611224_รายการสำมะปี๋ซีวิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 32
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1VjWzVcowV9LKsDK_qEJaBBdwHPN-8e2OE37WWHJ9Qkk/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1-moDAImP1JWmaM_ka4soi8Kzrc71wCLS
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก
_ทำใจให้ยินดีกับทุกเรื่อง ทำอย่างไรคะ
พ่อครูว่า…ก็ไม่ง่าย มันไม่ง่ายที่เราจะทำใจให้ไม่มีความรู้สึกไม่ชอบ ยินดีก็คือมันชอบ มันอาจไม่ถึงขั้นชอบ แต่ก็ไม่ถึงขั้นผลัก อารมณ์อาการจิต ต้องอ่านอาการจิตของเราให้เก่ง จิตของเรานี้ทำอย่างไรมันก็จะเป็นอย่างนั้นให้เราได้รู้สึก ทำให้เป็นอย่างไรมันก็จะเป็นอย่างนั้น ให้เรารู้สึก แล้วเราทำเป็นไม่ชอบมันก็ไม่ชอบ เราทำให้เป็นชอบ เราก็จะรู้สึกชอบ ถ้าเราทำให้มันเป็นเฉยๆ มันก็จะเป็นเฉยๆ
ทีนี้มันซ้อนที่ความเฉยๆนี่แหละ เราจะฝึกให้ไม่เป็นเพียงชอบหรือไม่ชอบ เราจะทำให้เป็นเพียงเฉยสัมผัสอย่างไรก็แล้วแต่เราก็จะเฉย ดีก็เฉยชั่วก็เฉย แรงก็เฉยเบาก็เฉย จะทำให้เราเจ็บปวดก็เฉยทำให้เรารู้สึกอร่อยก็เฉย มันก็ได้ ฝึกมากๆได้ เรียกว่าสมถะ และวิธีสมถะเขาก็ฝึกกันทั่วโลกแบบนี้ ฝึกการทำให้เฉย รู้นิ่งเฉยๆ รู้นี่คืออะไรๆ แล้วก็เฉยเลย แต่วิธีของพระพุทธเจ้าให้ศึกษาว่า ที่เรามันมีความรู้ ต้องวิจัยลงไปในนั้นว่า อาการกรรม กิริยาที่ประพฤตินั้นมันดีหรือมันชั่ว มันดีหรือมันไม่ดี นี่สิจะต้องอ่านต้องวิจัยให้ชัดตรงนี้ มันดีหรือมันไม่ดี
ถ้าเรามีใจแล้วจริงๆมันไม่ดีนี่ มันไม่ดีเราก็ไม่ควรจะชอบ แต่ถ้ามันดี นั่นแหละเราก็ควรจะยินดี ให้มันรู้สึก จับลิงคะ หรือ ความแตกต่างที่จริงของสภาวะธรรมะนี้ ต้องพิจารณาจริงๆนะ อ่านเสมอเมื่อเรากระทบสัมผัสกับสิ่งต่างๆ เราไม่ได้หนีเข้าป่าเขาถ้ำปิดหูปิดตา ลัทธิของพระพุทธเจ้านั้นจะต้องสัมผัส แล้วก็อยู่กับทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็จะต้องอ่านอาการ ลิงคะ นิมิต อย่างดี
อย่างน้อยก็ทางโลกเขาถือว่าดีหรือไม่ดี โลกถือว่าดีหรือไม่ดี บางทีโลกก็ถือว่าดี แต่เรารู้สึกว่าก็ยังไม่ดี เราจะมีนัยะลึกซึ้งไปอีกว่า มันยังมีเชิงเห็นแก่ตัวอย่างโลภมากมาให้แก่ตัวมันไม่เสียสละแท้ บางคนยังโลภมากเห็นแก่ตัว นี่เขายังโลภมากเห็นแก่ตัวนะ บางคนมีความโลภน้อยกว่านั้น บางคนไม่มีความโลภเลย อย่างนี้เป็นต้น ก็จะได้การเทียบเคียงไป ค่อยๆศึกษาไปก็จะยิ่งมีเชิงปัญญารู้ชัดเจน เราก็จะมีปัญญาหรือมีความฉลาดที่รู้ความจริงลึกซึ้งขึ้น ไปเรื่อยๆ แล้วเราก็ทำจริงๆ เป็นคนที่จะไม่เป็นแบบอย่างนั้น เราเห็นว่าไม่ดีไม่ควร ไม่น่าจะเป็นเราก็อย่าไปทำ อย่าให้มีอาการอย่างนั้น อย่าให้มีพฤติกรรมอย่างนั้น ให้มีพฤติกรรมที่ดีอย่างนี้ดีกว่าควรกว่า เราก็ควรจะประพฤติแบบนี้อย่างนี้เป็นต้น
ค่อยๆศึกษาไปแล้วเราจะรู้ละเอียดขึ้นรู้ความจริงของตัวเอง วิจัยได้เอง ก็จะเจริญขึ้น ดีไม่ดีเจริญนำหน้าอาตมาก็ได้นะ
_นร. …ถามว่า ถามว่า เด็กนร.สัมมาสิกขา ที่เข้าสอบ ว.บบบ. ต้องเข้ากระบวนการกลุ่ม เพื่อสอบไหม? หรือว่า ต้องเรียนตามปกติ
พ่อครูว่า…มันก็ต้องเข้ากับเขาสิ จะไม่เข้ากับเขาแล้วจะไปเอาแต่สอบมันก็ถือว่าไม่เต็ม มันก็ไม่ได้คะแนน คะแนนที่เข้ากระบวนการกลุ่มบำเพ็ญธรรมบำเพ็ญคุณ ก็ต้องเข้ากระบวนการกลุ่มด้วย
_ส.ฟ้ารู้ฝากข้อเสนอของโยมมาว่า..ถ้าบ้านราชจะให้คนอยู่ได้เป็นพันควรจะสร้างคอนโดสัก 2-3 หลังผู้สูงอายุและคนที่อยู่เก่าบ้านทรุดโทรมให้ไปอยู่คอนโดให้หมด 5 ชั้นก็พอ ชั้นบน ไว้ประชุมหรือปลูกผักสวนครัวก็ได้ชั้นล่าง 3 ชั้นเป็นที่พัก ชั้น 2 เป็นห้องประชุม และทำกิจกรรม ผู้สูงอายุไม่เหมาะ ไปอยู่ หลังละคน แล้วให้มีเด็กรู้ดูแลผู้สูงอายุทุกชั้นมีกิจกรรมการเรียนการสอน นักเรียนผู้ดูแล ผู้สูงอายุ อาจจะขาย ห้องละ 2 ถึง 300,000 บาท อยู่ได้ 2 คน ก็จะมีผู้ไปอยู่ที่บ้านราชเพิ่มมากขึ้น อย่างรวดเร็ว ผู้สูงอายุไม่ต้องหอบที่นอนหมอนมุ้งเดินทาง ค่ะ
พ่อครูว่า…คอนโดฯก็มีส่วนตัว ถ้าคนไหนที่เขามีความรู้สึกอยากได้ส่วนตัวมากๆ ก็คิดว่าคงไม่เหมาะสมที่จะมาอยู่ที่นี่ มาอยู่ที่นี่ต้องตั้งใจว่าเราจะต้องละความเป็นส่วนตัว มาอยู่เพื่อที่จะไม่ยึดมาเป็นความเป็นส่วนตัวให้ได้ จนกระทั่งไม่ยึดความเป็นส่วนตัวได้หมดเลยได้นี่แหละคือแท้ๆของที่นี่ ถ้ายังมีส่วนตั๊วส่วนตัวอยู่ก็ยังยาก มันจะต้องเสมอสมาน ไม่มีอะไรแตกต่างไม่มีอะไรที่จะไปมีตัวขัดแย้ง ต่างๆนานา มันเหมือนๆกัน คละเคล้า ส่วนใหญ่ 3 อันเป็นแบบนี้เราไม่จำเป็นจะต้องพิเศษแตกต่างต้องโดดเด่นกว่า ต้องมีอะไรที่ มีแง่เชิงที่เราจะชู ชูในแง่สะอาดก็ได้ ในแง่สกปรกในแง่ซกมกในแง่ไฮโซก็ได้มันได้ทั้งนั้นถ้าเราจะโชว์อะไรเด่น
แต่ถ้าเผื่อว่ามันก็ไม่ได้แยกตัวเองให้เด่นเกิน เพราะฉะนั้นที่ท่านใช้คำว่า สังคมของพระศรีอารย์ คนลงมาจากบันไดบ้านเดินแล้วคนก็ดูเหมือนกันหมดไม่รู้ว่าใครเป็นใคร นี่คือความหมาย ช่างไม่มีอะไรแตกต่างไม่มีค่าอะไรที่จะบอกว่ามากน้อยสูงต่ำ มันเหมือนกันไปหมดเลย อย่างนี้ต่างหากคือความเป็นหนึ่งเดี๋ยวที่แท้จริง แต่แท้จริงมันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่ก็ต้องพยายาม ลดความแตกต่างให้ได้มากๆ
ใครยังยึดถือคุณก็ต้องแปลกต้องเด่นต้องพิเศษไม่เหมือนส่วนใหญ่ไม่เหมือนส่วนรวม คนที่จะไม่เหมือนส่วนใหญ่ไม่เหมือนส่วนรวมได้นั้นคือความรู้ความสามารถความพิเศษ อุตริมนุสธรรม มันเด่นกว่าจนกระทั่งตามไม่ทันจริงๆ นี่ต่างหากคือความเหนือ ไม่เหมือนพิเศษ ส่วนความสามัญที่ไม่ใช่เรื่องอุตตริมนุสสธรรม มันก็ต้องเหมือนกันหมด ส่วนอุตริมนุสธรรมเท่านั้นที่มันเด่นกว่าด้วยที่เรียกว่า คุณอยากเด่นเท่าคุณจะต้องทำอุตตริมนุสสธรรมให้เท่าจึงจะเหมือนกับท่านได้
จึงใช้สำนวนว่า โสดาบันเสมอโสดาบัน สกิทาคาเสมอสกิทาคามี อนาคามีเสมออนาคามี อรหันต์เสมออรหันต์ มันเสมอ เมื่อถึงขั้นนี้ก็เสมอกันแล้วพระโสดาบัน ขั้นนี้เป็นสกิทาคามี ขั้นนี้เป็นอนาคามี ขั้นนี้เป็นอรหันต์ อรหันต์ขั้นที่ 5 ขั้นที่ 6 ขั้นที่ 7 ขั้นที่ 8 ขั้นที่ 9 เหมือนกัน อย่างนี้ต่างหากเสมอ
ประเภทที่อยู่สูงกว่าเขาเสมอนั้นจะพยายามลงมาหาต่ำ ลงมาหาให้เหมือนกัน ข้างล่าง เพราะข้างล่าง ที่ลงมานั้นเป็นสมมติ สมมติลดลงมาข้างล่าง แต่อาริยะหรือปรมัตถ์ อุตริมนุสธรรมจะให้เสมอเหมือนนั้นยากมันไม่ง่าย คนที่ได้แล้วสูงจะลงมาเป็นต่ำมันจึงไม่มีปัญหามันง่าย แล้วก็ไม่ได้ยึดถือ เพราะฉะนั้นจะมาทำอย่างคนส่วนใหญ่เขาทำได้มันง่ายกว่าเราไปทำสิ่งที่สูงสิ่งที่ประเสริฐอุตตริมนุสสธรรม มันแอ๊คไม่ขึ้นหรอก แอ๊คอย่างไรก็ไม่ได้ จะไปทำความพิเศษที่รู้ว่าใครเขาก็ทำได้ซกมกสกปรกอย่างนี้ แต่ที่ยากจริงๆคืออุตริมนุสธรรม คุณเสแสร้งทำไม่ได้อันนั้นต่างหากที่มันไม่เสมอ แต่ไอ้ที่ธรรมดานี่ อย่าทำให้แปลกที่มันไม่เข้าท่าเลย ให้มันแปลกแยกออกไป
_เอื้อมเอื้อ สมัยที่พ่อท่านและหมู่อโศกเชียร์และชื่นชมทักษิณ ต้องบอกเลยว่าดิฉันไม่เห็นด้วยเพราะมองยังไงก็รู้และดูออกว่าหัวพ่อค้า และทุนนิยมจะไปได้ยังไงกับบุญนิยมสุดขั้วอย่างอโศก แต่พ่อท่านก็เอื้อมและเอื้อให้เขา ขนาดลงพท.มอบกลดให้เขาอีก สมณะที่เชียร์ก็ยังบอกญธ.อีกว่าหานายกคนดีเช่นนี้ไม่มีแล้วเพราะลุงรับรองว่าเขารวยแล้วไม่โกง (ก็ลุงเป็นทหารคนซื่อ) ตอนนั้นฟังก็รู้สึกสะดุด อยากพูดแต่พูดไรไม่ได้เก็บไว้ เลือกตั้งไม่เคยเลือกอย่างที่คนวัดพากันไปเลือกดอกแต่ไม่พูด สุดท้ายก็ต้องออกถนนไปไล่คนโกงที่ไม่รู้จักพอ แต่แม้พ่อท่านจะชี้นำผิดพลาดทางการเมืองยังไง ดิฉันก็แยกแยะออก ว่าฟังธรรมะพ่อท่านยังไงให้ได้ปย.ไม่ตกหลุมพราง ครั้งนี้ก็เช่นกันไม่เห็นด้วยกับที่พ่อเชียร์ออกหน้า แต่นั่นก็เป็นเรื่องของท่าน ซึ่งทำถูกในแบบของท่าน อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดตามดูกันต่อไป ยังไงท่านก็ไม่มีอะไรให้ต้องเสียอยู่แล้ว นั่นคือความจริงตามสัจจะ
…พ่อท่านตัดสินที่ปัจจุบันตามที่ท่านมีข้อมูลตามจริงของท่าน ทุกคนก็ตัดสินตามข้อมูลความจริงของตน ส่วนภูมิหยั่งรู้ละเอียดลึกซึ้งนั้นไม่อาจก้าวล่วงได้ บางเหตุปัจจัยเคยคิดไปว่าท่านอาจต้องการให้มันเกิดอะไรเพื่ออะไรบางอย่างก็เป็นได้
พ่อครูว่า…อันนี้แหละ อาตมาทำอย่างที่อาตมาทำ ก็ต้องมีเหตุปัจจัยที่อาตมาต้องการให้เกิด อะไรเป็นอะไรแน่นอนใช่ไหม คุณต่างหากเข้าใจอาตมาไม่ได้คุณก็ไม่ทำ แต่คุณก็ทำให้เกิดไม่ได้ ทำให้เกิดหมู่มวลอย่างที่อาตมาพาทำไม่ได้ แต่อาตมาทำได้อาตมาก็ถือว่าแต่มาทำสำเร็จ แต่คุณก็เอาแต่คิด แต่คุณก็ทำ ให้มีมวลให้มีการเกิดให้มีการพัฒนาการ เจริญมากกว่าจะมาไม่ได้ คุณก็มองอาตมาแทนที่จะมาร่วมมือจะผิดอย่างไรไม่ตรงกับเราอย่างไร แล้วก็จะถือว่าความไม่ตรงนี้คุณภูมิใจ คุณก็จะได้อยู่แต่เพ่งโทษ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าผู้ที่เพ่งโทษผู้อื่นนั้น อาสวะเจริญยิ่ง โดยเฉพาะเพ่งโทษผิด เพ่งโทษ ผู้ที่เขาถูกกว่ายิ่งอาสวะเจริญยกกำลังคูณเข้าไป แล้วคุณก็จะจมเข้าไปในตัวเองๆๆ เพราะมานะอัตตาคุณก็จะยิ่งถือดี
การเข้ามาอยู่ในมิตรดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีจะได้รายละเอียด มีการตัดสินอะไรได้อีกเยอะ ถ้าเราเอาแต่ตัดสินเองแล้วอยู่คิดเอาเองมันก็จะมีแต่ตรรกะๆๆ กับเสริมอาสวะส่วนตัว เพราะมันตัดสินแล้วสั่งสม อาสวะก็เพิ่มๆๆ แล้วก็อยู่ตัวคนเดียว แต่อยู่ที่นี่ถึงอย่างไรหมู่กลุ่มก็ตัดสิน หลักเกณฑ์ เยภุยสิกา ศาสนาพุทธก็ใช้ ในกลุ่มนี้มีคนฉลาดมากกว่าคนโง่ โดยเฉพาะโสดาบันขึ้นไป ปุถุชนนั้นน้อย ปุถุชนที่ยังไม่เป็นโสดาบันมีน้อยในชาวอโศก
หมู่กลุ่มชาวอโศกทุกวันนี้เนื้อแท้อยู่ในฐานอนาคามีขึ้นไป ผู้ที่ยังอยู่ต่ำกว่าอนาคามีก็ต้องมีอยู่บ้าง แม้เป็นสกิทาคามี เป็นพระโสดาบัน แต่ปุถุชนจะมีน้อย เพราะฐานชาวอโศกส่วนใหญ่อยู่ที่อนาคามี สาธารณโภคีนี้คืออนาคามีเป็นแกนหลัก
ผู้ใดยังไม่เป็นอนาคามี ยังไม่ทำงานให้กับส่วนกลาง 100% คนนั้นก็ยังมีส่วนตัวตน แน่นอน มากหรือน้อย
_พระพัฒสา ไชยพันโท …อาจารย์ยันตระ คุณทักษิณก็น่าที่จะอยู่กับปัจจุบันขณะเช่นเดียวกัน ต่างแต่ว่าทั้ง 2 ท่านมีคนมุ่งร้ายหมายร้ายถึงชีวิต ส่วนพ่อท่านนั้นพยายามเชื่อมกับขั้วที่ทำให้อยู่ได้ จึงอยู่ได้ อาจเรียกว่าเป็นบารมีหรือความเก่งของพ่อท่านก็ได้
พ่อครูว่า…มานะอติมานะ จะซ้อนในจิตมนุษย์อีกเยอะจะปปัญรามตา หมายความว่าอยู่ในความเนิ่นช้าโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้
_ปาลิตา ท่านเจ้าคะปีใหม่ปีนี้ขออนุญาตไม่ไปสอบน่ะเจ้าคะ ไม่มีเงินค่ารถ ขายไม่ค่อยดี จะเป็นกำลังใจให้ทางทีวี ฝากน้อมส่งกำลังใจให้พ่อครูด้วยน่ะเจ้าคะ มันไม่ค่อยปีตังค์ ปีหน้าจะวางแผนดี ๆ เจ้าคะ
พ่อครูว่า…ปัญหาแห้งมาเยอะเลยดีๆๆตอบสลับกับปัญหาสด
_น้ำมนต์…หนูขอสอบ ว.บบบ.ได้ไหมคะหลวงปู่
พ่อครูว่า..แล้วหนูคิดว่าตัวเองจะสอบได้ไหมล่ะ จะเข้าสอบกับพี่ป้าน้าอาเขาได้ไหม
_น้ำมนต์ว่า… ได้นิดหนึ่ง
พ่อครูว่า…นิดหนึ่งก็สอบได้ ดีนะ ข้อสอบก็ไม่เสียหายอะไรถ้าคิดไม่ได้นิดนึงก็เอาเลย ต้องหัดให้กล้าไว้ เด็กๆ ไม่มีเสียอะไร มาสอบก็ได้ประสบการณ์เอาเลยหลวงปู่ยุส่งเลย สอบเลยๆ
_หลวงปู่เห็นภาพนี้แล้วคิดอย่างไรกับภาพ …ภาพ วงกลมแล้วมีจุดจุดศูนย์กลาง
พ่อครูว่า…ก็คิด เป็นความรวมกับจุดอยู่ตรงกลาง แล้วการดีความก็แล้วแต่ใครจะคิดให้ลึกซึ้งเปรียบกับอะไร จุดศูนย์กลางจะเป็นจุดเล็กๆจุดหนึ่ง จะมีจุดอะไรขึ้นมาก็แล้วแต่ก็เริ่มความมีขึ้นมา กับวงกลมคือความกว้างของวงกว้าง จะขยายวงกว้างนี้เป็นเอกภพหรือเป็นอะไรก็ได้
สรุปแล้วคือมี 2 มี 1 จุดกับ 1 วงกว้างเท่านั้นเอง เอกภพก็มีสองสภาพ คือ เทวฺ
สู่แดนธรรมว่า… เป็นเครื่องหมายของอนุตตรธรรม
พ่อครูว่า…ก็ได้แต่เขาตีคำว่า เทวฺออกหรือไม่ หากเขาตีแตกก็อธิบายได้ อย่างอาตมาอธิบายไปเท่าไหร่ก็ได้ความเป็นทั้งหมดกับความเป็นหนึ่งก็ได้เลย หรือ จะให้อธิบายว่า จุดนี้คือ 0 วงกว้างคือ ทุกสิ่งทุกอย่างเลย Infinity ก็ได้ เท่านั้นเอง 0 กับล้านอันเดียวกัน เราจะรู้ว่า 0 ก็มีสิ่งๆหนึ่ง ล้านก็มีสิ่งต่างๆนานาแตกต่างเป็นล้าน อธิบายได้ด้วย เห็นแล้วรู้จักความหมายด้วย แต่ อยู่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันได้
เรารู้ความต่าง Unity of diversity เรารู้หนึ่งเดียวกันแต่มีความต่างที่หลากหลาย เพราะฉะนั้นทำไปแค่ 2 1 วงกลมกับอีก 1 จุด แค่นี้ทำไมจะไม่เข้าใจ
จะเอาจุดเข้าไปใส่ในนั้นอีกล้านจุดก็เข้าใจได้ วงกลมคือ 1 จุดล้านจุดก็คือหนึ่งเดียวกันอยู่ด้วยกันได้เป็น Unity ได้
_หากเราสงสัยในกิเลสกามยังไม่ชัดในทุกข์จะทำอย่างไรดีคะ
พ่อครูว่า…คุณก็พิสูจน์เข้าไปแล้วพิจารณาให้เห็นโทษของกามเรียกว่า กามาทีนวะ มันจะต้องมีคู่ แล้วการมีคู่นี้คือการแตกตัวไปอีก จนยาว ไปในวัฏฏสงสารอีกมาก หากเราตัดเสียไม่มีคู่ การที่จะไปมีวัฏฏสงสารก็ยิ่งจะสั้นลง ยิ่งตัดคู่ เพราะคนมีคู่วิบากมากกว่ามากในโลก มาก ขนาดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดมยังมีวิบากคู่มีพระนางพิมพา นอกนั้นก็ยังมีพระสนมอีกเยอะแยะ แต่พระสนมท่านตัดได้เก่งเหลือพระนางพิมพา ปล่อยให้พระนางพิมพามากอดขาร้องไห้ แต่สุดท้ายท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปแล้ว ก็ปล่อยพระนางพิมพา จะอยู่ในวัฏฏสงสารตามโพธิสัตวภูมิ ถ้าจะปรินิพพานก็เรื่องของนางพิมพา ถ้าไม่ปรินิพพานก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา การตัดเรื่องคู่นี้ยิ่งใหญ่แล้วนะสำหรับพระพุทธเจ้ากับพระนางพิมพา
แต่เศษคู่วิบากของนางพิมพาก็มีนะ แต่เบาลง พระพุทธเจ้าองค์ใหญ่หนักหมดไปแล้วนอกนั้นก็เบาลง น้อยลงก็ตัดได้ง่ายขึ้น ถ้าเอาจริงก็ไม่มีปัญหา ถ้าไม่เอาจริงเผลอเมื่อไหร่แล้ววิบากจะยาวยืดไปอีกของใครของมันนะ
กิเลสกามถ้ายังไม่ชัดจะทำอย่างไรดี ถ้ายังไม่ชัดก็ อาตมาแนะนำให้ ตัดมันเลย เชื่ออาตมาไหมล่ะ ตัดดีกว่ากาม ถ้ายังไม่ชัดตัดมันเลยรับรองว่าไม่เสีย ถ้าคุณต่องแต่งๆ อันนี้อาตมาไม่ส่งเสริม อาตมาส่งเสริมที่ตัดเลย เพราะกามไม่มีทางที่จะพาคุณเจริญมีแต่ทำให้เวียนเกิด
_ถ้าปัญหาอยู่ที่ความคิดของเรา สร้างทุกข์ให้ตนคิดให้ตนเองทุกข์แล้วควรแก้ตนเองอย่างไรค่ะ
พ่อครูว่า…คุณถามมาน่าจะรู้ตัวเองมันวนอยู่ในทุกข์จะแก้อย่างไร ก็ให้เลิกจะไปตามใจทุกข์ ก็ทุกข์เป็นของไม่น่าชอบใจไม่เห็นจะยากเลย จะไปตามใจมันอยู่ทำไม หักมันดื้อๆสมถะก็ยังดี(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
เทวะ จะหลอกถ้าอยู่กับสุขกับทุกข์มันเป็น 1 2 ไม่จบ คุณตัดเรื่องทุกข์มันก็ตัดความสุขด้วย ระหว่างความสุขมันจะหลอก อันนี้มันคู่กับทุกข์ คุณก็ตัดมัน
_คนจนที่มีแบบอย่างไร
พ่อครูว่า….ก็ให้อ่านหนังสือคนจนที่มีแบบ
ต้องเห็นได้ด้วยปัญญาชัดเจนจะไม่วนเวียน ปัญญานี้ อธิบายความมากกว่านี้ก็ยังไม่เก่ง เป็นธาตุรู้ที่รู้จบในตัวเอง ปัญญาเป็นที่สุดเป็นอรหันต์แล้วเป็นโลกุตระ
โลกุตระนี้ ไม่ใช่แค่คิดเอา ต้องเริ่มศึกษาตั้งแต่ศีลแล้วเป็นไปตามลำดับ จะเข้าใจอย่างกว้างๆไม่ได้หรอก ต้องเข้าใจใน1 คู่ 2 คู่ 3 คู่ 4 คู่ไปเรื่อยๆ ไม่มีทางที่จะชัดเจนในโลกุตระได้ง่ายๆ โลกุตระคือมันไม่ใช่โลกียะที่ต้องวนเวียน โลกุตระที่จริงคือมันไม่เอาแล้ววนอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่มีอะไรเลยจบเลิก นั่นคือโลกุตระที่สมบูรณ์ อะไรที่สมบูรณ์ที่เรียกว่าอบายมุข มันไม่มีเลยในเรา จะมาในท่าทีหลอกล่ออย่างไร ไม่มีทางหลงทางเลย อบายนี้สูญ นี่เป็นตัวต้นนะ อบายมุข
_อจินไตย ๔ คืออะไร
พ่อครูว่า…อจินไตย 4 คือความคิดเอาเองก็ได้ แต่คุณต้องมีสภาวะตามนั้นคุณจึงจะได้ เช่นความเป็นพระพุทธเจ้าคุณคิดเอาได้ไหม ไม่ได้ นี่เป็นอจินไตยข้อที่ 1 เรียกว่าพุทธพิสัย มันคิดเอาไม่ได้
อจินไตย 4
(เรื่องรู้ยากที่บุคคลไม่ควรคิด)
1. พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
2. ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน .
3. วิบากแห่งกรรม
4. ความคิดเรื่องโลก (จักรวาล เอกภพ)
(พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 77)
-
ฌานวิสัย ความเป็นฌาน ทุกวันนี้วงการศาสนาพุทธกันมั่ว มันยังไม่ใช่ฌานทั้งนั้น ถ้าเขาเข้าใจว่าฌานคือการนั่งหลับตาแล้วเข้าไปอยู่ในจิตนิ่งอยู่ในจิต สงบๆ นิ่งๆนั้นคือชา ไม่ใช่ ฌาน แปลว่าไฟ ฌานคือ พลังงานของจิตที่เป็นอุณหธาตุ ใครสร้างอุณหธาตุที่เรียกว่าพลังงานร้อน ก็ไม่มีอะไรที่ยิ่งใหญ่เท่ากับไฟ จึงใช้คำว่าธาตุไฟแทนอุณหธาตุ สร้างพลังงานให้เกิดพลังงานไฟ ตามที่คุณจะต้องเข้าใจด้วยปฏิภาณปัญญา แล้วมันจะมีฤทธิ์สลายไฟราคะ ก็คือความร้อน ไฟโทสะ ไฟโมหะ มันมีฤทธิ์เหนือกว่าราคะ โทสะ โมหะ
การสร้างพลังงานจิตให้เกิดพลังงานที่ได้ ไฟร้อน ฌานไม่เย็นเลย ฌานนี้ร้อน ร้อนการสลายความร้อนของราคะ โทสะ โมหะของเราเองได้ให้หายไปเลย เพราะฉะนั้นคนจึงเข้าใจคำว่าฌานวิสัยไม่ง่ายหรอก
ที่เขาว่าฌานคือผิดทั้งนั้น ฌานคือไฟ ยังดีมีพจนานุกรมหลายฉบับที่ยังแปลว่าไฟ แต่ที่แปลตรงกันหมดไม่มีคำว่าไฟก็คือ เพ่ง เขาแปลฌานว่าคือการเพ่ง ซึ่งเป็นเชิงสมถะ เพ่งคือจดจ่อจ้อง hypnotize ไม่ใช่
แต่ฌานคือรวบรวมพลังงานจิตสร้างพลังงานจิตให้เป็น Coefficient มีพลังงานสูงขึ้นให้สลายพลังงานไฟราคะ ไฟโทสะ ฌาน เป็นเรื่องอจินไตยคิดเอาไม่ได้เดาเอาไม่ได้ ฌาน ที่เป็นโลกุตระเป็นสภาวะที่แท้จริงนั้น
สรุปแล้วฌานวิสัยเป็นอีกอันหนึ่งเป็นอันที่สองของอจินไตย 4
-
กรรมวิบาก มีคนอวดเก่งจะมาหักล้างเป็นเจ้ากรรมนายเวรให้ ไอ้คำว่า เจ้ากรรมนายเวรนี้ก็คือพระเจ้า คือผู้ที่มีอำนาจกรรมทั้งหลายมันไม่มีหรอก ขี้หลอก เรานี่แหละเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราเอง ไม่มีใครเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราได้ เรานี่แหละทำกรรมของเราเอง กรรมนั้นมันพาเราเกิดพาเราเป็นไม่ใช่พระเจ้าพาเราเกิดพาเราเป็น ไม่ใช่ ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่พระเจ้า ไม่ใช่อะไรอื่นมาทำ เราเองตัวกูของกูนี่แหละทำเอง จะดีจะชั่วจะเป็นยังไงก็กรรมพาเกิดมาเป็นทั้งนั้น
คนที่ไม่เชื่อกรรมวิบากคนนี้จะยังอยู่ในวัฏสงสารอีกนานมาก เพราะอัตภาพใดที่คนเกิดมาเป็นเซลล์ไปตามกรรมวิบากทั้งนั้น
กว่าจะได้อัตภาพที่เป็นมนุษย์นั้นนานนะ สำนึกของสัตว์เดรัจฉานว่าอะไรดีหรือไม่ดีมันจะมี สำนึกของสัตว์เดรัจฉานที่มันช่วยสัตว์อื่น เราก็เอ็นดูมัน มนุษย์ก็เอ็นดูคนอื่นที่ช่วยสัตว์คนที่ช่วยคน คนที่ช่วยคนอื่นคนที่เสียสละเพื่อผู้อื่น แม้แต่สัตว์มันก็เอ็นดู สัตว์เดรัจฉานตัวใหญ่ ช่วยสัตว์ตัวเล็กๆเอ็นดูสัตว์ตัวเล็กๆมันน่าเอ็นดูซ้อนไหม
แม้แต่สัตว์เดรัจฉานตัวใหญ่ก็ตามตัวเล็กก็ตาม มันช่วยสัตว์ตัวอื่น ยิ่งช่วยคน สัตว์เดรัจฉานที่ช่วยคนยิ่งน่าเอ็นดูมันมากใช่ไหม เพราะฉะนั้นคุณสมบัติคุณธรรมอันนี้แหละ ยิ่งใหญ่ขึ้นทุกวันเลย คนที่ไปช่วยคน สุดยอด คนที่เสียสละช่วยคนนี้สุดยอด
ก็นายชัด อุบลจินดา ใช่ไหม ที่ไปนอนให้ฝรั่งผัวเมียเหยียบขึ้นจากโคลนเลนทะเล คนเห็นภาพเสียสละแล้วเอ็นดูกันทั่วโลก
เหตุการณ์13 หมูป่า ก็เป็นเรื่องสุดยอด ต่อไปคนที่เสียสละช่วยคนจะได้คะแนนไปเรื่อย ยิ่งช่วยอย่างจริงใจ ช่วยอย่างไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนเหมือนอย่างนาย ชัด ช่วยฝรั่ง 2 คนอย่างไม่ได้ต้องการอะไรเลย ช่วยแล้วก็ไป ตอนนี้ก็ปวดหลังแล้ว ก็เป็นวิบาก ตอนนี้ก็ช่วยกันอยู่ คนก็ได้ออกข่าวช่วยกันก็เป็นวิบาก วิบากอันนี้ เป็นกรรมวิบากที่เข้าใจไม่ได้ง่ายๆ อย่าประมาทกรรมอันมีประมาณน้อย การกระทำอันมีประมาณน้อยเป็นวิบากสะสมทั้งนั้น
-
โลกจินตา เป็นอจินไตยข้อสุดท้าย เป็นความคิดของชาวโลกที่มากมายนับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้นคุณอย่าไปคิดเลย คนเขาจะไปคิดอย่างไรก็ได้ อาตมาก็คิดไม่ถึงพระพุทธเจ้าก็คิดไม่ถึง ท่านเองหยั่งดู เช่นกระเทยมันคิดอะไรขึ้นมาพระพุทธเจ้าจะไปคิดทันมันได้อย่างไร ความคิดของชาวโลกเขาคิดอะไรมันมีสารพัดหลากหลาย นึกว่ามันวิเศษอย่างไรเลย ไม่มีใครเคยคิดเลยจะทำอะไรให้แปลกที่สุด เขาคิดได้เป็นเรื่องแปลกแต่ไร้สาระ ที่มันมีอยู่แล้วคุณอยู่เหนือมันให้ได้ก่อน ตอนนี้คนมันคิดบ้าบอมามากแล้ว เอาก่อนๆ ไปคิดมาเติมอีกทำไม โลกจินตา คนที่คิดอะไรให้แปลกออกไปอีก คุณว่าแปลกไปได้อีก พวกนี้ขึ้นชื่อว่าศิลปินนี้คือพวกบ้าพวกนี้ แปลกไม่เหมือนใครเอกลักษณ์ๆ นี่แหละคือชาวนรก โลกจินตา น่าสงสารมากเลย
เพราะฉะนั้นคำว่าศิลปะศิลปินคือชาวนรก โลกจินตาสร้างอะไรให้แปลกกว่าเขาอย่างที่ว่าฉันเด่นเป็นเจ้าของชิ้นเดียวไม่มีใครเป็นเจ้าของฉันเป็นคนบ้าคนแรก โง่จนไม่รู้จะโง่อย่างไร นี่คือ โลกจินตา
เพราะฉะนั้นใครอย่าไปหลงความแปลกความใหม่ความที่ไม่เหมือนมวล มวลคนดีที่เหมือนกันอย่างเป็น พระศรีอริยเมตไตรย เหมือนกันไปหมดจนกระทั่งแยกกันไม่ออกว่าใครเป็นใคร เอาอย่างนั้นดีกว่าข้าจะต้องแปลกเด่นกว่าเขาเพื่อนเลย อย่างนั้นเขาคิดมาแล้วก็ยังอยู่ในโลกจินตา อยู่ในคือความวนเวียนอยู่แล้วนั่นคือความวนเวียน เขานึกว่าเขาเด่นเป็นเจ้าของใหญ่ที่สุดนั่นคืออัตตามานะที่ไม่รู้ตัวแล้วก็เป็นอย่างนั้นแหละศิลปิน อาตมาเคยเป็นศิลปินมามากมาย ชาตินี้อาตมาไม่มาเรียนศิลปะมากหรอก อาตมาเรียนศิลปะมาแค่ อนุปริญญา เท่านั้นเองไม่ต้องถึงปริญญา แล้วอาตมาก็สามารถชี้หน้าว่าพวกศิลปิน ที่หลอกลวง ขายงานราคาแพงจะตายชัก หลอกขายกระดาษและสี ราคา 10 ล้าน 50 ล้าน อันนี้ฉันเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ยังไม่รู้ว่าเป็นนรกที่ต้องมาใช้หนี้ เอาลิงมาให้มันป้ายสีใส่กระดาษแล้วไปขายราคาแพง แล้วไม่รู้เลยว่า มันมี assen point องค์ประกอบอื่นอีกคืออะไรมันไม่รู้เรื่อง คอมโพซิชั่น ของมันเขาไม่รู้เรื่อง Interest Point ก็ไม่รู้เรื่อง มีองค์ประกอบคอมโพซิชั่นอย่างไรต้องการให้รู้อย่างไรให้ได้สาระประโยชน์คุณค่าอย่างไร ให้มีคุณค่าคืออะไร ถ้ายิ่งมีคุณค่าทำให้เกิดจิตที่เป็นโลกุตระเลย มันคือศิลปะ
ศิลปะคือต้องเป็นมงคลอันอุดม ลดละหน่ายคลาย ยกตัวอย่างคนเขียนรูปนู้ดรูปเปลือยให้คนสัมผัส คนสัมผัสรูปเปลือยแล้วกิเลสกามลด อย่างนี้เป็นศิลปะ แต่ถ้าคุณเขียนรูปโดยให้คนสัมผัส เมื่อคนสัมผัสแล้วกามขึ้น นั่นคือรูปอนาจารไม่ใช่ศิลปะ อย่างปิกัสโซ่ เขียนรูปนู้ดคนดูแล้วอ้วกแตกเลยอย่างนั้นเป็นศิลปะ
แต่ศิลปะของปีกัสโซบางอันก็ก่อกามนิดหน่อย แต่ รูป รูป cubism ของเขาดูแล้วบิดเบี้ยวไปหมดเลย มันก็เป็นศิลปะที่ลดกิเลสกาม แต่ถ้ายิ่งทำให้ดึงดูดกาม อย่างนี้ไม่ใช่ศิลปะไม่ใช่มงคลอันอุดม เพราะฉะนั้นเข้าใจแค่นี้ยังไม่ได้ ศิลปินแห่งชาติจึงได้อุทานที่อาตมาบอกว่า ศิลปะนี้เป็นโลกุตระ ศิลปินแห่งชาติก็บอกว่า ศิลปะมีโลกุตระด้วยหรือ นี่คือคำอุทานของศิลปินแห่งชาติของไทย อาตมาก็น่าเห็นใจเขาเพราะเขาไม่เคยได้ยินไม่เคยได้ศึกษา ขนาดเขาเป็นศิลปินแห่งชาติ ได้รับเกียรติมาไม่รู้กี่รางวัล เพราะฉะนั้นคำว่าศิลปะจึงยากมหาศาล
พวกศิลปินพวกกะเทยเป็นต้น เขาชื่อว่าศิลปินแต่ไม่ใช่ศิลปินแท้ นี่แหละคือพวกสร้างความแปลกใหม่ความบ้าบอความเรียกร้องความสนใจ
_รูป 28 มีอะไรบ้างคะ
พ่อครูว่า…มีมหาภูตรูป 4 อุปาทายรูป 24
ก. ปสาทรูป 5
-
จักขุ (ตา)
-
โสตะ (หู)
-
ฆานะ (จมูก)
-
ชิวหา (ลิ้น)
-
กายา (กาย)
โคจรรูป คือเมื่อ ตากระทบรูปหูกระทบเสียง มีการเคลื่อน
ข. โคจรรูป, วิสัยรูป 4
-
รูปะ (รูป)
-
สัททะ (เสียง)
-
คันธะ (กลิ่น)
-
รสะ (รส)
-
โผฏฐัพพะ (สัมผัส)
เมื่อ ตากระทบรูปหูกระทบเสียง ก็เกิดการสภาพรู้
ค. ภาวรูป 2
๑๐ อิตถัตตภาวะ, อิตถินทรีย์ (ญ) . .
๑๑ ปุริสสัตตภาวะ, ปุริสสินทรีย์ (ช)
พวกเทวนิยมจะจมอยู่กับแค่ 2 นี้ เท่าที่เขาจะสมมติว่าดีที่สุดเท่าไหร่ ดีของเขาคือเสียสละ อยู่ในโลกีย์เท่านั้น จมในโลกีย์ ค่อยๆสูงขึ้นต่ำน้อยลง จนสูงสุดแล้วก็เหลิง ไม่นานจะหมดฤทธิ์หมดพลังอำนาจก็จะตกต่ำ
ถ้าคุณไม่ได้โลกุตระจากใครเลยคุณคิดเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องได้รับฟังจากสัตบุรุษแล้วจึงมีทางออกจากโลกุตระ นี่เป็นตัวสำคัญ ไม่เช่นนั้นคุณจะรอว่า ไม่ต้องฟังสัตบุรุษแล้วจะรู้เอง อะไรรับรองว่าคุณจะอยู่อีกกี่ล้านๆๆๆปี จึงจะหาทางออกได้ คุณถึงจะรู้โลกุตระ ซึ่งมันเป็นอีกโลกหนึ่ง เมื่อไหร่คุณจะต้องออกจากโลกนี้แล้วออกไปสู่โลกใหม่ได้มันอีก 5000 ล้านปีแสง คุณจะออกจากโลกโลกนี้ไปสู่โลกโลกใหม่อีก 5 ล้านปีแสง โลกลูกนั้นคือโลกโลกุตระ คุณจะไปสู่โลกนั้นได้อย่างไร คุณก็ต้องมาฟังสัตบุรุษบอกวิธี ว่า อ๋อ ศีล สมาธิ ปัญญา จึงจะไปได้ ถ้าคุณไม่รู้เริ่มต้นทางออกไปสู่โลกุตระอย่างไรมันก็มีแค่ 2 ออกจากคู่ 2 เป็นโลกุตระ เป็นตัวอย่างเป็นโมเดลอันหนึ่ง คุณทำโมเดลอันนี้ให้ได้คุณก็จะมี 4 มี 8 มี 16 มียกกำลังขึ้นไปอีก
_การที่เราคิดว่าชาติหน้ามีจริงถูกหรือผิด
พ่อครว่า…ไม่ผิด ถูก คนที่ไม่เชื่อว่าชาติหน้ามีจริงเป็นคนอุจเฉททิฏฐิ คนที่เชื่อว่าตายแล้วสูญคนนี้จะตกนรกซ้ำแล้วซ้ำอีก คนที่อุจเฉททิฏฐิ ไม่เชื่อว่าชาติหน้ามีจริงเขาจะกล้าทำบาป คนที่เชื่อว่าชาติหน้าไม่มี ชาติเดียวนี้ตายแล้วสูญ จบแล้วไม่มีอะไรต่อภพชาตินี้ก็หมด เขาเข้าใจว่าคนมีชาติเดียว คนที่เชื่อว่าถ้าตายแล้วจะต้องไปอยู่กับพระเจ้า เป็นชาติที่ 2 ก็ยังดี เพราะว่าพระเจ้ายังจะเป็นผู้พิพากษาว่าคุณทำดีคุณก็ได้ขึ้นสวรรค์ คนทำชั่วก็ต้องพระเจ้าพิพากษาให้ตกนรกก็ยังดียังมีผู้พิพากษาดีหรือชั่ว แต่แท้จริงคือการสมมติตามที่คุณเชื่อ คุณก็จะอยู่ในวัฏสงสารแบบนั้นเป็นเทวนิยม ถ้าคนมาเรียนอเทวนิยมอย่างที่พุทธเจ้าว่า พระเจ้าคือตัวเราเองเราพิพากษาตัวเราเองโดยหยุดทำชั่วอย่างสนิท ไม่ทำชั่วอีกเลย คุณก็หมดสวรรค์หมดนรก คุณก็ไม่ทำชั่ว ทำแต่ดี แล้วก็ซ้อนไปอีกว่า ดีนี้มายึดเป็นเราเป็นของเรา คุณก็ปฏิบัติความดีนี้ไม่ยึดถือเป็นเราเป็นของเราได้จริงๆเลย ใช้ภาษาพูดแค่นี้ คุณตายแล้วไม่ยึดดียึดชั่วคุณก็ว่างกลางเลย มี มุญจิตกัมมญตาญาณ ปล่อยวางแล้ว สุญญตนิพพาน อปณิหตตนิพพาน อนิมิตนิพพาน สูญจบ
คุณจะต้องมีสภาพรู้สภาวะจริงกับบัญญัติภาษาตรงกันหมดเลย แล้วทำได้ครบ ลงตัวเป็น 0 หมดเลย คุณก็สูญได้จริง
_คำว่าธรรมะ 2 คืออะไร
พ่อครูว่า…คือ เทวฺ อ่านว่า ดะเว กับเทวะ
สู่แดนธรรมว่า.. ดะเว ก็คือ วี เทวะ คือสองอย่าง
พ่อครูว่า…ไม่ใช่ เทวะคือ สภาวะของอุปาทาน ที่บอกว่าเทวะคือ เทวตา คือ สภาพวิญญาณสูง วิญญาณดี วิญญาณที่ยังมีภพชาติ นั่นคือเทวะ ถ้า ดะเว หรือว่า ดะวิ สองนี่ มันหมายถึง 2 อย่าง เดวะหรืออะเดวะ อเดวะ คือสลายอัตภาพได้ แต่เทวะคือ ยังสลายไม่ได้ตีไม่แตกแยกไม่ออก ซึ่งจะมีจำนวนมากกว่า อเทวนิยมมากมายหลายต่อ อเทวนิยมจะมีน้อยกว่า แล้วไปถึงจนกว่าจะหมดศาสนาพุทธอีก 2 พันกว่าปี เมื่อพ้น 5,000 ไปแล้วอย่ามาพูดกันเลยในเรื่องเหล่านี้จะพูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว จะไม่มีโลกุตระอีกเลยมีแต่โลกียะล้วน ตอนนี้ยังมีโลกุตระไปมากขึ้นเรื่อยๆจนกว่าจะอีก 500 ปีจากนี้ แล้วพวกที่จะนำพานี้ จะช่วยกันนำพาต่อยอดกันไปจนกระทั่งถึง 500 ปี ตอนนี้ไม่ถึง 500 ปี อาตมาพูดตัวเลขกลมๆ มันเหลืออีกสี่ร้อยกว่าปี อาตมาจะเกิดมาอีกหรือไม่มาอีกก็ยังประมาณ ถ้าเลย 500 ปีแล้วแต่มาไม่เกิดมาอีกแล้ว ฟังไว้นะ พอจากนี้ไปอีก ไม่เกิน 500 ปี อาตมาไม่เกิดอีกแล้ว ในช่วงนี้ พุทธกัปนี้ แต่อาตมายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เพราะฉะนั้นในช่วงของศาสนาพระสมณโคดม ภายในอีก 500 ปีนี้อาตมาจะยังเกิด อาตมาจะเกิดวนเวียนอยู่ในช่วงนี้
_สรีระกับชีวะต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า…เรื่องนี้อาตมาตั้งใจอธิบายในเรื่องอันตคาหิกทิฏฐิ ชีวะก็ดีสรีระก็ดี โลกมีที่สิ้นสุดไม่มีที่สิ้นสุด อัตตาก็ใช่หรือไม่ใช่ ในอันตคาหิกทิฏฐิ อาตมาจะอธิบายละเอียดอยู่
สรีระ คือ สิ่งที่ไม่ใช่ชีวะ มันเป็นธาตุดินน้ำไฟลม ร่างกาย ร่างของกาย กายนี้มี 2 ร่างนี้คือดินน้ำไฟลม นั่นคือสรีระ ร่างคือสรีระ body ไม่มีธาตุจิตร่วมด้วย ส่วนชีวะมีธาตุจิตร่วมด้วย จิตไม่มีธาตุรู้ร่วมไม่ได้ จิตจะต้องมีการต้องมีวัตถุต้องมีสิ่งอาศัย แม้ไม่เป็นวัตถุก็ต้องเป็นนามด้วยกันมี 2 เช่นเป็นรูปภพอรูปภพ จิตต้องสอง จิตต้องมีกาย
กายนอก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายภายนอก ก็ต้องเรียนรู้พิจารณากายในจิต ก็จะแยกจิตนิยาม พีชนิยาม อุตุนิยามออกได้ พลังงานอย่างใดเรียกว่าอะไร
หากว่าแยกกายแยกจิตไม่ออกแล้วจะไม่สามารถเป็นอรหันต์ได้ มันเป็นมิจฉาทิฏฐิเรื่องของกายกับจิต ที่เป็นมูลกรรมฐานบทแรกเมื่อภิกษุบวชใหม่จะต้องได้รับกรรมฐาน 5 ก็คือธรรมนิยาม 5 อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม
พีชนิยาม เป็นธาตุชีวะ ไม่ใช่สรีระ จิตนิยามมีกรรมนิยาม ธรรมนิยาม หากแค่พีชะ จะเรียกว่าธรรมธาตุก็ได้ แต่มันควบคุมตัวมันเองไม่ได้ มันรอบรู้ ในแวดวงตัวของมันเองแล้วมันก็ไม่เห็นแก่ตัวของมัน พระอรหันต์มีชีวะที่เป็นพีชนิยามไม่มีเห็นแก่ตัว ทำความไม่เห็นแก่ตัวให้แก่ตัวเองได้ แล้วก็รู้ว่ามีตัวเป็นเครื่องอาศัย โดยไม่ไปเบียดเบียนใครทำแต่ประโยชน์ให้คนอื่น นี่เป็นภูมิธรรมอุตรธรรม จึงทำกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นเท่านั้นไม่สร้างกรรมชั่วอีกเลย อย่างนี้เป็นต้น
_ถ้าหนูจะเข้าเรียนนิเทศศาสตร์จะได้ไหมเมื่อเรียนจบ
พ่อครูว่า…เรียนนิเทศศาสตร์ที่นี่ดีจะเป็นนักนิเทศศาสตร์ที่เป็นโลกุตระ ข้างนอกยากที่จะเป็นนิเทศศาสตร์ที่เป็นโลกุตระ
ขอยกตัวอย่าง นิเทศศาสตร์ ที่จบมาจากจุฬาลงกรณ์ มีจบคนหนึ่งก็คือตะวันรุ่ง เตี๋ยประดิษฐ์ เป็นนักข่าวที่เขาก็ไม่อยากทำโลกียะ แต่คนชอบเขา เรียกว่า คนยังต้องการเขา คือ จบมาปีหนึ่งหลายพันคน เขาก็จบแค่ปริญญาตรี จะไปทำปริญญาโทต่อ แต่เขาก็ไม่อยากทำ เพราะฉะนั้นเขาจึงมาช่วยทางนี้อยู่เรื่อย ทางโน้นก็ดึงตัวไป ก็ไม่เป็นไร จะมาเต็มตัวก็ไม่เป็นไร พ่อแม่เขาก็อยู่นี่แหละในราชธานี หรืออยู่สันติฯ มันมีตัวจริงที่ค่อยๆศึกษา ตัวอย่างของพฤติกรรม ของมนุษย์ อธิบายเป็นภาษาได้ไม่หมด เพราะฉะนั้นจึงค่อยศึกษาไป
_จากเด็กทำมะดา(ที่ไม่ธรรมดา)…
1 หลวงปู่มีความคิดเห็นอย่างไรครับกับคำสอนของหลวงปู่ ติชนัทฮัน ที่ว่า It’s now คือ ปัจจุบันนี้ แล้วคำสอนที่ว่า จงจัดการกับ ความโกรธด้วยความอ่อนโยน
พ่อครูว่า…หลวงปู่โพธิรักษ์ก็ตอบ หลวงปู่ติชนัทฮันบอกว่า จงจัดการความโกรธด้วยความอ่อนโยน ดี นั่นเป็น เป็นรสนิยมเป็น Concept ของหลวงปู่ติชนัทฮันห์ ซึ่งหลวงปู่โพธิรักษ์เห็นว่ามันไม่มีผลที่จะช่วยคนได้ มันไม่มีแรงพอที่จะดึงคนกะตุกคนขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นของหลวงปู่โพธิรักษ์นี้แรง ไม่อ่อนโยน ความโกรธนั้น kick It Out ประโยค kick It Out ไม่ใช่สำนวนของโพธิรักษ์ แต่เป็นสำนวนของ ท่านเจ้าคุณนรฯ อาตมาคุยกับท่านเจ้าคุณนรฯอยู่เป็นชั่วโมง แล้วก็ได้คำนี้มา
เจ้าคุณ นรฯบอกว่า ความโกรธถ้ามีอยู่ในจิตเราอย่าเอาไว้ในจิตเราเลย ท่านใช้คำว่า Get it out แต่โพธิรักษ์ใช้ไม่เป็น ของโพธิรักษ์ Kick It Out โพธิรักษ์จึงไม่เบาเหมือนเจ้าคุณนรฯไม่เหมือนหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ เจ้าคุณนรฯท่านก็ได้แต่ตัวของท่านเอง แล้วท่านได้กลุ่มหนึ่งของติชนัทฮันห์ แต่ของหลวงปู่โพธิรักษ์นี้ได้มากกว่า จริง
ขณะนี้ ถ้าว่าแล้ว ชื่อเสียงของหลวงปู่ติชนัทฮันห์กว้างขวางกว่าหลวงปู่โพธิรักษ์มาก ขณะนี้นะ แต่บางเบา ในระดับเผินในระดับต้น แต่โพธิรักษ์นี้เป็นระดับแก่น เนื้อแน่นหนัก เป็นปรอท ไม่ใช่โฟม แล้วจะเป็นแก่นของศาสนาพุทธนี้ไปอีกนาน จนกว่าจะหมดพุทธกัป ของสมณโคดม
หลวงปู่ติชนัทฮันกับหลวงปู่โพธิรักษ์นี้ตรงกันที่ว่า It’s now เอาเลย สัมปติ Suddenly but now ท่านพุทธทาสก็เอาปัจจุบันจนเป็นปัจจุบันเลยเถิด
เพราะฉะนั้นความจริงคือปัจจุบัน เลยจากปัจจุบันไปแล้วไม่ใช่ความจริงจำคำนี้ไว้ก็แล้วกัน
_ถ้ามีฝรั่งมาบวชเป็นสมณะสักรูปหนึ่ง หลวงปู่ว่าอโศกจะก้าวหน้าขึ้นไหมครับ
พ่อครูว่า…มันจะเป็นไปตามธรรมชาติของมันเอง จะมีฝรั่งมาบวชถึงขั้นนั้นก็จะได้ มันก็จะช่วยได้ จริงๆแล้วแม้จะไม่มีฝรั่งมาบวช อาศัยคนไทยที่รู้ภาษาอังกฤษหรือภาษาฝรั่ง ก็สามารถอธิบายได้พอดีพอสมควรอยู่แล้วขณะนี้ ขอให้ฝรั่งสนใจมาศึกษาเถอะน่า มาถึงขั้นมาบวชก็ได้ ไม่มาบวชก็ไม่มีปัญหา เรามีผู้ที่รู้ภาษาอังกฤษภาษาฝรั่งที่จะอธิบาย ให้แต่ละคนๆ ที่มีภูมิที่สามารถ อธิบายให้ฟังแล้วคุณสามารถเข้าใจจนคุณจะมาเป็นอย่างนี้ได้ถ้าภูมิคุณถึง ได้
พวกเรามีภูมิทางภาษาพอเพียงที่จะใช้อธิบาย ให้ฝรั่ง หรือคนใช้ภาษาฝรั่งดีเข้าใจเป็น mother tounge เป็นภาษาที่เป็นภาษาแม่ภาษาเกิด
_การบิ้วอารมณ์ การสร้างอารมณ์ ควรทำไหมครับ
พ่อครูว่า…ไม่ควรสร้างอารมณ์ อารมณ์ที่คุณมีอยู่แล้วให้เรียนรู้ให้ละเอียดแล้วลดลงไม่ต้องไปสร้างอารมณ์
_เกร็ดดิน…จะเรียนถามว่าทำไมพ่อครูถึงฝึกตื่นทุกชั่วโมงแต่ต้น พ่อท่านมีสติแววไว ทำไมต้องฝึกอีก แต่ดิฉันทำไม่สำเร็จ เอาแค่ กำหนดเวลาหลับเวลาตื่นให้ได้ตอนกลางวันไม่นอนนี่ก็แย่แล้ว มีสติ รู้ลมหายใจเข้าออกแค่นี้ก็แย่แล้ว แต่ทำไมพ่อท่านถึงฝึกตื่นทุกชั่วโมง
พ่อครูว่า…ที่อาตมาฝึกตื่นทุกชั่วโมง คือต้องการทดสอบตัวเอง 2 ต้องการเป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่น คนที่ทำไม่ได้ก็ไม่ได้ไม่มีปัญหาอะไรหรอก อาตมาเป็นตัวอย่างจะต้องนำพา
-
เราต้องสอบตัวเองว่าเราทำได้ 2. ก็เป็นตัวอย่างให้แก่ผู้อื่น 3. ผู้อื่นทำตามไม่ดีหรือ วิธีทำตามก็ได้ประโยชน์จริง
เกร็ดดิน…แต่ดิฉันเห็นผู้อื่นทำตามก็พักผ่อนไม่พอ
พ่อครูว่า..คุณอย่าเอาตัวเองไปวัด แต่คนที่เขาทำได้จะไปว่าเขาได้อย่างไร อย่างเช่นอาตมาทำได้ คนอื่นแม้ว่ายังทำไม่ได้เขาจะเพียร คุณล้มความเพียรก็เรื่องของคุณ แต่คนอื่นสุขภาพไม่เสียก็ไม่มีปัญหา ถ้าสุขภาพเราเสียก็อย่าทำ ถ้าสุขภาพเราไม่เสียก็ทำเลย
พระพุทธเจ้านอนแค่ 4 ชั่วโมงแล้วท่านก็ทำงานตลอดเลย อาตมาเองกลางคืนก็ทำงานอยู่นะ แต่ก็ยังไม่เท่าพระพุทธเจ้าแน่ กลางวันเดี๋ยวนี้ก็ยังสอนเยอะ อาตมามีภาวะซับซ้อน ต้องทำงานสอนเยอะแล้วต้องเตรียม อาตมาเตรียมการสอน เตรียมธรรมะอยู่ ถ้าว่ากันจริงๆแล้วเกือบทั้งวัน อาตมาเตรียมการสอนเตรียมทำมาเกือบตลอดทั้งวัน จนบางวันนี้ลงมา จะสอนอะไรดี มันเยอะ
เกร็ดดินว่า…ทำไมเมื่อก่อนไม่เห็นต้องเตรียม
พ่อครูว่า..ตอนนี้มีนักเรียนมาเยอะ มันกว้างขึ้น แล้วกว้างจนกระทั่งจะไปหาข้างนอก จะไปถึงนักการเมืองแล้วว่าอย่างนั้นเถอะ
_หนูขออนุญาตถามว่า ทำอะไรจะอ่านหนังสือเข้าหัวบ้าง
พ่อครูว่า…แล้วอ่านหนังสือเข้าอะไรไม่เข้าหัว อ่านเข้าแต่ตาเฉยๆ มันก็ต้องให้มันเข้าใจ ต้องให้เข้าหัว เข้าใจกับเข้าหัวก็น่าจะอันเดียวกัน เข้าหัวน่าจะได้แต่ความจำ แต่ถ้าเข้าใจคือเข้าไปทั้งสมองแล้วก็รู้รายละเอียด รู้นัยละเอียด เข้าใจแล้วก็ประทับใจ ใช้พยัญชนะอธิบาย ค่อยๆศึกษาไปไม่ต้องรีบร้อนใจร้อน อยู่ในหมู่กลุ่มนี้ไปจะได้ ตายแล้วเกิดมาอยู่ในหมู่กลุ่มนี้อีกก็จะได้
_เรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงผู้ชายที่แต่งงานมีลูกแล้วทั้งคู่ แล้วเลิกรากันไป แต่ต่อมาก็มาพบคนใหม่ ได้แต่งงานใหม่ทั้งคู่ จะนับว่า ชายกับหญิง 2 คนนี้เข้ากระแสพระโสดาบันได้หรือไม่คะ
พ่อครูว่า…ถ้ามันถูกต้องตามระบบระเบียบของสังคม กฎระเบียบสังคมมันมีกฎหมายก็ดีวัฒนธรรมก็ดี ขาดกันโดยเฉพาะเอากฎหมายเป็นหลักเลย ถ้ายิ่งเอาใจเป็นหลักเลย เอากายเป็นหลักเลย ไม่ใช่สำส่อนอยู่ทั้งคู่ไปไปมาๆแล้วก็เลิกกันอยู่ แต่ถ้าเด็ดขาดแล้วไม่สำส่อนแล้วเลย หรือว่าเอาหลักกฎหมายเลยชัดเจนเลยมีคู่เดียวผัวเดียวเมียเดียว ไม่สำส่อน ถ้าเป็นโสดก็อีกเรื่องหนึ่ง ตอนนี้ก็มีข่าวคราวฉันเป็นโสดฉันมีสิทธิ์ แต่ถ้าไม่โสดแล้วมีคู่แล้ว เป็นกฎหมายสากลมีคู่แล้วก็ไม่ควรนอกออกนอกกายนอกใจคนอื่น มันเป็นเรื่อง อันนี้รู้กันทั่วแล้วมันเป็นกฎสากล สรุปแล้วก็ต้องอยู่ตามกฎของสากลของโลกกฎหมายเป็นต้นหรือวัฒนธรรม ถ้าจะให้ดีแล้วไม่ผิดกฎก็ได้ไม่มีปัญหา
มันก็มีปัญหาอยู่ที่ความจริงเท่านั้นคุณอยากจะมากขึ้นหรือเปล่าถ้าคุณน้อยลงจนไม่ต้องมีคู่เลยไม่ต้องมีเรื่องเพศเลยก็ยิ่งดีก็เท่านั้นแหละความจริง
_เมื่อคนเราตายไปแล้ววิญญาณจะไปไหนต่อครับ
พ่อครูว่า..ตายไปแล้ววิญญาณไปตามวิบากที่เราทำกรรมชั่วกรรมดี ถ้าทำดีก็ไปสู่ที่เจริญถ้าทำชั่วก็ไปสู่ที่ไม่เจริญ เรียกว่าอบายมุขหรือนรก หรือทุกข์ร้อนหรืออะไรซึ่งเราคิดไม่ออกแล้วไม่ต้องไปคิด มันเป็นความจริงตามวิบาก ไปแก้ไม่ได้ไม่มีใครแก้ได้ที่บอกว่ามีพระเจ้าเป็นผู้สั่งการเป็นผู้พิพากษา ไม่ใช่ คุณมีกรรมน้อยกรรมมากกรรมหนักกรรมเบา เป็นของคุณเลยของคุณเองคุณทำของของคุณ ไม่มีใครมาพิพากษาไม่มีใครมาตัดสินไม่มีใครมาทำ ของจริงตามความเป็นจริงที่คุณมีกรรมที่หนักเบาน้อยอย่างไร กรรมเป็นอันทำเท่าใดๆเท่านั้นๆ ดีมากดีน้อยเท่าใดๆเท่านั้นของจริงที่คุณทำจริงเท่านั้น ไม่มีใครตัดสินได้ไม่มีใครไปเบี้ยวความจริงด้วย ไม่มีใคร ความจริงซื่อสัตย์ต่อความจริงที่สุด ไม่มีใครสามารถไปเปลี่ยนแปลงความจริงให้ผิดเพี้ยนไปจากความจริงได้ ความจริงซื่อสัตย์ที่สุดต่อความจริง
_ทนายแดง(สู่แนวเพียร ชวลิต) …เมื่อสัปดาห์ก่อนผมฝันถึงหลวงพ่อถนอมคูณ ผมเลยอยากถามว่า การทำใจก่อนที่จะเสียชีวิต ผมอยากจะให้หลวงปู่สอนสิ่งนี้ เพื่อจะฝึกว่า หากเราเกิดทุกขเวทนา จากโรคภัยไข้เจ็บจนถึงขั้นจะเสียชีวิต การที่จะวางจิตวางใจละสังขารนี้ไป ที่พ่อครูเคยบอกหลวงพ่อถนอมคูณว่าให้วางใจ ผมเองผมก็ไม่แน่ใจว่า ถึงเวลานั้นเวทนามันจะแรงกล้า ในความเจ็บไข้ได้ป่วยเราจะทำใจอย่างไร
พ่อครูว่า…อันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายทีเดียวแต่ไม่ต้องเป็นกังวล ถ้าเป็นกังวลมากก็จะทุกข์มากก็จะสับสน เพราะฉะนั้นมันก็จะยุ่งยาก ปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆเถอะ หัดวาง นี่ เป็นการทำสูงที่สุดแล้ว ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นพวกนั่งหลับตาสะกดจิต สะกดจิตยึดถือแน่นไม่ออกจนกระทั่งยึดถืออัตภาพตัวเองมาก ไม่ยอมทิ้งชีวิต ไม่ยอมทิ้งอัตภาพ ยึดๆๆในอัตตา ไม่เรียนรู้อัตตาไม่วางอัตตาไม่ทิ้งชีวิต ไม่รู้ว่าตายคือตาย จบแล้วเลิก พลังงานจิตยังยึดอัตตา โดยไม่รู้ว่าสอนยึดอัตภาพ นักสะกดจิตหลับตาอย่างสายจีน นั่งสมาธิหลับตานั่งตายเลยแล้วเนื้อก็ไม่เน่า เป็นสิบปียี่สิบปี 50 ปีก็บูชากันอยู่นั่นแหละ
ความหลงยึดถืออย่างนี้ไม่ได้เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า ไม่รู้จักอุตุธาตุ จิตธาตุ จนกระทั่งรู้ตายก็คือตายเป็นก็คือเป็น เพราะฉะนั้นตายก็ต้องทิ้งร่าง แต่พลังงานที่ไม่รู้จักร่างไม่รู้จักอัตตาไม่รู้จักพลังงานจิตนิยาม พีชนิยาม อุตุนิยาม เกาะยึดอัตตา แล้วก็เลยยังอยู่ตรงนั้น ไม่ยอมเน่าก็คือปรุงแต่งสังขารตัวเองอยู่แล้วตัวเองก็ยึดติดอยู่ที่ตัวกูของกู เป็นคนที่มีกิเลสยึดถืออุปาทานแน่นหนานาน คนที่เข้าใจผิดอย่างนี้จะอยู่ในวัฏสงสารนั้นมากจนกว่าจะบรรลุอรหันต์ กลายเป็นคนที่จมอยู่ในอัตภาพ ไม่รู้จักอัตตาไม่รู้จักอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกูตายแล้วไม่รู้จักตาย แค่เข้าใจว่า พีชธาตุก็จะคลายได้เยอะแต่นี่ตัวกูของกูแน่นหนาหนัก ความเข้าใจผิดว่าตายแล้วไม่เน่าต้องบูชาเคารพอันนี้เป็นการบูชาคนที่มิจฉาทิฏฐิ เป็นการบูชาคนที่มี อัตตามากอุปาทานหนัก การเอาไปใส่ตู้กระจกบูชากันพวกนี้น่าสงสารยังไม่เรียนรู้ อัตตาอุปาทานยังติดยึดอีกนาน ยังงมงายมีอวิชชาอีกมากยากที่จะบรรลุอรหันต์ คนๆนี้นานมากที่จะบรรลุอรหันต์เพราะยังแยกอุปาทานยังแยกอัตตาไม่ได้
ยึดถืออุปาทาน ยึดอัตตา อัตตาตัวเองก็ไม่รู้ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
อุปาทานก็ไม่รู้ เลยสร้างอุปาทานหนัก อัตตาก็เลยยิ่ง เป็นตัวเป็นตนแน่นหนักหนา นี่เป็นความซับซ้อนอย่างนี้ อาตมาไม่ได้แกล้งว่า ไม่ได้ข่มเขานะ แต่มันงงเข้าใจผิดเป็นโมฆะน่าสงสาร มีอีกเยอะ ยิ่งมีพระอาจารย์สายตู้กระจก ลูกศิษย์ก็หากินกับการที่คนมาทำบุญกราบไหว้อาจารย์ หลายวัดบูชารูปไม่เน่านี้ ยังอยู่มีเยอะ เพราะฉะนั้นทำความรู้ความเข้าใจให้ดีๆ
_วิปัสสนา ที่ถูกต้องทำอย่างไรครับ
พ่อครูว่า…ยากมากเลย วิปัสสนา มีตากระทบรูป มีธรรมะสองให้เห็นอยู่นี่แหละ ต้องมีการเห็น ตามวิโมกข์ 8
รูปีรูปานิปัสสติ ปัสสนาเป็นมรรค ปัสสติคือตัวจบ ต้องมีการเห็นปัสสี ปัสโส มีตากระทบรูปเห็น มีหูกระทบเสียงเรียกว่าเห็น มีจมูกกระทบกลิ่นเรียกว่าเห็น มีลิ้นกระทบรูปในปัจจุบันเรียกว่าเห็น มีผัสสะ มีปรากฏการณ์ของผัสสะ
มีการกระทบสัมผัสกันจริงแล้วเกิดสภาวะรับรู้ได้จริงมีธาตุ 2 ระหว่างรูปกับนาม ระหว่างภายนอกกับภายใน เพราะฉะนั้นไปหลับตาสมาธิไม่มีการสัมผัสภายนอก โมฆะจากศาสนาพุทธ อาตมาจะต้องช่วยคนที่หลับตาสมาธินี้อย่างหนักหนาเหน็ดเหนื่อย ทุกวันนี้ก็เหนื่อยพอสมควรแล้วแต่ยังไม่กระเตื้องเท่าไหร่ ก็มีพอเข้าใจแล้วก็มาปฏิบัติได้ประมาณนี้แหละ นอกนั้นยังหลับตาอยู่อีกมาก ถ้าพวกหลับตานี้ตื่นนะ ตื่นรู้แล้วก็เลิก แล้วก็หันมาสนใจอย่างที่อาตมาพาทำ ศาสนาพุทธจะกระเตื้องขึ้นมาอีก อย่างทันทีทันใด จะกระเตื้องขึ้นทันตาเห็น แต่อาตมาไม่มีบารมีพอ ไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาก็ไม่เก่งกว่านี้อยากจะเก่งกว่านี้ คนเขาก็ไม่ศรัทธา เขาก็ไม่เชื่อฟัง ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรอาตมาก็มีแต่ปรารถนาดีด้วยความจริงใจ ว่าอย่างนั้นอาตมาเคยหลงมา แม้แต่ในชาตินี้ปางนี้ เป็นนายรัก รักพงษ์ ก็ไปเล่นไสยศาสตร์หลับตา อยู่ตั้ง 8 ปี แล้วก็ติดต่องแต่ง กว่ามันจะหมดฤทธิ์ลิงลมอมข้าวพองก็นาน
ก็อยากให้เขาเข้าใจว่าการหลับตาสมาธินั้นไม่ใช่สมาธิของพระพุทธเจ้าเลย สมาธิของพุทธเจ้าลืมตามีสติสัมปชัญญะมีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีสติสัมปชัญญะเต็ม ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ แล้วก็อ่านจิตในจิตทัน แยกสังกัปปะออก เป็นสังกัปปะ 7 วิจัย สามเส้าของ ตักกะวิตักกะสำเร็จ จนกระทั่งรู้จักกิเลสลดกิเลสได้ รู้อาการ ลิงคะ แล้วก็ฆ่ากิเลสกาม กิเลสปฏิฆะได้ ก็จริงจะจบลงเป็นจิตที่ไม่มีกิเลส
จิตไม่มีกิเลสก็ไม่ต้องทำ เมื่อทำให้จิตสะอาดได้ จิตก็ตกผลึก มาเป็นจิตที่สะอาด ก็ต้องทำจิตให้สะอาดนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ทำซ้ำแล้วซ้ำอีกทำอย่างนี้เรียกว่าภาวนา ทำอย่างที่ทำได้แล้วนี่แหละ ทำอีกทำแบบนี้ได้อย่างนี้ ทำเรียกว่าสั่งสม อเนญชา
จิตที่คุณทำให้กิเลสออกไปจากจิตได้แล้ว จิตนี้ก็ตกผลึก ยังไม่ถือว่าสมาธินะ เป็นจิตที่ได้ผล จิตก็จะตกผลึกลงไปแล้วก็ตกผลึกตั้งแต่ 2 หน่วยทำอีกเป็น 3 หน่วย เป็นสิบหน่วยร้อยหน่วย ก็จะจับตัวกันเป็นผลึกจับตัวกันเป็นผลึกแน่น จึงจะเกิดความแน่นอัปปนา จนกระทั่งเกิดในระดับกลางเรียกว่า พยัปปนา จนแน่นขึ้นอีกเป็นหน่วยของล้าน จากล้านเป็นอเนญชา แน่วแน่ไม่หวั่นไหว กระทบกระแทกกระเทือนกระทุ้งกระทืบอย่างไรก็ไม่หวั่นไหวไม่เปลี่ยนแปลง อสังหิรัง หักล้างไม่ได้ สิ่งที่ได้แล้ว อสังกุปปังไม่กลับเวียนมาเกิดอีกใหม่ ไม่เลย จบแล้วจบเลยตายแล้วตายเลย ต้องมีคุณสมบัติอย่างนั้นจึงจะเรียกว่า เจตโสอภินิโรปนา
เพราะฉะนั้นอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา คือ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร
อปุญญาภิสังขารคือล้างกิเลสได้ ทำได้แล้วไม่ต้องทำอีก เรียกอปุญญาภิสังขาร ไม่ต้องไปชำระอีกแต่ทำซ้ำ อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ทำโจทย์แบบตัวเก่านี่แหละ วันนี้เขาเอาปลาจ่อมให้กิน ก็ไม่กิน พรุ่งนี้เอามาให้อีกก็ไม่กิน เราไม่กินเนื้อสัตว์แล้วเราก็จะแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาไม่เอาปลาจ่อมมาแล้ว ไปเจอปลาจ่อมทีหลังอีก ก็พิสูจน์ได้ว่าเราไม่หวั่นไหวแล้วเราเฉยอีก จนกระทั่งเจอปลาจ่อมมา เขาหลอกเอาใส่อะไรมา เมื่อใส่เข้าไปในปากรู้ว่าปลาจ่อมเรารู้ตัวแล้วเราก็เอาออก ไม่ได้ติดเลย
เพราะฉะนั้นก็จะเกิด อปุญญาภิสังขาร อปุญญาไม่ได้แปลว่าบาป ผู้ที่แปล อปุญญาว่าบาป พยัญชนะบุญเป็นเอกังสวาที เป็นพวก One way Traffic ไม่มีการย้อนศรเป็น Nuclear Fission ไปทิศทางเดียวเลย เอกังสะ ไม่มีโค้งงอ บุญทำหน้าที่จบแล้วก็จบเลย ก็จบไม่มี 2
ไปเพี้ยนอปุญญะว่าบาปอีก อันนี้ยังไม่เข้าใจพยัญชนะของสภาวะบุญ บุญมีสภาวะเดียวคือ เอกังเสนะ ไม่ใช่วิภัชวาที หลากหลาย กลับไปกลับมาอีก ไม่ใช่ ไม่มีกลับไปกลับมาบุญมีหน้าที่ฆ่ากิเลสอย่างเดียว ถ้ากิเลสลดจบสูญอย่างเดียว จึงเกิด ปุญญปาปปริกขีโณ
บาปหมดบุญก็หมดไปด้วยกันเลย เป็นเทวธัมมา สูญๆๆๆ สภาวะอันนี้จึงไม่อาจเดาเอาเองคิดเอาเองได้ อาตมามีของเดิมแล้วจึงเอามาพูด มายืนยันของเดิม ชาตินี้เราก็เจอสภาวะอย่างนี้ เราก็ชัดเจนยิ่งขึ้น แล้วอาตมาก็ทำได้จึงเอามาสอนคนแนะนำคนเอามาพูดยืนยันว่าอาตมาพูดนี้ยืนยันว่าเป็นความถูกต้อง สัจจะของพระเจ้านี้มันได้ผิดเพี้ยนไปมากแล้ว อาตมาถึงเหนื่อย เกิดมาชาติหน้าก็คงจะเบาลงกว่านี้ได้ คงจะค่อยยังชั่วกว่านี้ ผู้ช่วยก็จะดีกว่านี้ ตอนนี้ไม่รู้จะทำอย่างไรมันต้องแรงก่อน
ต่อมา
_คนจนโลกุตระกับคนจนโลกียะแตกต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า..คนจนโลกุตระ 1. จนอย่างมีปัญญาเข้าใจว่ามาจนนี้ดี เป็นการเข้าใจจริง ไม่ใช่เสแสร้งไม่ใช่ฝืน ถ้ายังฝืนอยู่แต่คุณก็เห็นว่าดี ดี แสดงว่า คุณมีตัวเข้าใจลึกๆว่า มาจนนี้ดีกว่าไปรวย มาจนไม่เมื่อยเท่าไปรวย ไม่ต้องหนักหนาสาหัสที่จะต้องไปแย่งเขา มาจนนี้มันง่ายกว่า คนมีเงิน 1 ล้าน ให้เงินหนึ่งล้านเขาไป กับคนไม่มีเงินเลยคุณจะต้องหาเงิน 1 ล้านให้ได้อันไหนยากกว่ากัน พูดอย่างนี้ก็ว่าไม่ได้
คุณจะหาเงิน 100 ล้านนี้ ไม่ง่ายนะ แต่ถ้าหมื่นล้าน คุณก็ให้เซ็นให้เขาไปเลย แล้วกว่าจะหาได้ 10,000 ล้านนี้มันง่ายหรือ นอกจากโกงเอาก็ยังยากเลย จนกระทั่งเขาเอาเข้าคุก
คนไทยนี่ใจดีจริงๆแล้วตามจับจริงๆก็ตามจับได้ แต่คนไทยใจดีบอกว่าเอาเถอะ วิบากใครวิบากมัน เพราะคนไทยรู้จักกรรมวิบากเชื่อกรรมเชื่อวิบาก เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าไม่ต้องรุนแรงอะไรหรอกปล่อยเขาไปเถอะ เขาจะมีวิบากของเขาเอง วิบากของเขาจะยิ่งมากขึ้นเท่านั้นเอง คนไทยเข้าใจสัจธรรมของศาสนาพุทธลึก จึงรู้ว่า เท่านี้พอ มากกว่านี้จะดูรุนแรงจึงไม่รุนแรง เป็นการเอ็นดูกรุณา แล้วเขาก็ไม่รู้ตัวเขาก็ยังทำชั่วทำบาปซ้ำเข้าไปอีกใครจะไปห้ามได้ ไม่อยากให้เขาทำ แต่เขายังทำอยู่ ยังไม่หยุดทำชั่ว แล้วไม่รู้ตัวแล้วจะไปทำอย่างไร
_ทำไมคนบ้านราชฯ ไม่ทำความสะอาดบริเวณน้ำตกเลยเพราะมันเป็นตะไคร่น้ำดูไม่ดีเลยกลัวว่าคนจะหกล้มลื่นได้
พ่อครูว่า…ก็ช่วยกันอยู่ น้ำมันต้องมีตะไคร่น้ำ ประเทศไทยมีเชื้อของตะไคร่น้ำ
_ทำชั่วทำเลวจะอยู่ในอโศกได้หรือไม่
พ่อครูว่า…ไม่ได้
_น้องเพ็ญ ..พ่อครูคะ ถ้าเราโกรธเราจะทำอย่างไร
พ่อครูว่า…ก็ต้องหยุดอย่าทำอาการโกรธอย่างนั้น อาการที่เรารู้ว่าคืออาการโกรธ ทำอาการอย่างกลางๆสดชื่นรื่นเริงสนุกสนาน เราทำอาการอย่างนั้นแล้วมันจะต้องร้องเสียงว่า แงๆๆ ก็หยุด มาทำอาการอย่าง ฮะๆๆๆ อย่าไปทำอาการแงๆๆ เอาอาการ ฮะๆๆๆ เอาแค่นี้ก่อน
_ผมอยากมีกำลังใจอยู่ต่อจะทำอย่างไร
พ่อครูว่า…เอากำลังใจของอาตมาไปเลย ก็ต้องทำกำลังใจของเราสิ ใช้ปัญญา หมู่นี้ดีหรือไม่ ถ้าไม่เห็นว่าหมู่นี้ดีก็ออกไปเถอะ แต่ถ้าพิจารณาแล้วว่าหมูนี้ดีก็ควรจะอยู่ต่อ แต่ถ้าพิจารณาแล้วอย่างไรอย่างไรเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหมู่นี้ดี พยายามฝืนอยู่ให้ได้ แม้ว่าหน้านองน้ำตาอยู่ พระพุทธเจ้าก็สรรเสริญ ฝืนอยู่ไหมหน้าน้องน้ำตาพระพุทธเจ้าก็สรรเสริญ พิจารณาให้จริงว่าหมู่กลุ่มนี้ดีจริงถ้าดีจริงแล้วอยู่ แม้จะหน้านองน้ำตาอยู่
แต่ถ้าพิจารณาจริงๆแล้วว่าไม่ดีไม่เข้าท่าก็ออกไปก่อน อาตมาว่ามันฝืนเกินไป อาตมาก็เห็นใจไม่ดีหรอก เดี๋ยวระเบิดแล้วมันจะยุ่ง แต่ถ้าเห็นว่าดีอยู่ก็เอาเถอะ
_ถามว่า ผีมีจริงหรือเปล่าคะ ถ้าไม่มีแล้วทำไมคนถึงเจอคะ
พ่อครูว่า..ผี เป็นพยัญชนะเรียกกิเลส กิเลสในตัวเรานี้คือผี กิเลสคืออะไร ราคะ โทสะโลภ โกรธ หลง ในจิตเรามีสิ่งนี้ใจเราก็มีผี
คนทำไมเจอผีทั้งที่ไม่มี
ผู้ที่จะเจอผีคือผู้ที่มีดวงตารู้ว่ากิเลสคืออะไรก็อ่านกิเลสเจอเขาก็เจอผี
-
ไม่รู้ว่าผีคืออะไร นึกว่าผีคือที่จะต้องเจอเป็นรูปร่างตัวตน ผีตาโปนลิ้นยาว อันนั้นเป็นของหลอกไม่มีจริงเป็นพวกไซโคซิส เป็นโรคประสาทเป็นโรคจิต เป็นโรคอุปาทาน อุปาทานมันสร้างให้เห็นจริงๆ มันไม่มีจริงหรอก เพราะฉะนั้นในชาวอโศก เด็กๆเด็กๆนอนอยู่มีโลงศพตั้งอยู่ในศาลาก็ไม่เห็นจะตกใจ เขาก็นอนตรงข้างเมรุ ที่ปฐมอโศก มันอุปาทานหลอกตัวเองก็เลยนึกว่ามี คนเห็นผีคือคนหลอกตัวเอง ทางแพทย์เรียกว่าประสาทหลอนได้ยินเสียง คนอื่นเขาไม่ได้ยินแต่ตัวเองได้ยิน คนอื่นเขาไม่เห็นแต่ตนเองเห็น คนอื่นไม่ได้กลิ่นแต่ตนเองได้กลิ่น ได้กลิ่นธูปกลิ่นน้ำหอมมาเลย กลิ่นน้ำหอมของแม่ที่เคยใช้ลอยมาเลยมันหลอนตัวเอง