611112_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราขฯ ครั้งที่ 24
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1fIZFS7R6nRPIe7VeWaKUy22KXdVwmln3Oyc9skM9hg4/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1TDdrKJeu3pjZfjJkNbsbi-CW1EqZ_lDu
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก
SMS วันที่ 9-11 ตุลาคม 2561
_1614ฝรั่งบอกว่า แม้คุณ เปนลูกพีชที่หวานที่สุดในโลก ก็ยังมีคนไม่ชอบอยู่ดี เพราะความอร่อย มัน subjective …ความเชื่อ ความชอบ ก็เหมือนกัน ใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า…เราเรียนรู้กันตรงสมมุติที่ยึดที่ติด จะบอกว่า Subjective ก็ใช้ มันไปยึดเอาไว้เป็นเราเป็นของเราไหมล่ะ มันไปยึดก็มี ก็ไม่วางก็ไม่ปล่อยเท่านั้นเอง คนมีภาพในความคิดนึกจะรู้ได้ว่ามันมีนี่มันปลอม มันมีที่ตาเห็นเป็นรูปเสียงก็ไม่มีให้ได้ยิน ข้างนอกมี แต่ข้างในไม่มีหรอก ในภพไม่มีอะไร คนที่ไม่มีภพชาติแล้วหลับตาเข้าไปก็จะมืด ถ้ายังมีแสงไฟก็จะมีวามๆ แต่คนที่มี ก็จะมีแสงสีแดงสีเหลืองเขียวอะไรนี่ปลอมทั้งนั้น ปรุงเอง เป็นสเปกตรัมของตัวเอง สร้างอยู่ในภพชาติ จริงๆมันไม่มี ยิ่งไม่มีแสงอะไรเลย ยิ่งดับมืดๆธรรมดา ไม่มีอะไร ใครหลับตาแล้วยังเห็นแสงสี บางทีเป็นแสงสว่าง อยู่ไกลก็ได้เข้าใกล้ก็ได้แสงสว่างรวมตัวดวงเล็กดวงใหญ่ก็ได้ เขาก็นึกว่าเก่ง ที่แท้ เล่นกลปั้นรูปร่างตัวตนให้มันมีตามที่ตัวเองให้เป็นแล้วก็สำเร็จด้วยจิตเรียกว่ามโนมยอัตตา แล้วก็หลงความไม่เข้าใจเป็นสิ่งที่มันไม่มีแล้วทำให้มีและไปยึดความมีที่มันไม่มี จริงๆแล้วต้องวิจัย เขาก็มีของเขา เท่านั้นเอง คนไม่มีนี้จะไม่ไปสงสัยคนที่มี แต่คนที่มีนั้นที่ยังไม่ชัดเจนแน่ใจว่าไม่มีมันเป็นอย่างไร ยังมีภพชาติมีแสงสี หลับตาแล้วมีแสงสี จริงๆแล้วแสงสีอยู่ที่ลืมตา หลับตาแล้วไม่มี ที่เป็นแม่สี 7 สี ม่วงครามน้ำเงินเขียวเหลืองแสดแดง ก็อยู่ใน จริงๆแล้วพิสูจน์แล้วว่าไม่มี หากหมุนเร็วๆสีก็เป็นสีดำ แสงก็เป็นสีขาว วิทยาศาสตร์พิสูจน์มาแล้ว ยิ่งวิทยาศาสตร์ทางภูมิปัญญาพระพุทธเจ้าพิสูจน์มาแล้ว
_3867ขอบคุณบุญนิยมฯกับเพลงโลกุตระกับวงฆราวาส วงดนตรีชาวมังสะวิรัติล้วนๆ วงไร้อบายฯปลอดมึนเมาวงเดียวในพุทธสยาม!แฟนเพลงสัจจะชีวิตพ่อครูฯสาธุ
_ไอดิน เพียงพอ · สถานที่งดงามสงบร่มเย็นมากค่ะ
_ลานไพร · ครั้งแรกในชีวิตครับ ร่วมทำวัตร ออนไลน์
_พรชมภู วรชินา · สัญญาณไม่ดีครับติดตลอดเลย(ทำวัตรเช้าวันพฤหัสที่ 9)
พ่อครูว่า…ของอโศกก็เป็นอย่างนี้ ขออภัย ต่อไปก็คงจะดีขึ้น
_นพดล ทองโคตร · กราบนมัสการพ่อครูครับ ข้าฯน้อยขอน้อมนำธรรมะเข้ามาในจิตเพื่อความดับทุกข์ขอรับ ข้าฯน้อยไม่ได้ไปลงทะเบียนร่วมงานที่บวรราชธานีอโศก สนใจหนังสือคนจนที่มีแบบเล่ม1 มาอ่าน จะทำอย่างไรดีครับ
พ่อครูว่า…บอกที่อยู่มาจะส่งไปให้ถ้ามารับเองที่นี้ได้ก็ดี ใกล้ที่ไหนที่เรามี พุทธสถานสังฆสถานก็มีที่นั่นอยู่แล้ว
_พราวพุทธ “รบกวนพ่อครูอธิบายวิธีพิจารณาความไม่เที่ยงของกิเลสด้วยค่ะ
ทราบมาว่าพระพุทธเจ้าสอนไว้ 4 วิธีด้วยกัน แต่สมณะที่พูดถึงเรื่องนี้ท่านจำได้แค่ 3 วิธี คือ
ใช้วิธีสมถะ, เบี่ยงเบนกิเลส, และวิปัสสนา
พ่อครูว่า..นั่นมันอนุปัสสี 4 หรือเปล่า
เห็นความไม่เที่ยง อนิจจานุปัสสี เห็นความจางคลายของกิเลส วิราคานุปัสสี เห็นความหมดไปของกิเลส นิโรธานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสี ทำทวนซ้ำไปมาให้แน่ใจ
ไม่ว่าจะเป็นสภาพความไม่มีตัวตนของกิเลส หรือรสอัสสาทะ รสชาติที่บำเรออารมณ์ของกิเลส กิเลสเป็นเหตุพอได้สมใจก็เป็นผล มันไม่มีทั้งนั้นก็ไม่มีทั้งเหตุทั้งผล มันสูญ ที่จริงแล้วมันไม่มีในจิตของเรา เราไม่มีตัวเหตุที่มันอยากจะได้ หากได้มาสมใจก็เป็นผลอะไรเพื่อความสุข มันว่างทั้งเหตุและผล จิตมันว่างๆกลางๆเฉยๆมันรู้ความจริงตามความเป็นจริง
อันนี้แดงก็แดง ไม่ได้เกิดอารมณ์ว่าชอบหรือไม่ชอบ แต่มันซ้อนที่ว่า มันเคยจำได้ไหมมีความรู้ คนนี้เขาถือว่าแดงมันสวย ถ้าไปเทียบกับเหลืองก็เหลืองไม่สวยเท่าแดง เขาสมมุติกันอย่างนี้ คือบางคนอาจจะสมมุติอย่างอื่นเหลืองสวยกว่าแดง เราก็รู้ โดยไม่ได้ลงผิดทิศทางงงไปตามเขา ไปยึดตามเขา รู้ความจริงตามความเป็นจริงที่มันมีมันเป็น ทั้งบุคคลที่เขายึดติดอยู่ในโลกอย่างนั้นอย่างนี้ ยึดมากน้อยแรงหนัก ยึดจนต้องแย่งกันฆ่าแกงกันชิงกัน ก็คนแต่ละคนเขาเป็น เราไม่ได้เป็นสิ่งนั้นเราก็รู้จริงตามความเป็นจริง
ก็ที่เขายกตัวอย่าง วิธีสมถะ, เบี่ยงเบนกิเลส, และวิปัสสนา
คำว่าสมถะเป็นความหมาย 2 นัยยะ โลกียะก็ได้โลกุตระก็ได้ โลกียะก็สงบแต่ไม่ใช่โลกุตระ กลับคืนวนเวียนไปมาได้มันไม่สงบมันสงบแล้วมันก็ไม่สงบอีก แต่สมถะของโลกุตระนั้นสงบแล้วสงบเลยมันไม่มีตัวเหตุของกิเลสขึ้นมา ไม่มีตัวกิเลสอีก มันหยุดจบสงบ จะเจออะไรขึ้นมาอีกแปลกแตกต่างให้เปรียบเทียบ เราก็ยังอยู่ฐาน ตัวอะไรแปลกแตกต่างเป็นโลกียะมากน้อยอย่างไรเป็นสมมุติอย่างไร มีลีลา มีความปรุงแต่งอย่างโน้นอย่างนี้ อธิบายไปอย่างโน้นอย่างนี้ เข้าใจภาษาเข้าใจตามสภาวะ ภาษาบางทีก็ไม่เข้าใจแต่เรารู้สภาวะ
บางทีรู้ภาษาก่อนยังไม่มีสภาวะได้ก็มี เราก็ไม่มีปัญหาหรอก แต่เขาจะมีความสุขความทุกข์อย่างไรก็เป็นเขาเราไม่มีก็จบแล้วก็มีเขาก็มี ถ้าอยากจะรู้ก็ไม่มีแบบเขาแล้วก็ต้องมาล้างอีก จะไปมีทำไม
ในความหมายที่คุณแพรวพุทธบอกมาคือความไม่เที่ยงของกิเลส ไม่มี 4 วิธี จริงๆแล้วพระพุทธเจ้าไม่ได้เรียกว่าสมถะ สมถะมีสองนัย แต่พระพุทธเจ้าท่านเรียกความสงบแบบปัสสัทธิ ไม่ได้เรียกความสงบแบบสมถะ
สมถะก็สงบแต่เราก็สงบได้ รู้นัยยะหมายถึงอย่างนี้นะ แต่ถ้าปัสสัทธิ เป็นนัยยะของศาสนาพุทธมากกว่าสมถะ หรือมีอีกเยอะ คำว่าสงบเช่นคำว่าสันติ คำว่าวิเวก คำอื่นๆอีกสันตาก็สงบ ก็รู้อาการที่มันเป็นหนึ่ง อาการสงบมันเป็นอย่างไร
สงบนี่ภาษาไทยนะ สงบหรือสงัด มันไม่กระดุกกระดิก ฟังง่ายๆ มันไม่เคลื่อน แต่นิ่งทึ่มมืดบอดนี่ไม่รู้อะไร แต่นี่รู้ดีว่าอาการจิตของเรามันไม่เคลื่อนไปตามที่เขาสมมุติต่างๆมันไม่เป็น ไม่มีอารมณ์แบบนั้นมันเฉยๆกลางๆว่างๆ
มาพยายามทำให้อาการจิตนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆจึงจะรู้ คำว่าสงบ คำว่าสมถะ ปัสสัทธิ วิเวก สันติ คำเหล่านี้อธิบายยาก
ที่จริงไม่ได้เบี่ยงเบนกิเลส เข้าใจว่ากิเลสไม่มีอาการอยู่ในจิตแล้วทำให้กิเลสมันหายไปไม่ใช่เบี่ยงเบน นั่นมันหลีกแต่นี่ไม่หลีก แม้จะกระทบกระแทกสัมผัสกับกิเลสแต่เรามีพลังงานทำให้จิตว่างได้ แล้วคำว่าวิปัสสนา เป็นคำของพระพุทธเจ้าเลย
ปัสสะ แปลว่าเห็นรู้ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจที่มีสภาพเกิดจริง เห็นอย่างรู้ยอดรู้จบ มีสภาวะสุดสิ้นเลย เห็นรู้ภาวะความจำของจิตที่บริบูรณ์ด้วยวิมุติ วิโมกข์ นิพพาน มันมีวิโมกข์วิมุติ นิพพานอยู่ตอนนี้เลย มันเป็นอาการนี้เลย พูดไม่รู้กี่โวหารที่จะอธิบายสภาวะนิพพาน สภาวะนิโรธ สภาวะวิมุติ สภาวะสันติ สภาวะสงบอะไรพวกนี้
เพราะฉะนั้นมันสำคัญอยู่ที่สภาวะจึงจะพูดกันรู้เรื่อง สำหรับคนที่รู้เรื่อง เมื่อใช้พยัญชนะเหล่านี้สัก 78 มุม10 โมงก็จบแล้วไม่ต้องต่ออีก บางคนบอกว่า 10:00 น.แล้วยังมีมุมเหลี่ยมที่แย่งไปอีก 20 มุมก็ยังแย่งอีกเราก็ตามไปดู หากพอพูดกันรู้เรื่องก็บอกว่าสงบมันเป็นอย่างนี้ หากไปอีก 50 มุม เราก็ตามไปอีก ชักเมื่อยๆ ไปอีก100 มุม ทำไมเขามีมาก เราก็ต้องไปอธิบายมุมที่เขาไมสงบนี่แหละ หากคนสงบแล้ว 3 มุม 4 มุม 20 มุมก็ชัดแล้วจบ แต่ถ้าคุณจะไปอีก คนมันไปได้ ปั้นเอา แง่อย่างนี้เรานึกไม่ออกเลย คิดตามคุณไม่ออกเลยเพราะคุณสร้างขึ้นได้ เราบอกตรงๆว่าไม่รู้นึกไม่ออกอย่างที่คุณว่า มิติที่คุณสร้างขึ้นมามันเป็นอย่างไรแง่งไหนแง่ไหน
ในสิ่งที่ทุกวันนี้คนเราใช้โวหารภาษาวาทกรรมเยอะ เป็นความคิดที่บ้าบอมากเกิน พวกมากเรื่องใช้วาทะมาหาเรื่องหามุมเหลี่ยม แล้วหาพวกมารับรองด้วยนะ ตีฉิ่งฉาบกัน บอกว่าพวกคนไม่รู้คุณโง่ก็ว่าไป คนเรามันจะเอาชนะก็เลยหาอะไรมา เราก็จบแล้วตามไปไม่ไหวแพ้จบ เลิก
ถามพ่อครู
ศีลข้อ 1
โสดา = เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ = กายสังขาร
สกิทาคามี = เว้นขาดจากโหดร้ายรุนแรง = กายสังขาร
เว้นขาดจากการเบียดเบียน = กายสังขาร
อนาคามี = เว้นขาดจากคิดจะทำร้าย = วจีสังขาร พ่อครูว่า..อนาคามี หมดแล้ว ไม่คิดจะทำร้ายแล้ว มีแต่คิดราคะ มีราคมูลไม่มีโทสะนะ รูปราคะ อรูปราคะ มีมานะ อุทธัจจะฟุ้งกระเซ็น หรือส่วนน้อยละออง หากหมดละอองของพวกนี้ก็หมดอวิชชา รู้และจิตเป็นจริงก็เป็นอรหันต์
อรหันต์ = เว้นขาดจากรู้สึกผลัก = จิตตสังขาร พ่อครูว่า..อรหันต์ไม่รู้สึกผลัก อนาคารู้สึกผลัก แต่ทนได้ อยู่กับสิ่งที่เขาแรง เป็นคนทนต่อสิ่งที่แรงร้ายของโลกได้ จนวางเฉยไม่เกิดความทุกข์ร้อนลำบากลำบนอะไร
ยังเข้าถึงสภาวะไม่จริงก็เลยสงสัยก็เลยถามมาอย่างนี้
ศีลข้อ 2
โสดา = เว้นขาดจากการขโมย = กายสังขาร
สกิทาคามี = เว้นขาดจากเอาเปรียบ = กายสังขาร
เว้นขาดจากการหวงแหน = กายสังขาร
อนาคามี = เว้นขาดจากคิดจะเอา = วจีสังขาร พ่อครูว่า…อนาคามีไม่คิดจะเอามีแต่จะให้ ช่วยเหลือผู้อื่น
อรหันต์ = เว้นขาดจากรู้สึกดูด = จิตตสังขาร พ่อครูว่า…อรหันต์อาศัย รู้จักความจริงตามความเป็นจริง สิ่งเหล่านี้เราอาศัยแล้วทำอะไรต่ออะไรไป
ศีลข้อ 3
โสดา = เว้นขาดจากการส่ำส่อน ลามก = กายสังขาร
สกิทาคามี = เว้นขาดจาก สวยจัด สวยงาม = กายสังขาร
อนาคามี = เว้นขาดจากคิดจะสวย = วจีสังขาร
อรหันต์ = เว้นขาดจากรู้สึกดูด = จิตตสังขาร
ศีลข้อ 4
โสดา = เว้นขาดจากการพูดโกหก = กายสังขาร
สกิทาคามี = เว้นขาดจากพูดส่อเสียด พูดหยาบ เพ้อเจ้อ = กายสังขาร
อนาคามี = เว้นขาดจากคิดจะพูดทั้ง 4 คำ = วจีสังขาร
อรหันต์ = เว้นขาดจากรู้สึกทั้งดูดและผลัก = จิตตสังขาร
ศีลข้อ 4 อยู่ในศีลข้อ 1 2 3 5
ศีลข้อ 5
โสดา = เว้นขาดจากสิ่งเสพย์ติดทุกชนิด = กายสังขาร
สกิทาคามี = เว้นขาดจากการเสพ แค่มีไว้ไม่คิดตัด = กายสังขาร
เว้นขาดจากเพียวสนุกสนาน = กายสังขาร
อนาคามี = เว้นขาดจากคิดจะเสพย์ = วจีสังขาร
อรหันต์ = เว้นขาดจากรู้สึกดูด ผลัก = จิตตสังขาร (ไม่ไหลไปตามแรงดูดและผลัก)
ถูกไหม โปรดอธิบายด้วย
โสดาจริงๆ ตัดรอบแค่นี้ใช่มั้ย?
พ่อครูว่า..ถ้าไปละเลียดอย่างนี้จะช้า ท่านพอจริง ท่านจะรู้มากรู้ละเอียดละเลียด แต่ต้นๆนี้ท่านไม่จบ มันไม่เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ มันซับซ้อน โขยกไปโขยกมาก อันนี้เป็นตัวอย่างของการไม่เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์
คำอธิษฐาน
_สิ่งที่ตั้งใจจะลดกิเลสคือการเขียนบันทึก หลังจากนี้จะขยันเขียนบันทึกทุกวัน
พ่อครูว่า…เอาเลย
_พลอย กิตติธรรมคุณ ม.3 สส.สอ.
ณ ตอนนี้ เราคิดว่าจะทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจ หนูคิดว่าถ้ามีความตั้งใจแล้วทุกอย่างจะสำเร็จเพราะความตั้งใจเป็นสิ่งสำคัญ และก็จะตั้งใจคิดในแง่บวก เพราะการคิดในแง่ลบชีวิตหนูไม่มีความสุขหรือปิติ แต่พอเราคิดในแง่บวก โอ้โห ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไปความรู้สึกก็เปลี่ยนไป แล้วจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เพราะโอกาสที่จะมาเรียนที่นี่ ไม่ได้มีง่าย และไม่มีที่ไหนสอนธรรมะที่ลึกซึ้งแบบนี้อีกด้วย เป็นความโชคดีจริงๆค่ะ
พ่อครูว่า…อย่าตั้งแล้วล้มบ่อยนัก ตั้งแล้วทำให้สำเร็จ หากว่าตั้งไข่ล้มต้มไข่กินทำไม่สำเร็จสักทีก็ไม่ดี เอาเลย อนุโมทนาสาธุตั้งใจดีๆหลวงปู่เอาใจช่วย
_ด.ญ.นริศรา แทมมี่..หนูจะตั้งใจไม่พูดคำหยาบไม่โกรธไม่โมโหใคร แต่ถ้าไม่มีอารมณ์แบบนั้นหนูก็พยายามจะทำให้มันหายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตั้งใจจะทำฝันตัวเองให้เป็นจริง ที่หนูตั้งใจจะไม่พูดคำหยาบหรือโมโหโกรธเพราะว่าช่วงนี้อารมณ์นั้นมาบ่อยค่ะ แล้วหนูก็พูดคำหยาบบ่อยมากเลยตั้งใจที่จะไม่พูด เพิ่มมันจะได้ลดลงบ้างจะได้ทำให้เป็นนิสัย ส่วนความโกรธความโมโหหนูไม่ได้ลึกซึ้งถึงจิตใจหรอกนะคะ เพราะหนูรู้ว่ายากแน่ๆ แต่หนูหมายถึงอาการหยาบๆจะไม่ทำ เช่นอาการชักสีหน้า ทำท่าทีไม่พอใจ หนูทำได้เท่านี้ก็พอใจแล้วค่ะ
พ่อครูว่า…คนที่รู้ตัวเองนี่ดีนะ จะเป็นกาย วาจา ใจ ก็รู้ นี่เด็กๆนะนักเรียน ม.3 พวกเราก็ปฏิบัติธรรมแบบนี้ โรงเรียนอื่นไม่มีสอน แต่โรงเรียนสัมมาสิกขาเราสอนพวกนี้ อาตมาว่า สำคัญกว่าวิชาโลกที่จะไปหาความรู้ด้วยซ้ำไป ทำอย่างนี้เป็นคนเจริญเป็นคนอาริยะ
_จะตั้งใจบูชาพ่อครู ตลอดชีวิตไม่เปลี่ยนแปลงเลยตั้งมั่นตั้งแต่พบพ่อครู (คำว่าพบนี้เขาเขียนว่าภพ)พ่อครูก็ว่าพ่อครูเก่งนะที่อ่านได้ เป็นการเขียนมาซื่อๆ ทำให้ขำกันดี
ลูกไม่เคยถามปัญหาพ่อครูเลย มันรู้ว่าปัญหามันอยู่ที่ตัวเรา เว้นแต่ว่าเราจะแก้หรือไม่เท่านั้นเอง ชีวิตที่เหลืออยู่จะมอบให้ศาสนาหมดเลยไม่เอาอะไรตอบแทนเลย จะเป็นผู้ที่เสียสละตลอดไป จะอยู่ที่ไหนก็ติดตามพ่อเสมอไม่พลาดโอกาสอย่างแน่นอน เคารพ เขียนอย่างตั้งใจผิดพลาดก็กราบอภัย ด้วยความกตัญญู ไม่มีรายได้อะไรเลยมีแต่เงินเดือนผู้สูงอายุ
_สิริมา…วันที่ 3-9 พฤศจิกายน ดิฉันไปดูแลน้องสาวที่นครปฐม เธอผ่าตัดหัวใจกะทันหัน ด้วยมีเนื้องอก เป็นกรณีแรกที่หมอผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจทำงานนี้มา 20 กว่าปี ดิฉันทำหน้าที่ฟังเธอคุยให้เธอสบายใจ เพื่อความสบายใจมีผลต่อการเต้นของหัวใจ เธอเล่าถึงกันสาดที่บ้านของเธอเจาะรูขนาดเท่าคอตตอนบัด เจาะถี่ๆที่ปลายกันสาด พอฝนตกน้ำตกลงมาเหมือนม่านน้ำ ทำให้ดิฉันนึกถึงม่านน้ำที่พ่อครูปรารถนาที่จะสร้างเหมือนบ้านราชจึงเรียนมาเพื่อเรียนให้ทราบค่ะ
พ่อครูว่า..ของเราเป็นปูน เดี๋ยวเขาค่อยดัดแปลงเอา
_ด.ญ.น้ำมนต์ กุศลคืออะไรคะ หลวงปู่
พ่อครูว่า…กุศลคือความดีหรือความฉลาด แปลไว้อย่างนั้น เข้าใจไหม ความดีคืออะไร รู้จักความดีไหม ความฉลาดรู้ไหม นั่นแหละคือความดีความฉลาดก็เป็นกุศล
_หลวงปู่ครับ คนจะมีธรรมะได้อย่างไรครับ
พ่อครูว่า…คนจะมีธรรมะได้ก็ด้วยการมาเรียนรู้กับหลวงปู่กับผู้รู้ที่รู้ธรรมะทั้งหลาย เรียนรู้แล้วก็พยายามทำความเข้าใจและปฏิบัติให้ได้ เราก็จะได้ธรรมะจะมีธรรมะ ไม่อย่างนั้นจะซื้อเอาตามตลาดไม่ได้ ซื้อตามร้านขายยาก็ไม่มี จะไปแย่งชิงจากคนอื่นก็ไม่ได้ ต้องเรียนรู้ให้เข้าใจและปฏิบัติให้ได้ เช่น ความเป็นธรรมะ ใช้ความดีเป็นธรรมะ ความฉลาดเป็นธรรมะ ความฉลาดอย่างไรจะดีก็ต้องซ้อนอีก เรียนรู้ไปตามลำดับ แล้วค่อยเขยิบไป
_ สู่แดนธรรม ผมกำลังพิจารณาคำว่า อาการที่น่าเลื่อมใส ผมคิดว่า สำคัญพอสมควร ผมพิจารณาหัวข้ออื่นที่ผ่านมา ก็ดูข้ออื่นๆล้วนแต่เพ่งที่ตน แต่ข้อนี้ไม่ได้อยู่ที่เราคนเดียวมันต้องอยู่ที่คนอื่นด้วย คนอื่นถึงจะเลื่อมใสเรา
เมื่อก่อนพวกเราจะมีคติเชื่อกันว่า อาการที่น่าเลื่อมใสต้องเบาพริ้ว หากไปปักมั่นแบบนั้นไม่น่าจะใช่ เพราะอย่างนั้นมันเป็นสังขตธรรม ยังจะปรุงแต่งได้ตามเหตุการณ์ บางเหตุการณ์ถูก บางเหตุการณ์ไม่ถูก ผมก็คิดว่า พวกเราหลายคน ผ่านข้อเลี้ยงง่ายบำรุงง่ายใจพอ สันโดษ ขัดเกลากิเลสได้แต่ผมว่า ชาวอโศกยังทำข้อที่ 7 นี้ไม่เจริญเท่าไหร่ อาการที่น่าเลื่อมใสบางทีก็บกพร่อง โดยเฉพาะ ผมไปอ่านคำสั้นๆของพ่อท่าน พ่อท่านเขียนไว้แค่สองประโยค คือคำว่า อาริยะเป็นเช่นไร
พ่อท่านก็บอกว่าอาริยะจะมีอารีย์เยอะ มีมิตรดีสหายดี มีน้ำใจมาก แต่ตรงกันข้ามกับอาริยะคือจะมีอริเยอะ พ่อท่านพูดแค่นี้เป็นคำข้าวที่พอเหมาะกับปากเรา ทุกวันนี้ มีคนอยากให้กินได้คำใหญ่ๆอิ่มแล้วก็ยังป้อนอีก
_ด.ญ.แก้วบุญ…หลวงปู่เหาะได้ไหมคะ
พ่อครูว่า…พูดตรงๆหลวงปู่เหาะไม่ได้หรอก เล่านิดนึง สมัยหลวงปู่บำเพ็ญธรรมะ ทำพลังงานจิตให้เยอะมีอยู่ในวาระหนึ่ง หลวงปู่นั่งสมาธิทั้งคืน ตอนเป็นพระบวชแล้วอยู่กับวัดอโศการาม กลางคืนก็นั่งสมาธิ ก็ยังข้องใจว่าน่าจะเหาะได้ เขาก็บอกว่ามันมีอยู่ ผู้ที่ฝึกบางทีนี้เขาก็จะเอาอะไรไปเหน็บข้างฝา เมื่อทำสมาธิแล้วก็จะเหาะไปเอาอันนี้ลงมาได้ เพราะว่าตอนนั้นจะไม่รู้ตัวมันเหาะไปตามจิตที่สั่งไว้ อาตมาก็พยายามทำเหาะ ก็ไม่ได้ไปตั้งไว้ถึงเหาะ แต่ก็ไม่ได้ลืมตา ก็นั่งหลับตา เป็นแต่เพียงสงสัยตัวเองว่าน่าจะเคลื่อนที่ได้ เดิมจำได้ว่าสมาธิตอนเราจะเริ่มนั่ง นั่งอยู่ตรงนี้ แต่พอเราออกจากสมาธิแล้วเราไม่ได้นั่งอยู่ที่เก่า อ้าวไปนั่งอยู่ที่อื่น หันหน้าไปอยู่ที่อื่นไม่ใช่อยู่ตรงที่เริ่มต้นนั่งหลับตา ก่อนจะเข้าสมาธิแล้วนั่งอย่างนี้อยู่อย่างนี้ แต่เมื่อเราลืมตาขึ้นมาเราไปนั่งอยู่ที่อื่น อยู่คนละมุมเลย ก็ไม่สงสัยหรอก เหาะได้หรือไม่ได้ ช่างมันเถอะ ท่านพุทธทาสก็ว่า เหาะได้จะไปเก่งอะไรแค่หมาเลียตูดไม่ถึง อาตมาก็ไม่มีปัญหาจะเหาะได้หรือเหาะไม่ได้
อย่างฤาษีลิงดำเหาะด้วยนะ ทั้งธรรมาสน์เลย ลอยในห้องนี้ ใครเคยได้ยินอย่างนี้บ้าง
อาตมาตั้งแต่สมัยอยู่กับสำนักค้นคว้าทางจิตเป็นวิทยาศาสตร์ มันก็ไม่ได้อะไรมากมาย บางทีอาจารย์คนนั้นก็โยนสร้อยเงินทองมาให้เลย แต่ทำไมห้องมืดนะ มันไม่ชัดเจน น้ำเงินอย่างนี้อ่านบอกภาษาแล้วเอาไปประพฤติได้ทางกายวาจาใจพ้นทุกข์พ้นความดีความชั่วนะเอาแค่นี้
_หลวงปู่มีไม้เท้ากายสิทธิ์ไหมคะ
พ่อครูว่า…หลวงปู่ยังไม่มีไม้เท้าหรอก ยังไม่อ่อนแอ 1.ไม้เท้าใช้กับคนอ่อนแอ 2.ใช้กับคนตาบอดหลวงปู่ยังไม่ตาบอดยังไม่อ่อนแอ่ไม่ใช้ไม้เท้า มีคนเอามาให้ ตอนที่ไปทะเลตอนนั้นชุดขาวไปน้ำท่วม คนก็เอาไม้มาให้ ไม่ใช่ไม่เท้าหรอก เป็นไม้แข็งแรงดีเดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่เลยหลายสิบปีแล้ว
_ผู้ที่มาช่วยร้านจิตอาสา(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
_เกร็ดดิน..พ่อท่านช่วยพิจารณาว่า สิ่งแรกที่คนควรจะรู้คือรู้จักทุกข์ หากเราไม่รู้จักทุกข์เป็นอันแรกคงไม่ได้เข้ากระแส หากเรารู้สึกว่าเรารู้จักทุกข์ก็เท่ากับรู้อาริยสัจใช่ไหมคะ คนทุกคนมีพลังชีวิต มันโดนกิเลสหุ้มห่อเอาไว้ เราต้องล้างทุกข์อาริยสัจก่อน เอาที่มันห่อหุ้มพลังชีวิตเราออก แล้วเราก็จะต้องอยู่กับทุกข์อีก 6 อย่างที่เราสามารถอยู่กับมันได้มันเลี่ยงไม่ได้
การที่คนสนใจรักษาสุขภาพเพราะเขาหาวิธีบำบัด แต่ถ้าเราพ้นทุกข์อาริยสัจ เราจะอยู่กับทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ได้ดีขึ้น สบายขึ้นเบาขึ้น ชีวิตเราเอามาล้างกิเลสออกไปได้ก็สว่างขึ้น อรหันต์ล้างกิเลสหมด เรารู้พลังชีวิตเราแล้ว แล้วต่อจากน้ัน เราก็สามารถเพิ่ม พลังชีวิต Coefficient
พ่อครูว่า..ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ มี 6 ข้อ ทุกข์ที่เลี่ยงได้ ทุกข์อาริยสัจ มี 4 ข้อ
ก. ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ (ทุกข์อันเกิดจากกาย) .
-
สภาวทุกข์ ทุกข์ประจำสังขาร เกิด แก่ เจ็บ ตาย
-
นิพัทธทุกข์ ทุกข์อยู่เนืองนิตย์ คือ หนาว ร้อน หิว กระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ
-
อาหารปริเยฏฐิทุกข์ ทุกข์ในการหากิน-การทำงาน .
-
พยาธิทุกข์ อวัยวะเจ้าการทำหน้าที่ไม่เป็นปกติ
-
วิปากทุกข์ ทุกข์เพราะผลกรรม เลี่ยงวิบากเก่าไม่ได้
-
ทุกขขันธ์ ทุกข์รวบยอดเพราะการประชุมแห่งขันธ์ 5 อันยังอาศัยมีชีวิตอยู่
ข. ทุกข์ที่เลี่ยงได้ (เจตสิกทุกข์ อันสามารถดับเหตุได้แท้)
-
ปกิณกทุกข์ (ทุกข์จรแห่งกิเลส คือ โศก ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ เมื่อพรากจากคนที่รัก หรือพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก เป็นต้น)
-
สันตาปทุกข์ (ทุกข์ คือ ความร้อนเผาใจ อันนื่องมาจากกิเลสไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ แผดเผา)
-
สหคตทุกข์ (ทุกข์ไปด้วยกันกับโลก เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข)