611108_ทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 36 ครบรอบ 4 นักษัตร โพธิกิจ ตอน 2
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1KzZZhM1Ky5_rN_N0YKSXaQJoGiAsxt5pfY6HuB2cdPw/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1uQ_Jh4KNQBg7VE6UvvWs4_UOwkvzDnK-
พ่อครูว่า…วันนี้วันที่ 8 พฤศจิกายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก มีผู้ถามมาว่า ระหว่างอยู่ฟังธรรมที่พ่อท่านและท่านสมณะท่านสิกขมาตุเทศน์ที่บ้านราช หรือว่ากลับไปทำงาน ต้องลางาน อยู่ที่การตัดสินใจของตัวเองเพราะผู้บังคับบัญชาให้อิสระ ในการตัดสินใจ เจ้านายไฟเขียวตลอด เจ้านายก็ให้อิสระและจะจ้างหรือไม่จ้างก็จะตัดสินใจในวันที่ 9 ถ้าไม่กลับไปก็ไม่ถูกต่อสัญญาแน่ ลูกคนนี้คิดไม่ตกจะอยู่หรือจะกลับ ให้พ่อท่านช่วยตัดสินใจด้วย
พ่อครูว่า…คิดเองบ้างเลือกเอา
_ผมฟังธรรมที่บ้านประจำ แต่ถ้ามีภาษาบาลีจะไม่เข้าใจ อยากให้พ่อท่านทำหนังสือแล้วมีคำแปลด้วย เช่น บาลีแปลเป็นไทยด้วย
พ่อครูว่า..ก็เผลอไปบ้าง ที่พูดบาลี ก็เป็นที่เข้าใจกันในหมู่พวกเรา เพราะว่าพูดซ้ำซากมาแล้วมาก ต้องแปลทุกทีมันก็เลยต้องซ้ำเป็น 10 ปีแล้วนะนี่ อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” ก็ขออภัยท่านผู้ติดตามฟัง
_การใช้ธรรมะกับกิเลสโลภโกรธหลงที่เกิดขึ้นทางทวารตา เกิดความพอใจควรใช้ธรรมะข้อใดดับกิเลส
พ่อครูว่า…ถามมายากมากเลย คนไม่รู้ก็ยาก คนไม่รู้ก็ว่า มีธรรมะจุดสำคัญจุดเดียว เมื่อสัมผัสด้วยตาแล้ว หรือด้วยหูก็ตาม ทางทวาร 5 คุณก็ต้องพิจารณาว่า มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่ใช่ตัวตน เรื่องนี้เรื่องเดียวนี่แหละ ศาสนาพุทธ คนจะกระทบสัมผัสจะไปอะไรที่ไหนคุณก็พิจารณาในความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตาทั้งนั้น สุดยอดถ้าคุณมีปัญญา คำว่าปัญญา คือธาตุจิต ธาตุวิญญาณที่ฉลาดแบบโลกุตระ คำว่าปัญญาไม่ใช่ความฉลาดแบบที่เคยมีมาก่อน คนปุถุชนไม่ได้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า ความฉลาดทางโลกุตระยังไม่เกิด แม้แต่เป็นชาวพุทธแล้วยังไม่มีความฉลาดแบบโลกุตระ ก็ได้
เพราะฉะนั้นคำว่าปัญญาจึงเป็นคำพิเศษของศาสนาพุทธ เดี๋ยวนี้เอาไปใช้กันเละเทะแล้ว ไปใช้ปัญญากันแหลกเลย แต่ที่จริงปัญญาเป็นธาตุที่ซื่อสัตย์บริสุทธิ์ฉลาดสุดยอด ฉลาดที่ไปสู่วิมุติ สู่โลกุตระ
อันนี้เป็นนัยยะลึกซึ้งหากอาตมาไม่เกิด ความรู้นี้จะสูญไปแล้วไม่กลับคืนมา พวกเราได้ยินได้ฟังหรือใครได้ยินได้ฟังก็แล้วแต่ ก็จะกลับคืนมา กู้กลับคืนมา
ในพระไตรปิฎก บางทีคนแปล ไปเห็นคำว่าเฉกะเฉโก หรือปัญญา ก็เลยแปลกันอย่างนั้นว่าฉลาดหมดเลย เลยเลอะเทะ ที่จริงไม่ใช่อย่างเดียวกัน
ฉลาด ในภาษาไทย นี้แปลมาจากปัญญา เพี้ยนมาจาก ฉฬายตนะ คืออายตะ 6 ตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เกิดความรู้ขึ้นมา ฉลาดนี้ภาษาไทยกร่อนมาจากคำว่าปัญญา ปัญญาจัดฉลาดทางรอบรู้ตาหูจมูกลิ้นกายใจแยกแยะพิจารณา พิจารณา เวทนาเก๊กับเวทนาจริง ก็แยกธรรมะ 2 ได้ ยืนอยู่ในหลักธรรมะ 2 เอาที่ตัวจริง เอาตัวเก๊ออก
เช่นเราสัมผัสแตงกวา เกิดความชอบ อร่อยกัดกินมัน ก็อ่านเวทนา ของปลอมคือความอร่อย ของจริงคือรสแท้ของแตง ที่เราไปหลงเวทนาเก๊คือความอร่อย นี่คือ เวทนา 2 แตกเทวะได้
ถ้ามีแต่ของแท้รสแท้ อร่อยกับไม่อร่อยไม่มี มีแต่รสแท้ๆ ก็ตีเทวะแตก แต่เทวนิยมตีเทวะไม่แตกมีแต่พระเจ้านิรันดร ของพุทธทำให้จิตเป็นอุเบกขา สัมผัสแล้วจิตก็เป็นกลางไม่มีกิเลสประกอบรู้ความจริงตามความเป็นจริงนี่คืออุเบกขา
ทีนี้ 0 วาง สัจจะนั้น ซ้อน ไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา คือ สำนวนความสูงสุดในศาสนาพุทธ สักแต่ว่ารู้รู้ความจริงตามความเป็นจริง
เช่น วันนี้ เรามีรายได้แสน เมื่อวานเห็นว่า ร้านพิสูจน์จิตอาสาขายได้สองแสน เราก็รู้ความจริงตามความเป็นจริงได้ 200,000 ดีใจหรือเสียใจ นี่คือจิตผู้ที่นิ่งแล้วไม่ได้ดีใจเสียใจ แล้วก็เห็นว่า 200,000 แสน- 200,000 ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ที่นี่มันเป็นอย่างนี้สาธารณโภคี แต่บางคนธรรมดาเคยขายได้150,000 ตอนนี้ได้ 200,000 อยากได้ก็จะยักไว้ 50000 เขียนบัญชีว่าได้150,000 มันก็ชั่วได้พวกเราถ้าเป็นอย่างนี้ กรรมเป็นอันทำ กรรมชั่วนี้แม้ไม่มีใครรู้ใครเห็นใครจับได้ แต่กรรมก็เป็นของจริง
ใช้ธรรมะดับกิเลส ก็ใช้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ต้องใช้ตัวเรานั่นแหละ วันนี้เรากำลังชั่วนะ ก็ต้องรู้อกุศลกุศลก่อน เราคิดชั่วเพราะเหตุใดเพราะกิเลส แต่สิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่เรามันไม่เป็นของเรา เราเห็นเหตุดับที่เหตุ กิเลสที่เกิดขึ้นทางทวารหู เกิดความพอใจหรือไม่พอใจก็จะใช้ธรรมะข้อใดดับกิเลส ก็เหมือนกันหมดในทุกทวารทั้ง 6
พิจารณาจุดสำคัญคือหมดสุขหมดทุกข์พิจารณาในไตรลักษณ์ หรือกุศลอกุศล รู้ตัวแล้วก็จัดการให้ได้ จนไปถึงไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราก็สุดจบอนัตตาไม่มีตัวตน ถ้าเป็นถึงขั้นไตรลักษณ์ได้ก็จะเป็นอรหันต์ ถ้าถึงขั้นกุศลอกุศลก็ทุกศาสนาในโลกทำแบบนี้ ทุกศาสนาอย่าทำชั่วประพฤติตัวดี แต่ต้องทำให้ได้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราเข้าไม่ถึงอย่างนี้เป็นต้น นี่คือศาสนาพุทธ มีนัยยะสูงสุดอย่างนี้ แล้วปฏิบัติได้จริง ตีเทวะธรรมะ 2 ให้แตก
อาตมาจบความรู้เรื่องในโลกนี้มีแต่เทวะ ใครตีเทวะไม่ออกก็เป็นเทวนิยม ใครตีเทวะแตก และทำได้ก็หมดตัวตน อนัตตา ก็เป็นศาสนาพุทธ ทำให้ธรรมะ 2 เป็น1ได้ก็จบ
เรารู้ 2 เทวนิยมมีแต่กุศลอกุศล ไตรลักษณ์ไม่เกิด ยิ่งนิพพานนี้ เขาก็ต้องรู้ว่าของเขาไม่มีนิพพานมีแต่เทวะนิรันดร พระเจ้าตัดสินทั้งหมด ว่านี่ผิดไปนรก ถูกขึ้นสวรรค์อยู่กับพระเจ้า
ถ้ามีหนังสือบาลีสันสกฤตแปลว่าเราจะตัดกิเลสดับตัณหาอุปาทานอย่างไร จะเป็นคู่มืออย่างดี นี่ก็อธิบายอย่างที่คุณเขียนบอกมานี้ และก็เขียนหนังสือด้วย แต่ไม่ได้แปลทุกคำแปลทั้งหน้าทั้งเล่มพระไตรปิฎกเท่านั้น
จะเป็นคู่มือในการดับกิเลสทุกวัน อาจใช้สมาธิวิปัสสนาช่วยในการตัดกิเลส…ดูพยัญชนะเท่ๆนะ สมาธิวิปัสสนาก็แยกไม่ได้
สมาธิ กับวิปัสสนามันคนละกาละสมัย
สมาธิคือเป็นจิตที่เกิดหลังปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา สมาธินี้เป็นองค์รวมของจิตที่สำเร็จแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
วิมุตติญาณทัสสนะนี่แหละคือปัญญาที่รู้จักจิตมันลงตัวตกตะกอนตกผลึกตั้งมั่น ปริสุทโธ ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เห็นความซับซ้อนกับไปกับมาเป็นสิริมหามายาไหม พยัญชนะมีแค่นี้แต่อาตมาสภาวะสลับไปสลับมาเป็นสิริมหามายา นี่เป็นหน้ามือหรือหลังมือ หรือนี้เป็นหลังมือหรือหน้ามือ
-
กิเลสมีอะไรบ้างครับ
พ่อครู…ว่าขอผลัดไปก่อน หากตอบหมดคงใช้เวลาสัก 5 ชาติ
-
กิเลสเกิดจากที่ใดบ้างนอกจากทวารทั้ง 6
พ่อครู…อาจเกิดที่ตำแหน่งนายกฯ อธิบดีหรือ? เกิดอยู่ที่คนหล่อเกิดที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น แต่อยู่ที่จิตของคุณนั่นแหละ เกิดตัณหาอุปาทานใดๆ อุปาทานคือจิตยึดอย่างนี้ไม่เคลื่อนที่เป็น static พอดำเนินบทบาทมาก็เป็นตัณหาเป็น dynamic กิเลสเกิดทางทวาร 6 ตากระทบรูปมีสองแล้วปสาทรูป โคจรรูป แล้วมีการสัมผัส หากไม่มีสัมผัสก็ไม่เกิดภาวรูป2 อิตถีภาวะปุริสภาวะ
โคจรรูปคือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่เคลื่อน โค คืออาการจะเคลื่อน ค
ตัว ก คือตัวเริ่ม ข ไม่มีแล้ว ว่าง แต่ กข คือสภาพธรรมะสอง มี ค ก็เคลื่อนแล้วจับตัวเป็น ฆ ตัวฆ ระฆังคือก้อนสิ่งที่รวม ส่วน ง คือ งงโง่เงินงามก็แล้วแต่ที่จะเป็นไป
เห็นระกำ คุณก็ชอบก็บอกงามก็โง่ เงิน งก อะไรก็แล้วแต่ ห้าตัวนี้ พยัญชนะ 5 ตัวนี้ก็ทำให้ โง่ งง งวย เยอะแยะ รู้เท่าทัน ก ข ค ฆ ก็ทำให้จิตว่าง ข ให้ดำเนินไปเคลื่อนที่เป็นอยู่คือ ตัว คือ ดำเนินไป ฆ ก็จับตัวแล้วแค่นี้ก็จบแล้ว ก ข ค ฆ ง
-
ควรใช้ธรรมะข้อใดดับบ้างครับ
พ่อครู…ใช้ปัญญาทั้งนั้นแหละ หากกดข่ม มันก็เป็นธรรมชาติอยู่แล้วไม่ได้เรียนธรรมะก็ใช้อยู่แล้ว แต่ถ้ามีความรู้ทางปัญญา พระอรหันต์คืออะไรตามความเป็นจริงไม่ต้อง ข่ม อย่างนี้เป็นต้น อะไรเป็นโทษอะไรเป็นประโยชน์ก็รู้โดยปริยายรู้ความจริงตามความเป็นจริงเท่านั้นเอง ไม่ใช่ไปบังคับไม่ใช่ไปข่ม การศึกษาธรรมะหากใช้แต่การระงับสะกดข่ม มันก็ไม่รู้ความจริงตามความเป็นจริง
ความจริงคำว่าดับของศาสนาพุทธไม่ได้ดับอะไร เป็นความรู้จบของเทวะ ของสิ่งสองสิ่ง สัมผัสกับอะไรมันก็คือสองสิ่ง นามกับรูป สัมผัสเสร็จรู้จบ ไม่ได้สงสัยอะไร รู้แต่ว่าอะไรเป็นประโยชน์ไม่เป็นประโยชน์ควรหรือไม่ควรเป็นของเราหรือไม่เป็นของเรา ถ้าเป็นของเราเกิดโอกาสก็เอาไปใช้ประโยชน์ หากไม่เอาไปใช้ประโยชน์มันก็กองอยู่ตรงนี้ หากเป็นที่อื่นคนนั้นคนนี้ก็หยิบไป เดี๋ยวก็ไม่เหลือ แต่ที่นี่ของเราไม่ได้ มีความสุจริตก็สบาย สรุปแล้วยอดสุดคือปัญญา
-
พิจารณาในเวทนา 108 คือหลักในการปฏิบัติธรรมะพุทธเจ้า ตั้งแต่เวทนา 2 กายิกเวทนา เจตสิกเวทนา มีสุขทุกข์อุเบกขา และมีเวทนา 5 เวทนา 6 เกิดจากตาหูจมูกลิ้นกายใจ และมีมโนปวิจาร 18 เคหสิตะ 18 เนกขัมมะอีก18 นี่คือสำคัญแยกเทวะกับอเทวะ
หากศึกษาธรรมะพุทธเจ้าแยกแยะเนกขัมมะกับเคหสิตะได้ ถ้าไม่รู้อันนี้ได้ไม่มีวันเป็นอรหันต์หรอก ต้องแยกธรรมะ 2 มโนปวิจาร มโนคือจิตวิจารคือพฤติกรรมของจิตอย่างยิ่ง คือวิจาร นี่คือฐานแท้ของโลกุตรธรรมของพุทธศาสนา หัวใจของศาสนา เทวธัมมา เทวเยน เวทนายะ เอกสโมสรณา ภวันติ หัวใจอยู่ตรงนี้แหละแยกแยะพัฒนา 2 ให้เป็น 1 เกิดความอุเบกขาเนกขัมมะเป็นเวทนามีคุณสมบัติ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นอรหันต์จ้อย
-
แยกกิเลสตัณหาอุปาทานอย่างไร
พ่อครูว่า…กิเลสเป็นคำรวมๆ ตัณหาเป็นการเคลื่อนจากอุปาทาน แบ่งเป็นกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
-
ใจ จิต อารมณ์ เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า..พยัญชนะต่างกัน
-
วิญญาณดับด้วยหรือไม่เมื่อนิพพานแล้ว
พ่อครูว่า…วิญญาณจะดับด้วย พระอรหันต์เป็นผู้จบแล้ว ท่านจะตายด้วยปรินิพพานเป็นปริโยสานดับธาตุรู้นี้ ดับอัตภาพตัวเองเลย แตกธาตุเป็นอุตุนิยาม เป็นดินน้ำไฟลมไปเลย ไม่มี she he เกาะเกี่ยวอีกเลย อรหันต์ทำได้ จะตายเลิกสลายเป็นอุตุนิยามไปเลยต้องรู้ หทยรูป ชีวิตรูป จิตเรามีเชื้ออะไร แม้จะเหลือเชื้อชีวะ หากเราตายแล้วไม่ทิ้งอัตภาพ ยังมีตัวตนอยู่อย่างอาตมานี้ตายแล้วจะยังเกิดอีกศึกษาต่ออีก อาตมามีสภาวะและมีพยัญชนะขยายสู่ให้พวกเราฟังหากไม่มีสภาวะจะเอาอะไรมาขยายให้พวกเราฟัง
คนที่เป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์แล้ว จะดับวิญญาณหรือไม่ดับก็ได้ อย่างเช่นอาตมาจะทำงานต่อเป็นโพธิสัตว์ สวนพฤหัสที่ท่านจะไม่ต่อจะดับสูญไปวิญญาณจะดับด้วย
-
การกล่าวตำหนิบุคคลในการแสดงธรรมะเป็นกิเลสหรือไม่
พ่อครูว่า…เป็นทั้งกิเลสก็ได้ไม่เป็นกิเลสก็ได้อย่างอาตมานี้ด่าแหลก อย่างตำหนิมหาเถรสมาคมเยอะ มีแต่กุศลเจตนาไม่ได้ด่าเพราะอกุศลเจตนาอะไร คำพูดอาจแรง แต่ว่าไม่ได้หยาบนะ
คำหยาบคือคำที่แสดงคำพูดออกมาโดยมีกิเลสผสมคำนั้นออกมา เช่นว่า นี่เธอสวยจัง ..นี่คำด่านะ ฟังเข้าใจไหม เป็นคำที่ประกอบด้วยกิเลสนี่คือคำด่า แต่คำที่ไม่ได้ประกอบด้วยกิเลส อย่างอาตมาพูดนี้มีแต่เจตนาให้คุณรู้และแก้ไขปรับปรุง คุณยังมีอารมณ์ไปร่วมมีกิเลสคุณควรถูกด่า เช่น บอกคุณสวยจัง ยังมีจิตใจชอบในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอยู่ไม่ใช่อรหันต์
-
กิเลส1,500 ตัณหา 108 หมายถึงอะไรบ้างครับ
พ่อครูว่า…ในพระไตรปิฎกก็มีบันทึกเกิดจากอรรถกถาจารย์มาขยายความ เขาแตกรายละเอียดไว้นะ ท่านประยุทธ ปยุตโตก็ได้บันทึกไว้ ท่านเป็นอรรถกถาจารย์แล้วแต่เป็นตัวเลข 108 เอาตัวเลข 1,500 คือแตกออกไป ที่จริงสามารถแตกเป็นล้านอย่างก็ได้ ตัณหาทางทวาร 6 ก็คูณ สุข ทุกข์ อุเบกขา แล้วก็คูณอดีต ปัจจุบัน อนาคตอีก
เวทนา 108 ก็เริ่มจาก กายิกเวทนากับเจตสิกเวนา คำว่ากายเป็นภาษาธรรมะของพระพุทธเจ้า กายไม่ใช่แค่ร่างภายนอกหากแปลแค่ร่างภายนอกนั้นผิด ร่างภายนอกพิจารณาง่าย แต่ให้เน้นภายใน คือ กายคือจิต มโน วิญญาณ ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ล.16 ข.230
กาย ก็ตาม เทวะก็ตาม ธรรมะ 2 ก็ตามเป็นความหมายเดียวกันใช้แทนกันได้หมด แล้วศึกษาตามธรรมะ 2 ศึกษาคำว่าเทวะ ตีแตกเทวะรู้จักสภาวะของเทวะ ธรรมะ 2 และทำให้เป็น 1 สุดท้ายไม่ทรงไว้เลย ในขณะเป็นยังไม่ตายก็ทำได้ คุณยังไม่สูญทีเดียว มีอัตภาพมีธาตุรู้ร่วมแต่จิตทำให้ ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ทำให้จิตสะอาดปราศจากกุศลอกุศลทั้งปวงจิตมีมุทุธาตุ สะอาด แต่ดำเนินการสัมผัสกระทบกับอะไรอยู่ ถ้าเป็นอรหันต์แม้จิตกระทบก็สะอาดบริสุทธิ์ อะไรมาเปื้อนก็ดูความเปื้อนแล้วช่วยความเปื้อนให้สะอาดอยู่เรื่อยไป ตัวท่านไม่ได้เปื้อนแล้ว พระอรหันต์มีหน้าที่ช่วยคนอื่นเขาตัวเองจบกิจแล้ว ตัวเองรู้จักกุศลอกุศล แล้วช่วยให้คนอื่นล้างกิเลส ท่านทำไป มุทุของท่านก็ดีขึ้น จะเพิ่มความเจริญทั้งเจโตและปัญญา มุทุก็เก่ง อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา กับ ตักกะวิตักกะ สังกัปปะ ก็เก่งรวมเป็น วจีสังขารา
วจีนั้นก็มีสองอีกคือมีทั้ง ปฏิฆสัมผัสโส อธิวจนสัมผัสโส
การสัมผัสรู้อันนี้ ฆ มันเคยตั้งชื่อหรือยังหากสภาวะนี้สัมผัสแล้วไม่เคยตั้งชื่อ เช่นว่าสิ่งอะไรก็แล้วแต่ มีพืชบางชนิดอยู่ในประเทศอะไรที่เกิด ประเทศนั้นคนไปเอามาจากประเทศนั้นมาสู่ประเทศไทย คนไทยก็ดูว่าอันนี้พืชอะไร ประเทศไทยไม่เคยมีมีใครตั้งชื่อหรือยัง ขณะที่สัมผัสพืชต้นนี้ก็เป็น ปฏิฆสัมผัสโสของคุณ แต่เราไม่เคยรู้ชื่อ แต่ถ้าคนรู้ก็บอกว่า ต้นไม้นี้เกิดในประเทศอโศกชื่อต้นไม้สาธารณโภคี ก็เป็นไง ก็มาชม มาสัมผัสมารู้ได้เอหิปัสสิโก มาศึกษาต้นสาธารณโภคี มีลักษณะคุณสมบัติของเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจเป็นแบบนี้ คุณสมบัติการเมืองรัฐศาสตร์เป็นแบบนี้คุณสมบัติของสังคมศาสตร์เป็นอย่างนี้ นี่คือของราชธานีอโศก สุดยอดแล้ว สังคมแบบนี้มันสุดยอด คอมมิวนิสต์ก็สู้ไม่ได้ ประชาธิปไตยเต็มที่ จะบอกว่าไม่เป็นประชาธิปไตยก็ได้ชาวอโศก ทุกคนมานี่ใครบังคับมา อิสระเสรีภาพสมบูรณ์ เข้ามานี่ให้มาล้างอัตตานะ โดนล้างอัตตาทั้งนั้นนะ มาที่นี่ให้เรียนรู้จิตวิญญาณเป็นหลัก นี่คือแดนสาธารณโภคีแดนแผ่นดินพุทธ
กิเลสตัณหาตัณหา108 ก็ต้องศึกษาเวทนา 108 ให้ชัดเจน
สู่แดนธรรมทวงว่าพ่อท่านว่าจะพูด 12 ปีต่อมานะครับ
พ่อครูว่า..ตกลง คุณเตือนสติก็ตกลง…
ปี 2524 วิสาขบูชาที่สวนลุมฯ ตอนนั้นยังไม่เกิดเรื่องราวอะไร สงฆ์ต่างๆมารวมกันชุมนุมเป็นเรื่องสวยงาม เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ตอนนั้นคุณจำลองเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรีอยู่ ก็มาทำ พูดชวน ประชาชนใส่บาตรเต็มเลย รวมกันยิ่งใหญ่มาก เสร็จแล้วไม่นานนัก พศ.25เริ่มต้นแล้ว พันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ หันจากท่านพุทธทาสมาหาอโศก เขาตีอโศกแหลกเลย โพธิรักษ์ศาสดามหาภัย และมีอีกหลายเล่มที่เขียนด่าเละ และมหาเถรสมาคมบ้าจี้ตีเราด้วย พูดว่าเราเป็นภัยศาสนา อันนี้ก็เป็นกรรมวิบากของเขา เขามาแตะก็เป็นกรรมของเขาไป ขอยืนยันความจริงตามความเป็นจริงก็บานปลาย อาตมาก็ได้รับผลที่เขาเชื่อเถรสมาคมมากกว่าอาตมา เขารวมกันตีและทำร้ายทำลายอาตมา แต่ไม่รู้ว่าอาตมาอยู่ยงคงกระพัน ฟันไม่เข้าตีไม่ออกตอกไม่เจ็บ เหน็บไม่รู้สึก ที่จริงเรารู้แต่อาตมาจิตว่างไม่สะทกสะท้อนอะไร ใครทำอะไรมาก็ไม่เป็นไรไม่ได้ต้านไม่ได้รักมาก็ไปของคุณเหมือนตบมือข้างเดียววืดไป จริงๆทุกอย่างเป็นบูมเมอแรง สิ่งที่อยู่ในเอกภพนี้ทุกอย่างโค้งกลับหมด แต่ถ้าออกไปนอกเอกภพมันก็โค้งน้อย กว่าจะวนเวียนกลับมาได้มันก็นานมาก แต่พอมาเจอตัวเรามันไกลยาวนานโดยวิบาก ถึงบอกว่าอย่าไปสนใจสิ่งเหล่านั้นเลย มาฟังธรรมะสัมผัสปัจจุบันนี่แหละ
ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ มาเรียนนิพพานกันที่ปัจจุบันทิฏฐกาละคือเวลานี้ suddenly สัมปะติ บัดนี้ อยู่ในสมัย โดยสมัย สมยะ สมยัง ขณะนี้ตอนนี้ ในกาละโดยกาละหมายความว่าเวลาทั้งหมด ในสมัยโดยสมัยคือขณะนี้มีภาวะกรรมเกิดอยู่ขณะนี้คือในสมัยโดยสมัย
สะ มะ ยะ
สะ กับ ยะ คือเศษวรรค
ม คือตัวสุดท้าย ตรงกันข้ามกับ ก คือเริ่มเกิด ม คือเต็มจิตเลย เป็น จิตวิญญาณตัวตนเป็นเรื่องราว ตัว ม
ส่วน สะ คือ ยะ ตัวแรก สะตัวที่ 4 สามเส้าคือวน ย ร ล แล้ว ออกมาเป็น ว ก็มาเริ่มมีต่อ ส ห ฬ อํ 7 ตัววงวนสุดท้าย
พลังงานจะเที่ยงได้ต้อง 7 ส่วน 9 นั้นเต็ม
3 คือ วงวน
5 คือกลางระหว่าง 9
7 คือเที่ยงแล้ว สัมประสิทธิ์
8 ครบวัฏฏะ
ที่อาตมาอธิบายไปจนอวดรู้เป็นผู้รู้ถึงรากพยัญชนะ หากเอาสระเข้าไปอีกยิ่งสนุกใหญ่ คนไม่สนุกไม่รู้เรื่องก็ยิ่งเมา
24 – 25 ถึง 37
เขาตีสำนักปู่สวรรค์ก่อนไม่ใช่ท่านพุทธทาส ก็ใช่ ตีแหลกหมดเลย อนันต์ เขาเกิดขึ้นมาอย่างไรไม่รู้เขานึกว่า เขาเป็นผู้รู้ในศาสนา เขาไม่ตีเถรสมาคมเท่านั้นแหละ เขาเก่ง โพธิรักษ์จะไปเหลือหรือ
เมื่อระหว่าง 25 -37 ในนักษัตรต่อมา อาตมาก็เริ่มทำงานเขาก็เริ่มรู้สึกตัวว่าอาตมาจะมาจัดการกับเขา เขาก็เริ่มตั้งตัว ตั้งทัพสู้เลย ใครจะได้ไหมว่า กองทัพธรรมมูลนิธิ ตั้งในปีพ.ศ.ไหน
เราใช้กองทัพธรรม ธรรมกาย เขาก็เสียดายมากเลยเมื่อเราเอามาให้ใช้ก่อน อาตมาแต่งเพลงกองทัพธรรมด้วย
สมณะเดินดินว่า…ธรรมกายเขาแต่งเพลงกองทัพธรรมก่อน แต่ต่อมาพ่อครูก็แต่งเพลงกองทัพพุทธธรรม
มูลนิธิกองทัพธรรมเกิดปี 2527 เมื่อถึง พ.ศ. 2532 ส่วน พันตำรวจตรีอนันต์ ก็กระหน่ำมาเรื่อยๆตั้งแต่ 25 พอถึง 32 เราถูกจับ เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตมโหฬาร
พ.ศ 2532 เอาหนักมากจะตีให้แตกจะทำให้ตาย จะสลายให้สูญ แต่ก็ไม่ตายแฮะ ยิ่งกว่าแมวเก้าชีวิต พระโพธิรักษ์ไม่ตาย สัจจังเวอมตาวาจา สัจจะไม่มีวันตาย
อาตมามาถึงวันนี้ยังพูดอธิบายมั่นใจว่าจะมานี่เป็นไม่เป็นผิด แต่เป็นผู้แพ้ แต่เขาเข้าใจว่าอาตมาผิด เขาถูก เขาก็อยู่กับสิ่งลวงก็จะต้องกลายเป็นฉลาดน้อยหรือฉลาดไม่มีเลย เขาก็จะเป็นเช่นนั้นก็น่าสงสาร นอกจากฉลาดน้อยฉลาดไม่มีแล้วยังโง่ซ้อนไปทำลายผู้ฉลาด
แต่ฉลาดน้อยฉลาดไม่มีแล้วยังไปทำร้ายผู้ฉลาดอีก
ฉลาดคือ ความรู้รอบในทวาร 6 รู้จัก มโนปวิจาร 18 ทำให้เกิดอุเบกขาฐาน นี่คือรายละเอียดจากฉฬายตนะหรือสฬายตนะ ภาษาอีสานว่า สะหลาด
ฉลาดหรือฉฬายตนะคือรู้เท่าทันทวารทั้ง 6 และมีปัญญาแตกแยกแยะสิ่งต่างๆ ให้รู้จักรายละเอียดของแต่ละองค์รวม แต่ละลักษณะ รู้ตั้งแต่ 2
ในรูป 28
4 รูปแรก ดิน น้ำ ไฟ ลม ก็เป็นอุตุนิยาม เสร็จแล้วมีจิตนิยามร่วมกับดิน น้ำ ไฟ ลม เกิดการสัมผัสเกิดการดำเนินการขึ้นมา พอกระทบปุ๊บ มีภาวรูป วิสยรูป โคจรรูป มีตากับรูป หูกับเสียง กลิ่นกับจมูก ลิ้นกระทบรส กายสัมผัสเสียดสีก็ครบทั้ง 9 สภาวะ
เพราะอภิธรรมแยกเป็น 9 ไม่ได้เป็น 10 แต่กายนี้ถือว่า 2ใน1 1ใน2 มันขาดจากกันไม่ได้แต่ศาสนาพุทธเสื่อม เพราะไปเข้าใจว่ากายคือดิน น้ำ ไฟ ลม ตีหัวใจศาสนาทิ้งด้วย แยกกาย
เพราะฉะนั้น มูลกรรมฐาน 5 ผู้มาบวชแล้วจะต้องพิจารณามูลกรรมฐาน 5 ให้ชัดเจน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง พิจารณาให้เห็นว่าส่วนใดขณะใด โดยสมัยในสมัยใดมันเป็นอุตุ โดยสมัยใดการรใดที่มันเป็น พีชะ หรือเป็นจิตต้องแยกให้ออก แต่สุดท้ายทุกวันนี้ อุปัชฌาย์ ไม่รู้แล้ว ไม่ได้ให้กรรมฐานลูกศิษย์
อาตมาอธิบาย เช่นเล็บเรานี่ตรงไหนเป็นอุตุ ขณะตัดขาดจากร่างเรา ขณะตัดก็ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่มีเวทนาเกิดเพราะมันเป็นพีชะ พอตัดออกไป ส่วนที่หลุดออกไปเป็นอุตุ ไม่ใช่กายแล้ว
กายคือสิ่งที่มีส่วนพีชะ แต่ไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ ตัดไม่เจ็บ จนถึงประสาท ส่วนเล็บที่มีเส้นประสาทก็รู้สึกเจ็บ ตรงไหนเล็บรู้สึกเสียวหรือเจ็บก็เป็นจิตนิยาม เสร็จแล้วก็จะสังเคราะห์ธาตุอาหารเติบโต
กาย มี อุตุ พีชะ จิต ส่วนกรรมกับธรรมะ ขึ้นอยู่กับจะทรงอยู่ในสภาพไหน หากเอาอาหารให้มันหากส่วนพีชะของเล็บหากไม่ให้อาหารมัน มันก็ไม่งอก
คนตายแล้วยึดติดไม่ทิ้งร่าง คนนั้นเล็บก็จะงอกขึ้นไปอีก ผมก็จะงอกได้ โดยที่ตัวเองมีโมเมนตัมของพลังงาน ที่ยังเป็นพีชะเป็นชีวะอยู่
ถ้าไปสร้างจิตให้ไปยึดว่าเป็นเรา คือศาสนาพุทธเจ้าใจผิดว่า ผู้ใดทำสมาธิให้จิตมันนิ่งมันเกาะอยู่กับอะไรแน่นิ่ง ตายก็นั่งตายได้ ทำสมาธิตายเขานิยมกันจังเลย ซึ่งมันผิด มันไม่เข้าใจความจริงตามความเป็นจริง ตายก็คือตาย จิตจะไปเกาะไว้ทำไม แต่เขาก็บูชากัน ทั้งที่เป็นพืชก็ยิ่งกว่าพืชแล้ว แล้วแต่โมเมนตัมของพลังงาน แต่ถ้าคนมีทางต่อท่อให้เป็นมนุษย์พืช ให้ร่างกายทำงานอยู่เอาอาหารไปเลี้ยงอยู่ ร่างกายก็จะสดกว่าร่างกายของผู้ที่ตายแล้ว แล้วจิตใจตัวเองยังยึดถืออยู่ไม่ยอมทิ้งร่างก็จะยังสดอยู่ เป็นโมเมนตัมที่ยึดตัวกูของกูไว้
ศาสนาพุทธนี้ต้องรู้จักสมัยในสมัยโดยสมัย รู้จักกาละโดยกาละ ต้องรู้ว่าตอนนี้ตายแล้วนะตามสมัยตามกาละ ก็ต้องทิ้งร่างนี้แล้วนะ
กาละคือทั้งหมด ตราบใดมีเอกภพดวงดาวมีโลกมีพระอาทิตย์โคจรจากนั้นก็คือ กาละ
สมัย คือ ในขณะใดขณะนั้น สมยะ เกิดที่จิตตัว ส กับ ย
ย ร ล ว ส ตัว ส คือตัวที่5 จะทำการเสริมหนุน
4 ไม่ถือว่าเป็นพลังงาน coefficient เพิ่งออกมาเสริมไม่หยุดอยู่ หากหยุดก็แค่วงวนของ 3 พอ 4 ก็จะเป็นทศนิยม พอมา 5 ก็จะยิ่งมีพลังงานเสริมขึ้นไปอีก หากไม่หยุดเพิ่มพลัง Coefficient มาเป็น 6 ก็มีสองของสามเส้า แต่ถ้าเป็น 7 จะเป็น Coefficient แท้เป็นนิยตะเที่ยงไปสู่ 9
มีคนบอกว่า ม เป็น ตัวที่ 25 ของพยัญชนะ แล้วก็มี 2 กับ 5 ก็รวมเป็น 7 ก็ใช่ได้
มันจะสะสมรวมกันเป็นตัวก่อเกิดอะไรต่างๆนานาพวกนี้สารพัดสารเพ ตั้งแต่อุตุ มาเป็นพีชะ มาเป็นจิต เราแยก จิตเจตสิกมาแยกแยะทีละ 2 อย่าไปสับสนเอามากให้เรียนที่ละคู่ อะไรควรอะไรไม่ควร อะไรควรเอาเป็นตัวตั้ง อะไรควรเอาตัวคู่ ก็เกิดคู่หูของธรรมะ 2 มีพระเอกกับพระรองเคียงกันไป หรือมีพระเอกกับนางเอก
ก็ช่วยกัน เป็นสภาพสองช่วยกัน โดยไม่สับสน นอกจากไม่สับสนแล้ว ยังรู้จัก เอก นอกจากเอกแล้ว หากไม่มีตัวช่วยเลย ตัวนี้ไม่ทำอะไรมันก็จะเกิดความ ชรตา
ลักษณะของรูป 28 สุดท้าย มีอุปจย สันตติ ชรตา อนิจจตา
คนที่จบอรหันต์แล้วจะรู้จัก อุปจยะ คือไม่จบ สันตติคือตัวกลาง จะให้ต่อหรือไม่ต่อจะให้ดับหรือไม่ดับ ถ้าไม่ให้เกิดหยุดไม่ต่อ โมเมนตัมก็จะเป็นชรตา เสื่อมสูญไปแต่คนไม่รู้จักสันตติ ให้มันเสื่อมไปไม่ได้ต่อมันไปอีก พระอรหันต์จะรู้จักธาตุตัวต่อนี้ จะต่อหรือไม่ต่อ สันตติ พระอรหันต์จะรู้ต่อหรือไม่ต่อ
ถ้าไม่ต่อแล้วผู้ใดที่เป็นพระอรหันต์ที่จะไม่อยู่ในสุทธาวาส ตายแล้วก็สูญเลย แต่ถ้าใครไปติดยึดในสุทธาวาส ไปเที่ยวอยู่ก็จะมี
-
อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ)
-
อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ)
-
สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ)
-
อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก)
-
อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร หรือไม่เป็นน้องใครอีก แล้วปรินิพพานไว)