611219_รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 31
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1gb3FkRAI5yptVmJhbmaepeTOAXjhLY-vEVU_vjyRiGo/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1Dns183XJqLj41HlW6DNV-cRDTkkuJFhp
พ่อครูว่า…วันนี้วันพุธที่ 19 ธันวาคม 2561 ที่บวรสันติอโศก ที่ลานข้างน้ำตก พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ได้มาจัดรายการที่นี่
มีsms ไลน์มา
_waja waja วาจา
กราบนมัสการครับ ผมได้ฟัง ธรรมะ ห้าดาว ตอน (170817) เจโตปริญาณ-พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์-วัดนรนาถสุนทริการาม ตั้งแต่นาทีที่ 56 พ่อครู เทศน์ เรื่อง อุทธัจจะ กุกกุจจะ “โดยเริ่ม จาก ศูนย์ ” ศูนย์ในที่นี้ หมายถึง อุเบกขา หรือ ธรรมศูนย์ ครับ
พ่อครูว่า…ตอนนี้อาตมาอธิบายธรรมะ 2 เทวธัมมา ก็ขยายความว่า มันคือสุดยอดของธรรมะทั้งหมดเลยในโลก แล้วก็แตกแยกความอะไรออกไป ถ้าใครเข้าใจธรรมะ 2 แล้ว สามารถทำให้ธรรมะ 2 เป็นหนึ่งและเป็นศูนย์ได้
เช่น เวทนา 2 เวทนาแท้กับเวทนาเก๊ เราก็ทำกำจัดต้นเหตุของเวทนาเก๊ กำจัดอวิชชา เวทนาเก๊ก็หมดไป ก็เหลือแต่เวทนา1 เวทนาเดียวในจิต แม้เวทนาแท้ ผู้ที่ศึกษาดีแล้วก็ไม่ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา ก็ได้อุเบกขาเป็นฐานอาศัยในชีวิต แล้วก็จะได้ผลความวางไม่ยึดเป็นเราเป็นของเราอย่างแท้จริงได้ นี่คือความลึกซึ้งซับซ้อนของธรรมะพระพุทธเจ้าตรัสรู้มาสอนเรา อาตมาก็เอามาอธิบายให้ละเอียดซับซ้อน
วันนี้มีคำถามความสงสัยที่น่าสงสารของพวกเทวนิยมพวกที่ตีธรรมะ 2 ไม่แตก เขาจะถือ 2 นี้เป็นหนึ่งเดียวอยู่อย่างนั้น งมงายกับเทว จนเทวะเป็นอัตภาพเป็นเรื่องเมจิกเข้า เป็นเรื่องซับซ้อนมโนมยอัตตาไม่รู้จบ มันก็น่าสงสาร ก็ค่อยๆอธิบายกันไป
คนนี้ถามมา ถ้าธรรมะนี้อาตมาจะไม่ค่อยใช้คำว่าธรรมะ0 จะใช้คำว่า0 ใช้คำว่าธรรมะ 2 ธรรมะ 1 และ0 ศูนย์หมายถึงสิ่งที่หายไปสิ่งที่ไม่มีอยู่แล้วไม่ทรงอยู่ คำว่า ธรรมะศูนย์เราก็ไม่ค่อยใช้ เราก็ใช้ 0 สิ ธรรมะมันต้องทรงอยู่
สภาวะธรรมะ 0 ลึกซึ้งโดยสภาวะ แต่ธรรมะมันแปลว่าทรงอยู่ ผู้ที่บรรลุสูงสุดแล้วธรรมะคือสิ่งที่ไม่มี ถ้ายังมีอยู่ก็ไม่ใช่ธรรมะ ก็กลายเป็นอธรรม ที่มีอยู่นี่คืออธรรม ตอนนี้ฟังให้ดีนี่คือสิริมหามายาซับซ้อนไปเหมือนนักเล่นกลกลับไปกลับมา
สิ่งที่มีอยู่ผู้ทีไม่ยึดแล้วก็ไม่มี นั่นคือสูงสุด ถ้ายังยึดถือว่ามีอยู่ก็ยังเป็นอธรรม ก็เหมือนคนพูดตลบแตลงเล่นกล เดี๋ยวมีเดี๋ยวไม่มี
คนที่มีสภาวะจริงแล้วพูดกลับไปกลับมาตลบแตลงอย่างไรก็ไม่หลงทาง จับไม่มั่นคั้นไม่ตาย
อุเบกขาเป็นการอธิบาย กลางๆวางเฉยแต่สภาพยังมีอยู่นะ อุเบกขานี้ยังมีอยู่ถ้าศูนย์นี้ไม่มีแล้ว คุณคนนี้ใช้คำว่าธรรมะ0 ถ้า0 แล้วไม่มีธรรมะ ธรรมะ 1 ธรรมะ 2 ธรรมะ 3 จนไปถึงธรรมะเป็นล้านก็คือสิ่งที่มีที่แตกตัวออกไป ท่านก็ใช้ธรรมะ 1 ถ้า 0 แล้วไม่ใช้คำว่าธรรมะเพราะศูนย์ไม่มีอะไรทรงไวแล้ว 0 คือสิ่งที่ไม่มีแล้ว
อุเบกขาขยายความสิ่งที่สูง เป็น องค์ธรรม 5 ประการ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
ปริสุทธามีอยู่แต่ปราศจากกิเลส ที่สุดแห่งอาสวะ จะไม่คุยถึงอนุสัย ถ้าหากจบเป็นอรหันต์แล้วค่อยมาคุยเรื่องอนุสัย คุณรู้จักให้หมดอาสวะก่อน จะหมดอนุสัยหรือยังค่อยมาคุยกัน คุณมั่นใจว่าอาสวะหมดแล้วค่อยมาคุยกัน แล้วจะพูดเรื่องอนุสัย ภาวะอนุสัยนี้มันลึกซึ้งกว่าอาสวะ เพราะอนุสัยมันมี 7 แต่อาสวะมี 4 เหลือแต่กาม ทิฏฐิ ภว อวิชชา นี่คืออาสวะ 4 ซึ่งอาสวะ 4 แล้วเมื่อคุณเป็นอุภโตภาควิมุติแล้วค่อยมาคุยกัน แต่อรหันต์แล้วค่อยมาคุยเรื่อง อนุสัย 7
ปริโยทาตา แม้จะมีการกระทบสัมผัสอย่างไรก็ยังบริสุทธิ์อยู่ก็จะทำงานได้อย่างเหมาะควร กัมมัญญา
_Silapatkul Sukjai… Meditation เป็นสมาธิที่คนทั่วไปเขาพยายามฝึกกันโดยเฉพาะฝรั่งชาวตะวันตก เพราะสังคมเขาเร่งรีบแข่งขันสูงในระบบทุนนิยม พวกเขาจึงเข้ามาแสวงหาในฝั่งเรา แต่พอมาเจอวัดไทยมีแต่วัตถุมงคลและเสียงสวดมนต์แบบลวกๆไม่ต่างกับร้องเพลง เขาก็ไม่ให้ความเคารพมาเที่ยวถ่ายรูปภาพพนังและพระองค์โตๆไปวัดกลายเป็นที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมไม่ต่างกับไปเดินชมพิพิธภัณฑ์ พวกสนใจฝึกMeditation ต้องไปเข้าอบรมฝึกเฉพาะซึ่งเดี๋ยวนี้มีค่าใช้จ่ายสูงอีกด้วย ฝรั่งที่เคยฝึกที่วัดมหาธาตุบอกต่อมาที่วัดนี้กันเยอะเพราะไม่ต้องเสียเงินแถมมีที่พักกินฟรี แต่ถามว่าเขาจะได้ดังใจหวังกับการเดินจงกรมนั่งสมาธิรึ? สัมมาสมาธิของพุทธไม่มีใครแจกแจงเช่นพ่อท่าน ในยุคนี้ ขอยืนยัน
พ่อครูว่า…พวกMeditation สะกดจิตได้เป็นล้านปี เหมือนอาฬารดาบส ที่จริงไม่ได้เป็นอาจารย์ของพระพุทธเจ้าแต่อย่างใด พระพุทธเจ้าเพียงแต่ไปดูนิดหน่อยเท่านั้นก็ทำได้แล้ว เขาก็ถือว่าเป็นอาจารย์ ที่จริงแล้วท่านผ่านมาแล้ว
สรุปว่าเรื่อง Meditation ก็เป็นฐานของเขา เขาสนใจเทวนิยมมานาน ตอนนี้ก็มาสนใจทางพุทธ ก็ไปนั่งหลับตา แต่ทางพุทธนั้นจะมีความหมายจะทำอีกเยอะที่เขาจะมีปฏิภาณรู้อีก เขาจะค่อยๆเข้ามา ก็อย่าเพิ่งไปตีเขาทิ้ง ต้องใช้ไม่ได้ติดตั้งเป็นฐานก่อนศึกษาไปแล้วเขาจะได้รับประโยชน์
คนที่จะเอาแต่ Meditation แล้วจะบรรลุนั้นเป็นไปไม่ได้ ผู้ที่ทำ Meditation แล้วบรรลุนั้นจะต้องมีภูมิเก่า เช่นเป็นพระโสดาบันมาแล้วนั่งหลับตาก็เป็นพระโสดาบันได้ ถ้าหากไม่มีภูมิเก่านั่งหลับตาอีกเป็นล้านชาติก็ไม่มีทางบรรลุได้ เพราะธรรมะพระพุทธเจ้าบรรลุอย่าง 3 อัน มีตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบสัมผัสแล้วเกิดธรรมะ 2 นั่งหลับตาทำให้เกิดธรรมะหนึ่งนั้นมันไม่มีสมมติสัจจะมีแต่ปรมัตถ์สัจจะอย่างเดียว เพราะฉะนั้น ธรรมะอย่างเดียวจะเรียนรู้ให้ตายก็ไม่มีทางบรรลุธรรม ทำไมพระพุทธเจ้าต้องมีธรรมะ 2 ใครยึดธรรมะ 1 อยู่ในภพภายในอย่างเดียวก็ปิดประตูบรรลุธรรมของศาสนาพุทธ
_Aeamaua Lee ….เรื่องอรหันต์ กับโพธิสัตว์. คนทั่วไปเขาเข้าใจหลวมๆง่ายๆว่าถ้าเป็นอรหันต์แล้วจบคือไม่กลับมาเกิดอีก ส่วนโพธิสัตว์นั้นไม่ใช่อรหันต์ ค่ะ เมื่อ 2 วันก่อนได้คุยกับชายสูงอายุ 2 คน เขาว่าอย่างพ่อครูนี่ยังไม่เป็นอรหันต์แต่บำเพ็ญโพธิสัตว์จึงได้ออกมาช่วยคน เขาว่าเขาเคยมาร่วมชุมนุมและฟังเวทีกองทัพธรรม และยังคุยด้วยว่าเคยบวชมาทางสายหลวงพ่อลี ถ้าอรหันต์ไม่ออกมายุ่งเกี่ยวแบบนี้ จะบำเพ็ญเคร่ง พระในกรุงไม่มีอรหันต์ ก็เลยขี้เกียจคุยต่อเดี๋ยวมันจะยาวอะค่ะ คนคิดเช่นนี้มีเยอะและคิดว่าที่ตัวเองรู้ถูกด้วยค่ะ
พ่อครูว่า…ผู้ที่เข้าใจว่าบรรลุธรรมเป็นอรหันต์ตายแล้วสูญเป็นพวกอุจเฉททิฏฐิ คนๆนี้ไม่มีสิทธิ์ได้บรรลุอรหันต์ อีกกี่ชาติกี่ชาติก็ตาม เพราะว่ามิจฉาทิฐิแต่ต้นทาง คุณจะไม่มีทางพบพระอรหันต์จริง เพราะพระอรหันต์จริง ที่ไม่สอนคนคือ สมสีสี คือ บรรลุอรหันต์แล้วก็ตายพร้อมกับการบรรลุ คนที่บรรลุอรหันต์แล้วยังไม่ตายก็จะสอนมนุษย์ แล้วจะเข้าใจว่า อรหันต์นี้ตายแล้วไม่สูญ เพราะว่าเป็นอรหันต์จริงแล้วจะตายไม่สูญได้
สุญญตนิพพาน นิมิตนิพพาน อปนิหิตตนิพพาน
ถ้าคุณตายรู้แล้วรู้จักทำศูนย์ไม่ตั้งจิต อปนิหิตต(จิต) ไม่ตั้งนิมิต(รูป) คนนี้ตายแล้วปรินิพพานเป็นปริโยสาน คนนี้ตายแล้วสูญจริง เพราะทำนิพพาน 3 นี้เป็น ถ้าคนที่ทำ 3 นิพพานนี้ไม่เป็น ก็ยังไม่เป็น ยังไม่สูญ คนธรรมดาตายแล้วก็ไม่อยากเกิดเยอะ แต่มันไม่สนหรอกเพราะคุณทำจิตในจิตของคุณยังไม่เป็น ทำจิตในจิตให้สูญจริงๆ ดับอาสวะอนุสัยยังไม่ได้ไม่ได้ทำนิพพาน 3 นี้ไม่มีทางศูนย์ อยากสูญก็ไม่มีทางศูนย์ เขาว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายจะเกิดอีกเป็นครั้งสุดท้ายแต่ว่าปากยังเคี้ยวหมากอยู่ ยังติดหมากอยู่ไม่มีทางทำได้หรอก ผู้ที่หลงอรหันต์กินหมากไม่ขาดปาก แค่สิ่งเสพติดแค่ตื้นแค่นี้ ยังติดหมากเหมือนติดเหล้าติดเบียร์ยังตื้นๆอยู่ มันไม่ใช่สิ่งละเอียดลออเลยสิ่งเสพติดพวกนี้
ผู้ที่จะเป็นโพธิสัตว์ได้ ต้องบรรลุพระอรหันต์ก่อน ผู้ยังไม่ได้บรรลุเป็นอรหันต์จะเป็นโพธิสัตว์ไม่ได้ เพราะฉะนั้นปุถุชนโพธิสัตว์ไม่มี โพธิสัตว์ต้องมีความรู้ ตามลำดับ หนึ่งจะต้องรู้ความเป็นโสดาบัน ก็เรียกว่าโพธิสัตว์โสดาบัน ก็ต่อเป็น โพธิสัตว์สกิทาคามี แล้วก็ต่อเป็นโพธิสัตว์อนาคามี แล้วก็ต่อเป็นโพธิสัตว์อรหันต์ ก็จะรู้ชัดเจนว่าอรหันต์มี 4 ลำดับ
เมื่อเป็นอรหันต์แล้ว ผู้บรรลุอรหันต์แล้วไม่ตอบโพธิสัตวภูมิพุทธภูมิต่อ จบในอรหันต์โสดาฯ สกิทาฯ จบอนาคามีอรหันต์ อรหันต์ในอรหันต์ สามารถปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ทั้งนั้น คนที่บอกว่า อรหันต์ตายแล้วสูญอย่างเดียวเท่านั้นจะไม่บรรลุได้แม้แต่พระโสดาบัน
อรหันต์โสดาบันก็ตายสูญยังไม่ได้ จะหลงว่าตนเองต้องตาย 0 แล้วมันก็ยังต้องเกิดอีก มันก็จะรู้ในชาติใดชาติหนึ่งก็ได้ คนนั้นเป็นพระโสดาบันแต่นึกว่าตนเองเป็นอรหันต์ ก็ยังจะต้องเกิดอีกจนกว่าจะรู้ว่าตนเองเป็นพระโสดาบันก็ค่อยๆศึกษาต่อไปเป็นลำดับ
อรหันต์ 4 แบบ อรหันต์ในโสดาบัน ในสกิทาคามี ในอนาคามี อรหัตตผลของอรหันต์
อรหัตตผลในอรหันต์จึงจะเป็นอรหันต์แท้ที่เข้าใจและทำได้ว่าตนเองจะตาย 0 ได้อย่างไร ต้องมีนิพพาน 3 แบบ ถ้าไม่ทำนิพพาน 3 แบบได้ยังไม่ใช่อรหันต์
ต้องอ่านจิตตัวเองให้ได้ สุญญะคืออะไร นิมิตตะคืออะไร อปนิหิตตะคืออะไร เราไม่สร้างนิมิตไม่ตั้งจิตต่อแล้วเป็นอย่างไร คุณก็จะต้องรู้ แล้วไม่ได้รู้ทันที คุณเป็นโสดาบันกว่าจะรู้อย่างละเอียดนี้ อย่านึกว่าเป็นโสดาบันปุ๊บจะรู้ได้ปั๊บไม่ได้หรอก
คุณคนนี้ถามมา ..คุณต้องมีความรู้ 3 อย่างนี้แล้วทำจิตตัวเองได้เป็น นิพพานทั้ง 3 อย่างนี้ อรหันต์จะรู้จิตตั้งจิตต่อได้ แม้คุณไม่อยากเกิดไม่ตั้งจิตเกิด แต่กิเลสยังมีมันก็จะเกิดมาอีก อย่างมหาบัวนี้ ไม่อยากเกิดมันก็ต้องเกิดอีก ขออภัยที่ต้องยกตัวอย่าง เพราะมันเป็นปรากฏการณ์จริงในเมืองไทยที่ต้องเรียนรู้กัน จะช้านานกว่าอาจารย์มั่น ยกมหาบัวก็ชัดกว่า
สรุปว่าผู้จะเป็นโพธิสัตว์ต้องบรรลุอรหันต์ก่อน ถึงจะมีความเป็นโพธิ ไม่ใช่สัตว์ใต้ต้นโพธิ์ สัตว์ใต้ต้นโพธิ์ก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน จะเป็นมนุษย์ก็ตามนอนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ตลอดก็ไม่มีโพธิไม่มีความรู้ โพธิคือความรู้ที่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าตั้งแต่ท่านพระโสดาบันเป็นต้นไป สัตว์ใต้ต้นโพธิ์นี้พระโสดาบันยังไม่ได้เลย จะใช้พยัญชนะบอกว่าเป็นโพธิสัตว์ปุถุชนนั้นไม่มี พูดเอาบัญญัติมาหลอกคน ต้องขอยกตัวอย่างเป้าเก็งเต็ง ธีรทาส ใช้นามแฝงว่าธีรทาส ธีรทาส หรือ อาจารย์ธีระ วงศ์โพธิ์พระ แห่งโรงเจเป้าเก็งเต๊ง เขาได้ขยายเรื่องไม่กินเนื้อสัตว์เผยแพร่มากก็ต้องขอบคุณเรื่องนี้ ชาตินี้ขยายเรื่องมังสวิรัติ เจ เรื่องเดียว นอกนั้นก็ไม่ได้ศึกษา โสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์เลย
ก็ฝากความไปถึงท่านพุทธอิสระอีกคน บอกว่าเป็นโพธิสัตว์ จะศึกษาทำแต่ความดีช่วยศาสนา พากเพียรอย่างนั้นโดยไม่ศึกษาไปตามลำดับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ มัวแต่จะทำความดีกอบกู้ศาสนา แล้วไม่เรียนในระดับโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีตามลำดับ ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า มันก็เพี้ยนแล้ว เป็นโพธิสัตว์ที่เพี้ยนแล้ว ไม่มีสัมมาปฏิปทา ไม่มีทางที่ถูกต้องที่จะเดินไม่มีเบื้องต้น
ผู้ที่เอาแต่นั่งหลับตาเป็นเบื้องต้นก็จะได้แต่ความสงบเหมือนอาฬารดาบส อุทกดาบส อีกเป็นล้านปีที่ต้องวนเวียนเพราะไม่รู้จักธรรมะ 2 แล้วทำธรรมะ 2ให้เป็น 1
ปิดตาหูจมูกลิ้นกายนั้นโมฆะไปจากศาสนาพุทธ ตีทิ้งได้เลย ต้องมีสัมผัส ตาหูจมูกลิ้นกายใจจึงจะรู้ ธรรมะ 2 มี ภาวรูป 2 อิตถีภาวะ ปุริสภาวะ แล้วทำให้เหลือแต่ปุริสภาวะ จนเป็นธรรมะ 0 ได้จึงจะเจริญเป็นลำดับ
หากคิดเอาง่ายๆคิดตื้นๆว่าจะได้ ก็เป็นธรรมะแบบมักง่าย ธรรมะพระพุทธเจ้านั้น คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
เป็นความสงบที่ละเอียดสูงส่งเหมือนนักมายากล คนเร็วพอก็จะจับได้ คนนี้และเป็นสิริมหามายามีความรู้ระดับสิริมหามายาเป็นนักมายากลที่ สิริ ที่มหา ที่ดีที่ยิ่งใหญ่ ถึงจะรู้ทันการพูดกลับไปกลับมา
เพราะจิตเจโต ปัญญาจะเร็วกว่าแสง เจโตอาจไม่วิ่ง static แต่ปัญญานี้วิ่ง เร็วกว่าแสง หากจิตไม่เร็วกว่าแสงก็รู้ไม่เท่าทันนักมายากล เขามีความเร็วของจิตยิ่งกว่าแสงจึงเป็นสิริมหามายา เป็นนักมายากลที่เก่งกว่า houdini ที่เป็นนักมายากลจริง เขาเก่งจนดังทั่วโลก
คนนี้ถ้าไม่มีธนบัตรจะเอาธนบัตรไปช่วยคนได้อย่างไร ถ้าหากคุณเป็นโพธิสัตว์แต่ไม่มีสิ่งที่คุณจะช่วยเขา เขาขาดกล้วยคุณก็ไม่มีกล้วยให้เขา คุณก็ต้องเอากล้วยของคนอื่นมา มันไม่ใช่ของคุณ คุณช่วยเขาไม่ได้ คุณต้องมีของคุณ โพธิสัตว์ต้องมีของตัวเองก่อนจึงจะไปช่วยคนอื่นได้ อรหันต์ต้องมีความเป็นอรหันต์ของตนเองก่อนจึงจะเป็นพระโพธิสัตว์ จะเป็นอรหันต์ในระดับต้นคือพระโสดาบันมีอรหัตผล ก็ต้องมีจึงจะช่วยเขาได้ แต่คุณได้นิดหน่อยจะช่วยอะไรเขาได้มาก ตัวเองก็ยังช่วยตัวเองไม่ค่อยไหวเอาตัวเองไม่ค่อยไหว ล้มลุก ใครเหนี่ยวนิดเดียวก็ล้มแล้ว เหมือนคนตกบ่อ คุณจะมีแรงไปช่วยคนตกบ่อจะมีแรงดึงเหลือ เพื่อจะสามารถดึงน้ำหนักของคนตกบ่อขึ้นมาได้เท่าไหร่ หากคุณประมาณไม่เป็นก็ตกบ่อไปตามเขาก็ หัวทิ่มลงบ่อ คุณต้องรู้ตัวเองว่าสามารถมีแรงที่จะเริ่มลงไปดึงคนข้างล่างอีกไหม ต้องเผื่อไว้ มีที่ยึดถือแล้วดึงขึ้นมาจากบ่อได้ ถ้าคุณไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีเท่าไหร่และไปช่วยเขาก็ตกบ่อไปตายตามเขา ไม่ประมาณตน คุณตกบ่อไปตามเขานั้นมีเยอะเหมือนกันอวดดีหลงตัวนึกว่าตัวเองแน่ตัวเก่ง
อรหันต์มีภูมิร้อย จะไม่ใช่ภูมิทั้งร้อยนั้นไปช่วยใคร ช่วยแค่ 7 8 10 เผื่อพอไว้ ถ้าเกิดว่าเรามี 100 เราไปช่วยเขา 70 80 เผื่อพอไว้ มันไม่ใช่ เราเข้าใจผิดก็จะเหลือแค่ 90 75 ก็ยังพอช่วยตัวเองได้ เรายังไม่ประมาทตัวเองยังไม่ลงตัวเองว่าตัวเองมีมากมาย ที่จริงเรามีเกินความจริงเราก็เลยต้องมีน้ำหนักพอที่จะช่วยเขาได้ เพราะเรามีมากกว่าจริง คนไหนตัวเองมี 100 ก็ใช้ทั้ง 100 เลยก็เสร็จสิ ต้องเผื่อไว้ คุณเข้าใจจริงไหมว่าคุณเองมี 100 คุณอาจจะมี 80 แล้วนึกว่าตัวเองมี 100 ก็ต้องเผื่อไว้มากๆเลยไม่เสียหาย ถ้าไม่เผื่อเอาไว้ผิดพลาดขึ้นมา เผื่อไว้ไม่พอคุณก็ตายไปตามเขา เสียเวลาทั้งคู่ตัวเองก็ซวย อวดดี แล้วมันเป็นภาวะที่เป็นภาระวิบาก คนนั้นก็ต้องดึงทึ้งกันไปอีก ชาตินี้ชาติหน้าเป็นอจินไตยอีกเยอะ
สรุปอีกทีหนึ่งว่า ต้องบรรลุอรหันต์ก่อนจึงเป็นโพธิสัตว์ได้ หากไม่บรรลุเป็นอรหันต์ก่อนเป็นโพธิสัตว์ไม่ได้ ผู้เป็นโพธิสัตว์บำเพ็ญช่วยเหลือคนอื่นโดยที่ตนเองยังไม่เป็นอรหันต์นั้นเป็นพระโพธิสัตว์ เก๊ แต่อรหันต์ไม่บรรลุพระโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์จะเป็นอรหันต์ได้อย่างไร
โสดาบันต้องมีปัญญา 7 ต้องรู้ว่ากิเลสเราลดได้แล้ว เราได้สูงขึ้นจนช่วยเขาได้ในปัญญาขั้นที่ 5 ปัญญาขั้นที่ 5 นี้ช่วยคนอื่นได้แล้ว มีลูกเลี้ยงลูกช่วยลูกหลานได้แล้ว ปัญญาขั้นที่ 6 ที่ 7 ก็สูงกว่าขั้นที่ 5 ปัญญาหรือญาณ ของพระโสดาบัน หากเข้าใจสิ่งเหล่านี้ไม่ละเอียดพอก็อวดดีทั้งนั้น
อาตมาบอกว่าเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ไม่ได้หมายความว่าเป็นอรหันต์ขั้นที่ 4 5 6 7 แต่เป็นอรหันต์ไม่รู้กี่รอบซับซ้อนกว่าจะขึ้นเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 นั้นเป็นล้านๆปี อย่าท้อใจล้านปีนี้นิดเดียว กัปป์หนึ่ง นั้นยาวนานมาก เอาผ้าใยบัวไปลาดภูเขาเวปุลละบรรพต จนกว่ามันจะราบเรียบไปร้อยปี 1 ครั้งเอาไปลาด มันนานมากจนไม่ต้องคิดนั่นเอง
เรื่องอรหันต์เรื่องโพธิสัตว์จึงไม่ใช่เรื่องที่จะพูดพล่อย อาตมาถึงบอกว่าน่าสงสารผู้ที่หลงกับอรหันต์เก๊ เขาซื่อจริงๆที่เชื่อแบบนั้นก็เลยน่าสงสารก็เลยต้องมาพูดเพื่อให้ความรู้กัน ไม่ใช่ดูถูกดูแคลน แต่ว่าอาตมาจะต้องพูด ข่มสิ่งผิด ความผิดควรถูกข่ม จะไปยกความผิดได้อย่างไร ต้องยกความถูก ความผิดต้องถูกข่ม เป็นธรรมดาธรรมชาติ
_ประชาธิปไตยลึกซึ้งและตื้นเขิน
จิตวิญญาณประชาธิปไตยอาศัยอยู่ในตัวตนร่างกาย และตัวร่างกายก็ยังมีเปลือกหุ้มห่อ เรียกว่า ใส่เสื้อผ้าให้ประชาธิปไตย นักการเมืองทุกวันนี้รู้จักแค่ประชาธิไตยที่มีแต่ เสื้อผ้าคลุมร่างกายเท่านั้น ยังไม่รู้/ยังไม่เข้าใจใน ตัวตนแท่งร่างกายแห่งประชาธิปไตยเสียด้วยซ้ำ จึงป่วยการที่จะไปถามหาความรู้จากหัวหน้าพรรคการเมืองต่างๆ ว่า “จิตวิญญาณของประชาธิปไตย” คืออะไรครับหัวหน้า ?
เพราะในหัวของพวกเขาจะมีคำตอบเดียวว่า “ประชาธิปไตยก็คือการเลือกตั้ง” ซึ่งมันก็ถูกในระดับเปลือกๆ อันเปรียบเสมือนได้ใส่เสื้อผ้าเท่านั้น ทุกวันนี้หันไปช่องไหน ฟังใครๆพูด ก็ล้วนแต่พูดเรื่องเสื้อผ้า และเรื่องกฏกติกาที่จะได้ใส่เสื้อผ้าเล่นเกมกีฬาชนิดหนึ่งเท่านั้น กีฬาหรือการละเล่นนี้จึงมีชื่อว่า “เกมการเล่นการเมือง” ของพรรคต่างๆ
ซึ่งมันคือ เปลือกอันห่างไกลแก่นสารของตัวตนร่างกาย (ยังไม่ใช่จิตเลย) ซึ่งตัวตนร่างกายเนื้อแท้ของคำว่า ประชามีอธิปไตย นั้น ย่อมหมายถึง เมื่อหมดฤดูกาลเลือกตั้งแล้ว อำนาจอธิปไตยก็ยังเป็นเนื้อตัวตนของประชาชนอยู่ ไม่ใช่อำนาจเป็นของตัวแทน อำนาจไม่ใช่ไปตกอยู่ที่ผู้แทน ซึ่งเขาเป็นแค่ “ตัวแทนที่ได้ใส่เสื้อไปเล่นในสภา” โดยที่ปชช.ก็ว่าจ้างให้เงินเดือนตัวแทนเหล่านี้ ไปเล่นเพื่อพวกประชาชน แต่ถ้าตัวแทนเล่นเพื่อประโยชน์ของนายทุน ประชาชนเจ้าของอำนาจก็มีสิทธิ์ตะเพิดขับไล่ลูกจ้าง คือ นักการเมือง ให้ออกจากความรับผิดชอบได้
แต่ส.ส.และหัวหน้าพรรค ดันหลงเข้าใจผิดหนักเข้าไปอีก ว่า พอเลือกตั้งแล้ว เขาเป็นฝ่ายมีอำนาจใหญ่ เพราะประชาชนเลือกเขามาให้ขึ้นไปรับอำนาจ ครั้นหมดฤดูกาลเลือกตั้งแล้ว ประชาก็ไม่มีอธิไปตย ซึ่งก็คือ ประชาไม่ใช่ผู้มีประชาธิปไตย ! นี่แหละคือ การที่นักการเมืองยังไม่มีความรู้เรื่อง ประชาธิปไตยแม้ในขั้นหยาบๆ คือ แก่นกาย
ส่วนในเรื่องลึกซึ้งระดับ จิตวิญญาณที่มีอำนาจ หรือได้รับอำนาจอธิปไตยมาจากประชาชนนั้น อย่าไปถามหาเลยดีกว่า เพราะเขายังไม่เคยรู้ว่า ในโลกนี้จะมีใครกัน ที่จะมีอำนาจขึ้นมาเพราะ ประชาชนเป็นผู้น้อมใจกราบไหว้เอาอำนาจใส่พานมาถวายให้
ซึ่งบุคคลที่จะให้ความรู้ในระดับจิตวิญญาณประชาไตยได้อย่างลึกซึ้งนี้ ควรเป็นพระโพธิสัตว์ที่ผ่านการเก็บความรู้มาหลายวัฏสงสาร ซึ่งความรู้ข้อแรกนั้น ควรยกให้กับคำว่า จิตวิญญาณแห่งประชาธิปไตยนั้นควรเกิดจาก อิสรเสรีภาพ
ข้อ ๒ และข้อ ๓ ขอกราบอาราธนาพ่อท่านให้ความรู้ต่อเลยครับ (ผมเจ็บคอ พูดมากไม่ได้)
พ่อครูว่า..
แม้ว่าผู้ที่เข้าสมัครแข่งขันนั้นเขาจะรู้ว่าเขามีความรู้มากกว่านายกฯตู่ ภูมิมากกว่า เขามีคุณสมบัติจะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ดีกว่านายกฯตู่ แต่เขาจะรู้ภูมินายกฯตู่ ว่าถูกต้องเป็นอย่างนี้ เขาเป็นผู้ที่สูงกว่า เขาก็ไม่ดูถูกผู้ที่รู้น้อยกว่าแล้วจะไปคุยทำไม เขาก็ออกมาให้เลือกและขอทำงาน เขาก็ต้องส่งเสริมนายกฯตู่ เพราะอย่างไรก็ต้องทำงานกับนายกฯตู่ดีเพราะเขาสูงกว่าเขาก็มาทำงาน นายกฯตู่ หากเป็นโพธิสัตว์จึงรู้ว่าพี่มาแล้วก็ต้องช่วยกันทำงานไปหากนายกตู่ยังไม่ตาย สัจจะมันเป็นอย่างนั้นจะไม่ใช่คู่แข่งเป็นคู่เสริม เพราะมีภูมิรู้อันเดียวกันไม่แตกต่างกันไม่ขัดแย้งกัน เหมือนอาตมากำลังประกาศถามหาพี่ มาแล้วอาตมาจะรู้ว่าเป็นพี่ หากมาหาเรื่องจะเป็นพี่ได้อย่างไรมันต้องสอดคล้องกับอาตมา พูดถูกคอกันไปด้วยกันส่งเสริมกันเป็นผู้ที่จะสนับสนุนน้อง หากมาขัดแย้งมาตีทิ้งอาตมาคนนี้เป็นน้อง น้องจะตีพี่ พี่ไม่ตีน้องหรอก นี่คือสัจจะ อาตมาพอจะรู้ได้ว่าใครเป็นพี่จริงไม่เป็นพี่จริง อาตมาไม่ได้ปิดกั้นพี่ ใครเป็นพี่ก็มาแสดง ยิ่งเป็นฐานะใกล้กันก็มาแสดงก็ยิ่งดี และมีความซับซ้อน ผู้ที่มีฐานะทางโลกกว่าอาตมาขณะนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะสูงกว่าอาตมา เพราะว่าอาตมามีธรรมะมากกว่าโลก คนนั้นมีโลกมากกว่าธรรมะ เขาเลยแสดงออกให้โลกรู้ง่าย อาตมานั้นโลกจะไปรู้ได้อย่างไรว่าสูง เพราะไม่มีเรื่องโลกแม้แต่ปริญญาตรี ปริญญาจัตวา ได้เป็นนายสิบก็ยังไม่ได้เป็นอย่าพูดถึงนายร้อย ไม่มียศฐาบรรดาศักดิ์ศักดิ์ศรีอะไรเลยในชาตินี้
พ่อครูว่า..ผู้ที่เป็นนักประชาธิปไตยที่แท้จริงจะไม่หาเสียง ให้ประชาชนเขารู้เองว่าเราคือคนที่ประชาชนต้องเลือกไปเอง หากประชาชนไม่บอกไม่ต้องว่าฉันเป็นนักประชาธิปไตยที่จะไปช่วยคุณ นักประชาธิปไตยจริงจะไม่พูด ถ้าหากพูดก็คือดูถูกประชาชนต้องไปครอบงำความคิดต้องไปอวดตัวตนว่าฉันเป็นนะ ถ้าคุณเป็นจริงประชาชนก็มีดวงตามองเห็น มองออกเอง เพราะฉะนั้นคนที่ ปุ๊บปั๊บ เป็นน้องใหม่เป็นส.ส. ใหม่ก็ยังหรอก ประชาชนยังไม่เห็นฝีมือ ก็ยังไม่ต้องท้อใจทำงานไป แต่นักการเมืองหน้าเก่าๆที่เขาไม่เลือกนั้นใช่แล้วล่ะ ถ้านักการเมืองหน้าเก่าๆเขาเลือกนั้นก็ใช่เลย
ประชาธิปไตยคราวนี้ ผู้ที่ประชาชนเลือกนั้นใช้ได้ คนที่จะได้นั้นต้องมีเล่ห์กล ถ้ามีการขี้โกงแทคติกต่างๆ ถึงจะได้นั้น ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ใช้แทคติกต่างๆ ได้รับเลือกไปจริงนะ คนนั้นใช่เป็นนักประชาธิปไตย ถ้าใครยังหาเสียง ยกตัวอย่างคุณเฉลิม อยู่บำรุง อย่าเลือกเป็นอันขาดเลยบาป ใครเลือกเฉลิม อยู่บำรุงและลูกชายนั้นบาป ขออภัยต้องพูดตรงๆเป็นตัวอย่างที่ง่าย หมอเหวงก็อีกเป็นต้น แต่จตุพรนี้ลงสมัครไม่ได้ หากตอนนั้นเขาสำนึกตัวก็อีกอย่าง เขามีพัฒนาการการสำนึกตัวอยู่นะเท่าที่ดู อาตมาให้คะแนน จตุพรเป็นน้องชายของมหาระแบบที่เป็นตัวการจะกำจัดอาตมา อาตมาไม่ได้ถือโทษโกรธเขาหรอก
เรื่องของประชาธิปไตยเรื่องการเลือกตั้งหรือเนื้อแท้ของประชาธิปไตยก็ดี ก็ค่อยอธิบายการไป ขออภัยอย่าหาว่ายกตัวเลย ชาตินี้อาตมาจะไม่ทำงานมีตำแหน่งทางด้านการเมือง
-
อาตมาอายุยาวนานแล้ว 2. อาตมาทำงานทำมามาก อาตมาไม่ต้องไปทำทางโลก จะทำทางนามธรรม อย่าหาว่าอาตมาหลงตนเอง ทางธรรมะไม่มีใครอธิบายได้ดีเท่าอาตมาอาตมาก็ต้องทำอันนี้ไปจนกว่าจะตายชาตินี้