วิถีบวร 1 ใน 1000 ตอน…ชีวิตนี้จะเอาอะไรอีกน๊อ..
วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
เช้านี้ฟ้าสีแปลกแบ่งเป็นสายบน สายล่างมีก้อนเมฆแบ่งชั้นเป็นเลเยอร์ให้ สายบนกระจายมีเมฆมาก ฟุ้งกระจาย สายล่างนิ่งเรียบ ดูสงบ เหมือนที่พ่อครูสอนเมื่อวานนี้ว่าแกนของมนุษย์มี 2 แกน ศรัทธานุสารี(ไม่มีเมฆ)สายธัมมานุสารี(มีเมฆมากเป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่น ทั้ง 2 สายเป็นคู่ 2 เป็นผู้ช่วยงาน 2 ด้าน ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้นต้องมี 2 ท้องฟ้ายามนี้เห็นเป็นสิ่งที่พ่อครูได้สอนไว้ถึงแกนของความมนุษย์ที่มีความแตกต่างแต่สามัคคีได้
ปู่เถา แก่งธรรม สยะรักษ์ ปราชญ์หัวใจกสิกรอินทรีย์ริมมูน ปู่เถาเริ่มไถ ถางป่าไมยราพยักษ์ออกแล้วค่ะ อีกไม่กี่วันก็จะได้เห็นที่โล่ง สำหรับเตรียมปลูกพืชผักริมแม่น้ำมูนกันแล้วค่ะ ปู่เถาเอง 70 กว่าปีแล้วก็ยังแข็งแรง ดูแลตัวเองเพื่อปลูกผักเพื่อ”ให้”อย่างเดียวเลยค่ะ อนุโมทนาสาธุค่ะ
ที่บ้านราชเป็นเขตอภัยทาน เราเป็นหมู่บ้านศีล 5 (เป็นอย่างต่ำ) มีศีล 8 ศีล 10 และจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ซึ่งเป็นศีลของนักบวช ตามลำดับ พวกเราไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์ ทั้งน้อยใหญ่ อย่างเช่นนกพิราบ ที่เป็นปัญหาของชาวกสิกรอินทรีย์ วิถีพุทธอย่างเรา จะเห็นนกพิราบวนไปกินเมล็ดพันธุ์ที่เพิ่งหว่านบ้าง วนไปกินรวงข้าวบ้าง ถ้าเป็นนาชาวบ้านก็จะมีการเคาะกระป๋อง เขย่าสังกะสีให้เสียงดัง ไล่นกไป แต่สุดท้ายนกก็วนกลับมาอีก พวกเราก็ไม่รู้จะไล่ยังไงกันแล้ว ก็มีแต่ไล่เป็นพิธี สุดท้าย ทั้งคนทั้งนกก็แบ่งกันกิน มองเห็นถึง นกที่เสพการกิน ไล่เท่าไหร่ก็วนกลับมาที่เดิมอีก เมากับการกิน นึกถึงตัวเองถ้าไม่พบพ่อครู ก็เหมือนนกพิราบ ที่วนเสพอยู่กับกาม(รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส)กับทุกสรรพสิ่ง ที่อยู่รอบตัว ใครห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟังเพราะฉันเป็นฉันเอง ไม่เดือดร้อนใคร ไม่รู้ว่ากำลังเสพกามเหล่านั้นอยู่ทั้ง ความหอม ความหวาน ความอร่อย ความสวย ล้วนเป็นเรื่อง”ซวย”อย่างที่พ่อครูบอกไว้ ต้องกราบขอบพระคุณพ่อครูที่สอนธรรมะโลกุตระ จนพ้นโลกกาม พิจารณาอ่านอารมณ์กาม เห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ตามลำดับ แต่ก็ยังพากเพียรต่อ ไม่เป็นนกพิราบวนลงเสพข้าวในนาแล้วเจ้าค่ะ..55..
โฉบมาที่นาข้างๆกัน เป็นนาที่ส.ถักบุญ และทีมงานได้ทดลองทำนาโยน นำข้าวพันธุ์อยุธยามาปลูก เริ่มออกลูก ออกรวงอ่อนๆแล้วค่ะ เห็นดอกข้าว เห็นการเกิดของพีชะ ที่มีแต่ให้ ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ ใครๆก็ต้องกินข้าว ข้าวจึงเป็นพืชที่มีแต่”ให้”จนมีการยกย่องว่าข้าวคือ”แม่โพสพ”ให้กำเนิดชีวิตหลายชีวิต จากเมล็ดข้าวเล็กๆนี้ได้ นาแปลงนี้มี จิตอาสามาช่วยค่ะ ชื่อ อาบุญลาภ เป็นญาติธรรมใหม่ที่เพิ่งมาเป็น 1 ใน 1000 ช่วยมาเปิดน้ำลงนาทุกเช้า อาบุญลาภบอกว่า ข้าวช่วงนี้เขาจะต้องการน้ำมาก วันก่อนก็เห็นอานำจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงมาใส่ในนา ขออนุโมทนาสาธุค่ะ
พาแวะเยี่ยมชมอีกสถานที่หนึ่งค่ะ ที่เป็นเป้าหมายสุดท้ายของชาวอโศก คือเฮือนสุดชีวิต หรือเมรุเผาศพ ดีๆนี่เองค่ะ แต่ดิฉันจะประทับใจทุกครั้งที่มีโอกาศมาเงียบๆคนเดียว ได้พิจารณา ทบทวนตนเอง ว่าเกิดมาจะเอาอะไร บ้านช่องเรือนชาน หน้าที่การงาน สิ่งที่เคยเสพอย่างอร่อย เพื่อนฝูงก็สละมาหมดแล้ว ปัญหากับตัวเองก็เจ้าอัตตา หละค่ะยังวนอยู่..55.. แต่พอมานั่งที่เฮือนสุดชีวิต เห็นงานศิลปะที่ผสมผสานกัน เกิดจากศิลปินชาวอโศก ทั้งอาไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก อาแสงศิลป์ เดือนหงาย อาเปีย พลังจิต อาหม่อง พลังกาย ช่างคณิต โต้ง ป้าดาวนาทีมหรรษา ศิลปินช่างไม้ของเราอีกหลายคน มารวมพลังสร้างงานศิลปะชิ้นเอกของชาวอโศกชื่อ”เฮือนสุดชีวิต” ที่สุด ของชีวิตทุกคนต้องมานอนพนมมือบนเชิงตะกอนนี้ ชาวอโศกไม่กลัวผี เพราะผีแลบลิ้น ปลิ้นตา ไม่มีจริง มีจริงคือผีในตัวเอง ผีกาม ผีอัตตา ที่ตามมาหลอกหลอนได้ตลอดเวลาที่เราไม่ระลึกถึงธรรมะ บริเวณโดยรอบเฮือนสุดชีวิต จะเป็นป่าอนุรักษ์ของชาวบ้านราชด้วยค่ะ ที่เราอนุรักษ์ป่ายาง ป่าสมุนไพร ไว้เพื่อเป็นปอด เป็นออกซิเจนให้กับโลก มีรูปปั้นฤาษีไว้เตือนตนด้วยค่ะว่าถ้าไม่ออกจากภพ มาเจอผัสสะจากทวารทั้ง 5 แล้วนำมาพิจารณาทำใจในใจจนกิเลสลด ลดกิเลสได้เป็นสมาธิพุทธแท้ ต่างจากฤาษี นั่งหลับตาอยู่ในป่า ในถ้ำ ไม่เจออะไรเลยแล้วจะพิจารณาทำใจอย่างไรถ้าไม่มีผัสสะมากระทบ จะลดกิเลส บรรลุธรรมได้อย่างไร
ดิฉันสัมผัสได้ถึงพลังแห่งจิตวิญญานของชาวอโศก ที่เป็นเพื่อพึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้ เพราะสัมผัสสิ่งเหล่านี้มาด้วยตนเอง ธรรมะของพ่อครูสอนให้พวกเราไม่เห็นแก่ตัว เอากิเลสออก ลดกิเลสได้มากเท่าไหร่ก็ช่วยหมู่มิตรดี สหายดีมาก ช่วยสังคมได้ตามลำดับตามฐานะที่เราทำได้ พ่อครูมีโศลกธรรม ที่ศิลปินอาเปีย อาหม่องปั้นเป็นเสมาตั้งไว้ที่หน้าเฮือนสุดชีวิตไว้ว่า
ไม่กังวล กับ ความร่ำรวย
ไม่หิวโหยความบันเทิง
ไม่ปรารถนา ความเป็นใหญ่
ไม่มีปัญหากับความเครียด
ชีวิตจึงไม่ขาดคลน “ความเบิกบาน”…..พ่อครูสมณะโพธรักษ์ ผู้มีความผ่องใส เบิกบานทุกวินาที