ความสุขยังเป็นธรรมะ 2 ส่วนหลวงปู่เป็นมนุษย์ต่างดาวที่ไม่มีความทุกข์ความสุข มีแต่ความสุขสำราญเบิกบานใจไม่มีธรรมะ 2 ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ 1 หรือทำ 0 ได้ก็สบายๆกลางๆ สบม.ทมด.ปกต หห จจ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ไม่เป็นความจริงเลย
_จริง..ม.4…มีอยู่ครั้งหนึ่งหนูเคยนอนอยู่แล้วนึกถึงความตาย รู้สึกว่ากลัวตายมากมาย หากเราตายโดยไม่ได้ร่ำลาครอบครัว ก็จะค้างคาใจ ก็เลยอยากจะถามพ่อครูว่า ทำอย่างไรจะหายกลัวตาย
พ่อครูว่า…คนที่รู้สึกว่ากลัวตายเป็นนิมิตอันหนึ่ง คนรู้สึกว่ากลัวตายมีไตรลักษณ์เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป รู้สึกถึงความเป็นไตรลักษณ์ว่าชีวิตเรานี้ เกิดมาแล้วก็จะตาย แต่ว่าตอนยังไม่ตายนี้เราจะได้อะไร เราควรให้อะไรที่ควรได้ เพราะฉะนั้นคนที่มีภูมิปัญญาเป็นผู้ที่แสวงหา ผู้ที่ลึกซึ้งในธรรมะแล้วก็จะแสวงหาว่าควรได้โลกุตรธรรม ส่วนคนที่เป็นปุถุชนก็อยากจะได้ความรวยได้ลาภ ยศ สรรเสริญ เขาก็ไปหาสิ่งเหล่านั้น หรือมีความลึกหน่อยก็อยากจะได้ความดีไม่เอาความชั่ว ก็จะพยายามละเว้นความชั่วตั้งใจทำแต่ดี แต่จะได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอย่างมีความเป็นสุจริตทำแต่ดีทำแต่ดี ศาสนาของโลกียะก็มีแต่อย่างนี้ ศาสนาของพระพุทธเจ้าลึกซึ้งซับซ้อนกว่านี้ ว่าความดีความชั่วก็คือความวนเวียน เมื่อทำดีได้ก็ดีต่อไป เสร็จแล้วเมื่อนานๆเข้า ลาภก็จะเยอะ ยศก็จะเยอะ สรรเสริญก็จะเยอะ มีความสุขเยอะแยะก็จะหลงความสุข ได้บัลลังก์ ก็จะยิ่งมากขึ้นเพราะทำได้ผลส่งผลให้เราเสวยกุศลอันนี้ เสร็จแล้วพอไปได้มากขึ้นก็เหลิงหลงตัว ทำชั่วทำอะไรขึ้นมา ยิ่งจะผยองอวดดี ก็จะตกอย่างรวดเร็ว
เสร็จแล้วก็ต้องมาใช้หนี้ใหม่สร้างตัวเองขึ้นมาใหม่อยู่แค่นี้แหละ นรกสวรรค์สวรรค์นรกสุขทุกข์อยู่แค่นี้ ศาสนาพระพุทธเจ้าจึงเห็นว่า โลกียะ วนเวียนอยู่แค่ความสุขความทุกข์สวรรค์กับนรก ท่านจึงทางหาทางออกได้ ผู้ที่ยังติดอยู่ในเทวะเป็นธรรมะ 2 ความสุขกับความทุกข์สวรรค์กับนรก ก็จะมาเลิกจิตใจที่มันติดในสวรรค์ที่เป็นของหลอก ความทุกข์คือความโง่ ก็ไม่หลงในความหลอกและไม่มีความโง่ จนหลุดพ้นความโง่หลุดพ้นความหลอกก็จะอยู่ได้อย่างธรรมดาธรรมชาติ โดยการเรียนรู้ซึ้งเข้าไปถึงเวทนา
เวทนา 108 เมื่อเกิดความโง่ในเวทนา ความสุขความทุกข์ก็เกิดอยู่ในเวทนา ถ้าหากไม่สุขไม่ทุกข์ก็เป็นธรรมชาติ เรียกว่าเป็นเคหสิตอุเบกขา ไม่สุขไม่ทุกข์ในสภาวะที่คุณได้อาการนั้น ด้วยความโง่ด้วยความไม่รู้โดยธรรมชาติมันก็มีเป็นกลางๆ ว่าความไม่สุขไม่ทุกข์นี้ดีนะ พระพุทธเจ้าก็มาตรัสรู้ ว่าสิ่งที่อยู่ในโลกที่เป็นธรรมะ 2 มันปรุงแต่งกันแล้วมันเกิดความยึดถือ ยึดได้ก็เป็นสุขไม่ได้ก็เป็นทุกข์
เสร็จแล้วมันยึดถืออยู่ถึงเวลามันได้ตามที่ยึดถือ ตามตัณหาอุปาทาน ท่านก็ให้ล้างอาการที่เป็นตัณหา อุปาทานนั้นมันอยู่ในจิตยากกว่าที่จะรู้ ถ้าหากเป็นตัณหาก็มีการเคลื่อนไหวก็ล้างได้ง่ายกว่า มันก็เป็นตัวเดียวกันเป็นกิเลสความโง่ทั้งคู่ พอล้าง กิเลสตัณหาได้ กิเลสตัณหาลดลงอุปาทานก็ลดลงจนหมดตัณหาอุปาทานเลย
ท่านก็สอนเรื่องเวทนาที่ไปยึดอยากได้อยากเป็นอยากมี ก็แตกเวทนา 108
ตัวที่ปฏิบัติจริงก็คือ วิจาร มโปปวิจาร ทางทวารทั้ง 6 แล้วเกิดความสุข ความทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นเนกขัมมะกับ เคหสิตะ
เมื่อเกิดกิเลสแล้วก็จับให้ได้และพิจารณาว่ามันโง่อะไรนักหนา กระทบมันก็เป็นเหตุปัจจัย เราก็เนกขัมมะออกจากความโง่ ไม่ใช่ว่าปฏิบัติแล้วจะจบได้ทันทีเหมือนที่อธิบาย กว่าจะเลิกได้จริงๆต้องมีขั้นตอน เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย โดยมีหลักปฏิบัติคือศีล แล้วทำไปตามลำดับ ปฏิบัติให้เกิด อธิจิต แล้วจิตใจก็จะเกิดปัญญา เกิดวิมุต วิมุตติญาณทัสสนะ
ทำไปตั้งแต่กระทบกับความเป็นสัตว์ความเป็นมนุษย์ เกิดจิตใจที่ชอบและชัง สัมผัสกับข้าวของ สัมผัสกับพืช เราแบ่งเป็น อุตุก็ของ พีชะก็พืช ก็เหลือแต่ พืชกับสัตว์ในศีลข้อที่ 2 กระทบกับสัตว์ข้าวของหรือพืช อยากได้หรือไม่ได้ก็เป็นธรรมะ 2 อยู่อย่างนี้ก็อ่านธรรมะ 2 นี้
มันควรได้ก็ค่อยอยากเอามาใช้ประโยชน์ ส่วนที่ไม่ควรได้ อย่าไปอยากเอามาเสียพลังงานเสียแคลอรี่ ใช้ประโยชน์ไปตามความเป็นจริง
_กำชับ อโศกตระกูล สองล้อเมืองหลวง…ผู้ว่ากทมฯกี่คนก็เห็นมีแต่โกงกินหลายเจ้าหลายราย เห็นมีแต่มหาจำลองที่ถือศีล 8 นะครับ ที่ไม่มีเรื่องโกงกิน ตอนเป็นผู้ว่ากทมฯ ตั้ง 6 ปีนะครับ เป็นเพราะลุงจำลองถือศีล 8 หรือเปล่า ถึงได้ไม่โกงกินแล้วก็ไม่ยอมให้ลูกน้องโกงกิน เห็นมีอยู่คนเดียวครับผู้ว่ากทมฯ ที่ผ่านมาหลายคน
พ่อครูว่า…ถูกต้อง เพราะว่าถือศีลแล้วทำให้ลดกิเลสได้ด้วย ก็เลยเป็นคนที่มีศีลเป็นคนที่มีจิต เป็นคนมีปัญญาเป็นคนมีวิมุต เป็นบารมีของคุณจำลองมี เป็นคนจริงที่อยู่ในสังคมยุคนี้ที่เป็นตัวอย่างดีงาม ก็มีของดีอย่างนี้ คนที่มีดวงตามีปัญญารู้ก็จะรู้ว่าสิ่งนี้มีประโยชน์มีคุณค่าเป็นคนที่มีศีลธรรมที่แท้จริง
คนที่ไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้แสดงออกไม่ได้เรียนรู้เป็นปุถุชนก็ไปตามธรรมดา ก็เห็นไม่มีใครชัดเจนเด่นเหมือนคุณจำลองที่ยกเป็นตัวตนขึ้นมาได้ ไม่ว่ากี่ผู้ว่าก็เละ นานๆถ้ามีคนดีมาสักที ก็ทำไป โลกก็ต้องมีอย่างนี้แหละ ทุกวันนี้คุณจำลองก็ บอกว่าแก่แล้วปลดเกษียณตัวเอง
_ชูบุญ…ช่วงนี้เป็นเทศกาลกินเจ เรามีศีล 5 ข้อแล้วในเรื่องศีลข้อที่หนึ่งเราต้องเพิ่มอธิศีลคือความเมตตาต่อสัตว์ต่อบุคคล อยากให้พ่อท่านอธิบายเพื่อตอกย้ำให้กับตัวของเล็กและตัวเด็กๆ
พ่อครูว่า…ศีลข้อที่ 1 เป็นเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ เป็นเรื่องแรกที่พุทธเจ้ายกขึ้นมา เป็นเรื่องที่กระทบ กระทบกับพืชก็ไม่เป็นไร กระทบกับสัตว์ก็ไม่เท่าไหร่ เพราะว่า สัตว์มันก็คือสัตว์ มันถูกกระทบก็มีวิบากต่อกันไป กัดกันหรือไม่กัดกัน แต่คนอยู่ด้วยกันนี้ กัดกันไม่จบ ท่านก็เลยต้องมาสอนตั้งแต่ต้น คนนี่เกิดมีความพยาบาทมีความรักความชังเกิดขึ้น จึงต้องเกิดการรบ สรณะ ประกอบสงครามตลอด คนอยู่ด้วยกันทำสงครามตลอด คนรู้จักว่าสงครามอะไรดีก็คือสงครามการลดกิเลส อยู่ในเหตุปัจจัยที่เป็นนักรบมีข้าศึก คนนี้กระทบสัมผัสกับเรา เขาก็เป็นข้าศึกทำให้เราเกิดกิเลส เราก็รบกับกิเลสของเราอย่าไปรบกับเขา คนเขาทำให้เราเกิดกิเลสก็ขอบคุณ ถ้าไม่ เรารู้กิเลสก็ฆ่ากิเลสเรา ถ้าไม่มีคนนี้กิเลสเราไม่เกิดนะ คนนี้ยั่วยวนให้เกิดกิเลส ดีชะมัดขอบคุณเขา เสร็จแล้วเราก็ล้างกิเลสของเราไป คนฉลาดก็ต้องมองให้ออกว่าเป็นกิเลสของเราเองเป็นโอกาสของเราเอง
เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถรู้จักธรรมะ 2 ก็ทำอย่างที่อาตมาว่า เป็นผู้ที่มีดวงตาเป็นคนได้ประโยชน์อยู่ในสังคมอยู่ในการสัมผัสกับคนกับสัตว์กับพืช ก็ได้ประโยชน์
ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับพืชกับข้าวของ พืชกับข้าวของไม่ได้มาสัมผัสกับเรา มายั่วกิเลสเรา แต่มันยั่วได้แต่ไม่ได้ยั่วเหมือนคน จึงจัดลำดับไว้เป็นอันที่ 2
เมื่อสัมผัสแล้วเกี่ยวกับศีลข้อที่ 3 ตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบสัมผัสแล้วเกิดกิเลส สรุปแล้วก็เรียนรู้กิเลสตอนสัมผัสแล้วก็ล้างกิเลส จบ ศีลมี 3 ข้อนี้ จบ ถ้าทำถูกต้องตามที่อาตมาอธิบายแล้วจะล้างกิเลสหมดแค่ 3 ข้อนี้จบ แล้วก็เอาไปพูดต่อเป็นศีลข้อที่ 4 จิตใจของคนก็เป็นจิตที่ทำให้กิเลสหมดไปได้ใน 3 ข้อแรกก็คือศีล ข้อที่ 5 ก็จบเท่านี้เอง ศาสนาพุทธง่ายนิดเดียว
_อาจารย์กฤษฎาว่า…ช่วงรายเดือนที่ผ่านมามีผู้หลักผู้ใหญ่ที่เสียชีวิตกันมาก สิ่งหนึ่งที่ผมได้เขียนเอาไว้ ว่าพวกเรานี้พร้อมที่จะสิ้นชีวิตได้ทุกเมื่อ แต่ผมเองก็ไม่บรรลุ แต่คำถามอยากจะถามก็คือ เราควรจะเตรียมสติไว้อย่างไรถ้ามันรู้ว่าเราจะหมดสภาวะแห่งกายนี้แล้ว
พ่อครูว่า…ตอนที่อยู่เป็นยังไม่ถึงเวลาตายหรือตอนจะตายก็เหมือนกัน ต้องรู้เท่าทันสิ่งที่มาสัมผัสกับตัวเรา อะไรมาสัมผัสกับตัวเราก็ต้องเป็นผู้ที่ตื่นรู้ สิ่งที่มาสัมผัสกับตัวเราเสร็จแล้วก็ก่อให้เกิดกิเลสราคะโทสะโมหะคือสิ่งสับสนไม่รู้ แต่เอาที่กำหนดรู้ว่านี่เป็นโทสะหรือราคะ เราก็มีสติเพื่อรู้สิ่งนี้แล้วก็มีปัญญามีความรู้ว่า เราจะลดกิเลสอย่างไร
สติทำให้เรารู้กิเลสไม่ว่าจะเป็นราคะโทสะ เราก็ต้องเรียนรู้ว่าจะลดได้อย่างไร การลดกิเลสมี 2 แบบพอรู้แล้วเราก็สะกดไว้ อันนี้เป็นธรรมดาธรรมชาติสะกดเป็นทุกคน กระทบแล้วเกิดกิเลสก็ไม่ให้กิเลสออกมาเต็มที่ไม่มีใครปล่อยออกมาเต็มที่หรอก เช่น กระทบอันนี้แล้วเกิดความโกรธก็จะแสดงความโกรธออกมาเต็มที่ก็ไม่ใช่หรอกจะต้องกดคอมไว้บ้าง
ราคะก็ตามเมื่อเกิดกิเลสตัวนี้จะแสดงออกมาหมดก็ไม่ใช่ มันจะต้องกดไว้ เป็นธรรมชาติ ยิ่งเรียนรู้ว่าตัวเองเกิดกิเลสแล้ว ก็ต้องเรียนรู้ว่าราคะโทสะไม่ใช่ของจริงหรอก มันเป็นของคนโง่ เอ็งไม่ใช่ตัวจริงเอ็งไม่มีตัวตนอย่ามาหลอกข้าพระพุทธเจ้าบอกว่าอย่ามาหลอกเราเลย พระพุทธเจ้าตัดเรือนยอดของเอ็งได้หมดแล้ว พังทลายเรือนของเอ็งได้แล้ว อย่ามาทำเป็นแสดงออกมาเลย เอ็งไม่มีเรือนจะอยู่แล้ว
จะต้องมีสติรู้เท่าทันกิเลสราคะโทสะพิจารณาให้มันเป็นไตรลักษณ์ มันไม่ใช่ตัวจริงมันไม่เที่ยงหรอกมันมาแค่ตอนนี้แหละ เดี๋ยวมันก็ไปเดี๋ยวมันก็มีตัวใหม่มา เอกภพใหม่มีตัวใหม่มาตัวเก่าก็ผ่านไป ตัวใหม่มาแล้วก็ผ่านไปอีกเรื่อยๆ คนโง่ก็เจอมันตลอดเวลาแหละ คนฉลาดก็เจอตลอดเวลาเหมือนกันแล้วก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นมัน เห็นมันมีอาการอย่างนี้อย่าให้มันมีอาการ อย่าให้มันมีอำนาจในการที่ทำให้เราเกิดอาการจะต้องเอาต้องผลักต้องดูด ต้องไปกระทบสัมผัสกับคนอื่น ก็ให้เรียนรู้อย่าให้มันมีอาการเหล่านั้นให้ได้ ถ้าเราทำได้ก็จบ ทำยังไม่ได้ก็ต้องฝึกหัด ว่า อย่าให้มันมีอาการผลักหรือดูดในจิต จุดสำคัญก็อยู่ที่ตรงนั้น เพราะฉะนั้นจะเกิดความผลักและดูดนี่แหละให้เราเรียนรู้ความรักและความดูด ให้อยู่แต่กลางๆ เป็นแต่เพียงว่าเราสัมผัสแล้ว อันนี้เป็นสุจริตธรรมนะ สัมผัสแล้วน่าได้น่ามีแล้วเรามีสิทธิ์ไหมถ้าเรามีสิทธิ์ก็เอามาได้ตามควร อย่าไปตะกละตะกรามอย่าไปโลภมาก
ถ้าเราอยู่ร่วมด้วยเราก็สร้างในสิ่งนี้ที่เราต้องกินใช้ต้องอาศัยเราก็ร่วมสร้าง ถ้าเราไม่สร้างเราก็ไปกินไปอาศัยสิ่งที่คนอื่นเขาสร้างเราก็เป็นหนี้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องร่วมสร้างขึ้นมามันจึงจะไม่เป็นหนี้ แม้เราไม่ได้ไปสร้างโดยตรงโดยสร้างทางอ้อมก็สร้าง สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร เอามากิน พอกินพอใช้แต่เรามีงานอื่นอีกเราก็ไปแบ่งมาทำ อันไหนควรทำตามหน้าที่ ที่เราจะใช้อาศัยในสังคมนี้ ก็ไม่ใช่อยู่แต่หน้าที่เดียว ทุกคนจะปลูกแต่ข้าวปลูกแต่พืชผักก็ไม่ใช่ มันต้องมีงานอื่นบ้างที่ต้องอาศัย ต้องแบ่งกันกินกันใช้
สังคมชาวอโศกเข้าใจสาระเหล่านี้ กำลังงานที่จะต้องไปเต้นไปดีดเอาชนะทางการกีฬาการละเล่นการแสดง อะไรต่างๆนานาที่โลกเขาหลงใหลกัน เราก็รู้แล้วว่าอย่างนั้นมันไม่มีสาระอะไร เราไม่ต้องมีก็ได้ เพราะฉะนั้นคนที่มาอยู่ในโลกนี้จะมี คนที่มีบารมีมาก เรื่องอบายมุขเรื่องการเต้นๆรำๆขัดแย้งแข่งขันแย่งชิงกันตามโลกนั้น จะเห็นได้ว่าพวกเราไม่ค่อยมี จึงเป็นสังคมที่สงบสบาย ยิ่งทุกวันนี้ยิ่งเข้าใจธรรมะที่อาตมาพาทำ ยิ่งจะสงบสร้างสรรอุดมสมบูรณ์มีอยู่มีกินเบิกบานสำราญใจ
เพราะฉะนั้นเด็กๆหรือผู้ใหญ่เข้ามาในยุคนี้จึงจะเห็นว่าเป็นสังคมที่อุดมสมบูรณ์ สังคมอโศกสะดวกง่ายสบายดี เป็นแต่เพียงว่าเข้ามาในนี้เราเห็นเขาทำงานอย่าไปเกะกะกวนเขาก็จะโดนดีดออกเท่านั้นเอง แต่ถ้าเราทำกับเขาไป อยู่ด้วยมาด้วยทำด้วยก็จะมีกินมีใช้อยู่ร่วมกัน ทุกคนต่างช่วยกันทำก็จะแบ่งเบาแรงกันไม่หนักหนา จึงเป็นสังคมที่สูงสุดในการพัฒนาให้มีเศรษฐกิจที่ดีที่สุด ระบบสังคมก็ดีที่สุด แม้ที่สุดการเมืองก็ดีที่สุด ผู้บริหารประเทศทั้งหลายโปรดมามองดูชาวอโศก เป็นตัวอย่างอันมีทั้งเศรษฐกิจที่ดีที่สุด สังคมที่ดีที่สุดการเมืองที่ดีที่สุด ขอยืนยัน ไม่เชื่อก็แล้วแต่
_กฐิน..พ่อท่านพูดศีล ข้อที่ 1 ร้ายแรงกว่าศีลข้อที่ 2 แต่การเมืองในประเทศไทยทุกวันนี้ศีลข้อที่ 2 ทำให้เกิดศีลข้อที่ 1 ผิด ถ้ามีการฉ้อราษฎร์บังหลวงเช่นเรื่องน้ำมันไม่รู้กี่ยุคสมัยเราไม่สามารถทำให้น้ำมันในประเทศไทยราคาถูกได้ การเมืองไทยจึงกลับไปกลับมา
นักการเมืองยังจะต้องผิดศีลข้อที่ 2 อยู่เรื่อยๆ ลองมองนักการเมืองในประเทศไทย ก็เลยจะไปเลือกพระป่าดีกว่าเข้าป่าดีกว่า
พ่อครูว่า…ชาวอโศกเราไม่เคยหนีไม่เคยใจดำ พวกที่หนีไปนั้นเป็นพวกที่ใจดำเป็นพวกเหยาะแหยะอ่อนแอ
_กฐินว่า…ตถตา เป็นภาษาที่ยังไม่มีธรรมะ 2 ใช่ไหม
พ่อครูว่า..เป็นภาษาเห็นแก่ตัวชนิดหนึ่ง เอาภาษามากันตัวเองเท่านั้น
_กฐินว่า..เมื่อเกิดความไม่ชอบ แต่ว่าบุญคือการชำระกิเลสเราต้องอาศัยบุญ ถ้าอรหันต์ไม่ต้องใช้แล้ว แต่เราไม่สามารถเอาบุญมาชำระได้ทัน เราก็จะเกิดจิตพยาบาทอาฆาต ที่จะเป็นอุปกิเลส 16 เยอะแยะมากมาย ..ทำไงคะ
พ่อครู…ก็โง่ รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ดีก็ต้องกันมัน อย่าให้อาการนั้นมันเกิดในจิตเรา เราก็ต้องฝึกอย่างนี้แหละ ให้มีปัญญาว่าเกิดกิเลสอย่างนี้มันไม่ดีมันโง่ พลังงานของปัญญาจะมีฤทธิ์อำนาจ เพราะฉะนั้นพลังงานของปัญญามีพลังงานมากถึงขีด กิเลสพวกนี้เกิดมันก็ดีดออกไปหมด คุณก็สร้างปัญญาที่รู้ความจริงเหล่านี้ให้หมด ความจริงที่ว่าโง่ตายซัก จะทำทำไมเรื่องโง่ๆอย่างนี้เมื่อไม่ทำแล้วก็จบแล้วนี่ แม้แต่คิดคุณก็ไม่คิด ก็ดีดมันออกจากความคิดมันก็ไม่เกิดความคิด
_อาจารย์กฤษฎาว่า…แม้ไม่เท่าทันแต่อย่างน้อยก็ได้รู้ร่องรอยการเกิดกิเลส
พ่อครูว่า…อย่างน้อยได้รู้ มาอีกคราวหน้าแล้วก็ (วจีสังขารว่า…มึง) เอ๋ยข้ารู้ทันแกแล้ว
_กฐินว่า…ฆราวาสกับนักบวชเป็นอรหันต์ได้เหมือนกัน ยกตัวอย่างหลวงพ่อกุสโล ฆราวาส จะถือสาท่านมาก คือ ท่านกุสโลไม่สะสม ไม่มีเงินเลย ความเป็นญาติก็ตัดญาติขาดมิตรได้ เป็นอนาคามีได้ แต่อารมณ์บารมีที่ท่านสะสมมามันไหว การตัดต้นไม้เป็นเรื่องของวินัย ฆราวาสไม่มีไว้ในครอบครองจึงไม่ได้ไปจับ แต่ท่านมีวินัย แต่ฆราวาสก็สะสมเงิน กฐินว่า…หากเอาวินัยไปจับ แต่ท่านไม่มีเงินได้นะ อย่าไปเพ่งโทสท่านกันเลย
_สีดิน…ประวัติศาสตร์เมื่อเริ่มก่อตั้งชุมชน…ดูจากในวีดีโอเห็นแสงอรุณเต็มปฐมอโศก ดิฉันก็มาไม่ทัน มาทีหลัง ภาพในประวัติศาสตร์จะมี พ่อครู คุณลุงจำลอง คุณธำรงค์ พาแบ่งเขตบ้าน มีคุณไม้ร่ม ที่สร้างบ้านไม่เหมือนใครเลย ดิฉันรู้สึกว่าเป็นภาพที่อบอุ่นมาก เป็นภาพที่มีค่าทางประวัติศาสตร์มาก รู้สึกทึ่งในชื่อชุมชนที่พ่อครูตั้งชื่อเป็นคุ้มต่างๆ พ่อครูมีความรู้มาตั้งชื่อได้อย่างไรทั้งที่ไม่มีใบปริญญาทางอักษรศาสตร์ รู้สึกทึ่งพ่อครูมาก จะถามว่า ภาษาสวรรค์ 7 ชั้นในชุมชนนั้นพ่อครูคิดค้นมาจากไหน แล้วความหมายของภาษาเหล่านั้นช่วยอธิบาย
พ่อครูว่า…อาตมาจะต้องไปแปลชื่อภาษา แต่อธิบายเนื้อดีกว่านะ
สวรรค์คือภพชาติของคนโง่ มีสวรรค์อยู่ก็คือคนโง่ทั้งนั้น มีสวรรค์ก็เกิดนรกมีนรกก็เกิดสวรรค์มันเป็นธรรมะ 2 เป็นธรรมะคู่ มันไม่มีวันจบ คนหมดสวรรค์นรกก็คือคนที่ไม่มีธรรมะ 2 เป็นธรรมะ 1 ธรรมะ 0 ก็จบได้ การตั้งชื่อก็เพื่อให้กำหนดรู้ว่าเขตนี้เขตนันทวัน เขตนี้เป็นเขตยามาเขตนี้เป็นเขตดุสิต เขตนี้ปรนิมมิตวสวัตตี เขตนี้นิมมานรดี ก็ตั้งไว้เท่านั้นเองเพื่อกำหนดเหมือนชื่อบุคคลที่เราตั้ง ให้กำหนดรู้แม้แต่ชื่อรถยนต์ก็ตั้งชื่อ จะได้รู้ว่าเป็นคันนั้นคันนี้ ชื่อนี้ที่เป็นสถานที่ก็จะได้รู้ว่าเป็นสถานที่ใด ไม่ได้ไปกำหนดให้ถึงขั้นที่จะทำไมต้องเอาสวรรค์นันทวันทำไมต้องเอาสวรรค์ดุสิต ที่จริงก็มีชื่อนันทวรรณเป็นชื่อที่ 7 เดิมก็จะมีแค่ 6 สวรรค์ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตสวัสดี แล้วก็มีนันทวัน เป็นอันที่เจ็ดเท่านั้นเองแก้ปัญหาตั้งชื่อเท่านั้นไม่ดีมีความลึกอะไร
อาตมาสรุปไปแล้ว สวรรค์นรกคือภาวะของคนโง่ที่ไปหลงว่ามีความสุขมีความทุกข์ ความสุขความทุกข์เป็นอาการของคนโง่ ถ้าหากเข้าใจภาษาที่อาตมาพูดอย่างลัดคัดสั้น
ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้วก็สามารถจบได้เลยเราอยู่อย่างที่เป็น 0 หรือเป็น 1 ไม่เป็น 2 แล้ว 1ก็เป็นสภาวะที่เป็นอย่างนั้น อาศัยหรือมี 1 คือ ชีวิตยังอยู่ยังไม่ตายก็ต้องมีอาศัย เราก็อาศัยอย่าไปเรื่องมากให้มีสอง มี 2 มันก็เกิดสงคราม เกิดความบวกความลบเกิดความดูดความรัก เป็นอย่างโน้นอย่างนี้อีก ก็ใช้แค่อาศัยจะกินจะใช้อย่างไรก็เป็นหนึ่งไม่ไปทะเลาะอะไรกับใครไม่เป็นศัตรูอะไรกับใคร ไม่มีเรื่องราวอะไรมากมาย
การปฏิบัติดังนี้ปฏิบัติง่ายๆชีวิตก็สงบ เข้าใจทำได้ก็สงบ
_สีดินว่า…พ่อครูรู้สึกเหนื่อยไหมกับการที่ถูกเถรสมาคมฟ้องร้องตอนนั้น
พ่อครูว่า..เหนื่อย อาตมาพาทำดี แต่เถรสมาคมโง่ ไม่รู้ว่าทำดีก็เลยมาต่อต้าน ตอนนี้เขาเห็นแล้วว่าทำชั่วแต่มาไม่ได้ก็เลยเพลาลง แต่ตอนก่อนกลัวอาตมาจะไปแย่งลาภยศสรรเสริญอะไรกับเขา เขาก็เลยต่อต้าน ตอนนี้เขาก็รู้แล้วเขาก็เลยค่อยยังชั่วแต่ก็ยังชั่วอยู่ดีก็เลยไม่มากวนอะไรมากมาย
_สีดินว่า..พ่อครูมั่นใจว่า เถรสมาคมไม่ทำอะไรแล้ว
พ่อครูว่า…แต่ก่อนประชาชนไม่รู้ทันก็เลยเชื่อเถรสมาคม แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเถรสมาคมคือพวกที่ยังต้องจัดการกับเงินทอนวัดเต็มไปหมด เขาก็รู้ทันแล้ว เขาก็รู้ว่าชาวอโศกไม่ใช่อย่างนั้น เขาแบ่งแยกออกได้แล้ว เถรสมาคมจะมาครอบงำความคิดประชาชนอย่างทุกวันนี้ไม่สำเร็จหรอก
_สีดินว่า…พูดถึงชุมชนแรกจากตอนนั้นถึงตอนนี้พ่อครูรู้สึกว่าหายเหนื่อยหรือไม่
พ่อครูว่า…ก็เพลาลง เวลาทำงานได้ทำงานเป็นเรียกว่าปลดเกษียณได้แล้ว ไม่ต้องทำอะไรมากมายทุกวันนี้ไม่ได้ประชุม ให้คนอื่นทำแทนอาตมาก็สบายพักผ่อนนอนหลับได้
_สีดินว่า..จะไปโหวตโนจะได้ไหม
พ่อครูว่า..จะไปทำทำไม?
_นะโมว่า …วิปัสสนากับสมถะแยกกันอย่างไร วิปัสสนาเขาบอกว่าคือการทำใจในใจ ตั้งแต่คิดว่าด้วยวิธีคิด วิธีเอาคำพูดคำนั้นคำนี้มา แต่เมื่อผ่านไปจริงๆ เราก็พอทำใจได้ก็หายโกรธ แต่อีกสักพักมันก็ยังโกรธอยู่ไม่ได้หายไป มันแค่เหมือนเอามาบังตาเราเฉย
พ่อครูว่า…เพียงรู้เห็นอาการโกรธของเรา เราก็พยายามลด อย่างน้อยเห็นอาการโกรธแล้วก็กดข่มไว้บ้าง ก็ได้ทำ เราจึงต้องใช้วิปัสสนา กดข่มเป็นธรรมดาธรรมชาติ สมถะก็ทำอยู่แล้ว เราก็มาเรียนรู้พิจารณาในความเป็นไตรลักษณ์ว่าอาการอย่างนี้เป็นอาการที่เกิดขึ้นชั่วคราวตามธรรมชาติ ตามความโง่ของเรา จริงๆแล้วมันเกิดเป็นอาการผลักหรือดูดอย่างไรก็ตาม มันเป็นของไม่เที่ยงมันเป็นของที่มาหาเรื่อง จริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องที่จะมีตัวตนเป็นอนัตตา นี่คือลักษณะของไตรลักษณ์
มันมีมาหาเรื่องก็เลยก่อให้เกิดจากเหตุปัจจัยมีกรรมวิบากเฉยๆ เพราะฉะนั้นต้องพิจารณาว่ารู้ความจริงตามความเป็นจริง ไอ้นี่เกิดเรื่องขึ้นมาเราสัมผัสแล้ว เรื่องราวนี้เป็นอย่างนี้ มีเหตุอย่างนี้มีปัจจัยอย่างนี้ เราก็ดูเหตุปัจจัยที่มันปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาก็แค่นั้น จิตใจเราอย่าไปผลักหรือดูดอะไร ทุกอย่างต้องเกิดตามเหตุปัจจัย 2 คนมันก็มีการเกี่ยวข้องสัมผัสกันเขาก็ทะเลาะกัน เหตุปัจจัยของเขาเราก็ดูไป หรือแม้แต่เขามาเกี่ยวข้องกับเราแล้วเขามาโวยวายกับเรา เราก็รู้ว่าคนนี้ช่างโวยวาย คนนี้มา 1ดูดเรา 2 มาผลักเรา เราก็รู้เขาว่าดูดอะไรของเรา ดูดมาทำไมเห็นว่าดีก็เอาตามเราเถอะอย่าไปดูดอะไร เห็นว่าไม่ดีก็ไม่ต้องเอา ไม่ต้องมาผลักอะไรเรา ถ้าเราไม่ดีบอกเราบ้างแล้วก็ขอบคุณ จะได้รู้ว่าอันนี้ไม่ดีเราจะได้เลิกทำ ถ้าไม่บอกก็แล้วไป ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ คุณจะชั่วก็ช่างคุณ คุณจะอย่างไรก็ช่างคุณก็แล้วแต่ก็มีเยอะไป ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ
ก็เรียนรู้การเกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์กันนี่แหละ แล้วเราก็เอามาปฏิบัติ ให้เป็นประโยชน์ อะไรปฏิบัติเกิดประโยชน์ได้ก็ทํา ก็เป็นประโยชน์อยู่เท่านั้นเอง
_ปางดิน..ปฐมอโศก ดิฉันไปที่ร้านค้า มีคนบอกว่าอโศกค้าขายแบบเอาลาภแลกลาภ เป็นจริงไหม แล้วการเอาลาภแลกลาภกับไม่เอา เป็นอยางไร
พ่อครูว่า…มิจฉาอาชีวะ 5
-
การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา) มีในงานการเมือง
-
การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง ทุจริต
-
การตลบตะแลง (เนมิตตกตา) ยังเสี่ยง-ยังไม่แน่แท้ ปฏิบัติศีลสมาธิไปตามลำดับและก็จะเจริญแต่ก็ยังมอบตนในทางที่ผิด
-
การยอมมอบตนในทางผิด อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)
-
การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา)