620113_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ธรรมะกับการเมืองเรื่องวิจัยไตรสิกขา
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1Dxvt60tr50WhtBfN66wakI886as_09QHDR-_ZEiqr_Y/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1NFFBvbEf5_JCWk7Z-Vn_7oJbh1yqEK-Y
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก เมื่อวานเราได้จัดงานวันเด็กที่บวร ราชธานีอโศกพร้อมกับทั่วประเทศที่จัดงานวันเด็กเช่นกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามเด็กที่ทำเนียบรัฐบาลว่า เหตุใดถึงชอบดูนักข่าว โดย พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า เพราะว่าดุด้วยความรักและเป็นการดุแบบผู้ใหญ่ ไม่ได้โกรธเคืองกันจริง ๆ ส่วนคำถามที่ว่าเหนื่อยหรือไม่ พลเอกประยุทธ์ ระบุว่า เหนื่อย แต่ก็พยายามตัดเรื่องที่จะทำให้หงุดหงิดออกไป และก็มีกำลังใจจากเด็ก ๆ และผู้ปกครอง
พ่อครูว่า..มีคอมเม้นท์มาเยอะจะอ่านก่อน
คลิปเราคือโพธิสัตว์ มีความเห็นตอบกลับมา…
_Narong Suraphatkornpapha…. นี้ ยังไม่ใช่ ลักษณะ การแสดงธรรมของบัณฑิต ในอริยวินัย ของพระสุคต คือ
สุคตวินโย. ยังมิใช่ ผู้แจ้งในอริยสัจณาน. เหตุเพราะ
ยังไม่รู้ ถึง ไม่แทงตลอดในอริจทั้งสี่ประการ. นั้นเอง
จึงแสดงสัทธรรม ปฏิรูป อันเป็นทองเทียมเช่นนี้.
โพธิสัตว์ ยังเป็นสัตว์ที่ยังเป็นปุถุชน ยังไม่ความรู้ใน
อริสัจจสี่แต่งอย่างใด.
ดังนั้นสิ่งที่ท่านกล่าวมา
เราไม่รับรอง และไม่คัดค้านคำของท่านเดี๋ยวไปเทียบ
กับ ธรรมวินัยที่ตถาคตตรัสแล้ว เราจะกล่าว
ถ้าท่านทำเช่นนั้นได้จริง
เราก็อนุโมธนา กับท่านด้วย
ว่าท่าน ลดกิเลส ได้หมดแล้ว.
สาธุ. สาธุ. เราไม่รับรอง
และไม่คัดค้านในคำของท่าน.
แต่ในครรลองแห่งธรรมที่ ท่าน
แสดง เราขอบอกว่า. ยังไม่ใช
บัณฑิต. ในเรื่องการแสดงธรรม
เพราะมีคำ ฟุ่มเฟือย เยาะ.
ถ้าเป็นบัณฑิตในธรรมวินัย. ที่
เป็น. อาริยสาวโก. แล้ว. ไม่
สมารถรับฟังธรรมทีแสดงได้.
เพราะมันไม่ใช่ คำสอนขอวพระพุทธ เพียว. มีคำฟุ่มเฟือยเยาะ. ธรรมที่. อาจารย์ ท่านแสดงเหมาะกับ. อสุตตวา ปุถุชเนนะ มากกว่า. เพราะ ถ้า อาริยสาวโกแล้ว. คำสอนอาจารย์. จะเป็น
อนุตตรย ๖ ประการ. มิใช่สัทธรรมแท้. ไม่เหมาะสำหรับผู้ละสังโยชน์. 3 ได้แล้ว. และราคะ
โทสะ โมหะ เบาบาง. เพราะฟังแล้ว อกุศล เกิด. เพราะมิใช่ธรรม คือ สุตตะ. ถึง เวทัลละ
และไม่ใช่ ธรรม สุคตวินโย
เราเห็นแล้ว. แต่ยัง ไม่ใช่.
อนุตตริยะ. ครับท่านผู้เจริญ.
ในทำนอง แห่งธรรม ของอโศก. เราได้เห็นแล้ว. แต่ยังไม่ตรง อินทรียของเรา. ท่านจะทำอะไรก็ทำไป ท่าน. แต่ไม่ใช่กิจที่เราจะไปสำคัญให้การศึกษา. เพราะทำกิจอะไร. ทานอะไร. ไม่ทานอะไร. ก็ตายเรียบ. เราจึงไม่เสียเวลากับกืจของปุถุช. ทิฏฐิ ของปุถุชน.
ที่ท่านเรียกว่า กิเลส. นั้นเอง
แต่เป็นกิเลส แบบปุถุชน. ยังไม่อาจพ้นไปจากทุกข์ได้
ส่วนเรา ทำกิจของ. อริยคือพึ่งตนพึ่งธรรม. คือ มีศิลอันเป็นอริย
มีสาธิ อันเป็นอริย. มีปัญญา อันเป็นอาริย. และ มีวิมุติ อันเป็นอริย
เราไม่คุย เรื่องโลก เรื่องคนตายไปแล้ว. เรื่องพระราชา. เราไม่คุย
เราทำกิจ คือ. เป็นผู้ตามเห็นกายในกานอยู่เป็นประ เป็นผู้ตามเห็นเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตอยู้เป็นประจำ. เป็นผู้ตามเห็นธรรมในใธรรมอยู่เป็นประจำ. เราเป็นฟ้าที่คำราม แล้วในตก.
_Cr. นพดล ประเสริฐกาญจนา ว่าด้วยเรื่องของคนที่ศีลเสมอกัน
“นกชนิดเดียวกัน จะอยู่ในฝูงเดียวกัน คนที่เสมอกัน จะถูกดึงดูดเข้ามาอยู่ใกล้กัน”
————–
เราอยู่ในโลกของพลังงาน ทุกสิ่งทุกอย่าง(แม้แต่วัตถุที่เป็นของแข็ง) ดูเหมือนสงบนิ่ง แต่แท้จริงแล้วมันกำลังสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา หากส่องเข้าไปดูในระดับอะตอม นักวิทยาศาสตร์ได้พบความจริงข้อนี้ แล้วประกาศออกมาเป็นทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์ ซึ่งความจริงนั้น พระพุทธเจ้าทรงค้นพบเรื่องนี้มาเกือบสองพันหกร้อยปีแล้ว และตรัสไว้ผ่านทางหลักธรรมคำสอน ด้วยพุทธพจน์ที่ว่า ทุกสรรพสิ่งไม่เที่ยง (อนิจจัง) ต้องเปลี่ยนแปลง (ทุกขัง) และไม่มีตัวตน (อนัตตา) สามสภาวะนี้เรียกรวมกันว่า “กฎไตรลักษณ์”
กฎข้อนี้ในบางส่วน นักจิตวิทยาก็ค้นพบ เขาจึงกล่าวว่า “จิต” เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง พลังงานจะอยู่ในรูปของคลื่นความถี่ ที่สั่นสะเทือนอยู่ตลอด ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่รับรู้และใช้ประโยชน์จากมันได้ เช่น คลื่นโทรศัพท์ คลื่นวิทยุ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น
ชีวิตทางกายภาพของมนุษย์ประกอบด้วยส่วนต่างๆ อยู่ ๒ ส่วน คือ
๑. ส่วนที่เป็นกายภาพ สามารถสัมผัสจับต้องได้ มองเห็นได้ เรียกว่า “กายเนื้อ” ภาษาธรรมะเรียกว่า “รูป”
๒. ส่วนที่เป็นพลังงาน สัมผัสถูกต้องไม่ได้ เรียกว่า “กายใน” เป็นพลังงานเรืองแสง มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น กายในดังกล่าวนี้จะแทรกอยู่ในกายเนื้อ คนโบราณเรียกว่า “กายทิพย์” ทางพระเรียกว่า “นาม” ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงอธิบายละเอียดลึกซึ้งลงไปอีกว่า นามนั้นประกอบด้วย ความรู้สึก (เวทนา), ความจำ (สัญญา), ความคิด (สังขาร), การรับรู้ (วิญญาณ)
ข้อดีของสัจธรรมก็คือ เป็นกฎของธรรมชาติที่ให้ผลเป็นจริง อยู่เหนือกาลเวลา และนำมาปรับใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย
เคยสงสัยไหมว่า ทำไมในชีวิตประจำวัน เราต้องมาพบ มาทำงานร่วมกับคนคนนี้ ซึ่งอาจเป็นเจ้านาย ลูกน้อง แฟน คู่แค้น เพื่อนร่วมงาน หรือใครก็ตาม ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้ชอบหน้าเขาสักเท่าไหร่ นั่นก็เพราะเรายังมี “กายใน” ที่เป็นพลังงานสั่นสะเทือนอยู่ในระดับเดียวกับเขา
“คนที่มีระดับพลังงานเดียวกัน จะถูกดึงดูดเข้ามาหากัน”
เหมือนนกที่มีสายพันธุ์เดียวกัน ก็จะอยู่ในฝูงเดียวกัน บินไปไหนพวกมันก็ไปด้วยกัน บินกันไปเป็นฝูง เราจะไม่เคยเห็นอีกาบินร่วมไปกับหงส์ หรืออีแร้งบินไปกับนกอินทรี นั่นเพราะนกชนิดเดียวกัน มันจะอยู่ในฝูงเดียวกันเท่านั้น
ฉะนั้น ตราบใดที่พลังงานในตัวเรายังไม่เปลี่ยนระดับความถี่ที่สั่นสะเทือน เราก็จะต้องพบเจอบุคคลเหล่านี้อยู่ร่ำไป และวิธีการสลัดตนให้หลุดพ้นจากคนที่เราไม่ชอบนั้น ไม่ใช่การนินทา และก็ไม่ใช่การพยายามเปลี่ยนคนอื่น แต่เราจะต้องเปลี่ยนตัวเองจากภายในคือ “ระดับพลังงาน” ต้องยกมันให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้นไป เหนือกว่าพลังงานของคนที่เราไม่ชอบ โดยเริ่มต้นจากความอยากเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี (พ่อครูว่า…ต้องมีความอยากเป็นตัวเริ่ม คนไม่มีความอยากเลยก็คือคนที่มีแต่จะเน่าไปเรื่อยๆ)
“ความรู้สึก” ถ้าเราหมั่นตรวจสอบความรู้สึก รู้จักฝึกควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ให้เป็นคนที่รู้สึกดีได้มากที่สุด ยิ้มแย้มแจ่มใส จิตใจเมตตา ไม่จับกลุ่มนินทา เลิกเสพข่าวร้าย มีความสำนึกรู้คุณต่อทุกสรรพสิ่ง ไปวัด นั่งสมาธิ รักษาศีล ออกกำลังกายอยู่เสมอ ว่ายน้ำ ดูปะการัง อะไรก็ว่าไป
ในที่สุด เมื่อระดับพลังงานสูงพอ เราก็จะไม่มีทางพบเจอคนเหล่านั้นอีกเลย แต่จะเปลี่ยนไปเจอคนที่มีระดับพลังงานเดียวกันกับเรา ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ นักจิตวิทยาสมัยใหม่บอกว่า เกิดขึ้นเพราะ “พลังจิตใต้สำนึก” ปลดปล่อยพลังงานสั่นสะเทือนออกไปโดยอัตโนมัติอยู่ตลอดเวลา แบบที่เราเองก็ไม่รู้ตัว พวกเขาเรียกมันว่า “กฎแห่งแรงดึงดูด”
(พ่อครูว่า การอธิบายพลความลักษณะแบบนี้คือสายศรัทธา คือปล่อยให้มันเกิดเองอย่างนี้จะช้านานกว่าสายปัญญา การปล่อยให้เป็นอัตโนมัติเป็นเองคือสายศรัทธา คุณจะออกจากโลกต้องไม่ให้จมไปกับกฏแรงดึงดูดของโลก)
ดังนั้น หากอยากเปลี่ยนโลก ต้องเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน โดยเริ่มต้นจาก “ความอยาก” “ความรู้” และ “ความรู้สึก”(พ่อครูว่า ความอยากคือ dynamic ความรู้คือ static ส่วนความรู้สึกคือ ตัวกลาง) แล้วโลกรอบข้างเราก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สมดังคำสอนเปลี่ยนโลกที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว
นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”
ทาน บอกระดับความมีใจโอบอ้อมอารี ศีล บอกพฤติกรรม กิริยาท่าทางที่แสดงออก สมาธิ บอกระดับความสุขสงบเย็น ปัญญา บอกระดับความรู้ ความเข้าใจต่อโลก และสรรพสิ่ง
ขอย้ำอีกสักครั้ง “คนที่เสมอกัน จะถูกดึงดูดเข้ามาอยู่ใกล้กัน” ตามระดับคุณธรรมที่เป็นพลังงานสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา
พ่อครูว่า…ทาน บอกระดับความมีใจโอบอ้อมอารี ใช่ แต่ทานไม่ใช่แต่โอบอ้อมอารีย์ แต่ทานอย่างไม่มีอะไรโค้งกลับมาหาตัวเองเลย ทานผู้ใดที่มีเส้นโค้งมาหาตน แม้มีองศานิดเดียว ทานนั้นยังมีเราแม้แค่ .0000001 ทานจะมีองศาโค้งไกลมากอ้อมจักรวาลกว่าจะมาหาตน ทานนี้ต้องไม่มีสาเปกโขอย่างในทานสูตร อ่านสัก 500 เที่ยว อ่านอย่างไตร่ตรองนะ ไม่ใช่อ่านลวกๆอ่านครบ 500 เที่ยวแล้วจะชัดเจน ทานสูตรไม่ยากแต่ครบ บอกสวรรค์ 6 ชั้น( ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง)
การทำทานเป็นสัมมาทิฏฐิข้อที่ 1 ผู้ที่ทานแล้วได้ผลโลกุตระคือผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ ต้องทำใจในใจอย่างไรอย่าไปสร้างภพชาติต้องการอะไรมาเป็นเราเป็นของเรา ทานไม่มีตัวเราของเราเลย ทานไม่มีภพชาติ ทานอย่าง 0 มีอานิสงส์แต่ทานนั้นมีโค้งมาหาตนแม้ .00001 ก็ยังไม่เป็นอานิสงส์
ศีลนี่ก็อธิบายยากกว่าทาน เพราะศีลมีสองสภาพ ทานมีสภาพเดียวได้ ทานมี 0 เลยได้แต่ศีลมี 2 สภาพเสมอ ต้องมี หนึ่งหลักเกณฑ์กับการปฏิบัติ หรือมีบัญญัติกับสภาวธรรม ต้องมีศีลกับบุคคล บุคคลต้องเป็นเวไนยสัตว์
สมาธิคือจิตตั้งมั่นไม่มีสุขมีทุกข์ หากมีสุขมีทุกข์สะสมเป็นสมาธิจิตตั้งมั่นไม่ได้ จะเหลือสุขนิดนึงก็ไม่ได้ เพราะว่าสมาธิคือการสั่งสมจิตสะอาดให้ตกผลึก จิตที่ไม่มีสุขมีทุกข์ คนเราจะเข้าใจว่าทุกข์คืออะไรสุขคืออะไร นี่แหละยากที่สุดในโลก
สุขทุกข์เป็นเทวเป็นคู่หูกันแยกไม่ออกถ้าจะดับดับทั้งคู่ไม่มีไม่มีทั้งคู่ ถ้ามีอยู่ตัวใดตัวหนึ่งก็ยังมีอีกตัวหนึ่งแฝงมาโดยที่คุณไม่รู้ตัว คุณต้องรู้ให้ได้ว่ามันมีแฝง
สุขนี้เหมือนคนธรรพ์ ที่เป็นหมัดอยู่ในขนพญาครุฑ แอบเสพ กินเศษกามของพญาครุฑ แย่งพญาครุฑกินโดยไม่ให้รู้ตัวพวกนี้พวกลักลอบ
สมาธิไม่ใช่แค่ความสุขเย็น สมาธิหมายถึงจิตที่ตั้งมั่น ไปเปิดพจนานุกรมเล่มไหนก็ได้ การไปแปลว่าความสุขเย็นนั้นเป็นของแถม จริงๆแล้วแปลว่าความตั้งมั่นของจิต แล้วจิตอะไรที่ตั้งมั่น ก็คือจิตใจที่สะอาดจากความสุขความทุกข์สะอาดจากอวิชชา
ปัญญา นั้นเป็นความเข้าใจและอยู่เหนือโลก คำว่ากายคำว่าบุญ คำว่าปัญญา คำว่าสมาธิ คำเหล่านี้ต้องย้ำไปอีกนานจนกว่าจะอยู่ 151 ปีเลยนะ มันสงสารยังไม่กระจ่าง เรายังไม่เก่งพูดให้เขาเข้าใจยังไม่ได้
ขอย้ำอีกสักครั้ง “คนที่เสมอกัน จะถูกดึงดูดเข้ามาอยู่ใกล้กัน” ถูกแล้ว อย่างชาวอโศกมาเพราะยินดีมาร่วมกันหากไม่ยินดีมาก็อย่ามาเสียเลยไม่สำเร็จ ในมูลสูตร 10 มีว่าไว้
_บทความคล้ายๆพวกนี้มีเยอะมาก ดูเผินๆคล้ายใช่อย่างที่พ่อครูสอน แต่จริงๆแล้วมีความแตกต่างที่เป็นนัยสำคัญ จึงใคร่ขอโอกาสว่า ถ้ามีบทความเข้าท่าอย่างนี้เข้ามา จะขออนุญาตถวายให้ช่วยวิเคราะห์ เพราะคนในสังคมส่วนใหญ่จะเข้าใจเช่นนี้ บางทีเราก็งงว่าใช่หรือมิใช่ …หนึ่งฟ้า
_วราวุฒิ พลจันทร์ ..เอาธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจ ยกตน ข่มคนอื่น การให้คือการเอา การเอาคือการให้ พอแล้วครับคนโง่เท่านั้นล่ะที่ดูไม่ออก
(เป็นความเห็นจาก ผู้ชมวิดีโอชุด อโศกกับการชุมนุมแนวใหม่ Neo protest ตอน3)
พ่อครูว่า..คุณฉลาดเลยดูออกนะ คนโง่ดูไม่ออกทั้งนั้น ก็เลยไม่เอาไม่เป็นไร อาตมาก็ว่าอาตมาไม่ได้แสวงหาอำนาจเลยจริงๆ สอนก็ฟังดีๆเถอะ สอนประชาธิปไตยไม่ใช่การแสวงหาอำนาจ แต่อำนาจนั้นประชาชนยกให้เอง เขายกให้เราก็ไปรับเสียด้วยซ้ำ เราก็เลยลอยเองเพราะเขายกประชาชนเขายก แล้วมันก็มีพลังงานคั่นไว้ด้วยนะ ไม่แตะเนื้อต้องตัวเรา เราก็เลยลอยขึ้นตามที่เขายกมันเป็นอย่างนั้น มันยากที่จะเข้าใจ
เป็นการปฏิวัติรัฐประหารโดยประชาชนที่กองทัพทำเราทำ ขออภัยนิดนึง ทางด้านคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ กปปส. กองทัพธรรมออกมาเป็นตัวต้นตัวหลักก่อน แล้ว กปปส. คุณสุเทพทางสามเสนก็มา เขามีพลจัดตั้งเยอะ ต่อเนื่องกับเรา คนก็เลยมาอย่างยิ่งใหญ่เราเองไม่มีแรงเท่าคนสุเทพ มาร่วมกันเลยกลายเป็นพลังงานประชาชนเต็มที่เลย กปปส.เลยใหญ่ แต่แท้จริงจุดก่อตัวคือกองทัพธรรม เป็นจุดเล็กๆขาวใสในขอบฟ้ากว้าง แล้วค่อยๆมารวมกันเป็นพลังงานใหญ่ เราไม่ได้ปฏิเสธว่าพลังงานเกิดจากพวกคุณ ถ้าปล่อยให้พวกเราอย่างเดียวป่านนี้ มันจะชนะไหมนี่ ประท้วง 40 กว่าปีก็คงจะไม่ชนะหรอก แต่ก็เพราะอย่างนี้แหละมันเกินความจริง ต้องรวมกันอย่างนี้แหละอย่าไปทิ้งกัน ศึกษาให้ดี neoprotest อย่างที่พวกเราจะเป็นประวัติศาสตร์ทางรัฐศาสตร์ จะเป็นตัวอย่างที่ต้องใช้ศึกษาและพัฒนาการให้เป็นมนุษย์แบบนี้ ตราบใดที่ยังมีการใช้ความสงบเป็นหลักเกณฑ์ ไม่ใช้อาวุธใช้ความจริงเป็นตัวจัดการให้ชนะ เพราะฉะนั้นคนที่ชนะก็จะชนะด้วยความจริง ยอมรับด้วยความจริงก็จบ ไม่เช่นนั้นไม่มีเสร็จเรียบร้อย มีความจริงเท่านั้นจะชนะทุกสิ่งทุกอย่าง ความบริสุทธิ์สะอาด จะชนะทุกสิ่งทุกอย่าง
_SMS วันที่ 11 ม.ค. 2562
_ธารร่มธรรม ทำร่มทาน · คนที่เขาไม่เข้าใจย่อมคิดทำสงคราม ตรงข้ามกับพ่อครูมีแต่สงเคราะห์ด้วยจิตที่เมตตาเปี่ยมล้นต่อทุกคนทุกสรรพสิ่ง
_สายันต์ ธนานันท์ · อยากทราบว่าจะดูผลการสอบ วบบบ.ได้ที่ไหนคะ
_ถุงเงิน ปิ่นแก้ว · โลกนี้ คนไม่ดี ประพฤติชั่วล้วนมากมาย เด็กๆต้องฝึกฝนในทางดีทางถูก เราไขความจริง เพื่อให้เขาพึ่งพิง รู้ทุกข์ รู้สุข เราต้องเป็นหลักน่าา แข็งแรงๆๆ
ความเห็นต่อคำเทศน์ เราคือโพธิสัตว์ของพ่อครู
_สุรชาติ ชุ่มเพ็งพันธุ์14 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ประกาศตัวเองว่าบรรลุอรหัน บรรลุญาณ เเต่เวลาชุมนุม กปปส ไปทุกครั้ง
_Chon Kyun6 ชั่วโมงที่ผ่านมา
@สุรชาติ // เปิดใจให้กว้าง ทำใจให้ร่ม วางใจให้เป็นกลางๆอย่างแท้จริง อย่าเพิ่งชอบ อย่าเพิ่งชัง วางความเชื่อเก่าๆที่เคยฟังเคยจำ ว่าการเมืองเป็นเรื่องเลวร้าย
(พ่อครูว่า..การเมืองเป็นเรื่องดี การเมืองที่โพธิรักษ์ทำเป็นเรื่องดี แต่คนเอาการเมืองไปทำเพื่อล่าโลกธรรม อัตตา ก็เลยทำให้เป็นเรื่องเลว การเมืองโลกียะเป็นเรื่องชั่ว ต้องชัดเจน 1. มีการเมืองชั่ว 2. การเมืองโลกุตระ ไม่ได้เห็นแก่ตัวเพื่ออำนาจลาภยศ แต่ทำเพื่อให้ประชาชนมีสุขจริง รับใช้ประชาชนอย่างจริงใจบริสุทธิ์สะอาด หานักการเมืองอย่างนั้นให้เจอ มีนะ หรือที่โพธิรักษ์รับรองแม้ไม่สะอาดหมดแต่ก็ดีกว่า
ตอนนี้มีผู้สมัครใจไปคนหนึ่ง ไปเข้าพรรคคุณสุเทพ ช่วยคุณสุเทพ ไม่บอกชื่อนะ ไปช่วยอย่างมีใจอยากช่วย ก็ไม่มีปัญหาอะไรอย่างนี้เป็นต้น แต่พวกเราก็ไปยังไม่ได้ ไปช่วยคุณสุเทพก็ยังไม่ได้ ไปช่วยคุณไพบูลย์ แม้คุณชวน ชูจันทร์ก็ไปไม่ได้มาก)
———–
ศึกษากันดีๆ มันมีนัยสำคัญ แม้คำตรัส เช่น “ในที่ประชุมใดไม่มีสัตบุรุษ ที่ประชุมนั้นไม่ชื่อว่าสภา ชนเหล่าใด ไม่พูดเป็นธรรม ชน เหล่านั้น ไม่ชื่อว่าสัตบุรุษ” นี่ก็เป็นหัวใจสำคัญ ที่ลึกซึ้งของประชาธิปไตย
“อปริหานิยธรรม ๗ …หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ …พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจ ที่พึงทำ …ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้ ไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้ ถือปฏิบัติมั่นตาม วัชชีธรรม(หลักการ)ตามที่วางไว้เดิม … ฯลฯ” อันเป็น วิธีของสภา ใช้ องค์ประชุม เป็นวิธีการ ระดมมันสมองร่วมกัน ใช้นิติบัญญัติเป็นหลัก นี่ก็เป็นการเมืองประชาธิปไตย ชัดๆ “อธิกรณสมถะ ๗” ก็คือ หลักนิติศาสตร์อันสำคัญที่เป็นประชาธิปไตยยิ่งยอด ไม่ว่าจะเป็นสัมมุขาวินัย ยิ่งเป็นสติวินัย ยิ่งสุดยอด ไม่ว่าอมูฬหวินัย ที่ไม่เอาผิดกับคนบ้า ไม่ว่าการตัดสินตามจำเลยสารภาพ ปฏิญญาตกรณะ หรือแม้แต่ หลักการตัดสินกัน ด้วยคะแนน เสียงข้างมาก คือ เยภุยยสิกา ก็เป็นประชาธิปไตยอย่างยิ่งมั้ย ตัสสปาปิยสิกาก็ดี ติณวัตถารกวินัยก็ดี ล้วนเป็นวิธีการ นิติศาสตร์ อันเป็น ประชาธิปไตย ที่พระพุทธเจ้าทรงสร้างมา แต่ยุคโน้นแท้ๆยิ่งเรื่อง”นานาสังวาส” นี่ยิ่งเป็นการให้อิสระเสรีขั้นสูงสุดสำหรับสิทธิมนุษยชนทีเดียว เป็นบัญญัติหลักการอันยิ่งใหญ่ ที่เปิดทาง ให้มนุษย์ แยกกันปฏิบัติ ด้วยทางออกสุดท้าย เมื่อต่างเกิดความเห็น อันสุดวิสัยในสิทธิ แห่งความคิดความเชื่อของคน ซึ่งแสดงถึง พระปัญญาธิคุณ ในเรื่องของ ประชาธิปไตย ที่สูงส่งลึกล้ำ ยิ่งยอดที่สุด นี่คือ การเมืองของพระพุทธเจ้า เป็นแบบวิธีของสังคม ของบ้านของเมือง ที่พระองค์บัญญัติไว้ ให้แก่มวลมนุษย์
———–
ถ้าติดตามและศึกษาจริงๆ กลุ่มสันติอโศก ตื่นตัวและเข้าร่วมประท้วงในทางการเมือง มานานแล้ว นับจริงจังคือเรื่องต่อต้านอุตสาหกรรมเบียร์เข้าตลาดหุ้น ต่อต้านกฏหมายทำแท้ง และจากการได้เข้าไปสัมผัสจะพบว่าการชุมนุมของพวกเขาจะทำด้วยความสงบ มุ่งมั่นและอดทน และหยัดยืนเป็นแกนหลักทำให้กลุ่มอื่นได้รับประโยชน์
———–
ปัญหาการเมืองมีมาทุกยุคทุกสมัย ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร แม้แต่ในสมัยพุทธกาลที่พระพุทธศาสนารุ่งเรืองมากๆ พระศาสดายังมีพระชนม์ชีพอยู่ ก็ยังต้องมีปัญหาการเมือง ในฐานะพุทธศาสนิกชน เราจึงควรรู้เท่าทันด้วยสติและมองปัญหาการเมืองด้วยปัญญา ไม่ปล่อยใจให้หม่นหมองตามไปด้วย เป็นเสมือนจุดเย็นที่อยู่กลางเตาหลอม
———–
ในต่างประเทศ ที่มีพุทธศาสนา พระสงฆ์คือผู้นำจิตวิญญาณ และเข้าคัดค้านอำนาจการเมืองที่ชั่วร้าย ไม่ปล่อยให้เป็นเรื่องของปถุชนคนสามัญที่ใช้เป็นเวทีแย่งชิงหาผลประโยชน์ใส่กลุ่มพวกพ้องแต่ถ่ายเดียว ในพม่าอย่างนี้พระสงฆ์คือแกนนำ
ในทิเบตพระสงฆ์เป็นผู้บริหารเมือง ก่อนที่จีนจะเข้ายึดครอง จนองค์ทะไลลามะต้อง ลี้ภัยและเรียกร้องอย่างสงบต่อนานาชาติ
_Nchyut Doisaket 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา
@Chon Kyun อ่านแล้วกูวุ่นวายจริงๆครับ ส่วนตัวคงดูจิตตัวเองก็พอแล้ว
_สุรชาติ ชุ่มเพ็งพันธุ์ 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา
Chon Kyun เปิดใจกว้างเเล้วพิจารณาดีเเล้ว การเมืองมันมีอะไรมากกว่านี้ ถ่าพระเล่นการเมืองเเบบนี้อย่างกะพระอิสระที่อยู่ไหนคุกที่พึงออกมาละ บ้านเมืองมีเเต่ฉีบหายหมด สั่งการ์ดกะทืมคนเห็นต่างเเบบนี้เเรกว่าพระเหรอ ใครจับกรวยโดนเเบบนี้เรียกว่าพระเหรอ ประกาศตัวเองเป็นพระอรหัน บรรบุโสดาบัน เเบบนี้เหรอครับ ถ่าจะประกาศว่าจะเอาศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติโดยบรรญัติไหนรัฐธรรมนูญ เเบบนี้ที่เค้าเรียกว่า ทำเพือประเทศชาติ เเต่นี้ไม่มีเลยออกมาประท้วงการเมืองเเบ่งฝักฝ่ายกันชัดเจน
พ่อครูว่า…อย่าดูถูกการเมืองพระพุทธเจ้าก็ทำเพื่อประชาชนมาตลอดในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ทำเพื่อประชาชนมาตลอด แต่คุณเข้าใจการเมืองเพียงเสี้ยวหนึ่งแค่คนไม่จริงใจคนทุจริตคนไม่เข้าท่าก็ถูก อันนั้นเป็นการเมืองบ้าบอ แต่การเมืองที่ดีที่ประเสริฐนั้นเขามี ถ้าโลกไม่มีการเมืองที่ประเสริฐแล้วจะอยู่ไปทำไม การเมืองคือพลเมือง หากไม่เอาคุณก็ต้องอยู่ไปกับสิงสาราสัตว์ไม่ต้องอยู่กับพลเมือง นี่คือความจริง คุณเห็นอย่างนี้คุณต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่อย่างนั้นมันไม่ใช่
ผู้ที่อยู่เหนือการเมืองขี้หมาพวกนั้นได้ก็จะพยายามเข้ามาช่วยปราบการเมืองพวกนั้นให้ได้ด้วยความสงบ นี่คือของพุทธ ชาวพุทธยังไม่มีสงครามศาสนา ยืนยันมา 2500 กว่าปีแล้ว แต่ศาสนาอื่นเขามีสงครามกันเอง เช่นสงครามครูเสด 200 กว่าปี
_Chon Kyun5 ชั่วโมงที่ผ่านมา (แก้ไขแล้ว)
@สุรชาติ ชุ่มเพ็งพันธุ์ แสดงว่าไม่ได้ศึกษาจริงๆหรือหาข้อมู่ลจริงๆ จึงเอาไปเทียบกับพุทธอิสระ และใช้มุมมองนิยามความเข้าใจเก่าว่าการเมืองเป็นเรื่องผลประโยชน์เป็นเรื่องเลวร้าย พระผู้มีศีลไม่ควรเข้าเกี่ยวข้อง ควรพิจารณาว่าที่กลุ่มนี้ไปเกี่ยวข้องไปทำอย่างไร ทำอย่างพุทธอิสระหรือไม่ ตรองดู ถ้าไม่มีกลุ่มนี้ไปคัดค้านเรื่องที่ไม่ถูกไม่ต้องในหลายๆเรื่อง สังคมจะอยู่อย่างไร ถ้าผู้รู้ผู้มีศีลมีธรรม ไม่ออกมาแสดง มาชี้ว่านี่ผิด นี่ถูก และเขาก็ทำอย่างสงบ คนละรูปแบบกับพุทธอิสระ
ลองไปดูชุมชนของเขา คำสอนของเขาให้ดีๆ เขาสอนให้คนลดละและปฏิบัติได้จริง จนถึงแก่นจิตวิญญาณ จึงรวมกลุ่มสร้างเป็นชุมชนพุทธได้อย่างแท้จริง มีบ้าน วัด โรงเรียนอยู่พร้อมในชุมชนเดียวกัน สอนให้คนลดละไม่สะสม ลองดูวัดทั่วไปในไทยนี้เถิดสอนคนอย่างไร สอนตามหลักพุทธแท้จริงหรือไม่ เห็นแต่กลายร่างเป็นพราหม์ไปเสียหมดแล้ว ทุกสิ่งอย่างมีแต่พิธีกรรม จุดธุปจุดเทียน สวดมนต์เรียไร อ้อนวอนบ่วงสรวง ทรงเจ้าเข้าผี ทำนายผูกดวง เจิมบ้านเจิมรถ ทำน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ วัดก็มีแต่พิธีกรรมหาเงินหากิจกับชาาวบ้าน เหล่านี้ล้วนคือกิจหรือคำสอนพุทธองค์หรือไม่
_Chon Kyun 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา (แก้ไขแล้ว)
@Nchyut Doisaket นั่นก็เป็นบุคคลประเภทหนึ่งที่พุทธองค์ตรัสไว้ว่า บางคนอาจบรรลุธรรมแล้วก็หลีกเร้นกาย ไปสงบแต่ผู้เดียว แต่พุทธองค์ทรงสรรเสริญคนที่บรรลุแล้ว(ได้ประโยชน์ตนแล้ว) กลับมาช่วยเหลือโปรดสัตว์โลก(ประโยชน์ท่าน) รื้อขนสัตว์ให้ได้พบพระธรรม นั่นคือกิจโพธิสัตว์
_สุรชาติ ชุ่มเพ็งพันธุ์ 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา
Chon Kyun เเล้วเหตุการปัจจุบันนี้ละครับ ทำไมถึงไม่ออกมา บ้านเมืองทุกวันนี้เเย้มากๆยุคเผด็จการทหารอะไรก็เเพง คนตกงานเยอะมาก เศรษกิจเเย้มาก ทำไมถึงไม่ออกมา ก็เพราะว่าต่างฝ่ายต่างเลือกข้างอย่างชัดเจน ฝ่ายกูถูกเสมอ เเบบนี้ใช้ไหม
พ่อครูว่า…สถิติเราก็เอามาอ่าน อันนี้เอาข้อมูลเก่ามาพูด เราก็ว่าเศรษฐกิจดีนี่ ก็ต่างคนต่างมอง สองคนยลตามช่องคนหนึ่งมองเห็นโคลนตมอีกคนตาแหลมคมมองเห็นดาวอยู่พราวพราย
_รมย์ รําเพย
ดูๆแล้วโพธิรักเข้าข่ายสังฆเภทดูเป็นแบบโลกๆดูยังยึดติดในวัตถุดูเป็นองกรหนึ่งที่อาศัยศัทธราชาวพุทธสนองอุดมการส่วนตัวครับถ้าโพธิรักไม่เป็นอรหันอนันตริยกรรมแน้นอนใกล้ถึงเวลาแล้วครับ
พ่อครูว่า…อาตมาแน่ใจว่าอาตมาเป็นอรหันต์ อาตมาไม่เป็นอนันตริยกรรมแน่นอน ส่วนอาตมาไม่ได้ทำสังฆเภท พวกเขาแยกอาตมาต่างหาก ทำสังฆเภท อาตมาทำนานาสังวาส แต่เขาก็ทำเป็นอัปเปหิ พวกคุณทำโมฆะ ทำอาบัติ ผิดธรรมวินัยของพระพุทธเจ้ากัน
_Vin Buddhamind 17 hours ago
ท่านคือพระที่แท้จริงสาธุ สาธุ สาธุ คนเรามีปัญญาพอควรที่จะแยกแยะได้ว่าใครดีใครชั่ว เวลานี้ก็ทุกๆคนก็คงจะเห็นแล้วว่าใครผิดใครถูก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพระไม่ใช่บวชมาเพื่อทำตามความเห็นใครๆหรือพวกใด พระบวชมาเพื่อหาหนทางหลุดพ้น อย่างน้อยก็บำเพ็ญเพื่อลบล้างกิเลสในใจตน
_Wekar Bigboy 13 hours ago
ทองคำบริสุทธิ์ย่อมต้องถูกเผาถูกหลอมมาก่อน พระที่ดีต้องมีปัญญาเข้าใจโลกเช่นท่านพระครู น่ายินดีน่าเคารพนับถือจริงๆ สาธุ
_ชีวิตนี้ ก็มีเท่านี้แหละ 13 hours ago
พระสงฆ์คือผู้ที่บวช สละความยึดติดเพื่อเดินทางไปสู่การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด การจัดระเบียบให้อยู่ตรงนั้น ทำตรงนี้ คือการยึดติด จะทำอะไรกับพระต้องคิดให้จงหนัก ส่วนคนที่อ้างตัวว่าเป็นพระ แต่มายุ่งเกี่ยวการเมือง แสดงว่ายังสมัครใจที่จะอยู่กับการยึดติด แถมยังประกาศตัวเองเป็นพระอรหันต์ บอกตรงๆ ทุเรศว่ะ
พ่อครูว่า…ก็ความเห็นของคุณ แต่แสวงหาให้ดี ติดตามให้ดีอดทนเอาหน่อย
_songs& art of life. 11 hours ago
วิถีส่วนตัว ไม่ใช่วิถีทาง ปฎิบัติตามรอยพุทธองค์ง่ายที่สุด ตรงที่สุด ไม่งั้นเราจะเรียกพระพุทธเจ้าหรือ ถ้าผิดจากพุทธองค์ อย่าเรียกตนะว่าพุทธ จงตั้งขึ้นใหม่ชื่อใหม่ นุงห่มแบบใหม่ ไม่ดีกว่าหรือ เมื่อมันใจว่าดีพอ
พ่อครูว่า…อาตมาก็มานุ่งห่มใหม่นะ ไม่เหมือนเถรสมาคม มั่นใจว่าดีพอด้วย นุ่งห่มไม่เหมือนสีจีวรไม่เหมือนการกินการอยู่ไม่เหมือน คิ้วก็ไม่โกน
_派 派 (อ่านว่า hade แปลว่าสีสด) 10 hours ago
ท่านปฏิบัติของท่านก็ถือว่าดีแล้วไม่ได้เบียดเบียนใครพวกที่ดูถูกดูแคลนท่านทำอะใรบ้างมีจิตใจคับแคบดูแคลนคนอื่นนี่ละเขาว่ากิเลสในใจ
_คลิปไม้ร่มถามเรื่องระลึกชาติ…มีคนคอมเมนท์ว่า…noonny bye 8 hours ago
เจ้าสำนักไม่รู้ สาวกก็ยังถามอยู่ได้ แถมบอกอีกว่า พระอรหันต์ ที่เคยเกิดร่วมกัน พันกว่ารูป เมื่อ สองพันปีก่อน กลับมาเกิดช่วยงานในชาตินี้อีก เหนื่อยใจแทนสาวกแต่ละคน ทั้งศิษย์ ทั้ง อาจารย์ พอๆกัน บาป ด้วยกันทั้งคู่ ลวงโลก อวดอุตริมนุษยธรรม ” ผู้บรรลุอรหันต์ ไม่กลับมาเกิดในโลกนี้( มนุษย์ นรก สวรรค์ ) อีก ” พระพุทธเจ้า และ พระ อริยสงฆ์ ท่านก็ยืนยันเช่นนั้น เฮ้อ เหนื่อยใจกับพวกนี้จริงๆ แถมเจ้าสำนักท่าน ยังกล้าประกาศตนต่อ หน้าผู้คนอีกว่า ” เราเป็นพระ อรหันต์ แบบปฏิสัมภิทา ” ซ่ะงั้น ถ้ามีคนกล้าประกาศแบบนี้ ไม่ต้องกราบท่านอีกน่ะ ลวงโลกครับ ” ผู้ บรรลุอรหันต์ หมดสิ้นซึ่งกิเลส จิตสะอาด บริสุทธิ์ มีสติสัมปชัญยะสมบูรณ์ พร้อม ไม่มีความต้องการสิ่งใด จิตว่าง ” ถ้ายังประกาศว่าตนคือ พระ อรหันต์ แสดงว่า จิตไม่ว่าง ในจิต ยังมีเจตนา มีเหตุและผล มีความต้องการ ” นั่นก็ยืนยันได้ว่า ผู้ประกาศตนว่า เป็นพระ อรหันต์ ย่อมไม่ใช่พระ อรหันต์ ผู้ที่จะบอกได้ว่าใครเป็นพระ อรหันต์ มีแต่ องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้น ผู้บรรลุอรหัตผล จิตท่านว่าง ท่านก็ดำรง อยู่ในกายที่มีชีวิต ด้วยจิตที่ว่างนั้น ย่อมไม่มีความนึกคิดที่จะประกาศตนให้ใครรู้ ว่าท่านเป็นพระ อรหันต์ อันนั้นแหล่ะคือ พระ อรหันต์แท้ๆ นับแต่โบราณกาล ครั้งเมื่อ พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู๋ ก็ไม่มีพระอรหันต์ ผู้ใดประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ มีแต่พระศาสดา ที่คอยบอกเป็นนัยๆว่า ท่านผู้นั้น บรรลุธรรม เป็น พระอรหันต์ เอวังก็มีด้วยเท่านี้
พ่อครูว่า…เจตนามี 3 อย่าง 1 เจตนาในกาม 2 เจตนาในภพ 3 เจตนาในวิภวภพ
ความอยากในวิภพ คือตัณหาของพระพุทธเจ้า พระอาริยะ เป็นภาษาสิริมหามายา นี่สุดยอด ในเรื่องความรู้แม้แต่สิริมหามายา อาตมาก็ไขความ ติดตามให้ดีคุณจะเห็นนักมายากลที่ยิ่งใหญ่พูดเหมือนตลกแต่ชัดเจนสำหรับผู้มีภูมิถึง ผู้ที่มีภูมิไม่ถึงจะเมาหมัดเลย
สิริมหามายา ทำไมพระพุทธเจ้าพระองค์นี้แม่ถึงชื่อสิริมหามายา แล้วตัวเองชื่อสิทธัตถะ คือ อัตถะ + สิทธะ คำว่าสิทธะคือความสำเร็จ อัตถะคือเนื้อหา
สิทธะคือตัวรูป Static อัตถะคือนามคือ Dynamic
พลังงานสูงสุดก็มี 2 อย่างนี้ Static กับ Dynamic ถ้าไม่มี 2 อย่างนี้ก็สูญเลยเลิกเลยทุกอย่าง ถ้ายังไม่เลิกก็ต้องพูดด้วย Static กับ Dynamic ตลอดกาลนาน มีรูปมีนาม
ไปอ่านโลหิจสูตรให้ดี ว่า โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่… ฯลฯ ” .
พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง
(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 358)
พ่อครูว่า..อาตมากำลังพูดอยู่ตอนนี้ก็จิตว่าง คุณมีกล้องส่องดูได้เลยขยายดูกี่ล้านเท่า ว่าอาตมาจิตว่าง ส่วนจิตว่างกับความนึกคิดนั้นต่างกัน ยิ่งมีความนึกคิดได้รวดเร็วแววไวด้วย
ไปอ่านดูใหม่เลย พระอรหันต์หลายรูปก็บอกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ อย่างพระพักกุละเป็นต้น
_คลิปเราคือโพธิสัตว์ มีความเห็นตอบกลับมา…
_Narong Suraphatkornpapha…. นี้ ยังไม่ใช่ ลักษณะ การแสดงธรรมของบัณฑิต ในอริยวินัย ของพระสุคต คือสุคตวินโย. ยังมิใช่ ผู้แจ้งในอริยสัจณาน. เหตุเพราะ ยังไม่รู้ ถึง ไม่แทงตลอดในอริจทั้งสี่ประการ. นั้นเอง จึงแสดงสัทธรรม ปฏิรูป อันเป็นทองเทียมเช่นนี้.
โพธิสัตว์. ยังเป็นสัตว์ที่ยังเป็นปุถุชน ยังไม่ความรู้ในอริสัจจสี่แต่งอย่างใด.
ดังนั้นสิ่งที่ท่านกล่าวมาเราไม่รับรอง และไม่คัดค้านคำของท่าน. เดี๋ยวไปเทียบกับ ธรรมวินัยที่ตถาคตตรัสแล้ว เราจะกล่าว
_สื่อธรรมะพ่อครู สมณะโพธิรักษ์…… ความเข้าใจว่า โพธิสัตว์คือปุถุชน มีกล่าวในพุทธวจนะ บทไหน ลองหามาให้ทราบหน่อยสิ ธรรมวินัยบทไหนที่กล่าว เช่นนั้น …เป็นความเข้าใจผิดของท่านเองที่กล่าวว่า โพธิสัตว์คือปุถุชน คำว่าโพธิ คือ การตรัสรู้ ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน โพธิสัตว์ คือ สัตว์โลกที่ได้ตรัสรู้ อาริยสัจ คือผู้พ้นทุกข์แล้วสิ้นเชิง คือ พระอรหันต์ที่ตั้งจิตต่อพุทธภูมิ บำเพ็ญเพื่อไปเป็นพระพุทธเจ้าต่อไป นี่คือนิยาม ของโพธิสัตว์
พ่อครูว่า…อย่างน้อยจะสู่ความตรัสรู้ต้องมีอัญญะ ดังเช่นพระอัญญาโกณฑัญญะ ที่เกิดอัญญาขึ้นเป็นครั้งแรกของศาสนาพุทธ ไม่มีใครอธิบายได้อย่างอาตมาหรอก คนๆนี้เป็นคนแรกที่เริ่มเกิดได้ มีห้าคนแต่คนนี้เกิดอัญญาได้ก่อน แล้วอธิบายต่อไปอีก คนอื่นๆจึงเกิดตามมา
คนส่วนใหญ่ติดในพยัญชนะแต่เนื้อหาสาระสภาวะยังไม่เกิด
เวลาหมดก็ขอฝากไว้ก่อน
สมณะฟ้าไท…สรุป