611209_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ สิ้นยุคประชาธิปไตย-เผด็จการ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1LU2EymqsPs3JTImlUbCvn6N7c9BAGCHRa3s5HYjYecc/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1Wxn5_ywdDL7H85ZzDavMwxCjQFl7HplZ
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้จัดรายการที่ห้องส่งชั้น 3 เฮือนศูนย์สูญ
ใกล้ปีใหม่จะมีงานเพื่อฟ้าดิน มีการบำเพ็ญคุณบำเพ็ญธรรม สอบ ว.บบบ. มีการสอบตามหนังสือคนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เป็นหนังสือที่มีสารบัญละเอียดที่สุดในโลกแปลกที่สุดในโลก ใครอ่านหนังสือจบแล้วลดละกิเลสได้แม้จะสอบตกก็ถือว่าคุ้มค่าอย่างที่สุด
พ่อครูว่า…ก่อนอื่นก็ขออ่านบทความของคุณเปลว สีเงิน
สิ้นยุค “ประชาธิปไตย-เผด็จการ” 07 ธันวาคม พ.ศ. 2561 เวลา 00:01 น.
ดูการเมือง “เรื่องเลือกตั้ง” แต่ละวันแล้ว “คลื่นไส้” เหมือนย่ำส้วมที่ไม่ได้ราดน้ำ
คนไม่เปลี่ยน
ทัศนคติ-ความคิดไม่เปลี่ยน
นิสัย-สันดานไม่เปลี่ยน
พฤติกรรม-การกระทำไม่เปลี่ยน
ในขณะที่ “โลกทั้งใบ” กำลังเปลี่ยน
แล้วการเลือกตั้งจะเปลี่ยนมิติสังคมประเทศได้อย่างไร?”
ในเมื่อพรรคและคนที่เสนอตัวให้เลือกที่เห็นหน้า ล้วนแต่เป็นคนที่เห็นแล้ว “อ้วกแตก” แทบทั้งนั้น!
ความจริง…..
“คนหน้าใหม่” ที่หมุนเข้าระบบเลือกตั้งเที่ยวนี้ ดูแล้วมีมากกว่าทุกครั้ง
แต่ด้วยเป็น “พระบวชใหม่” เจ้าสังกัดยังไม่ปล่อยขึ้นเวที ชาวบ้านซึ่งเป็น “ผู้เลือก” จึงไม่รู้-ไม่เห็น ว่ามีใครต่อใครบ้าง?
เห็นแต่ประเภท “หนังหนา-พรรษาแก่”
เคยวาดลวดลายในรัฐสภาและบริหารกิจการประเทศกันมาแล้ว
เป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่ ๒ ประเภท
ไม่เก่งพูด ก็เก่งโกง!
คสช.เข้ามาคั่นกลาง “ประชาธิปไตยกินเมือง” เกือบ ๕ ปี เมื่อเปิดเวทีให้มีเลือกตั้ง
ผู้คนหวังกันมาก เลือกตั้งรอบนี้ บ้านเมืองขึ้นจากหล่มที่จมปลักมานานซะที
ด้วยหวังว่าจะมีนักการเมืองหน้าใหม่ๆ ที่มี “วงความคิด” กว้างกว่า “วงเขาควาย” เป็นตัวให้เลือก
เอาเข้าจริง…..
“ฝูงเดิม-ตัวเดิม” เกือบทั้งนั้น!
เข้าสู่เทศกาลเลือกตั้งปั๊บ แก๊งจ้องแยกบ้าน-แยกเมืองประกาศ “แยกสังคมประเทศ” ปุ๊บ
ใครนิยม “ฝ่ายประชาธิปไตย” โกงแบ่งกันเป็นงานประจำ เผาบ้าน-เผาเมืองเป็นงานอดิเรก
“มาทางนี้”
ใครไม่นิยมการโกงและการเผา มุ่งแต่สร้างบ้าน-สร้างเมือง เป็น “ฝ่ายเผด็จการ”
“ไปทางโน้น”!
แบ่งประเทศด้วยตรรกะควายขนาดนี้แล้ว ก็ยังมีควายเหนือควาย ยืนโชว์เขากลางแดดโดดเด่น ซ้ายไม่อือ ขวาไม่อือ
ถามว่า ยืนเบิ่งหาอะไร?
หา “หลัก (การ)!
อยู่การเมืองมาจนเป็นสถาบัน ถูกไล่ตี-ไล่กระทืบปางตาย แต่ยังหาหลักผูกเชือกเล็มฟางไม่เจอ
ขาประจำบอก ขอ “หาวเรอ” แป๊บนึง
ถ้าคิดว่าเป็น “ควายโพธิสัตว์” ก็อนุโมทนา หลีกทางให้คนอื่นนำฝูง อย่างนั้นจะเป็นการเสริมบารมีตัวเองมากกว่า
แต่เมื่อพอใจจะเป็น “ควายชน” ในสนาม
แนวทางปัจจุบัน ควรใช้อดีตเป็นบทเรียนและฐานคิดเชิงแก้ เพื่ออนาคต “ไม่ซ้ำรอยเดิม”
แต่นี่ เหมือนควายซาดิสต์ เสพติดความรุนแรงที่เคยโดน ใช้ปัญญารั้น ไปกระสันกับฝ่ายเคยไล่กระทืบ!
“ฝรั่งเศส” ตอนนี้ กำลังถูก “ประชาธิปไตย” เผาประเทศ จากระดับ “รากหญ้า” คนเดียวแท้ๆ
สู่คนชั้นกลางและล่างหลายหมื่น ตอนนี้ ลามถึงระดับนักเรียนมัธยมและนักศึกษามหาวิทยาลัย
ออกมาระบายความไม่พอใจประธานาธิบดีมาครงทั่วบ้าน-ทั่วเมือง
“ฝรั่งเศส” คุยเป็นประเทศ “ต้นแบบ” ประชาธิปไตยต่อไปอีกไม่ได้แล้ว
เพราะประชาธิปไตยเผาบ้าน-เผาเมืองที่เบ่งบานกลางชองเอลิเซขณะนี้
เลียนแบบ “ประชาธิปไตย” จากไทยชัดๆ!
ยิ่งข้อเสนอ “เสื้อกั๊กเหลือง” ให้มาครงลาออก แล้วให้อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดขึ้นแทน
โอ…จอร์จ เอานักการเมืองเลือกตั้งลง เอานักการทหารขึ้น มันก๊อบปี้ไทยทั้งดุ้น
นี่คือตัวอย่าง “ข้อคิด-มุมมอง” บนทิศทางและรูปแบบ สู่การโลกเปลี่ยน-สังคมเปลี่ยน ช่วงหัวเลี้ยว-หัวต่อ
“ศตวรรษที่ ๒๑” สู่ “ศตวรรษที่ ๒๑”!
จากเสรีประชาธิปไตย “ไร้พรมแดน” คนฝรั่งเศสและหลายประเทศในยุโรปตอนนี้
กำลังส่งสัญญาณ จากเสรีสุดขั้ว กลับไปเป็น “อนุรักษนิยม” สุดขั้ว!
เสรีสุดขั้ว ทำให้มนุษย์เป็น “สัตว์วัตถุ” ทำอะไร-แบบไหนได้ทั้งนั้น เพื่อสนองตัณหาอยาก
ปรากฏว่า เสรีประชาธิปไตย สุดติ่งกระดิ่งแมวขนาดไหน สัตว์วัตถุไม่เคยพอ ไม่เคยหายอยาก
ไปจนสุดหล้า ก็ค้นหาสิ่งที่บอก “ประชาธิปไตยให้ได้” ไม่เจอ
จึงต้องการกลับไปแนว “อนุรักษนิยม” เดิม
กลับไปเป็นมนุษย์ คือ “สัตว์ฝึกแล้วมีใจประเสริฐ”
ยึดศีล-ยึดธรรม “ยึดพอ-ยึดสุข” ทางด้านจิตใจ ในวิถีชีวิตและสังคม
มนุษย์เป็นนายเวลา…..
เป็นนายสถานีใจบนการเปลี่ยนแปลง ให้ทุกอย่าง “ค่อยเป็น-ค่อยไป”
ไม่ใช่เป็น “ทาสเวลา” ในร่างไอที แล้วให้เวลานั้น เฆี่ยนโบยให้สัตว์วัตถุ หื่นกระหาย ไล่-ล่า-ฆ่า-แย่ง กัน
ซึ่งไม่มีใครไปถึงจุดสุดจินตนาการ ล้วนเป็น “หนูถีบจักร” หยุดไม่ได้ ไปไม่ถึง
หยุด หมายถึง ตาย…หงายท้องแหงแก๋!
การแสวงหาผู้นำของแต่ละสังคมประเทศในโลกตอนนี้
“เลือกตั้ง” ไม่ใช่วิธีการ “ผูกขาด” วิธีเดียว ที่ประชาชนจะใช้แล้ว
สังคมโลก ไม่มีประชาธิปไตย-เผด็จการ
เพียงนักคิดใน “สังคมปกครอง” กลุ่มหนึ่ง สมมุติขึ้นใช้ปกป้อง “อำนาจกลุ่มตน” ในยุคหนึ่ง-สมัยหนึ่ง เท่านั้น
“เลือกตั้ง-แต่งตั้ง-ลากตั้ง” หรือจะแบบไหนก็แล้วแต่
มันไม่ใช่คำตอบบนความเป็น “ประชาธิปไตย-เผด็จการ” ที่ใครจะเรียกว่าเป็น “สัจจะอำนาจ” ได้เลย
โลก มีมากกว่าหนึ่งทาง ที่จะไปถึง……
“อำนาจนำสังคมประเทศ” ก็เหมือนกัน “ประชาธิปไตย-เผด็จการ” แค่สมมุติเรียก
มันเป็นดังปรัชญาท่าน “เติ้งเสี่ยวผิง”
“แมวสีไหนก็ได้ ขอให้จับหนูได้ เป็นใช้ได้”
หรือตามปรัชญานิพนธ์ท่านเหมาเจ๋อตง “ที่ใดไม้กวาดเข้าไม่ถึง ที่นั้นย่อมสกปรก”
อะไรที่ใช้กวาดขยะ หยากไย่ ทำให้สถานที่นั้นสะอาดได้ ใช้ได้ทั้งนั้น
จะในปราสาทราชวัง หรือจะใต้ถุน ไม่มีการแยกว่า ในปราสาท ต้องไม้กวาดทองคำ ใต้ถุน ใช้ไม้กวาดดอกหญ้า
ขอเป็น “ไม้กวาด” ถือว่าตอบโจทย์!
กับประเทศไทย “บ้านเรา” ชาวโลกทุกวันนี้ ไม่มีใครเขาเพ่งเล็งเรื่องประชาธิปไตย-เผด็จการแล้ว
เขาต่างมองทะลุรูปแบบเข้าเน้นดูเนื้อหาข้างใน ว่า บ้านเมืองสงบเรียบร้อยมั้ย?
ในทางปฏิบัติ บริหาร-ปกครองเป็นธรรม เป็นที่พอใจประชาชนมั้ย?
มีการพัฒนาเศรษฐกิจ-สังคมประเทศหรือไม่ ทุจริต คอร์รัปชันกันอยู่หรือไม่?
และการคบค้าสมาคมในสังคมโลก ผลประโยชน์ต่างตอบแทนทางการค้า-การลงทุน เป็นธรรมต่อกันหรือไม่?
ก็มีแต่นักเลือกตั้งเก่าๆ คิดเก่าๆ ทำเก่าๆ เรานี่แหละ สังคมโลกสู่ศตวรรษใหม่ “เปิดประตูคอก” ให้ต่างออกไปแสวงหาหญ้าใหม่กันแล้ว
แต่กลับไม่ยอมไป…..
คิดอยู่แต่ในวงรอบเขาโง้งตัวเองแค่ “ประชาธิปไตย-เผด็จการ” สาดใส่กันเพื่อหวังผลทางพิธีกรรมเลือกตั้ง
เห็นแล้วสงสาร
ไม่ได้สงสารสัตว์การเมือง แต่สงสารประเทศ ที่ถูกสัตว์การเมืองพวกนี้ขยี้ขยำมาร่วม ๒๐ ปีแล้ว
คิดทำ-คิดสร้าง คิดถากถางทางเพื่อคนข้างหน้า ที่เรียก “พี่น้องประชาชน” กันเถอะ
เลิกบ้ากันได้แล้ว “ประชาธิปไตย-เผด็จการ”
ประชาชน “ชาวบ้าน” ครับ……..
เลือกตั้งคราวนี้ ต้องให้บทเรียนเจ็บๆ กับพวกสัตว์การเมืองจริงๆ ซักที.
พ่อครูว่า…คุณเปลวกำลังอธิบายพยัญชนะกับสภาวะ ยึดอันใดอันหนึ่งไม่ได้ เขาฉลาดนะเปลวนี่ พูดกลางๆไว้อย่างนั้น แล้วตัวเองจะเอาข้างไหนบอกหน่อยสิคุณเปลว พูดทิ้งไว้กลางๆอย่างนั้น
อาตมาเองขอยืนยันว่า อาตมาเป็นคนยุคมาตั้งไม่รู้กี่กัปป์กี่กัลป์ ผ่านเรื่องการเมืองสังคมพวกนี้มาเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ดูแล้วก็ ตอนนี้เกาหลีก็หนังเอามาใช้ทำแบบนี้ขึ้น แต่ก่อนของจีนตอนนี้เกาหลีแล้ว ต่อไปจะเป็นของเขมรหรือเปล่าไม่รู้ ฮิตในตลาดโลก หรือว่าไทยจะตีตลาดโลกเขา เอาเถอะไม่ต้องเก่งอย่างนั้นก็ได้
มาทวนกันอีกที ระบอบทักษิณกับคสช. ลองเปรียบเทียบกันดูสัก 10 ข้อเพิ่มเติมจากคราวที่แล้ว
เผด็จการหรือประชาธิปไตยดูกันที่ไหน
ระบอบทักษิณ |
คสช. |
||
1 |
ประชาธิปไตยคือเลือกตั้ง แต่เบื้องหลังทุกอย่างได้มาด้วยการทุ่มซื้อ ๆ นักการเมือง ซื้อพรรคการเมือง ซื้อหัวคะแนน สุดท้ายแม้ประชาชนจะเลือกกันจนตาย ใครจะเป็นรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีก็อยู่ที่ ทักษิณสั่งการคนเดียว ไม่ว่าสมัครสมชายยิ่งลักษณ์ก็อยู่ที่ทักษิณสั่งเพื่อไทยทำตามเท่านั้นเอง |
1 |
ประชาธิปไตยแบบเชิญตั้ง ซึ่งเกิดจากประชาชนส่วนใหญ่ยินยอมพร้อมใจให้เข้ามาบริหารประเทศ (หลังจากที่ประชาชนได้ขับไล่รัฐบาลทรราชออกไป จนบริหารประเทศต่อไปไม่ได้) จะทำโพลกี่ครั้ง ๆ ประชาชนก็ให้การสนับสนุนมาตลอด จนครบ 4 ปี กว่าแล้ว และประชาชนกำลังจะเชิญตั้งในสมัยที่ 2 ต่อไปอีก ซึ่งมีคะแนนนิยมจากผลโพลสูงกว่า รัฐบาลทักษิณและนอมินีมาตลอด |
2 |
มุ่งประโยชน์เพื่อตัวเองและพรรคพวกของตัวเองเป็นหลัก จังหวัดไหนเลือกไทยรักไทยก็จะให้ความดูแลก่อน เคยกำหนดให้วันที่ 31 ธันวาคมเป็นวันราชการ เพื่อเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจให้กับครอบครัวของตน จนได้รับนานาสารพัดฉายา เช่นโคตรโกง และโกงทั้งโคตร (แถมยังสืบทอดการโคตรโกงอย่างยั่งยืน แม้จะมีการปราบปรามอย่างขุดรากถอนโคนได้มากแล้ว แต่ก็ยังเหลือผีตายซากทั้งร้องทั้งดิ้นให้เห็น ๆ กันอยู่) |
2 |
มุ่งทำประโยชน์เพื่อประชาชนในทุกๆด้าน เช่น ยึดที่ดินจากผู้มีอิทธิพล คืนมาได้กว่า 300,000 ไร่ ปลดทุกข์ให้กับประชาชนทั่วประเทศที่เป็นหนี้สิน นายทุน หน้าเลือด จับ นักการเมือง ข้าราชการระดับสูง นายพลนายพัน นักธุรกิจ นายธนาคาร นักวิชาการที่ละเมิดกฎหมายติดคุกไปแล้วหลายราย จนพูดได้ว่าคุกไม่ได้มีไว้ขังคนจนเท่านั้น |
3 |
สร้างความเสียหายให้กับชาติบ้านเมือง จนยากที่จะประเมินมูลค่าได้ เฉพาะคดีของยิ่งลักษณ์คดีเดียว เรื่องทุจริตจำนำข้าวก็ปาเข้าไป 2.8 แสนล้านแล้ว แต่ ของทักษิณ มีอีกเป็น สิบ ๆคดี บางคดีศาลสั่งให้ยึดทรัพย์ไปแล้วหลายหมื่นล้าน สุดท้ายก็ต้องพากันหลบหนีออกไปต่างประเทศอย่างสุขสำราญ ทั้งน้องทั้งพี่ ปล่อยให้ลูกน้องที่ร่วมกันโกงพากันเข้าคุกอย่างทุกข์ทรมาน |
3 |
ภาพรวมของประเทศไทยได้เกิดความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาในหลายๆด้าน•เงินสำรองระหว่างประเทศของไทยพุ่งแตะ 1.95 แสนล้านดอลลาร์ สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์• ส่งออกข้าวมากที่สุด อันดับ 1 ของโลก•ยอดนักท่องเที่ยวปี2017ทะลุ35ล้านคน• ทำรายได้จากการท่องเที่ยวมากที่สุด อันดับ 3 ของโลก ประจำปี 2017• กรุงเทพมหานคร คือ เมืองที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก ประจำปี 2017• สำนักข่าว Bloomberg จัดอันดับให้ไทยเป็นประเทศที่มีความทุกข์น้อยที่สุดในโลก 4 ปีซ้อน |
4 |
การสร้างความรุนแรงที่กระทำต่อประชาชน ด้วยนโยบายกำปั้นเหล็กที่ใช้ปราบปรามผู้ค้ายาเสพติด ทำให้มีประชาชนถูกวิสามัญฆาตกรรมกว่า 2800 ศพ ซึ่งมีเบาะแสน่าเชื่อว่าจะมีผู้บริสุทธิ์ถูกฆ่าตัดตอนไม่ต่ำกว่า 2000 ศพ และมีประชาชนพากันบาดเจ็บล้มตายไม่ต่ำกว่าพันคน ที่ออกมาชุมนุมประท้วงกันอย่างสงบ ไม่มีอาวุธ แต่ถูกฝ่ายของทักษิณ เอาระเบิดและอาวุธปืนร้ายแรง มาใช้ เข่นฆ่าทำลายทำร้ายประชาชนที่มาชุมนุมกันอย่างสงบ |
4 |
แม้จะมีม. 44 ให้ใช้อำนาจได้อย่างเต็มที่ แต่คสช. ก็ไม่เคยเอาอำนาจเด็ดขาดนั้นมาใช้เข่นฆ่าประชาชนให้ตายแม้แต่คนเดียว แต่กลับเอามาใช้ประโยชน์ในทางสร้างสรรค์จรรโลงสังคม เพื่อแก้ปัญหาที่สะสมหมักหมมมาอย่างยาวนานชั่วนาตาปีที่รัฐบาลเลือกตั้งยุคใหน ๆ ก็แก้ไม่ได้ |
5 |
สร้างความแตกแยกให้กับคนในชาติ จนคนเหนือคนใต้ไม่กล้าไปมาหาสู่กัน เกิดความแตกแยกในที่ทำงาน และลุกลามบานปลายไปถึงครอบครัว แม้แต่นอนในมุ้งเดียวกันก็เลือกสีคนละข้าง |
5 |
ทำให้ทหารแตงโม ตำรวจมะเขือเทศหมดไป คนไทยหันมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการเทิดทูนสถาบันชาติ-ศาสนา -พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ชัดไปทั่วโลก ในงานพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 และการช่วยเหลือเด็ก ๆ ทีมหมูป่า Academy 13 ชีวิต ออกจากถ้ำหลวง |
6 |
ทำลายระบอบประชาธิปไตยฯ, ละเมิดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ 2540 หัวใจของระบอบประชาธิปไตยฯ คือการตรวจสอบ ถ่วงดุล เป็นระบบที่มีเหตุมีผล สังคมเปิดกว้าง ไม่ปิดกั้น ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิและเสรีภาพ เพราะประชาธิปไตยเชื่อว่า สังคมเปิดที่ไม่มีการปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร และมีกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลที่ดี จะเป็นเครื่องกำกับการใช้อำนาจของผู้ปกครอง แต่ระบอบทักษิณได้ทำลายกลไกทั้งหมด มุ่งมั่นทำเพื่อผลประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง อย่างเห็นแก่ตัว ขัดกับหลักประชาธิปไตยที่ต้องทำเพื่อประชาชน โดยไม่เห็นแก่ตัวทำลายและครอบงำกลไกการตรวจสอบถ่วงดุล — คือ ส.ส. (ใช้กุศโลบายยุบรวมพรรค) ส.ว. (ซื้อ, แทรกแซง) และองค์กรอิสระ (ซื้อ, แทรกแซง และเข้ากำกับตั้งแต่ขั้นสรรหาและขั้นเลือกในวุฒิสภา |
6 |
แม้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่มีหัวใจของนักประชาธิปไตยแม้พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นนายกฯที่มาจากรัฐประหาร มีอำนาจสั่งการด้วยม.44 แต่ว่า กลับยอมให้คนวิจารณ์คสช.หรือตัวพล.อ.ประยุทธ์ได้ โดยไม่ได้เอาคืน หรืออาฆาตพยาบาท อาจแสดงอารมณ์ฉุนเฉียว แต่ว่า ก็กล้าขอโทษในสิ่งที่ผิด ซึ่ง ระบอบทักษิณไม่มีคำว่าขอโทษ ไ่ม่มีคำว่ายอมรับผิด มีแต่ความอาฆาตพยาบาท และเอาคืน ล้างแค้น หนีความจริงตลอดเวลามุ่งมั่นทำเพื่อประชาชนโดยไม่มีผลประโยชน์ส่วนตน คือหัวใจประชาธิปไตยคือทำเพื่อประชาชนโดยไม่เห็นแก่ตัว |
7 |
ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์มีพฤติกรรมจาบจ้วง ใช้วาจาไม่เหมาะสม ละเมิดพระราชอำนาจ ซ้ำซ้อน หลายเรื่องเมื่อทักษิณมีปัญหาทางการเมือง สื่อมวลชนและประชาชนได้เรียกร้องให้ทักษิณลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทักษิณกลับกระทำการมิบังควรอย่างยิ่งอีกครา ด้วยการพูดผ่านสื่อมวลชนว่า“ถ้าพระเจ้าอยู่หัวกระซิบรับสั่งกับผมคำเดียว ทักษิณออกเถอะ รับรองกราบพระบาทออกแน่นอน”ยามทักษิณเพลี่ยงพล้ำทางการเมือง แทนที่จะยอมรับข้อผิดพลาดของตน ทักษิณกลับประกาศกร้าวว่า มีมือที่มองไม่เห็นและคนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ คอยทำลายรัฐบาลของตน!การจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ของทักษิณ ทั้งลับและเปิดเผยนับตั้งแต่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล “ขบวนการล้มเจ้า” หรือ “ขบวนการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” รวมไปถึง “ขบวนการสาธารณรัฐ” เริ่มขยายเติบโตอย่างรวดเร็ว |
7 |
สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประเด็นสำคัญที่รัฐบาล คสช.ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก“รัฐบาลจึงถือเป็นหน้าที่สำคัญ…ที่จะเชิดชูสถาบันนี้ไว้ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ โดยจะใช้มาตรการทางกฎหมาย มาตรการทางสังคมจิตวิทยา และมาตรการทางระบบสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศในการดำเนินกับผู้คะนองปาก ย่ามใจหรือประสงค์ร้าย มุ่งสั่นคลอนสถาบันหลักของชาติ”คำแถลงนโยบายข้อนี้สอดรับกับสถานการณ์หลังการเข้าควบคุมอำนาจของ คสช. กล่าวคือ มีการเร่งดำเนินคดีและจับกุมคุมขังผู้ต้องหาว่ากระทำการเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 จำนวนมากขึ้น ปัจจุบันมีถึง 16 กรณี (ดูรายงานการปรากฏตัวของคดีหมิ่นประมาทกษัตริย์ หลังรัฐประหาร 2557) ตัวอย่างที่มีชื่อเสียงคือการจับกุม ภรณ์ทิพย์ และ ปติวัฒน์ สองนักกิจกรรม จากการแสดงละครเวทีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อเดือนตุลาคม 2556 |
8 |
อภิมหาฉ้อราษฎร์บังหลวงสมัยก่อน “โคตรโกง” แต่สมัยนี้ “โกงกันทั้งโคตร” หนักไม่หนักคิดดูก็แล้วกันว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ต้องมีพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2546 ทรงแช่งเป็นการโกงแบบใหม่ที่เนียนกว่าเก่า ใช้อำนาจหาผลประโยชน์มิชอบแก่ตนและพวกพ้อง ผ่านนโยบายสาธารณะที่มีวาระซ่อนเร้นทับซ้อนอยู่สร้างมาตรฐานค่าคอมมิชชั่นใหม่ จากเดิม 10 % มาเป็น 30 %โกงกันเป็นขบวนการ – คดีที่ดินรัชดาฯเนื้อที่ประมาณ 33 ไร่ ราคา 772 ล้านบาท รัฐบาลประกาศวันที่ 31 ธ.ค. 2546 ไม่เป็นวันหยุดราชการ เพราะวันที่ 1 ม.ค. 2547 ราคาประเมินที่ดินจะเปลี่ยนไป (คือเปลี่ยนทุก ๆ 4 ปี/ครั้ง) ฉะนั้น 1 ม.ค. 2547 กรมที่ดินเปลี่ยนราคาประเมินเฉพาะตรงนั้นเป็นตารางวาละ 7 หมื่นบาท (ซึ่งตอนนั้นเสียภาษีอยู่ที่ 48,000 บาท) ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณประหยัดค่าธรรมเนียมได้ 5,977,000 บาท
|
8 |
มีการโกงกินกันน้อยมากในรัฐบาล คสช. โดยเฉพาะตัวพล.อ.ประยุทธ์ จะกล่าวหาเรื่องของการโกงกิน ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ไม่มีแม้ข่าวลือเรื่องพล.อ.ประยุทธ์โกงกินนโยบายที่ออกมาก็ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่มีวาระซ่อนเร้น |
9 |
ขายสมบัติของชาติอย่างไร้ศักดิศรีเป็นการขายโดยผ่านนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ยึดสมบัติชาติเป็นสมบัติตัวและพวกพ้อง ผ่านทางการกระจายหุ้นในตลาด และให้ Nominee ทั้งไทยและฝรั่งเข้ามาถือครองดึงต่างชาติเข้ามาร่วมถือครองรัฐวิสาหกิจที่เป็นสมบัติชาติขายสถานีโทรทัศน์ และดาวเทียม ซึ่งมีความละเอียดอ่อนเรื่องความมั่นคง ให้ต่างชาติ |
9 |
ไม่ขายสมบัติชาติ ปกป้องศักดิศรีชาติพยายามปกป้องผลประโยชน์ของคนในชาติ ไม่ยอมให้อเมริกามาครอบงำประเทศไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยกล่าวไว้ว่า “ผมยืนยันว่าในฐานะนายกฯ จะไม่ยอมให้ประเทศใดเข้ามาแทรกแซงบ้านเรา ทุกประเทศมีศักดิ์ศรี ประเทศไทยก็ต้องมีศักดิ์ศรี เราให้เกียรติกับทุกประเทศ ผมไม่เคยไปต่อต้านใคร แต่ผมเสียใจได้ในการแสดงความคิดเห็นบางอย่างที่มันไม่ใช่ ไปฟังข้างนี้แล้วออกมาพูดแบบนี้มันไม่ใช่ ผมไม่ใช่ศัตรูของเขา เมื่อพูดถึงเรื่องประชาธิปไตย เขาก็คิดถึงประชาธิปไตยแบบตะวันตก แต่อย่าลืมว่าคนของเรา วิถีชีวิตของเราหรือผู้นำทางการเมืองของเราในอดีต ไม่เหมือนของเขา สหรัฐต้องฟังบริบทเหล่านี้ด้วย” |
10 |
แบ่งแยกดินแดนกระบวนทัศน์แบบพ่อค้าทำให้ปัญหาภาคใต้ถึงวิกฤต และแบ่งแยกคนในชาติเป็นฝ่ายไทยรักไทย กับฝ่ายไม่ใช่ไทยรักไทย ตอนแรกคิดว่าโจรกระจอก เด็ดแต่ตัวหัว ๆ สัก 200 กว่าคนก็พอประกาศสาเหตุว่าเพราะภาคใต้ไม่ได้รับการพัฒนา จึงทุ่มเงินลงทุน ซึ่งก็คือกระบวนท่าเงินฟาดหัวแบบเดิม ๆ ทำไปโดยขาดความรู้ความเข้าใจ เชื่อขันทีใกล้ชิด รื้อโครงสร้างการจัดการใหม่ จนเหตุเลวร้ายถึงที่สุด |
10 |
รวมแผ่นดินไทยให้เป็นปึกแผ่นคนไทยไปไหนได้ทุกภาค ลดการแบ่งแยกสีเสื้อได้อย่างมาก ได้คืนความสงบไม่มีสงครามกลางเมือง ไปไหน มาไหนไม่ต้องกลัวลูกหลงจากการรวบรวมสถิติด้านต่างๆของศูนย์ปฎิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ เกี่ยวกับปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งจำนวนเหตุรุนแรง คดีความมั่นคง การขยายตัวหรือหดตัวของ “หมู่บ้านพื้นที่สีแดง ก็พบว่ามีจำนวนที่ลดลงสถานการณ์ความรุนแรง ในจังหวัดชายแดนภาคใต้จากสถิติการก่อเหตุในปัจจุบันถือว่าลดลงอย่างมากโดยจากปี2557-2558 ลดลงถึง 60% |
11 |
วงการสงฆ์มีแต่ความแปดเปื้อนโสมมหมักหมมเน่าในมากยิ่งขี้น ทักษิณและครอบครัวรวมทั้งบริวารสนับสนุนวัดพระธรรมกาย ที่ผ่านมาวัดธรรมกายสามารถสร้างเครือข่าย สร้างมวลชน ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น “สาวก” ได้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในสมัยที่ระบอบทักษิณเรืองอำนาจ เป็นลักษณะจัดตั้งแบบลูกโซ่ ซึ่งรวมไปถึงการให้เงินสนับสนุนกับวัดในต่างจังหวัด หรือโรงเรียนทั่วประเทศ ที่มักมีกิจกรรมในเรื่องพระพุทธศาสนาอยู่เสมอตั้งสมเด็จพระสังฆราชซ้อนต่อมายังได้ลงนามเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2547 แต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช มี สมเด็จพระพุฒาจารย์(เกี่ยว อุปเสโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศ เป็นประธาน อ้างว่า สมเด็จพระญาณสังวร สังคปรินายก สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันประชวร มิอาจปฏิบัติพระภารกิจได้กรณีที่เกิดขึ้นได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่า เป็นการละเมิดพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งที่หากพิจารณาตามโบราณราชประเพณีแล้วพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช หรืออย่างน้อยก็ต้องขอพระราชทานกราบทูลเพื่อให้ทรงวินิจฉัยเสียก่อน |
11 |
มีการทำความสะอาดชำระความทุจริตในวงการสงฆ์ครั้งใหญ่ เช่นกรณีปราบปรามวัดพระธรรมกาย การตรวจสอบทุจริตเงินทอนวัด โดยเฉพาะข้าราชการระดับสูงของสำนักงานพระพุทธศาสนา (พศ.) ที่ขอเงินทอนวัดกว่าร้อยละ 80 และมีวัดดังหลายแห่งเกี่ยวข้อง จนสามารถจับกุมพระผู้ใหญ่ระดับกรรมการมส.ได้ลดความขัดแย้ง โดยแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ เรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชและ กรรมการมส.หรือแม้แต่การให้ส่งตัวเณรคำในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาชำระคดีในประเทศไทย |
12 |
เกี่ยวกับการบุกรุกผืนป่านโยบายแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน ทำให้มีการบุกรุกยึดครอบครองที่ดินผืนป่ากันมากมายโดยอ้างนโยบายนี้ |
12 |
การทวงคืนผืนป่าจากนายทุน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเดินหน้าอย่างแข็งขันและถือเป็นผลงานที่ค่อนข้างเด่นชัดของ รัฐบาล และคสช.โดยสามารถทวงคืนผืนป่าได้จำนวนมาก โดยในปี 59 สามารถทวงคืนผืนป่าจากนายทุนได้ 1.4 แสนไร่และในปี 60 ตั้งเป้าทางคืน 1.07 แสนไร่ และในปี 61 ยังคงเดินหน้าต่อ |
13 |
ทักษิณและนอมินี เป็นรัฐบาล พรรคพวกมีแต่รวยๆๆๆขึ้นอย่างผิดหูผิดตาแม้แต่นายขวัญชัย ไพรพนาใส่สร้อยคอเส้นเท่านี้ |
13 |
พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯไม่มีข่าวว่ารวยขึ้นอย่างผิดปกติแต่อย่างใดทั้งที่เป็นยุคการสื่อสารไร้พรหมแดน ต้องถูกตรวจสอบอย่างมากแต่นายกฯประยุทธ์กลับประพฤติตนตามรอยพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 ใช้ชีวิตพอเพียง |
14 |
มีการเพิ่มขึ้นของการละเมิดสิทธิมนุษยชน …เหตุการณ์ และคดีที่มีเงื่อนงำ และเกี่ยวข้องกับคนในรัฐบาล – ชิปปิ้งหมูถูกฆ่าตาย – อุ้มฆ่าทนายสมชาย นีละไพจิต – สั่งฆ่าผู้บริสุทธิ์ที่กรือเซะ, ตากใบ – ฆ่าตัดตอนคดียาเสพติดอัยการสูงสุด “นายพชร ยุติธรรมดำรง” มีคำสั่งให้ถอนฟ้องพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย รัฐบาลทักษิณใช้สถานที่จัดประชุมผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในวัดธรรมกาย มีทั้งสว. และรัฐมนตรีที่เป็นลูกศิษย์ |
14 |
มีการลดลงของการละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่น แก้ปัญหาการค้ามนุษย์ โดยขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวให้ถูกต้องตามกฎหมาย และ การปราบปรามผู้มีอิทธิพล ถือเป็นมาตรการที่ รัฐบาลและ คสช.ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องดำเนินการโดยทหาร ตำรวจและฝ่ายปกครอง โดยกวาดล้างจับกุมอาวุธสงคราม อาวุธปืน กระสุน และวัตถุระเบิดได้จำนวนมาก มีผู้เกี่ยวข้องกว่า 30,000 คน รวมถึงและกำลังจับตาเครือข่ายและผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง |
พ่อครูว่า…นี่ก็พยายามรวบรวมจากที่มีจริงเป็นจริงได้ขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นในเรื่องของการเมืองขณะนี้ อาตมาว่า กำลังเด่นชัดในสิ่งที่กำลังจะบอกความจริงแก่มนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยไม่ว่าจะเป็นคนต่างชาติ ในสื่อสารมวลชนเป็น globalization รู้กันเร็วทั่วกันไปแล้ว ซึ่งอาตมาไม่ได้พูดอย่างมงายไม่ได้พูดอย่างหลงตัวหลงตนอะไรมากมาย อาตมาว่าเมืองไทยเป็นเมืองเล็กก็จริง มีพลเมืองไม่ถึง 100 ล้าน แต่ว่ามีประสิทธิภาพในการสร้างสรรค์ มีประสิทธิภาพในการบริหารมนุษยชาติเอาคุณธรรมเป็นแกนหลัก เพราะเรานับถือศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศาสนาที่เด่นมากในเรื่องนี้ แต่ประชากรโลกเป็นเทวนิยมส่วนใหญ่ ไม่ใช่พุทธที่เป็นอเทวนิยม จะว่ากันจริงๆแล้ว อเทวนิยมนั้นมีไม่กี่ลัทธิไม่กี่ศาสนาในโลก แต่มันไม่ชัด เป็นอเทวนิยมที่ไม่เป็นโลกุตระไม่นับถือพระเจ้าไม่เอาพระเจ้า อย่างเช่นศาสนาเชนของพระศาสดามหาวีระ แต่เขาก็ไม่มีหลักเกณฑ์อะไร เอาแต่หนีปลีกเดี่ยวสุดโต่งไปทางมักน้อยสันโดษ ไม่เอาสังคมไม่เกี่ยวอะไรเลย โต่งไปดิ่วๆ น่านับถือเหมือนกันทำได้ยากแต่มันไม่เป็นประโยชน์ ทำตัวเองสูญเปล่า ตัวเองทิ้งหมด เป็นแต่เพียงว่าไม่ฆ่าตัวตายเท่านั้นปล่อยให้มันหมดอายุขัยไปอย่างนั้น อดทนจริงๆด้วย อย่างนี้เป็นต้น มันก็มีเป็นอเทวนิยม ไม่เอาเทว
อาตมากำลังอธิบายคำว่า เทว เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากเข้าใจได้ยากมีหลายมากมายเหลี่ยมมุม ละเอียดลออ ติดตามให้ดีๆศึกษาให้ดีๆเมืองไทยนี้มีความรู้ความเข้าใจเรื่องนี้ดีจริงๆใช้ได้ และเอาออกมาใช้เป็นของแท้ ไม่ใช่ว่าเข้าใจแต่เอาไปใช้หรือประยุกต์ไม่ได้ แต่ว่าอันนี้จิตวิญญาณได้ผลประโยชน์จริงๆ
จิตวิญญาณที่เป็นแล้วกับจิตวิญญาณที่ยังไม่เป็น เป็นแต่เพียงตรรกะมันคืออะไร
อันนี้ ทีนี้เรื่องของประชาธิปไตยน่าจะพอแล้ว ทีนี้มาเข้าเรื่องธรรมะกันดีกว่า เพราะการเมืองเป็นเรื่องของธรรมะไม่ใช่เป็นเรื่องแบ่งแยกว่าคนที่มีธรรมะแล้วไม่ยุ่งกับการเมือง
มาเข้าสู่เรื่องของธรรมะ Panya Prachachit …ผมไปดูคลิปเต็มมาแล้วนะครับ
อยากจะขอชี้แจงดังนี้
-
ที่ผมบอกว่าท่านสามารถฝืนธรรมชาติได้เลยนับถือ แล้วท่านบอกว่าท่านไม่ได้ฝืน แล้วบอกว่าผมไม่เข้าใจธรรมชาติ
แล้วผมก็ไม่ได้บอกว่าธรรมะคือธรรมชาติด้วย
ท่านลองตรึกตรองดี ๆ จากที่จะอธิบายไปนะครับ ว่าแท้จริงท่านฝืนธรรมชาติได้ในส่วนนี้จริงๆ หรือไม่ และมันเป็นเรื่องที่ไม่ได้ทำได้ง่ายๆ
คุณปัญญา ประชาชิตว่า….ธรรมชาติในความเข้าใจที่ผมเขียนไปคือ ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นมาเผื่อส่งต่อเผ่าพันธุ์หรือสืบพันธุ์เพื่อส่งต่อยีน เพราะยีนเปรียบเสมือนเบ้าหล่อหรือแม่พิมพ์ที่สามารถสร้างชีวิตใหม่ได้ ธรรมชาติออกแบบมาให้สิ่งมีชีวิตต้องเป็นอย่างนั้น (ผ่านกระบวนการ natural selection) แต่นักบวชที่ครองศีล ละในกิเลสและกาม จะไม่ต้องการส่งต่อเผ่าพันธุ์ ข้อนี้เองที่เป็นการชนะ(ฝืน) “ยีนเห็นแต่ตัว” ที่น่านับถือ
พ่อครูว่า…เขาคิดว่าการชนะเท่ากับฝืน แต่อาตมาว่า การชนะนั้นไม่ใช่การฝืน ถ้ายังฝืนอยู่ยังไม่ชนะ เราบอกว่าเราไม่ได้ฝืนเราชนะเขาก็บอกว่าเราฝืน
อันนั้นเป็นสามัญโลกียะ แต่อันนี้มันเกินสามัญ โลกุตระ อันนี้จะคิดเอาไม่ออก เดาไม่ได้ จะต้องมาเป็นของตัวเองแล้วจะรู้ เพราะมันไม่มีทั้งความแย้งและความเถียงทั้งเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย มันไม่มี มันจบในตัวมันเอง ก็คนมันมีสองก็เห็นแย้งกันไปกันมา แต่นี่มันไม่มีสองมันมีแต่ 0 1 มันก็ไม่มีด้วย 1 มันก็เหลือฝั่งใดฝั่งหนึ่งแล้วมันไม่แย้งไม่เถียง แต่นี่แม้แต่ 1 ก็ไม่มี ก็เลยคิดไปเองเป็นศูนย์ไม่มีเลย เป็นภาษาที่ถ้าไม่มีเลยคุณจะต้องปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณก็ยังไม่ตายอาตมาก็ยังไม่ตายเลยเถียงกันอย่างคนไม่ตายมันก็เลยไม่ดี แต่อาตมารู้เลยไปว่าถ้าตายแล้วจะเป็นอย่างนี้ แต่คุณยังไม่รู้หรอก ขออภัยที่พูดแล้วดูเหมือนข่มคุณ ก็เอาไปศึกษาต่อ
-
ถูกหมด ของผมคือ ไม่ใช่เอาเรื่องของธรรมะไปอธิบายเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกได้ บางเหตุการณ์ก็ต้องอธิบายด้วยศาสตร์อื่นๆ ครับ ถ้าท่านบอกว่าท่านเข้าใจธรรมะถูกหมด ผมไม่เถียงครับ เพราะผมก็ไม่ได้ศึกษาจนที่จะสามารถจะไปเถียงท่านได้
พ่อครูว่า…ธรรมะแปลว่าทรงอยู่ทรงไว้ แต่ธรรมะที่ไม่ทรงไว้นี้ อธิบายไม่ได้ มันจะมีภาวะที่พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็น โลกจินตา คือ ความคิดของโลก ความคิดของชาวโลกมันคิดไปเกินกว่าที่จะตามไปรู้ทั้งหมดแน่นอนมันดูทั้งหมดไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นสิ่งอย่างนั้น มันก็เป็นส่วนของแต่ละคนที่เขาคิด มันเป็นจริงมันเป็นได้ของแต่ละคนคิด พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า สัญญายนิจจานิ มันเป็นความจริงของสัญญาแต่ละคน ถ้าเป็นธรรมะมันจะต้องยืนยันว่ามันมี 2 ธรรมะจะต้อง เทวธัมมา ต้องมี 2 คนเป็นอย่างน้อยยืนยันจึงจะถือว่าจริง เป็นสัจธรรมเป็นธรรมะที่เป็นจริงต้องมี คนผู้เป็นพยานหลักฐาน หากคุณคิดอยู่ของคุณคนเดียว สัญญายนิจจานิ คนอื่นไม่รู้ด้วยเลย จะนับถือว่าอันนั้นเป็นธรรมะเป็นสัจจะ มันจะไปถือกันอย่างไร คนอื่นไม่ได้ร่วมตกลงยอมรับด้วยมันไม่มี สิ่งอย่างนี้จะมาเรียกว่าเป็นสัจจะในสังคมมนุษย์ ในโลก มาอยู่ในโลกในตัวคุณคนเดียวเป็นอัตตาตัวคุณคนเดียว มันไม่ใช่ของโลก ของโลกต้องมีภายนอกด้วย อัตตาของคุณก็มีของคุณคนเดียวใครจะไปรู้กับคุณด้วยศีรษะใครศีรษะมัน กะโหลกใครกะโหลกมัน กบาลใครกบาลมัน
-
ผมไม่ได้บอกว่าสังคมอโศกไม่ดี ไม่น่าเอาเป็นตัวอย่าง แต่ท่านบอกประชาธิปไตยที่แท้จริง ให้ไปดูที่อโศก แสดงว่าท่านนิยามสภาวะที่อโศกเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งมันขัดกับคำนิยามที่ประชาชนในประเทศที่หล่อหลอมประชาธิปไตยขึ้นมาเข้าใจ (หมายถึงประเทศที่ประชาธิปไตยเกิดขึ้นเอง แล้วค่อยเรียกสิ่งนั้นว่าประชาธิปไตยภายหลัง) ท่านต้องเรียกสังคมอโศกว่าเป็นการปกครองแบบอื่นไม่ใช่เรียกว่าประชาธิปไตยครับ เพราะสภาวะของประชาธิปไตยที่หล่อหลอมขึ้นมามันคนละสภาวะกับที่อโศก ดังนั้นจึงไม่ควรไปเปลี่ยนสภาวะของประชาธิปไตย แต่ควรใช้คำใหม่นิยามสภาวะของอโศก ถ้าท่านยังไม่รู้ว่าจะนิยามสภาวะการปกครองของสังคมอโศกว่าอย่างไร คนรุ่นหลังก็จะมานิยามให้กับท่านเองครับ
ขอบคุณที่แสดงความเห็นกลับเหมือนกันครับ
พ่อครูว่า…คุณไปจดลิขสิทธิ์ของคุณไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ คุณไปนิยามของคุณตั้งแต่เมื่อไหร่บอกมา อาตมาว่า อาตมาไม่เอาเหมือนคุณหรอกของอาตมาหรือของอโศกไม่เหมือนของคุณหรอก ที่พูดอย่างนี้ก็ชัดเจนว่าของคุณกับของอโศกไม่เหมือนกัน ถ้าเหมือนกันไม่ขัดแย้งกันแล้ว คุณเข้าใจอโศกไม่ได้ แต่อโศกก็เข้าใจคุณไม่ได้ว่าคุณนิยามของคุณไว้เหมือนกัน
ส่วนนิยามของอาตมา อาตมานิยามเองไม่ต้องให้ใครมานิยามให้
อาตมาพยายามอธิบายคำว่าประชาธิปไตยที่เป็นความหมายของพระพุทธเจ้าอย่างไรก็คือคำว่า พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
สภาวะความหมาย 3 อย่างนี้หมายถึงประชาธิปไตยเต็มตัวแล้วโดยที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ใช้คำว่าประชาธิปไตย แต่เป็นการรับใช้ประชาชน พหุชนคือมวลประชาชน ทำประโยชน์ให้แก่มวลประชาชน ทำให้มวลประชาชนมีสุข
โลกานุกัมปายะ ช่วยเหลือรับใช้โลก อย่าว่าแต่ประชาชนเลย แต่รวมทั้งวัตถุและมนุษย์รวมทั้งหมดเรียกว่าโลก หากเอาพหุชนะคือเอาที่ประชาชน โลกานุกัมปายะ เอาทั้งประชาชน ส้มโอ มะละกอ กล้วย รวมทั้งดินน้ำลมไฟหมดพระพุทธเจ้าเข้าใจหมดทั้ง
อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม โดยจัดการกรรม ให้เป็นธรรมะ
ธรรมนิยามนี้รวมไว้หมดแล้วทั้งมหาเอกภพ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยามธรรมนิยาม
อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เข้าใจได้ขนาดนี้ เป็นโพธิสัตว์ระดับ 8 ระดับ 9 จะต้องยิ่งละเอียดกว่านี้อีก แต่ไม่มีใครรู้รายละเอียดที่จะเอามาแย้ง อาตมาก็กำลังตามหาโพธิสัตว์ที่เป็นพี่ จะได้รายละเอียดเพิ่มขึ้น อาตาไม่ได้ปิดกันว่าจะมายิ่งใหญ่ที่สุดแล้วไม่มีใครเท่าเทียม ซึ่งจะมีได้มนุษย์ที่อธิบายได้ก็แสดงความจริงออกมา หากคุณอยู่ของคุณคนเดียวไม่แสดงออกมาใครจะไปรู้ มันก็อยู่ในกะโหลกของคุณ ก็ต้องเอามาพูดกันให้คนอื่นได้รับรู้ พูดภาษาที่อาตมารับรู้คนอื่นรับรู้ได้ด้วย หัดพูดภาษาอื่นก็เข้าใจด้วยไม่ได้ ดี คุณคนนี้ก็เป็นคนขยันหมั่นเพียรไม่ยึดถืออัตตามานะอะไรมากมายนับถือๆ เป็นคนที่ศึกษา มองมุมแย้งมา อย่างนี้ดี จะได้พัฒนาความรู้โดยไม่ต้องไปถือดีมีมานะอัตตา อันไหนรับได้ก็เอา ส่วนใครจะถือดีถือตัวก็เรื่องของเขา อาตมาก็ว่า อันนี้เป็นคนน่าคบศึกษากันให้ดีๆ
ต่อมาคุณ Guru ultraman…เพราะอะไร เราจึงไม่มีแรงทำ “ความไม่มี”
ตราบใดที่เรายังไม่เบื่อหน่ายตนเอง
แสดงว่า เรายังไม่รู้จักตัวเองดีพอ
ถ้ารู้จักตัวเองดีพอ จะเห็นว่าเราเองยังมีอะไรๆ
ก็การมีอะไรแล้วยังสำคัญมั่นหมายว่า
มันเป็นดีกรีของเรา นั่นแหละ
ควรจะเบื่อหน่ายในความมีโทษ มีภัย
ของการมีดีกรีชั้นสูง ที่ผูกไว้บางๆใสๆ ก็แน่นเหนียว
จนยากที่จะเห็นความผูกตัวไว้เป็นตนของเรา
พ่อครูว่า…ใช้พยัญชนะทุกตัวให้ความหมาย สรุปแล้วคุณเข้าใจก็ดีทำให้มันได้ คนที่เข้าใจหมดแล้วจริงๆนั้น มีโบราณาจารย์ได้พยายามรวบรวม ญาณ ความรู้ แค่ญาณ 16 ก็เหลือกินเหลือใช้ ญาณ16 ตั้งแต่
-
นามรูปปริจเฉทญาณ ญาณกำหนดแยกนามรูป คือปัญญากำหนดรู้เข้าใจในนามและรูป (นามรูป)
-
ปัจจัยปริคคหญาณ ญาณกำหนดจับปัจจัยแห่งนามรูป คือปัญญากำหนดรู้ทั้งในนามและรูปว่าล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย ทุกอย่างเป็นปัจจัยให้แก่กันและกันก็จะรู้ว่าธรรมะ 2 มันเป็นปัจจัยแก่กันและกัน ผลักก็ได้ดูดก็ได้หรือไม่ผลักไม่ดูด ภาวะกลางๆ หากเคหสิตะ ก็เป็นกลางๆ แต่เนกขัมสิตะ ถ้ากลางๆแล้วเราทำได้โดยเป็นเจตนาให้ยาวยืน ส่วนเคหสิตะยาวยืนไม่ได้หมดอำนาจก็กลับกลายเป็นผลักหรือดูด
-
สัมมสนญาณ ญาณพิจารณานามรูปโดยไตรลักษณ์ คือมีนามรูปแล้วมีประธาน เกิด cyclic เคลื่อนที่แล้ว สามเส้า รูปกับนามเป็นสองมีอีกอันคือจิตวิญญาณของเราที่เกี่ยวข้องกันมันจัดการสังเคราะห์กันกลายเป็นความเคลื่อนที่สังเคราะห์สังขาร ผลักก็ได้ดูดก็ได้ พลังงานนิวเคลียร์มีนิวเคลียสมีพลังงานในตัวมันเอง ในนิวเคลียสไม่มีประธาน โดยวัตถุที่เป็นอุตุไม่มีประธาน แต่ถ้าตัวมันเองมีพลังงานเพิ่มเข้าไปถึงขีดก็จุดระเบิดได้ หรือ คนอื่นมาจุดพลังงานนี้เสริมให้มันระเบิดก็ได้ ในนิวเคลียส ระเบิดออกไปก็เป็นนิวเคลียร์ พุ่งออกไปเป็นนิวเคลียร์ แบ่งออกเป็น 2 ดูดกับพุ่งออกไป Fission กับ Fusion
-
อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความเกิดและความดับแห่งนามรูป สายเทวนิยมนั้นจะให้อยู่ไปตลอดกาลนิรันดร แต่มันไม่เที่ยงหรอกแม้มันจะไปอีกเป็นล้านปีแต่มันก็ไม่เที่ยง สุดท้ายมันก็จะเปลี่ยนแปลงไปแต่คนไม่รู้ได้เพราะมันยาวนานมากตามไปไม่ทันไม่ถึง
-
ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นจำเพาะความดับเด่นขึ้นมา อะไรที่เกิดแล้วไม่ดับเป็นไม่มี มีความผูกและความยึดเท่านั้น หากยึดได้อย่างต่อเนื่องอย่างชาวเทวนิยม พระเจ้ายึดถือตัวเองแต่พระเจ้าอยู่ที่ไหน ท่านหมดแรงยึดหรือยัง แต่คุณแต่ละคนต่างหากเล่าเป็นธาตุรู้ที่คุณเอง คนสมมุติว่าพระเจ้ายังยึดถืออยู่จนบัดนี้ยังมีพระเจ้า แต่ก็มีชาวอเทวนิยมนั่นแหละว่า พระเจ้าตายแล้ว เขาบอกว่าไม่มีพระเจ้าและพระเจ้าตายแล้ว เพราะอะไร ก็พระเจ้ามาออกฤทธิ์เดชกับเขาไม่ได้ เขาไม่เอาพระเจ้าพระเจ้าก็ไม่สามารถออกฤทธิ์เดชกับเขาได้ พวกเราชาวอเทวนิยม พระเจ้าก็มาทำอะไรเราไม่ได้ นี่ก็เป็นเรื่องยากว่าทำไมพระเจ้ามาทำอะไรเราไม่ได้ ก็เพราะว่าพลังงานที่เราไม่ยอมรับอันนั้นแล้ว เหมือนพวกที่ไม่ยอมรับไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์ก็มาทำอะไรเขาไม่ได้ แต่พวกที่ยอมรับมันจะเป็นเลยไสยศาสตร์ ยอมรับกันว่าอันนี้จริงมันก็เป็นไปตามนั้นได้ คือจิตอุปาทานมันเป็นได้ แต่สุดท้ายแนวโน้มจะมาหาดับ จึงสามารถทำปรินิพพานเป็นปริยโยสานได้ ความจริงนั้นมันดับอย่างนิรันดรได้ แต่เทวนิยมนั้นธาตุจิตนั้นไม่มีทางดับ อัตภาพอาตมันไม่มีวันดับ เป็นนิรันดรเป็นอย่างนั้น เมื่อผู้ใดเห็นญาณที่โน้มไปทางดับ
-
ภยตูปัฏฐานญาณ ญาณอันมองเห็นสังขารปรากฏเป็นของน่ากลัว ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ หากจะให้ไม่ดับก็เติมพลังงานยึดต่อไป มันก็ไม่ดับ แต่หากไม่เติมก็มีแต่ชรตา เสื่อมสูญเมื่อผู้ใดเห็นว่ายึดไม่ได้เป็นภัยโทษทุกข์ อาทีนวญาณก็เจริญต่อไป
-
อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณคำนึงเห็นโทษ ด้านปัญญาความเฉลียวฉลาดจะเห็นอันนั้นมากกว่า คือเห็นโทษภัย ยกตัวอย่างให้ชัด อาตมานี่เมื่อย อยากเบื่อนะ แต่มันเบื่อไม่ลงเบื่อไม่ได้เพราะปณิธานตั้งไว้แล้ว จริงนะ เพราะฉะนั้นจึงต้องเติมพลังงาน พลังงานที่เติมอาตมาถึงสร้างพลังงานสัมประสิทธิ์ ที่เติมเข้าไปให้มันเป็นระดับคูณระดับยกกำลัง ถ้าขืนปล่อยให้มาหาระดับ + เดี๋ยวเสร็จอีด่างเลย มันไม่ได้ ตายอย่างเขียดเหยียดขาตายเลย Coefficient สัมประสิทธิ์ของอาตมาจึงต้องเติม หากว่าไม่รู้อันนี้และไม่ทำอันนี้ก็จะไปแล้ว เพราะมันน่าเหนื่อยจริงๆ ทำไมถึงขนาดนี้หนอมนุษยชาติ แต่มันจะต้องรักษาความสุดยอดของมนุษย์ที่จะเป็นไปได้คือไปเป็นพระพุทธเจ้าเป็นจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ให้ได้ หรือ คุณจะต้องเป็นจิตวิญญาณที่ถึงขั้นเป็นอรหันต์ให้ได้ หากไม่มีใครสืบสาวราวเรื่องยกยอดเอาไว้ ตีนก็หาย หากยอดนี้ไม่อยู่ ตีนนี้ก็หาย ยอดก็จะลดลงๆสุดท้ายตีนก็ไม่เหลือ พุทธถึงจะต้องเอาไว้ให้เหลือจึงจะต้องประคองเอาไว้ อันนี้เป็นหน้าที่เป็นปณิธานที่อาตมาจะต้องทำ ถ้าไม่ทำนี้มันไม่เหลือถึง 5,000 แน่นอน พุทธศาสนาพระสมณโคดมไม่ไปถึง 5,000 ปี แน่นอนเลย เพราะว่าทุกวันนี้มันผิดเพี้ยนไปหมดแล้วเลย ที่อาตมานำมาคืนนำมากล่าวยังไม่หมด แต่ก่อนนี้พูดแต่คำว่ากาย พูดแต่คำว่าบุญ พูดแต่คำว่าสมาธิ คำว่าฌาน มันได้ผิดเพี้ยนไป ตอนนี้กำลังขยายความเทวะ ที่เขาเข้าใจไม่ได้เข้าใจเทวะไม่ได้ แล้วในเทวะธรรมะ 2 จะมีนัยยะอีกหลากหลาย แต่ว่าหลากหลายนั้นก็คือองค์ประกอบ เนื้อแท้ก็คือเวทนา เวทนาในเวทนานี่แหละสำคัญ ถ้าคุณชัดเจนอันนี้แหละทำได้ก็จบคุณหมดทุกข์ เมื่อหมดทุกข์แล้ว ถ้าคุณอยู่ก็มีแต่ความเจริญ ถ้าคุณจะปรินิพพานเป็นปริโยสานก็จบไป แต่ถ้าหากไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็มีแต่จะเจริญขึ้นไป เพราะมันสุดยอดแล้วในความเป็นธาตุจิตของมนุษย์ เป็นธาตุจิตนิยามที่สูงสุดแล้ว จบแค่นี้แล้ว
ทำได้ก็ต้องจบ ทำไม่ได้ก็ต้องทำให้ได้ต่อ
-
นิพพิทานุปัสสนาญาณ ญาณคำนึงเห็นด้วยความหน่าย ถ้าคุณจะรักษาสิ่งประเสริฐนี้ให้แก่จิตนิยามให้เจริญขึ้นได้เป็นมนุสโส ก็ต่อ แต่หากคุณจบแล้ววางได้จริงมีญาณจริง ญาณที่คุณไม่ยึดไว้แล้วปล่อย
-
มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณหยั่งรู้อันให้ใคร่จะพ้นไปเสีย ผู้ที่ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้เสื่อมสูญได้แล้วก็ไปได้เลย แต่ก็มีซ้ำซ้อนต่อไปอีกเพื่อทบทวน
-
ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ญาณอันพิจารณาทบทวนเพื่อจะหาทาง ข้อต่อไปนี้ต่อไปเป็นการทบทวนวิปัสสนาญาณทั้ง 9 ก็ต้องสร้างญาณรู้ขึ้นมาอีก รู้นัยยะที่มันปรุงแต่งสังขาร สังขารแล้วจนกระทั่งยืนทำให้อุเบกขาได้อย่าง สังขารุเปกขา
-
สังขารุเปกขาญาณ ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางต่อสังขาร สามารถจะยืนหยัดได้ คนก็ยังเหลือเชื้อ
-
สัจจานุโลมิกญาณ ญาณเป็นไปโดยควรแก่การหยั่งรู้อริยสัจจ์ คุณจะอนุโลมจะอยู่หรือไม่อยู่ มันก็มีภาวะที่เกิดกับดับ อุปจยะ กับชรตาสองอัน หากคุณจะอยู่ต่อก็ยังโคตรเอาไว้ให้ได้ ยังตระกูลไว้ให้ได้
-
โคตรภูญาณ ญาณครอบโคตร หรือญาณอันเกิดแต่ปัญญาที่เป็นหัวต่อระหว่างภาวะปุถุชนและภาวะอริยบุคคลยังตระกูลไว้ให้ได้ ต้องมี มรรคญาณผลญาณ
-
มรรคญาณ ญาณอันสำเร็จให้เป็นอริยบุคคลต่อไป
-
ผลญาณ เมื่อมรรคญาณเกิดขึ้นแล้ว ผลญาณก็เกิดขึ้นเป็นลำดับถัดไปจากมรรคญาณนั้นๆในชั่วมรรคจิต ตามลำดับแต่ละขั้นของอริยบุคคล
-
ปัจจเวกขณญาณ ญาณที่เกิดขึ้นเพื่อพิจารณามรรค ผล กิเลสที่ละแล้ว กิเลสที่ยังเหลืออยู่ และพิจารณานิพพาน (เว้นพระอรหันต์ไม่มีการพิจารณากิเลสที่ยังเหลืออยู่) เป็นอันจบกระบวนการบรรลุมรรคผลในขั้นหนึ่งๆคืออริยบุคคลขั้นหนึ่งๆ หรือถึงพระนิพพาน
ไปทำการทบทวนแล้วทุกคน ทวนแล้วทวนอีก
นี่ 16 ญาณ หากคุณรู้ชัดเจนและทำสภาวะได้เป็นจริงตามนั้นแน่นอน ไม่มีปัญหาเลยสิ่งเหล่านี้จบ
ทีนี้ลองดู ยังมีอีกสองสามแผ่น
_ป้าย่านาง….กราบรบกวนขอคำชี้แนะจากพ่อครูในการขยายความที่จะนำไปชี้แจงผู้ที่ฝักใฝ่เทวนิยมที่คิดว่าตัวเองสามารถดับทุกข์ได้โดยการนั่งหลับตาทำสมาธิ ป้าจะลองให้เขาตั้งข้อสังเกตุดูว่า
๑. เวลาเขาทำสมาธิ หลับตา แต่ยังได้ยินเสียงอึกทึกจากภายนอกผ่านการได้ยินจากหูตลอดเวลาที่นั่ง เขาคิดว่าใจจะยังสงบอยู่ได้ไหม? แต่ถ้าเป็นสมาธิลืมตาที่เราฝึกแยกเวทนาได้ บางท่านสามารถทำจิตให้นิ่งได้จากการได้ยินสักแต่ว่าได้ยินเพราะท่านฝึกจนแยกจิตและกายได้ช่วงหนึ่งโดยไม่ทุกข์กับเสียงนั้นๆ(อยู่ที่คุณฝึกการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องได้จนแก่กล้าประมาณไหน)
๒. ที่พระพุทธเจ้าท่านสอน อานาปานสติจากลมหายใจนั้น เพราะลมหายใจเกิดขึ้นและทำงานอยู่อย่างเป็นอัตโนมัตโดยที่เราไม่ต้องไปกำหนด(นอกจากเราจะต้องการให้สั้นหรือยาวขึ้นชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เราไม่สามารถไปบังคับได้ตลอดไป เขาจะทำงานตามกลไกที่ร่างกายให้มา และลมหายใจเป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมต่อกับสัญญานชีพ(จิตวิญญาน)การมีชีวิตของคนที่เราจะไปบังคับให้หยุดทำงานไม่ได้ถ้าเรายังต้องการมีชีวิตอยู่ ส่วนตา หู จมูก การสัมผัสอื่นๆนั้น เราสามารถบังคับให้หยุดทำงานก็ได้ ให้เริ่มทำงานก็ได้ตามเวลาที่เรากำหนด พพจ. เข้าใจความแตกต่างของกลไกทางร่างกายนี้ ท่านจึงไปกำหนดที่ลมหายใจ และท่านก็ไม่ได้ขยายความว่าต้องทำคู่กับการนั่งหลับตา หรือ ไม่ต้องได้ยินอะไรที่มากระทบหูคนนั่งเลย
ป้าจะเอาไปอธิบายให้เขาฟังตามเหตุผลนี้ จะสมเหตุสมผลพอไหมคะ?
พ่อครูว่า…หากว่า ถ้าหลับตาปฏิบัติเป็นสิ่งที่ถูกต้อง พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสไว้ใน อินทริยภาวนาสูตร บอกว่าให้ทำลายตาทำลายหูทำลายทวารทั้ง 5 เสียก็ถือว่าบรรลุอย่างนั้นหรือ มันก็ไม่ใช่หรอก
_ของคุณบ้านเล็กเมืองน้อย….กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูงครับ
ขออนุญาตช่วยไขข้อข้องใจแก่ผู้ส่งประเด็นมา ในวันจันทร์ที่ ๓ ธันวา ครับ
ความเห็นที่ผู้ส่งประเด็นถ่ายทอดออกมานั้น สะท้อนถึงทัศนะคติของ ผู้ที่รู้เพียงหนึ่ง ไม่รู้ถึงสอง
จึงตีไม่แตก…แยกไม่ออก…เข้าไม่ถึง……………….. เป็นเหตุให้คำถามไม่ได้เกิดการพัฒนาขึ้นจาก สัมมาทิฐิ
“ยีนเห็นแก่ตัว” ที่ท่านกล่าวถึง ก็คืออวิชชาแท้ ที่ก่อเกิดเป็นอัตตา
ทางวิทยาศาสตร์เรียก “ สิ่งสืบต่อพันธุกรรม ” ว่า Gene แต่แท้จริงนั้น…. ยีนคือส่วนหนึ่งของสาย DNA (genotype – จีโนทัยป์)
ซึ่งทำหน้าที่ ส่งต่อลักษณะปรากฏทางชีวภาพ (phenotype – ฟีโนทัยป์) ไปยังรุ่นถัดไป
เช่น สีตา กรุ๊ปเลือด เป็นต้น
แปลให้เข้าใจง่ายๆ….. “ยีน” เป็นสรีระพันธุ์ (รูป) ที่ได้รับการถ่ายทอดจากพ่อแม่ ซึ่งรับมาจากโคตรเง่าที่เป็นต้นตระกูลอีกที
แต่………. “ความเห็นแก่ตัว” เป็นอาการทางจิต (นาม) ที่ทำให้การ คิด – พูด – ทำ ไม่บริสุทธิ์…. เป็นมรดกแห่งวิบาก(กัมมทายาท)
ในทางพุทธเรียกว่า “กิเลสตัวพ่อ” เช่น ความเห็นที่เกิดจากอวิชชาปรุงแต่งร่วมกับมิจฉาทิฐิ ที่ท่านได้แสดงออกมาแล้วนั่นเอง
เนื่องจากท่านมีความหวังดีห่วงใยชาติบ้านเมือง แต่ด้วยอวิชชาแถมยังมิจฉา จึงแสดงโทสะ ด้วยการประชดประชันเป็นคำถามแดกดันมากมาย ต่อเรื่องราวที่อยู่สูงเกินภูมิปัญญาของตน ดังนั้นคำถามที่ท่านคาใจแท้จริงก็คือ…………
-
ผู้ระงับความเห็นแก่ตัว แล้วเสียสละออกไปชุมนุมทำเพื่อส่วนรวมนั้น เค้าทำกันได้อย่างไร ?
(เพราะท่านไม่เชื่อว่าคนที่ไม่หวังผลประโยชน์ใดๆ เพื่อตนเอง มีอยู่จริง!) คำถาม…..(เศรษฐกิจ)
-
ผู้ปกครองที่ดี และการปกครองที่เหมาะควรที่สุดนั้นเป็นไฉน ? คำถาม…..(การเมือง)
-
แล้ว habitant หรือผู้อาศัยที่เป็นมนุษย์ (หาใช่มดปลวกในอาณานิคมหรือ colony อย่างที่ว่า)