620109_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอน โลกทัศน์ทางพุทธศาสนากับการเกษรอินทรีย์
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1LNCsP953Kak-6U_VjuKRLrfHF37IGfKKh2SGcHsxF2c/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่…https://drive.google.com/open?id=1cw-F1XU15zwkiwkAZGCD8TE6ViWAGd-k
รายการวันนี้ นายไพฑูรย์ โกษีอำนวย นศ.ปริญญาเอก ม.มหิดล กำลังทำดุษฎีนิพนธ์ ได้มาสัมภาษณ์พ่อครู ในเรื่อง โลกทัศน์ทางพุทธศาสนากับการเกษรอินทรีย์ กรณีศึกษา พุทธสถานราชธานีอโศกจังหวัดอุบลราชธานี
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันพุธที่ 9 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ในสังคมเราจะได้เห็นคนที่ทำงานเพื่อคนอื่น เห็นนายกรัฐมนตรีจะทำงานเพื่อคนอื่นแล้วจะให้คนเข้าใจว่าเป็นสิ่งถูกสิ่งที่ทำเพื่อเขาเขาก็ยังเข้าใจไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจจริง คนเขาก็วิจารณ์ว่าเป็นการสร้างภาพ
พ่อครูว่า….คนเราจะสร้างภาพให้ตัวเองโดยการทำสิ่งที่ดีงาม เขาจะสร้างภาพเขาจะเจตนาสร้างภาพเพื่อให้คนยอมรับนับถือ เขาจะสร้างภาพอย่างนั้นมันเลวไหม มันเลวอย่างไร คนจะพยายามเจตนาตั้งใจที่จะทำดี ใครจะอยากให้คนเห็นว่าเราทำดีก็ไม่เป็นไร แต่เราทำกรรมทุกวินาทีทุกกรรมกิริยาที่เราทำมันเป็นสิ่งที่ดี ๆๆๆๆ มันควรจะอนุโมทนาให้กัน เขาจะสร้างภาพอย่างที่ดีมันก็ดีแล้ว ทำไมจะต้องไปว่าเขา แต่ถ้าเขาทำไม่ดีมันก็ไม่ดี หรือเจตนาจะสร้างภาพเลว จะบ้าเหรอ อาตมาขอวิจัยวิจารณ์ คนเราช่างหาเรื่องมาด่ามาว่า กระแนะกระแหน จะตำหนิคนต่างๆนานา อย่างนั้นเป็นจิตใจที่เลวทราม
สมณะฟ้าไทว่า…ถ้าเป็นเราก็อาจจะคิดว่าจะไปช่วยมันทำไม
พ่อครูว่า…ยกตัวอย่างอาตมาไม่ได้มีจิตคิดไปสร้างภาพ อันนี้เป็นความบริสุทธิ์ใจของอาตมาเอง อาตมาหมดความชั่วความอยากประกาศตนเป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ไปแล้ว อาตมาไม่มีจิตใจชั่วร้ายชั่วเลวอะไรเลย ไม่มีสาเฐยจิต หรืออยากอวดอ้างอะไรไม่มี จิตเราก็ต้องอ่านอาการจิตออก แต่จะไปโกหกคนอื่นมันก็บาปมันไม่ดี เราก็บอกความจริงไป อาตมาบอกความจริงไปหมดแล้วเขาก็ยัง กระแนะกระแหนว่ามาอย่างนั้นอย่างนี้ อาตมาก็ห้ามเขาไม่ได้ แต่ว่าคนเราไม่พยายามจะเข้าใจคนอื่น ถ้าหากเขาปฏิเสธสิ่งที่ดี ก็จะกลายเป็นคนไม่ได้สิ่งที่ดี โดยเฉพาะคนคิดดีๆจริงและสร้างสิ่งที่ดีจริง คุณนึกว่าคุณฉลาดนักหรือ แต่อาตมาว่า เป็นคนที่โง่สุดโง่เพราะคุณไม่รู้ว่าดีคืออย่างไรไม่รู้ว่าใจเขาสะอาดอย่างไร อาตมาไม่บ้าไปอวดอุตตริมนุสสธรรมในสิ่งที่ไม่จริงเมื่อเรามีจริง กรรมนั้นเป็นการกระทำที่เป็นอันทำ แค่เพียงคิดก็เป็นกรรมแล้ว ไปพูดอีกก็เป็นกรรม มันก็ยิ่งบาปน่ะถ้าหากเป็นบาป แล้วเรารู้ว่าเราไม่ดีแต่เราไปพูดว่าเราดีเราผิดเราทำตัวชั่วอยู่ก็ตามแล้วจะมาบอกว่าเราดี
พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนที่โกหกทั้งๆที่รู้ รู้ว่าตัวเองโกหก คนที่โกหกทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองโกหก คนๆนี้จะทำชั่วได้ทุกอย่าง ไม่มีความชั่วใดที่คนนี้จะทำไม่ได้
สมณะฟ้าไทว่า…คนไทยต้องมองมิติใหม่ ว่าคนทำดีเราต้องเชียร์คนทำดี ให้เขาทำไปเลยตลอดชีวิตของเขา คนไปทำดีไม่ได้อะไรก็ได้ความเหนื่อย
พ่อครูว่า…ในพระไตรปิฎกเล่ม 36 ข้อ [80] อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคล ๒ จำพวก เหล่าไหน
ผู้ที่ประพฤติรังเกียจสิ่งที่ไม่ควรรังเกียจ 1 ผู้ที่ไม่ประพฤติรังเกียจสิ่งที่
ควรรังเกียจ 1
อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคล 2 จำพวกเหล่านี้
[81] อาสวะทั้งหลายย่อมไม่เจริญแก่บุคคล 2 จำพวก เหล่าไหน
ผู้ที่ไม่ประพฤติรังเกียจสิ่งที่ไม่ควรรังเกียจ 1 ผู้ที่ประพฤติรังเกียจ
สิ่งที่ควรรังเกียจ
อาสวะทั้งหลายย่อมไม่เจริญแก่บุคคล 2 จำพวกเหล่านี้
สมณะฟ้าไทว่า..วันนี้มี นายไพฑูรย์ โกษีอำนวย นศ.ปริญญาเอก ม.มหิดล ได้มาสัมภาษณ์พ่อครู ในเรื่อง โลกทัศน์ทางพุทธศาสนากับการเกษรอินทรีย์ กรณีศึกษา พุทธสถานราชธานีอโศกจังหวัดอุบลราชธานี
ในปัจจุบัน สารเคมีการเกษตรถูกใช้อย่างมากมาย เป็นพิษร้ายต่อคนอย่างมาก คนจึงแสวงหาพืชผักไร้สารพิษมาบริโภคกันเพิ่มขึ้น เป็นสิ่งขาดแคลนอย่างยิ่ง (พ่อครูยกตัวอย่างพืชผักไร้สารพิษที่มาประดับหน้าเวทีนี้) และแมลงไม่ค่อยกินด้วย เขาสรุปว่าเพราะว่าพืชผักเราแข็งแรงแมลงเลยไม่ค่อยกิน
คุณไพฑูรย์ว่า..ผมได้คุยกับสมณะดินไท และจะเก็บข้อมูลต่อ ได้คุยกับเครือแหมาก่อนนี้ด้วย ผมเคยมาที่นี่ตั้งแต่ปีก่อน
ผมได้ศึกษาว่าเกษตรอินทรีย์ ไม่ได้เริ่มที่บ้านเรา เริ่มที่ต่างประเทศ มีปัญหาการรบรากับบริษัทการค้าเคมีมาตลอด มีการตีความทางพุทธศาสนาอย่างไรบ้างในการเอาไปใช้ในเรื่องต่างๆ เมื่อกี้นี้ผมตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นมาเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ในอโศก เร่ิมมาอย่างไร แล้วมีแนวคิดอย่างไร อุปสรรคอย่างไร มีการใช้หลักธรรมทางพุทธศาสนาหรือที่เรียกว่า โลกทัศน์ทางพุทธศาสนาเอามาใช้อย่างไรบ้าง
อันดับแรก มีความเป็นมาอย่างไรจึงได้มาทำการเกษตรอินทรีย์
พ่อครูว่า…ที่คุณมีโลกทัศน์ความมุ่งหมายอย่างไรด้วย อาตมาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าก็มีความรู้ชัดเจนว่าเราเป็นคน สิ่งที่สำคัญในความเป็นคน อาหารเป็นหนึ่งในโลก แล้วคำว่า อาหาร เครื่องอาศัยนี้เป็นสิ่งสำคัญก็คือ กวฬิงการาหาร ที่เป็นตัวต้นตัวหยาบ อาหารที่กินเข้าไปเลี้ยงขันธ์เรียกว่า กวฬิงการาหาร
เจตนาก็คือมันเป็นเครื่องอาศัยของคน อาหารเป็นหนึ่งในโลก ถ้าไม่มีอาหารเราก็ตาย มันสำคัญจริงๆ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเอาใจใส่ในเรื่องนี้เพราะเป็นปัจจัยของชีวิตสำคัญ อาวุธไม่ได้สำคัญเป็นหนึ่งในโลก หรือแม้แต่เอาเข้ามาถึงปัจจัย 4 เสื้อผ้าก็ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในโลก หนึ่งในปัจจัยสี่ อาคารที่พักที่อาศัยอยู่ในปัจจัย 4 ก็ไม่ใช่ เป็นที่หนึ่ง แต่อาหารเป็นที่หนึ่งในโลกในปัจจัยสี่ ข้าวผ้ายาบ้าน เพราะถ้าไม่มีเครื่องนุ่งห่มไม่มียารักษาโรค ไม่มีบ้านก็ยังไม่ตาย แต่ไม่มีอาหารนั้นจะตายเอา
เมื่อเห็นความสำคัญแล้ว อาตมาก็เห็นว่าสังคมนี้ทำร้ายอาหาร ที่เรานำไปกิน ไปใส่สารพิษผสมอะไรเข้าไปปรุงแต่งเลอะเทอะมาก นั่นคือต้นความคิดที่อาตมาเห็น
จึงได้มี สามอาชีพกู้ชาติ ขึ้นมา
คือ กสิกรรมธรรมชาติ ปุ๋ยสะอาด ขยะวิทยา
นี่คือ 3 อาชีพที่จะกู้ชาติกู้แผ่นดินกู้ประเทศกู้โลกเลย เรื่องการกสิกรรมและปุ๋ยก็ยังพอฟังขึ้น แต่เมื่อพูดถึงขยะ คำว่าขยะนี้แม้มันไม่ใช่สิ่งที่ส่งเสริม มันเป็นเรื่องทำลายแล้วนะ แม้แต่สิ่งที่ส่งเสริมก็ได้ทำลายก็ได้ หากเราพลิกไปใช้ในมุมส่งเสริมก็จะไม่ใช่ขยะ หากพลิกไปใช้ในมุมที่ทำลายก็เป็นขยะ แต่คนที่อวิชชาก็ไม่รู้ในสิ่งที่ทำลาย คุณทำอย่างเจตนานึกว่าเจริญแต่แท้จริงเป็นยาพิษ เป็นสิ่งที่ทำลาย มันเป็นสิ่งที่มอมเมาอย่างนี้ก็ทำลาย รสชาติเพิ่มเติมความสวยงามเพิ่มเติมเป็นต้น เป็นสิ่งทำลายแต่เขาหลงว่าเป็นความเจริญส่งเสริมความสวยงาม แต่มันเป็นการทำลาย นี่คือนัยะลึกซึ้ง
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้แล้ว อาตมาก็มองในวัตถุดิบที่เอามาประดับฉากนี้ เป็นพืชพรรณธัญญาหารที่เราทำเองทั้งนั้น ไร้สารพิษทั้งหมดและสวยงาม แต่คนที่เขาไม่ทำอย่างไร เขาพยายามใส่ยา ใช้สารเคมี เพื่อจะให้ของเขาสวย ของเขาสวยกว่าของเราเลย มีประเภทที่แมลงไม่ตอมเลยนะ
เราทำนาหอยเชอรี่ นก ปู กินบ้าง แต่สัตว์เหล่านี้มันมีเซ้นส์ ว่าไม่มีพิษมันก็มากินกว่าจะเหลือให้เรากินก็ไม่มาก สัตว์มันเอาไปกินก่อนเยอะ แต่พวกเราไม่ได้ขาดแคลนในอาหารพืชพรรณธัญญาหาร แต่กลับอุดมสมบูรณ์ ทำไมไม่ขาดแคลน อาตมาว่า พวกเราประสบความสำเร็จในการอยู่ร่วมกับสัตว์โลกไม่ต้องไปเบียดเบียนกัน เราทำ มันจะมากินบ้างแต่เราก็มีเหลือที่เราจะยืนอยู่ได้พอเหมาะ เราไม่ยิงไม่ฆ่ามัน อย่างเก่งก็ไล่มันไป เท่านั้นเอง นอกนั้นไม่ได้รุนแรง ที่พูดไปนี้เป็นนัยะละเอียด คนอื่นกลัวแล้วป้องกันไปหมดแต่เราไม่ทำอย่างนั้น
คุณไพฑูรย์ว่า…วันนี้พ่อท่านประสบความสำเร็จหรือไม่
พ่อครูว่า…ประสพผลสำเร็จ
คุณไพฑูรย์ว่า…ก็จะประสบความสำเร็จจะต้องเจออุปสรรคใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า…แผ่นดินนี้แต่ก่อนก็ต้องมีสารพิษสารเคมีบ้าง ที่นี่เป็นที่ลุ่มมีน้ำท่วม คนก็ทิ้งไม่ทำกสิกรรมที่นี่ น้ำท่วมก็เกิดการ dilute ดินก็ดีขึ้นพอควร เราดีที่ไปจับจองที่ๆคนไม่เอา เราไม่กลัวน้ำท่วม น้ำท่วมมาพืชก็ตาย ตายก็ปลูกใหม่
อาตมาจำได้เลย ฤดูน้ำท่วม ดาวเพ็ญนี่แหละ น้ำกำลังท่วมก็ยังไปดำนา พอดำเสร็จน้ำก็ท่วม เราก็รู้ว่าน้ำท่วม ท่วมตายก็ตาย เราก็ปลูกใหม่ คือเราไม่กลัวเสียอย่าง อะไรตายก็ตายอะไรเกิดก็เกิดถึงที่สุด ความเกิดความตายก็คือสามัญ เราก็ทำเท่าที่เราทำได้ เราก็ทำอย่างไม่กลัวเราไม่ได้เสียดายอะไรมากมาย หมดไปก็ทำใหม่ในสิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่ไม่ต้องทำก็ไม่ทำเลยเพราะมันไม่ควรทำ ทำแล้วมันหมดไปก็ทำไม ก็อยู่กับอันนี้ เราก็ไม่เห็นเดือดร้อนอะไร เราก็มีอุดมสมบูรณ์เหลือเฟือแจกจ่ายคนอื่นได้ด้วย
สรุปว่าประสบความสำเร็จทั้งคุณภาพและความอุดมสมบูรณ์ ปริมาณมาก Quality quantity บริบูรณ์
คุณไพฑูรย์ว่า…ในหลักธรรมะที่พ่อท่านใช้ เวลาเสียหายแล้วก็ทำใหม่ แต่บางคนเมื่อเสียหายถึงขนาดฆ่าตัวตายก็มี
พ่อครูว่า…กิเลสของเขา เขาไม่รู้จักความเกิดความดับ ทุกอย่างก็หมุนเวียนระหว่างความเกิดความดับสุดท้าย มันยังไม่เกิดไม่ตายเหลือเท่าไหร่ก็ต่อเชื้อกันไป ถ้าหมดไปแล้วก็ปลูกขึ้นมาใหม่ เราไม่จำนนต่อการที่จะทำสิ่งที่เราควรจะทำ
คือคนเราโง่ เอาเวลาแรงงาน ทุนรอน ไปเสียกับสิ่งไร้สาระพุ่มเฟือย ผู้ใดรู้สิ่งฟุ้งเฟ้อเรื่องไร้สาระแล้วก็อย่าไปเสียเวลาแรงงานทุนรอนกับสิ่งไร้สาระฟุ่มเฟือย เราก็มีเวลาแรงงานทุนรอนมาทำสิ่งที่เป็นสาระ ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย นี่คือ Economy สูงสุด
ชุดนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของที่นี่
พ่อครูว่า…เราก็สรุป motto ขยายความ Economy ว่า ประโยชน์สูงประหยัดสุด นี่คือเพลงอาริยะหมายเลข 1 Economy หมายถึงการประหยัดแต่เราสูงกว่านั้น
คุณไพฑูรย์ว่า..มีหลักธรรมอะไรบ้าง
พ่อครูว่า…หลักธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนเราคือ จรณะ 15 วิชชา 8 นี่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า จะใช้อันนี้เท่านั้นทั้งหมด
-
ถึงพร้อมด้วยศีล . . 9. ปรารภความเพียร (อารัทธวิริโย)
-
คุ้มครองทวารอินทรีย์ 10. สติอันเป็นอาริยะ . .
-
ประมาณในโภชนา 11. ปัญญา . .
-
ประกอบความตื่น 12. ปฐมฌาน .
-
ศรัทธา (เชื่อมั่น) . . 13. ทุติยฌาน
-
หิริ (ละอายต่อบาป) . 14. ตติยฌาน
-
โอตตัปปะ. (สะดุ้งบาป). 15. จตุตถฌาน
-
แทงตลอดในพหูสูต . (ล.13/34)
พวกเรามีเครื่องใช้อาศัยอย่างประโยชน์สูงประหยัดสุด โดยเฉพาะเครื่องนุ่งห่มบ้านช่องเรือนชาน ยารักษาโรค และ บริขาร เราไม่สุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือย เราจึงมีพอ มีเวลามาทำสิ่งที่เหลือใช้กับเครื่องใช้ อาหารเป็น 1 เครื่องใช้เป็นรอง เราพอจะมีเวลาแล้วก็เอาเวลาทำกสิกรรม
เราเรียกว่ากสิกรรมธรรมชาติไม่ได้เรียกเกษตรอินทรีย์
คุณไพฑูรย์ว่า..มันแตกต่างอย่างไร คำว่าอินทรีย์
พ่อครูว่า…ใช้พลังงานที่เป็นจุลินทรีย์ หรือโตกว่าจุลินทรีย์ นก หนู ปู ที่จะมากินเราก็แบ่งกันได้ แม้กระทั่งจุลินทรีย์ที่เป็นจุลินทรีย์ชนิดทำลายกับจุลินทรีย์สร้างสรรค์ เราก็พยายามอย่าให้เกิดจุลินทรีที่ชั่วร้าย ให้เกิดแต่จุลินทรีย์ที่สร้างสรรค์
จุลินทรีย์ หมายถึงอินทรีย์ของชีวิตที่ทำลายหรือสร้างสรรค์พืชพรรณธัญญาหาร ที่จริงแล้วปูกับหอยก็ทำลาย มันเป็นสัตว์ใหญ่อินทรีย์ใหญ่ ถ้าจุลินทรีย์ตัวเล็กมันก็เล็ก แม้แต่วัวควายก็มา ที่อื่นช้างก็มี สัตว์มันมีเซ้นส์รู้ว่าที่นี่มีพืชผักที่ไม่มีสารเคมีด้วย
พ่อท่านคิดว่าความสำเร็จของเกษตรอินทรีย์ที่นี่ Success ไหม มาจากไหนบ้าง
พ่อครูว่า…มาจากความรู้ที่เราเอาใจใส่ควรจะให้เป็นควรจะให้มี เราจะให้พืชพรรณธัญญาหารเป็นอย่างไร จุลินทรีย์ทั้งหลาย จะเป็นชีวิตินทรีย์ของปู หอย นก วัว หรือช้าง เราก็ต้องป้องกันทั้งนั้น อย่ามารุกรานเรามาก ตัวที่พูดกันยากคือจุลินทรีย์ ดูแลกันยาก นอกนั้นมันก็ยอมจำนน เช่น หอย ปู เราไม่ฆ่า มันกินเหลือเท่าไหร่ก็เท่านั้น หรือมันมาจิกตั้งแต่พืชอ่อนจนเมล็ดแก่ก็มากิน เหลือเท่าไหร่แล้วก็เอาเท่านั้น เราเป็นคน เราก็ทำเผื่อสัตว์ก็ได้ จัดว่าถึงขั้นเป็นผลสำเร็จ
คุณไพฑูรย์ว่า..เท่าที่คุยมาเกษตรอินทรีย์จะไม่ค่อยประสบผลสำเร็จ
พ่อครูว่า…ไม่ประสบผลสำเร็จเพราะเขาไม่เอาจริง ใจไม่ถึง เอาเวลาแรงงานทุนรอนไปเสียอย่างอื่นมาก แต่ของเราไม่มีไปเสียเวลาทุนรอนแรงงานแบบนั้น
เวลา ทุนรอน แรงงาน เพราะความโง่เอาแรงงานไปเสพความสวยงามความเป็นแฟชั่นการกินการอยู่ การกินก็คือเราเอาอาหารกินเท่านั้น เราไม่ไปฟุ้งเฟ้อกับสิ่งเกินจำเป็น มันจึงเหลือเฟือ เราไม่สูญเสีย 3 อย่างนี้เราจึงมีความอุดมสมบูรณ์ มีเวลา ทุนรอน แรงงาน เอามาทำได้ คนก็เข้าใจยากบอกว่าเรารวย
เพราะเรามีสิ่งที่สำคัญของชีวิตไว้อาศัย สิ่งที่ไม่สำคัญของชีวิตฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย เกินขอบเขตความจำเป็น เราบาย
เราก็เลยไม่มีสิ่งประดับประดาตกแต่งอย่างคนทางโลก เราก็เลยเหมือนคนซกมกมอซอไม่หรูหราพริ้งพรายเหมือนเขาแต่เรามาเน้นสาระสัจจะพวกนี้ เราเจาะถึง essence ของชีวิต
คุณไพฑูรย์ว่า..การเกษตรอินทรีย์ต้องใช้ความขยันการดูแลเอาใจใส่ ไม่ต้องเอาเวลาไปทำในสิ่งที่หรูหรา
พ่อครูว่า..สรุปผลแล้ว อันนี้เป็นความเลวที่ยากจะเข้าใจ
พืชพรรณธัญญาหารของเราแข็งแรง พวกแมลงจึงไม่กล้ามากิน
เราพิสูจน์เลยมีนา 2 แปลงของเขากับของเรา เราไม่ใช้เคมีเลย แต่พวกแมลงศัตรูพืชไม่มาที่เรา มันเลือกได้เหมือนกันใช่ไหม มันก็เลือกเอาสิ่งที่มันคิดว่ากินได้ จุลินทรีย์ไม่ได้ฉลาดกว่าคน เราเอาชนะได้เพราะเราฉลาดกว่ามัน
คุณไพฑูรย์ว่า..หลักการเกษตรอินทรีย์คือบำรุงดินให้อุดมสมบูรณ์ แล้วดินจะส่งอาหารไปให้พืช แต่เกษตรเคมีไม่สนใจว่าดินเป็นอย่างไรต้องทำการส่งอาหารเข้าสู่พืชโดยตรง จึงฝืนหลักการธรรมชาติ บางทีเคมีมันมากเกินไปหรือไม่พอ แต่ก็มีกลุ่มของอโศก ที่ทำสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นเกษตรกรที่ทำกันเอง หลายประเทศที่ศึกษาก็ไม่ประสบผลสำเร็จ ทั้งที่เป็นที่ต้องการในตลาดระดับโลก แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะส่งผลิตภัณฑ์เข้าไป เกษตรกรไม่สามารถทำให้อยู่เพียงพอได้ทั้งๆที่ราคาขายสูงกว่าปกติ
หลายรายทำได้เพียงครั้งสองครั้งก็เลิก ไม่ประสบความสำเร็จไม่ทราบว่าเพราะอะไรเลยอยากจะมาศึกษาที่นี่เอาตัวอย่างของความสำเร็จไปเผยแพร่
ถ้าเขาไม่ขยันเอาจริงเอาจังเป็นชาวอโศกจะสำเร็จหรือเปล่า
ที่หนองเม็ก ก็ได้ถามพี่จำปา หากไม่มีหลักธรรมในการใช้ชีวิตจะสำเร็จหรือไม่
พี่เขาว่าไม่สำเร็จ บางที เขาทำไปแล้วมีแมลงศัตรูพืช เขาต้องทิ้งทั้งมุ้งเลย คนที่ไม่มีหลักธรรมครองใจอาจจะใช้สารเคมี ไม่ต้องทิ้ง แต่เขาเองคิดว่า ตรงนั้นไม่ได้สำคัญกว่าหลักธรรมที่เขายึดถือ เขาจึงสามารถทิ้งไปทั้งแปลงได้ เป็นเรื่องที่ แสดงว่าธรรมะก็เป็นเรื่องสำคัญเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกษตรอินทรีย์ประสบความสำเร็จด้วย
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมไปดูงานที่ลำปาง มีคนที่ปลูกสตรอเบอรี่อยู่ 2 ไร่ เขาบอกว่าปีแรก ข้างเคียงฉีดยา นกก็ไม่ไปกินมากินของเขา แล้วเขาทำอย่างไร พี่แกตอบหน้าตาเฉยว่ากินก็กิน นกไม่ได้ปลูกสตรอเบอรี่ เราอยากกินก็ปลูกไป แต่จะมีสักกี่คนที่ทำใจได้อย่างนี้ ถ้าคนที่ลงทุนไปแล้วอยากได้อะไรกลับมามากๆกลางวันไม่ฉีด กลางคืนก็อาจจะแอบไปฉี มันจึงมีความสำเร็จค่อนข้างยาก จึงเป็นความท้าทายที่จะมาศึกษาของที่นี่ ครั้งที่แล้วพืชผักก็ใหญ่อย่างนี้มากครั้งนี้ก็ใหญ่อย่างนี้ ยังได้ถ่ายเอาภาพฟักเขียวที่ใหญ่ไปให้เพื่อนดู
ทำไมเกษตรอินทรีย์ถึงมีความทนทานต่อโรคกว่า ครั้งต่อไปผมอาจไปคุยกับพี่ๆที่แปลงเลย การศึกษานี้ผมคิดว่า ผมก็ต้องนำเกษตรอินทรีย์ไปเผยแพร่คู่กับธรรมะด้วย ก็จะใช้องค์ความรู้ทางด้านเกษตรอินทรีย์ที่ได้จากที่นี่ จะนำไปเผยแพร่เพื่อประโยชน์ เพราะว่าประเทศไทยก็เป็นประเทศที่เป็นชาวกสิกรเป็นหลัก
ประเทศไทยน่าจะเป็นประเทศต้นๆที่มีความเหมาะสมในทำการเกษตร ทั้งผืนดินผืนน้ำมีแดดมีปัจจัยที่พร้อม ที่ประเทศอื่นบางที่มีหน้าร้อนไม่กี่เดือนบ้างที่ปลูกพืชผักไม่ได้เลย ต้องใช้การกางมุ้งพลาสติก แต่ที่ยุโรปต้องมีแสงไฟที่เป็นแสงอาทิตย์เทียม อยู่ในมุ้งอีกที ประเทศไทยมีความเหมาะสมมากแต่เกษตรกรไทยไม่รวย
ตอนที่คุยกับพ่อท่านครั้งแรกผมก็เอาไปขายไอเดีย ผมไปเห็นแล้วว่าที่อโศก เขาทำกันอย่างจริงจังและได้ผลสำเร็จ เป็นที่ประจักษ์ ไม่ใช่ว่าทำแบบผักชีโรยหน้า ได้รับรางวัลเท่านั้น
มาครั้งก่อนก็ไม่ได้บอกล่วงหน้ามีโอกาสขับรถวนไปดูทั่ว มีโอกาสไปดูที่ท่านเสียงศีล ท่านก็บอกว่ามาดูที่นี่ จะชัดเจนกว่า
ครั้งนี้เป็นการมาคุยเป็นครั้งแรกก็ต้องไปศึกษาและสรุปข้อมูล ตั้งคำถามมา แล้วมาถามพ่อท่าน
สมณะฟ้าไทว่า…เกษตรกรที่นี่ พ่อครูพาไม่ให้ไปรวย ให้มาจน คือคนที่ไม่สะสมเป็นผู้ให้แล้วต้องเป็นคนขยันด้วย หลักของพ่อครูมี 1. ไม่เป็นหนี้ 2. พึ่งพาตนเองให้ได้ 3. ทำให้มากให้เหลือกินเหลือใช้ ห้ามทิ้งด้วย ให้เอาไปแจกจ่ายเจือจานประชาชนมี 4 ประการ หลักการอย่างนี้ทำให้เกษตรกรไม่รวยแต่อุดมสมบูรณ์
คุณไพฑูรย์ว่า..ผมยังงงพ่อครูว่า เรารวย และที่นี่เป็นตลาดคนจน
พ่อครูว่า.. คำว่าจนคือไม่มีเงินทองทรัพย์สินวัตถุที่เขามีกันมากๆ ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ เป็นของใช้หรือเงินทองของเราไม่มีมาก คนที่นี่ไม่มีเงินทองเป็นคนจน คนที่นี่ไม่มีเงินส่วนตัวเลยทุกวันนี้ อยู่เป็นชีวิตไม่ต้องมีเงินเลย วันหนึ่งๆไม่ต้องใช้เงิน แน่นอนนักบวชไม่ใช้ แต่ฆราวาสเราก็ไม่ใช้เงินได้ อาศัยเพื่อนฝูงพี่น้องได้ ไม่ต้องมีความกังวลว่าจะต้องกินต้องใช้อะไรนักหนา เป็นการตัดภาระสิ่งที่เขาขาดไม่ได้ เราตัดไปแล้วก็ไม่เป็นไร ชีวิตเราก็เต็มเราก็อุดมสมบูรณ์อยู่ได้
จริงๆแล้วคำว่าอวิชชาหรือความโง่นี้มันโง่กันเยอะ โง่ที่จะต้องเป็นต้องมีต้องได้ มันมีเยอะจริงๆ จริงๆแล้ว มันไม่มีอะไรมากเลย จะต้องไปได้ไปมีไปเป็นอะไรมาก เมื่อคนมารวมกันที่นี่มีความเข้าใจมี Concept ที่ตรงกัน ทุกคนมาปฏิบัติตน รู้ตัวเองว่าฉันยังมีอะไรที่ยังมีมากอยู่นะ ก็มาปฏิบัติเพื่อลดลง มันมีเป้าหมายตรงกันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นคนที่นี่ จึงมีสิ่งที่จะไปผลาญพร่าบำเรอตนเองน้อยลง ถ้ามีประสิทธิภาพสร้างสรรค์ ตนเองกินน้อยใช้น้อยเอาน้อยแต่สร้างขึ้นมาให้มาก แล้วมายึดถือเป็นของตัวของตนด้วยนะ ก็เลยกลายเป็นมีส่วนเหลือมากอุดมสมบูรณ์ เอามากองรวมกัน ลักษณะนี้จึงเรียกว่าสาธารณโภคีว่าเป็นศูนย์กลาง แล้วก็มีส่วนตน กินน้อยใช้น้อยแต่สร้างได้มากแล้วเอามาเข้ากองกลางสร้างได้มากก็ไม่ได้ยึดถือเป็นของตัวตน ทำขึ้นมาแล้วเอาเข้าส่วนกลางหมด ไม่ซื้อไม่ขายไม่มีอะไรจากตรงนั้น กินใช้อยู่ในนี้ แล้วเราก็กินน้อยใช้น้อย ไม่ฟุ่มเฟือย
คนที่อยู่ได้ก็สบาย เบิกจ่ายสิ่งที่เขาให้ก็เท่านี้ ก็สบายแล้วไม่ได้เดือดร้อนใจเราก็อยู่ได้ ที่นี่เราไม่ได้คัดเลือกอะไร ทางเราเป็นสถานที่อิสระเสรีภาพ ใครจะเข้ามา จะเข้ามาที่นี่เขามีกรอบอยู่อย่างนี้ วัฒนธรรมอย่างนี้ คุณอยู่กับเขาได้ก็อยู่เลย ตายก็เผาให้ ไม่มีปัญหา ถ้าอยู่ไม่ได้คุณก็ไปเอง ที่นี่ไม่มีกรอบไม่มีรั้วขีดขั้น อยู่ในสนามแม่เหล็กของที่นี่ได้ไหม คุณเป็นหน่วยหนึ่งเป็นโมเลกุลเข้ามาอยู่ในนี้ คุณปรับทิศทางอยู่กับเขาได้ไหม ก็ไม่กระเด็นออก
คำว่ารวยก็คืออุดมสมบูรณ์ คนที่นี่เป็นคนจน ชาวบ้านเขาไม่เชื่อหรอกว่าเป็นคนจน อาตมาก็บอกว่าพิสูจน์อย่างนี้ หมู่บ้านชาวราชธานีร้อยคน กับหมู่บ้านชาวคำกลางกุดระงุมรอบข้างร้อยคน ประจันหน้ากัน ทุกคนมีทรัพย์สินเงินทองข้าวของทรัพย์สมบัติออกมากองตรงนี้ ใครจะมีมากกว่ากัน …ที่อื่นจะมีมากกว่าคนของที่นี่ ทั้งทรัพย์สมบัติเพชรนิลจินดาเงินทองข้าวของอะไรต่างๆ ของเรานี่แหละจนแต่เรานี่แหละรวยเพราะคุณทำตัวเองโง่ คุณว่าคุณจนแต่คุณรวยกว่าพวกเรา พวกเรานั้นจนจริงๆแต่พวกเรารวยก็พวกคุณ
คุณไพฑูรย์ว่า…ถ้าจะพูดว่า ชาวชุมชนโลภทรัพย์น้อย แต่อาริยทรัพย์เยอะ
สมณะฟ้าไทว่า..คนที่นี่ส่วนตนมีความจนแต่เสียสละให้ส่วนกลางเยอะ ส่วนกลางจึงรวย แต่ไม่มีอะไรเป็นของแต่ละคน ส่วนกลางนี้อุดมสมบูรณ์เต็มที่
พ่อครูว่า…อาตมาจะสรุปให้ คำสอนพระพุทธเจ้าหลักที่อาตมาใช้ คือ the classes 9 ข้อหรือวรรณะ 9
-
เลี้ยงง่าย (สุภระ)
-
บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)
-
มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) . .
-
ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)
-
ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)
-
เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)
-
มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)
-
ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ๙
-
ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) .