611227_ทำวัตรเช้า งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน รุ่นที่ 6 บุคคล 9 ในเอกกนิทเทส
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1Bjg15XsS97-LhSMCufHPVD-uhZmZ7xTSRL5nxpZKuME/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1mlnYY9mcp89npyEVLBKHIvHZok3h5zEf
พ่อครูว่า…วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก …ชีวิตของพวกเรามันสงบสบายและสนุก แต่ความสนุกของพวกเราเป็นธรรมรส ใครจะมาแอบทำยาก มันเป็นวิมุตติรส เราก็ฝึกฝน เพราะเรามีศรัทธามีความเชื่อในทิศทาง ในความเป็นอัตภาพชีวิตของพวกเราแต่ละคนว่าเราจะให้ชีวิตของพวกเราพัฒนาการไปสู่ จุดอย่างไร ในความคิดในห้วงความคิด ของคนแต่ละคนก็จะมุ่งไปสู่ความหมายเราจะไปเห็น พยัญชนะจะบอกว่านิพพาน พยัญชนะจะบอกว่าเป็นความสุดยอด จะบอกว่าอะไรก็แล้วแต่พยัญชนะก็บอกไปอย่างนั้น จะตั้งชื่อเป็นภาษาอื่นภาษาอังกฤษภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่นภาษาฝรั่งอะไรก็แล้วแต่ แต่ในห้วงความคิด ในองค์ความคิด ของแต่ละคน จริงๆแล้วแต่ละคนมันไม่ตรงกันเป๊ะหรอก
นอกจากจะมาหลอมรวมกัน โดยเฉพาะเมื่อหลอมรวมกันแล้วมันจะมีผู้นำ ผู้นำที่มีแล้ว มีองค์รวมของความคิดความรู้ความเป็นไปได้ ของจิตวิญญาณที่ทำให้เป็นไปได้แล้ว อย่างมั่นคงอย่างแน่วแน่ และก็มีปฏิภาณปัญญามีนิรุตติภาษา เอามาสื่อ คำอธิบายเอามาสาธยายแจกแจงให้ผู้อื่นเข้าใจได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าท่านสาธยายได้ สัตถาเทวะมะนุสสานัง ฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครเท่าเทียม ผู้ที่ดำเนินรอยตามพระพุทธเจ้าเป็นโพธิสัตว์ก็จะได้อย่างนั้นไปตามลำดับ อย่างแท้จริง
ซึ่งความรู้ของพุทธเจ้านั้น มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเป็นอย่างพระพุทธเจ้าได้ทุกพระองค์ ซึ่งต่างกันกับเทวนิยมที่ไม่มีสิทธิ์ ใครก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปเป็นถึงผู้รู้ผู้สุดยอด เท่าพระเจ้าพระเจ้าสงวนลิขสิทธิ์สูงสุดไม่มีใครเป็นได้ แล้วพระเจ้าก็ไม่มีใครรู้ว่าอยู่หนใด ก็เลยไม่มีใครจะไปรู้สุขาของพระเจ้าได้ ไม่รู้สุขาอยู่หนใด ของเรารู้ว่าพระพุทธเจ้าอยู่หนใดเป็นอย่างไร
แต่สุขาของพุทธรู้ว่าอยู่หนใด สุขาเป็นอารมณ์เป็นความรู้สึกเพราะมนุษย์แต่ละคนมีความรู้สึกของตนเองสามารถเรียนรู้อย่างรู้ ฝึกควรรู้ จนกระทั่งอย่างพวกเรานี้สามารถอย่างเข้าไปรู้ การเข้าไปดูเวทนาความรู้สึกของเราได้ มากน้อยแล้วแต่ ของใครของมัน จะจริงแค่ไหนก็แล้วแต่ของใครของมันอีกเหมือนกัน แล้วจะละเอียดลออแยกแยะรายละเอียดของเวทนา โสกะปริเทวะทุกขโทมนัสอุปายาส นี่เป็นการซอยละเอียดของทุกข์
ผู้ที่อวิชชาจะไม่สามารถรู้จักอาการ หรือพฤติของโศกะ ปริเทวะ พฤติของโทมนัส ของอุปายาสะ เพราะอวิชชาเขาไม่สามารถศึกษารายละเอียดได้เลย ไม่รู้สังขาร ไม่รู้นามรูป ไม่รู้อายตนะ ไม่รู้ผัสสะ ไม่รู้เวทนา ไม่รู้ตัณหา ไม่รู้อุปาทาน ไม่รู้ภพชาติ พยัญชนะพวกนี้ก็มีสภาวะแตกต่างกันไป เมื่อไม่สามารถที่จะรู้ในภาวะ 2 คือเทวะ พยัญชนะกับสภาวะ ไม่ได้มาเรียนไม่ได้มาแตกแยกไม่ได้มาวิจัยวิจารณ์วิเคราะห์อะไรออกมาเลย มันก็ไม่เกิดความรู้ในตนเองได้
ในศาสนาที่ไม่ได้มีความรู้รายละเอียดพวกนี้ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้ไม่มีทางที่จะรู้ ยิ่งไปล็อกไว้เลยว่ารู้เท่านี้รู้ตามนี้ ใครอย่าไปแตกแยก เอาตามนี้ให้รู้ตรงนี้ พระบุตรแต่ละองค์ที่มาประกาศคำสอนของพระเจ้า พระบุตรองค์หนึ่งก็สอนศาสนาหนึ่งพระบุตรอีกองค์หนึ่งก็สอนไปอีกศาสนาหนึ่ง พระบุตรอีกองค์หนึ่งก็สอนไปอีกศาสนาหนึ่ง ตรงกันบ้างต่างกันบ้างแล้วก็แยกกันไปคนละศาสนา ดีไม่ดี แต่ละศาสนาทะเลาะกันด้วย ไม่ลงกันอีก และก็ไม่มีใครตัดสินเพราะพระเจ้าไม่รู้จะให้ตัดสินอย่างไร แต่ของศาสนาพุทธนั้นมาอยู่ในร่างของคน ไม่มีพระเจ้าไม่มีพระบุตร มีอัตตาอัตภาพ ซึ่งศาสนาพระเจ้าก็มีอัตภาพเหมือนกัน แต่ว่าอัตภาพของท่านเมื่อมาเป็นพระบุตรแล้ว อัตภาพของท่านก็เป็นตัวแทนของพระเจ้าเลยใครก็ไปแย้งพระบุตรไม่ได้ เมื่อบอกว่าพระบุตรยืนยันคำของพระเจ้า ก็เลยไม่มีใครกล้าแย้งคำของพระเจ้า แต่คำของพระเจ้านั้นที่จริงก็คือคำของพระบุตร เขาก็เลยแฝง พระบุตรอยู่ในพระเจ้า พระเจ้าอยู่ในพระบุตรก็ยังเป็น 2 เป็นเทว แยกพระบุตรกับพระเจ้าไม่ออก อย่างนี้เป็นต้น
ในความหมายเรื่องนี้อาตมาก็แจกแจงไปพลาง เพื่อเป็นประโยชน์อยู่ในผู้ที่ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นพระเจ้าได้มาศึกษาบ้างจะได้ความรู้เพิ่มเติมกันไป สิ่งที่ตีไม่แตกเราเคยเป็นมาแล้ว ตีแตกแยกออกจนกระทั่งสลายทำลายให้ 0 ศาสนาพุทธเก่า จะอยู่ก็อยู่ได้ สุดแล้วคุณก็จะสูญได้ แล้ว 0 ได้จริงๆด้วย แต่คุณจะไม่สูญคุณจะอยู่อีกก็ไม่เป็นไร อยู่ไปเลยแข่งขันกับพระอวโลกิเตศวร เป็นความจริงไม่ได้พูดเล่นได้จะอยู่เท่าไหร่ก็เอา
จริงๆแล้วพระพุทธเจ้ากับพระอวโลกิเตศวร ว่าจริงๆแล้วเท่ากัน เพราะว่าพระอวโลกิเตศวรอยู่นานกว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายพระองค์ บำเพ็ญนะ ไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสานสักที ส่วนพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ท่านพระอวโลกิเตศวร เราจะไปปรินิพพาน ก็นิมนต์ปรินิพพานไปก่อน ท่านก็อยู่บำเพ็ญไปจนสุดสูงสุดแล้ว ใครจะสุดกว่าพระพุทธเจ้า ใครจะสุดกว่าพระอวโลกิเตศวร มันจะเอาอะไรมาสุดอีก ถ้ามันสุดในความเป็นพฤตินัยของเอกภพ กับมนุษย์ จะเอาอะไรมาสุดอีก
สมมุติว่าพระอวโลกิเตศวร ถ้ามีความคิดพิสดารเป็นศิลปิน จะสามารถ create อะไรเอามาอีกให้ยิ่งกว่ามนุษย์ในโลกจะรู้ ก็สมมุติไปแล้วท่านจะไปพูดกับใคร จะเอาไปให้ใครก็ในเมื่อใครก็ไม่รู้กับท่าน ท่านก็รู้อยู่คนเดียว พูดกับคนอื่นคนอื่นก็ไม่มีภูมิรู้เท่าท่าน ท่านจะไปทำให้เสียพลังงานแคลอรี่แรงงานทำไม พูดขึ้นมาแล้วก็ทำอะไรไม่ได้พูดกับใครก็ไม่รู้เรื่อง เพราะไอ้ที่มีอยู่แล้วก็ยังไม่รู้เท่าทันทั้งหมด แล้วท่านจะสมมติขึ้นมาต่อยอดอีกจะต่อไปทำไม เพราะฉะนั้นที่สุดแห่งที่สุดมันมี ที่สุดแห่งที่สุดก็ต้องสูงสุดระหว่างสองคนเท่านั้น พูดกันสมมุติกันรู้กันสองคน ถ้าคุณเดียวสมมติแล้วคุณจะสมมติมาหาอะไร คนอื่นไม่รู้กับคุณแล้ว มันก็สมมุติมา 2 คนนั้นจึงจะใช้งานได้ 3 คน 4 คน 5 คน 6 คนก็เริ่มใช้กันได้ สิ่งนั้นก็เกิดความมีขึ้นมา แต่ถ้าสมมุติขึ้นมาแล้วก็ไม่รู้จะให้ใครรู้ด้วย สิ่งนั้นก็เท่ากับไม่มี มีกับไม่มีเป็นตัวเดียวกัน มีอยู่หนึ่งเดียว หา 2 ไม่ได้ แล้วมันจะมีลูกไหม ก็ไม่มีทางมีต่อ ไม่มีอะไรต่อ เกิดพระบุตรไม่ได้ แม้จะหาแม่ไม่ได้
นัยยะของสิ่งที่จะพูดให้รู้ขีดจบจุดศูนย์บ้าง ถ้าไม่มีจุดจบแล้ว ไม่รู้จักจบก็ไม่รู้จะอยู่อย่างไรต่อไปจะไม่รู้จักจบอย่างเทวนิยมคือพระเจ้า พระเจ้าอยู่ไหนไม่รู้ พระเจ้าเป็นอย่างไรไม่รู้ มีแต่คำสอนพระเจ้า ก็เอาคำสอนพระเจ้ามาประพฤติอย่างนี้ให้เป็นไปได้ แล้วก็แก้ไม่ได้ด้วย ส่วนของพระพุทธเจ้านั้นแก้ได้ตามเหตุปัจจัย แต่ผู้ที่สูงสุดยืนยันหลักสูงสุดนั้นก็ไม่ต้องแก้ ผู้ที่สูงสุดในยุคสมัยใดๆก็แล้วแต่ อย่างอาตมานี้ยืนยัน ว่าความรู้สูงสุดอันนี้เป็นอย่างนี้ อาตมารู้ต่อไปไม่ได้ บางอันยังตีไม่แตกแม้แต่พยัญชนะที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ อาตมาก็เอาเท่าที่รู้ได้ แต่แค่ที่รู้ได้นั้นพ้นไหม เท่าที่อาตมารู้และออกมาประกาศพ้นทุกข์ไหม พวกเราก็พ้นทุกข์เป็นโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์ไปตามลำดับ มันก็สบายและมารวมกันเป็นสามัญตา มันจะมีอะไรสูงสุดขึ้นไปได้ ใครจะสูงกว่าอาตมารู้ยิ่งกว่าอาตมาก็เอามาพูดกัน อาตมาไม่ได้ปิดกั้นความสูง จะมีสูงขึ้นไปจริงๆเท่าที่เป็นไปได้ดี ถ้ามีก็มา สึกก็มีอยู่บ้าง บางอย่างพวกเรานี้ แต่ละท่านแต่ละองค์ มันก็เป็นการฝึกขึ้นมา จะเรียกว่าใหม่จะเรียกว่าซ้ำซ้อนที่มีอยู่เก่าก็ไม่เป็นไร มันก็เป็นพฤติกรรม ที่เราจะมาประพฤติปฏิบัติกันได้ มันดี คือ เราเกิดความรู้แล้วก็สร้างความจริงความรู้ก็เป็นฐานก่อเกิดความรู้ใหม่เกิดไปเรื่อยๆ มันก็เกิดการพัฒนาการ
อาตมาจะพยายามสาธยายบุคคล 9 ….(พ่อครูหาในพระไตรฯใช้เวลา ตัดออกด้วย)
บุคคล 9
ขึ้นต้นด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็บายไว้ก่อน เพราะเกินภูมิเรา
บุคคลที่ 2 พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็บายไว้ก่อน เพราะเกินภูมิเรา
[38] บุคคลเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ตรัสรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ซึ่งสัจจะด้วยตนเองใน
ธรรมทั้งหลาย ที่ตนมิได้เคยสดับมาแล้วในก่อน บรรลุความเป็นพระสัพพัญญู
ในธรรมนั้น และบรรลุความเป็นผู้มีความชำนาญในธรรมเป็นกำลังทั้งหลาย
บุคคลนี้เรียกว่า พระสัมมาสัมพุทธะ
[39] บุคคลเป็นพระปัจเจกพุทธะ เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมตรัสรู้ซึ่งสัจจะทั้งหลายด้วยตนเอง ในธรรมทั้งหลายที่ตนไม่ได้สดับมาแล้วในก่อน แต่มิได้บรรลุความเป็นพระสัพพัญญูในธรรมนั้น ทั้งไม่ถึงความเป็นผู้ชำนาญในธรรมอันเป็นกำลังทั้งหลาย บุคคลนี้เรียกว่า พระปัจเจกพุทธะ
[40] บุคคลชื่อว่า อุภโตภาควิมุต เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย แล้วสำเร็จ
อิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียก
ว่า อุภโตภาควิมุต
พ่อครูว่า…อุภโตคือสอง คือ เจโตวิมุติ กับปัญญาวิมุติ หรือเรียก สัทธาวิมุติกับปัญญาวิมุติ ก็ได้ เจโตหรือศรัทธาลักษณะเดียวกันแต่ปัญญาเป็นหนึ่งเดียวไม่แยกเป็นสองอีก จริงๆแล้วเจโตหรือศรัทธา เราจะเรียก เจโต เป็น Dynamic เรียกศรัทธาเป็น Dynamic ก็ได้
หรือสลับกัน ศรัทธาเป็น static เจโตเป็น Dynamic ก็ได้ เพราะว่าเจโตหรือศรัทธาค่อนข้างจะตีไม่แตก เจโตยังจะต้องมี 2 คือฝ่ายเทวะยังตีไม่แตก ส่วนปัญญานั้นสามารถแยกออกได้ จะแยก จะเป็นตัวตั้งตัวเคลื่อน จะแยกตัวไหนเป็นภาษาเป็นสภาวะก็รู้สภาวะจริงอย่างนั้น พยัญชนะก็ไม่สับสน อันหนึ่งเคลื่อนอันหนึ่งนิ่งอันหนึ่งเป็นแกนอันหนึ่งเคลื่อน พยัญชนะจะสลับอย่างไรแต่ถ้าสภาวะชัดเจนแล้ว คุณจะไม่เปลี่ยนแปลงคุณก็ไม่สับสน
เวลาสื่อสารก็สื่อสารด้วยพยัญชนะ เราเอาสภาวะควักออกมาให้ดูกันไม่ได้ มันอยู่ที่จิตเป็นธาตุรู้ของแต่ละคน มันหยิบมาให้ดูกันไม่ได้ของใครก็ของใครเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ ก็ต้องสื่อให้รู้กันได้ด้วยพยัญชนะเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงจบที่พยัญชนะผู้ที่มีสภาวะแล้วรู้ว่าคนอื่นเขามีพยัญชนะอย่างไรก็ไม่สับสนเพราะผู้นั้นสามารถแยกแยะความแตกต่างของสภาวะได้ละเอียดละออ เท่าทันกัน เท่าทันคนอื่นใด ผู้สามารถดูได้เท่าทันมีสภาวะละเอียดกว่าและรู้เท่าทันว่าพยัญชนะนี้หมายถึงอะไรใช้พยัญชนะหมายถึงภาษาอะไรหรือภาษา 2 อย่างภาษาเทวะ 2 อย่าง สลับไปสลับกันมาอย่างไร จะพูดว่าดีชั่ว ชั่วคือดีดีคือชั่ว ก็ไม่สงสัย ผู้ที่มีสภาวะ จบแล้ว คุณจะเอาพยัญชนะชั่วไปเรียกดี ก็ดีนี้เขาเรียกว่าชั่ว ก็ชั่วนี้เขาเรียกว่าดี ก็ไม่สงสัย ผู้ที่จับสภาวะแม่นแล้ว ก็ไม่สงสัย คนที่เขายังสลับอยู่เท่านั้นเองก็จบ ผู้ที่เป็นสภาวะสูงสุดแล้ว ไม่มีปัญหามีแต่ปัญญา
คำว่าถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ถูกต้องต้องมีผัสสะ ปัสสติ มีการสัมผัส กายคือองค์ 2 ต้องสัมผัสกัน ความหมายของพยัญชนะเหล่านี้ถ้าไม่มีสภาวะแล้วยากมาก วิโมกข์ 8 มีอะไรบ้างตั้งแต่
๑. ผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปี รูปานิ ปัสสติ)
รูปี รูปานิ ปัสสติ รูปคือสิ่งหนึ่ง รูปานิคือ ผู้มีความพร้อมที่จะรู้รูป เช่นคนตาบอดจะไม่สามารถรู้รูปได้ คนหูดีก็ฟังเสียงได้ รู้เสียงได้ แต่เสียงก็คือรูปเหมือนกัน ท่านย่นย่อมาที่รูปกับนาม รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือสิ่งที่เป็นธาตุรู้ จะเป็นเสียงเสียงมันก็เป็นรูป ที่จิตของเราเป็นนามมาสัมผัสเสียงก็รู้ เสียงก็เป็นรูป ที่นามของเราจะไปสัมผัสกลิ่นก็คือรู้ รสทางลิ้น รสก็เป็นรูป จะมีนามไปสัมผัสรส กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งอย่างไรก็ตาม มันก็มี 2 เหมือนกันมีการสัมผัสกับธาตุรู้ขึ้นมา นี่เรียกว่าวิโมกข์ข้อที่ 1 รูปีรูปานิปัสสติ
-
ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66) ย่อมเห็น รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี . เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) . (*พ่อท.แปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)